แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ช่วงนี้อากาศร้อนมาก โดยเฉพาะตอนบ่าย แดดแรงมาก อุณหภูมิประมาณ 40 กว่าองศา และถ้าช่วงไหนมีเมฆ ความร้อนก็จะลดลง อย่างเมื่อวานตอนบ่ายแก่ๆ รู้สึกได้ว่าอากาศอบอ้าวน้อยลงเพราะว่ามีเมฆ เราได้อาศัยเมฆช่วยบรรเทาความร้อน ความอบอ้าว แต่เราก็หวังพึ่งพาเมฆไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีความแน่นอน แต่ถึงแม้ไม่มีเมฆพวกเราที่อยู่ที่นี่ก็ยังพอได้อาศัยร่มเงาของต้นไม้ ต้นไม้ให้ร่มเงาช่วยคลายร้อนได้มาก ผิดกับข้างล่างในตัวเมืองแก้งคร้อ หรือแม้กระทั่งในหมู่บ้านท่ามะไฟไม่ค่อยมีต้นไม้แล้ว ถ้าไม่มีพัดลมไม่มีเครื่องปรับอากาศก็ร้อนผ่าวทีเดียว พวกเราที่วัดป่าสุคะโตได้อาศัยร่มเงาของต้นไม้ช่วยคลายความร้อน บางทีก็มีลมพัดมาทำให้เย็นกาย แต่คนเราก็ไม่สามารถจะอยู่ป่าหรืออยู่ในร่มเงาของต้นไม้ได้ตลอด บางครั้งก็ต้องออกไปข้างนอก ยิ่งเป็นฆราวาสแล้ว บ้านของเราอยู่ในเมืองบ้าง อยู่ในหมู่บ้านบ้าง ไม่ได้อยู่ป่า เวลาเดินทางก็ไม่ใช่ว่าจะมีร่มเงาของต้นไม้ตามติดเราไปตลอด แต่เราก็สามารถจะบรรเทาความร้อนได้ ถ้าเรามีร่ม มีร่มติดตัวไป ถึงแม้จะไม่มีเมฆ ไม่มีป่าให้ร่มเงาแก่เรา เราก็อาศัยร่มติดตัวไป ร่มนั้นช่วยกันความร้อนกันแดดได้ อันนั้นเป็นเรื่องของกาย คนเราไม่ใช่ร้อนกายหรือว่ามีความร้อนมากระทบกายเท่านั้น บางครั้งมันก็มีความร้อนใจ แต่เราก็ไม่ใช่ว่ามีอะไรมากระทบใจแล้วใจมันจะร้อน ใจมันจะเป็นทุกข์ไปได้ตลอด ใจเราก็ต้องอาศัยร่มเหมือนกัน ไม่ต่างจากกาย อะไรที่จะเป็นสิ่งที่ให้ร่มเงาความเย็นกับจิตใจ ก็มีหลายอย่าง
ร่มเงาอันหนึ่งก็คือ ร่มเงาแห่งญาติ เรื่องนี้เคยมีความเป็นมาในสมัยพุทธกาล พระเจ้าวิฑูฑภะเป็นโอรสของพระเจ้าปเสนทิโกศล สมัยที่ยังเป็นเจ้าชายอยู่มีความเคียดแค้นพยาบาทวงศ์ศากยะมาก ทั้งที่เป็นเครือญาติกัน แต่วิฑูฑภะอาฆาตพยาบาทวงศ์ศากยะเพราะดูถูกเหยียดหยามเขาว่ามีเชื้อของวรรณะจัณฑาล วรรณะศูทรเป็นวรรณะต่ำ ศากยะเป็นตระกูลที่ถือเรื่องวรรณะมาก เพราะฉะนั้นก็เลยรังเกียจวิฑูฑภะ ไม่ได้แสดงความรังเกียจอย่างเปิดเผยหรือว่าต่อหน้า ต่อหน้าก็ปฏิบัติดี วิฑูฑภะไปเยี่ยมญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ ทางศากยะก็ต้อนรับดี แต่พอวิฑูฑภะกลับไป พากันเช็ด ตรงไหนที่วิฑูฑภะนั่งก็เช็ด เพราะถือว่ามันทำให้เกิดความมัวหมอง มีวรรณะชั้นต่ำมาสัมผัสก็ถือว่ากำจัดความซวยก็ต้องเช็ดถูไม่ให้มันมีคราบหลงเหลือ วิฑูฑภะตอนหลังรู้ก็เกลียดมากแค้นมาก พอได้มีอำนาจก็กรีฑาทัพเข้าไปเพื่อที่จะทำศึกสงครามเข่นฆ่าพวกศากยะให้หายแค้น
พระพุทธเจ้าเมื่อทรงทราบ ก็ทรงอยากจะห้ามปราม ระหว่างที่วิฑูฑภะกรีฑาทัพไปจนถึงที่โล่งแห่งหนึ่ง เห็นพระพุทธเจ้า แทนที่พระองค์จะประทับใต้ต้นไม้กลับประทับอยู่ในที่โล่ง วิฑูฑภะก็ถามว่าทำไมพระพุทธเจ้าไม่ประทับใต้ต้นไม้แดดมันร้อน พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าร่มเงาแห่งญาติมันเย็นกว่าร่มเงาต้นไม้เสียอีก พระองค์พูดให้ได้คิด วิฑูฑภะก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าญาติพี่น้องนี้ เราจะเข่นฆ่าทำไม มันให้ความสงบร่มเย็นยิ่งกว่าร่มเงาของต้นไม้เสียอีก ก็เลยเปลี่ยนใจ ชักม้ากลับกรุงสาวัตถี แต่ความแค้นของวิฑูฑภะก็ไม่ได้หายไปง่ายๆ ตอนหลังก็มีความแค้น มีความพยาบาทขึ้นมาอีก ก็กรีฑาทัพไปอีก พระพุทธเจ้าก็ห้ามอีกครั้ง ทรงห้ามถึง 3 ครั้ง แต่ถือว่าเป็นกรรมก็ได้ เป็นกรรมของวิฑูฑภะ กรรมนี่ไม่ใช่เป็นกรรมในอดีต มันเป็นกรรมในปัจจุบันที่ไม่รู้จักหักห้ามความโกรธ ไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวาง สุดท้ายก็กรีฑาทัพไปบดขยี้พวกวงศ์ศากยะจนพินาศ นั่นคือความฉิบหาย จุดสิ้นสุดของวงศ์ศากยะ ไม่เชื่อฟังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าร่มเงาแห่งญาตินี้เย็นกว่าร่มเงาของต้นไม้ ตอนหลังวิฑูฑภะก็ตายหลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน สืบเนื่องกัน ชีวิตตัวเองก็เอาไม่รอด เพราะความเคียดแค้นพยาบาท
นอกจากร่มเงาแห่งญาติแล้ว เพื่อนก็เป็นร่มเงาได้ มิตรสหายก็เป็นร่มเงาได้ ซึ่งคนสมัยนี้เขาก็ไม่ค่อยให้ความสนใจกันแล้ว เดี๋ยวนี้มีอะไรๆ ต่ออะไรที่จะทำให้ร่มเงาแห่งมิตรสหายมันเลือนลางหายไป มีเรื่องเล่าว่าตาพาหลานไปทำธุระที่ธนาคารใช้เวลาเป็นชั่วโมงเลย หลานก็หงุดหงิดถามตาว่าทำไมไม่ติดต่อธนาคารทาง Internet เดี๋ยวนี้มีแล้ว Internet Banking ติดต่อธุระทางธนาคารด้วย Internet ไม่ต้องถ่อสังขารมาถึงธนาคารให้เสียเวลา ตาก็บอกหลานว่ามาธนาคารก็ดี ได้มีโอกาสเจอเพื่อน ทักทายคุยกันที่ธนาคารนี้แหละ พนักงานธนาคารก็ได้รู้จักกัน ได้โอภาปราศรัยกัน ตาก็เล่าต่อไป หลานก็บอกว่าเดี๋ยวนี้มันมี Internet ไม่ต้องเสียเวลาไปธนาคารแล้ว จะซื้ออะไรก็สั่งซื้อทาง Internet ได้ เช่น Amazon ก็มีส่งทาง Delivery ส่งถึงบ้าน ตาก็บอกอีกว่าการไปซื้อของด้วยตัวเองมันก็มีข้อดีทำให้ได้รู้จักผู้คน ตาเล่าว่าเคยเจ็บเคยป่วยก็ไม่มีลูกไม่มีหลานมาเยี่ยมเพราะว่าอยู่คนเดียว ก็ได้อาศัยเพื่อนนี่แหละที่มาเยี่ยม แล้วเพื่อนเหล่านี้เป็นใคร บางคนก็เป็นเจ้าของร้านโชว์ห่วยที่รู้จักกันมานาน ซื้อของกับเขามานานก็รู้จักกันเป็นพื่อนกัน เวลาป่วยเขาก็มาเยี่ยม อีกคราวหนึ่งยายไปซื้อยาที่ร้านปรากฏว่าหน้ามืดวิงเวียน เจ้าของร้านยาก็รู้ว่ายายอยู่บ้านไหน เพราะว่ายายก็มาซื้อของหลายปีแล้ว ก็รู้จักทั้งยายทั้งตา พอยายไม่ค่อยสบายก็พายายมาส่งที่บ้านของตา
ตาบอกว่าถ้าเกิดใช้ Internet เราจะมีโอกาสได้รู้จักคนเหล่านี้ได้อย่างไร ถึงเวลาเดือดร้อนใครเขาจะมาช่วยเรา ตาเลยบอกหลานว่าอย่าไปอยู่กับคอมพิวเตอร์มาก ให้ใช้เวลากับคนบ้าง เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์ Internet นี่มันทำให้คนอยู่กับเราน้อยลง อยู่กับเครื่องจักรมากขึ้น การที่เราอยู่กับคนน้อยลง ความเป็นมิตรมันก็เกิดขึ้นได้น้อย เพราะฉะนั้นร่มเงาแห่งมิตรก็ค่อยๆ หดหายไป อันนี้เป็นเรื่องเตือนใจคนสมัยใหม่ว่า Internet มันมีประโยชน์ แต่สิ่งที่มันทำให้ขาดหายไปจากชีวิตคือมิตรภาพ มิตรสหายซึ่งที่จริงแล้วก็สามารถจะเป็นร่มเงาได้
ร่มเงาแห่งญาติก็ดี ร่มเงาแห่งมิตรก็ดี มันไม่ประเสริฐเท่ากับร่มเงาแห่งธรรม ร่มเงาแห่งธรรมนี้ให้ร่มเงาให้ความสงบเย็นกับจิตใจได้ดีทีเดียว อาจจะไม่สามารถจะให้ร่มเงาทางกายได้ อันนี้ร่มที่เราถือติดตัวไปนี้อาจจะช่วยได้ดีกว่า แต่ถ้าเป็นเรื่องของใจแล้วไม่มีอะไรที่จะให้ความร่มเย็นกับจิตใจได้เท่ากับธรรมะ ธรรมะนี่หมายถึงอะไร ก็เริ่มตั้งแต่ศีลเลย คนเราถ้ามีศีล ศีลในที่นี้หมายถึงพฤติกรรมทางกาย วาจาที่เป็นปกติ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น อย่าไปคิดว่าหมายถึงศีล 5 เท่านั้น หรืออย่าไปคิดว่าหมายถึงศีล 8 เท่านั้น ความหมายรวมๆ ของศีลก็คือพฤติกรรมทางกาย วาจาที่เกื้อกูลเป็นกุศล ซึ่งรวมถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วย แต่จะว่าไปแล้วเพียงแค่ศีล 5 อย่างเดียวถ้าเรารักษาไว้ครบถ้วนไม่บกพร่องมันก็ช่วยลดความเดือดเนื้อร้อนใจไปได้เยอะทีเดียว ลองจินตนาการว่าถ้าเราผิดศีลสักข้อหนึ่งใน 5 ข้อนี้ ความวุ่นวายก็จะเกิดขึ้นกับชีวิต จะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจทำให้กลุ้มอกกลุ้มใจ ไม่ว่าจะเป็นศีลข้อที่ 1 ไปจนถึงศีลข้อที่ 5 แต่ถ้าเรามีศีล 5 ครบถ้วน การที่จะไปทำความผิดพลาดที่จะสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ตัวเองในภายหลังก็น้อยลง
ยิ่งถ้าเรามีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วย เช่น รู้จักให้ทาน การให้ทานก็จัดว่าเป็นศีลอย่างหนึ่ง มันเป็นเรื่องพฤติกรรมทางกายวาจาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของ เพราะฉะนั้นถ้าเราให้ทาน เราเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น เราก็เย็นใจ เราก็เกิดความปีติปราโมทย์ ไม่จำเป็นต้องถวายทานให้กับพระ ให้สิ่งของกับคนที่ทุกข์ยากเดือดร้อนเราก็มีความอิ่มเอมใจ นั่นก็คือความเย็นใจอย่างหนึ่ง ที่จริงร่มเงาแห่งญาติร่มเงาแห่งมิตรเกิดขึ้นได้ก็เพราะน้ำใจ เพราะความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่รู้จักให้ มีเพื่อนแต่ไม่รู้จักให้ คิดแต่จะเอาอย่างเดียวร่มเงาแห่งมิตรก็ไม่เกิดขึ้น มีญาติมากมายแต่ไม่เอื้อเฟื้อไม่มีน้ำใจกับเขาเลยก็อย่าหวังร่มเงาแห่งญาติ ร่มเงาแห่งญาติร่มเงาแห่งมิตรเกิดขึ้นได้เพราะความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความมีน้ำใจ อันนี้ก็จัดว่าเป็นเรื่องของศีล
จากศีลแล้วก็คือสมาธิ สมาธินี้ไม่ได้หมายถึงนั่งหลับตาทำสมาธิ สมาธินี้หมายถึงคุณภาพจิตที่เป็นกุศล หรือจิตที่มีคุณภาพ ได้แก่อะไรบ้าง ได้แก่ความเมตตา ความเมตตามันเป็นเรื่องภายใน แต่ถ้าแสดงออกเป็นการกระทำเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อันนี้เราเรียกว่าเป็นศีล แต่ศีลความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มันก็ต้องมาจากภายในก็คือความเมตตากรุณา การให้อภัยนี้ก็สำคัญเพราะถ้าเราให้อภัยไม่เป็นเราก็จะมีเรื่องรุ่มร้อนในใจ มีความโกรธ มีความแค้น เมื่อเห็นเมื่อรู้ว่าคนอื่นนินทาเรา ต่อว่าด่าทอเราเอาเปรียบเรา ดูถูกเหยียดหยามเราไม่ต่อหน้าก็ลับหลัง อย่างวิฑูฑภะสร้างความหายนะให้กับผู้อื่นและทำให้ตัวเองพบจุดจบก็เพราะความไม่รู้จักให้อภัย ถ้ารู้จักให้อภัย ความเดือดเนื้อร้อนใจเพราะความโกรธ ความเกลียด ความอาฆาตพยาบาทมันก็ลดน้อยถอยลง ไม่สามารถจะรังควานทำร้ายจิตใจได้
การรู้จักฝึกให้มีสติมีสมาธิอันนี้ก็สำคัญ ถึงแม้จะไม่มีใครมาเอาเปรียบเบียดเบียนเรา อยู่ในบ้านที่อบอุ่น มีมิตรสหายที่เกื้อกูล แต่คนจำนวนไม่น้อยก็มีความรุ่มร้อนใจ มันทุกข์เพราะความคิดฟุ้งซ่าน เช่น ไม่รู้จักพอ หรือหวนคิดถึงแต่เรื่องราวในอดีตที่ทำให้เจ็บปวด โศกเศร้า วางใจไม่เป็นแม้จะอยู่ในห้องแอร์จิตใจก็รุ่มร้อน ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลารถติด คนขับแทบทุกคนจิตใจร้อนทั้งนั้นแหละ ทั้งๆ ที่รถทุกคันก็ติดแอร์ เปิดเพลงฟังแต่จิตใจร้อน เพราะอะไร เพราะใจมันว้าวุ่นแทนที่จะอยู่กับปัจจุบัน ใจมันคิดไปข้างหน้าแล้วว่ารถติด จะติดนานเท่าไหร่ เมื่อไหร่ไฟแดงจะเปลี่ยนเป็นไฟเขียว บางทีก็คิดไปว่าเดี๋ยวไปสายที่ทำงานก็จะบ่น เจ้านายก็จะว่า หรือเพื่อนก็จะตำหนิติเตียนเรา นัดไม่เป็นนัด พอคิดแบบนี้ก็หงุดหงิดแล้ว กายเย็นแต่ใจร้อนอันนี้เพราะไม่รู้จักทำสมาธิ รถติดนี่มันจะติดก็ให้เป็นเรื่องของรถแต่จิตไม่ตก จิตไม่ร้อน เจริญภาวนาตามลมหายใจไป หรือเคาะนิ้วสร้างความรู้สึกตัว ทำได้หลายอย่างทั้งเจริญสติทั้งทำสมาธิก็ได้ สร้างความรู้สึกตัวในขณะที่รถติด หรือหลับตาตามลมหายใจ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ มันทำได้หลายอย่างเป็นการฝึกใจ ใจเราก็เย็น
ทำงานทำการถ้าเราวางใจเป็นมันก็ไม่หงุดหงิดไม่รุ่มร้อน ถึงแม้จะมีอุปสรรคมากเพราะเราวางใจถูก ถึงเวลาแม้งานจะเหนื่อยล้าทำให้ใจเครียดก็ลองหลับตาทำสมาธิตามลมหายใจดู หรือระหว่างที่ทำใจก็อยู่กับปัจจุบันมีสติ ทำให้ระลึกรู้ไม่ไปนึกถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง อะไรที่มากมาย งานการที่คั่งค้างอยู่ก็รู้จักวาง ใครพูดไม่ถูกหู ไม่ถูกใจก็รู้จักปล่อยรู้จักวาง พอใจมันกระเพื่อมขุ่นเคืองก็รู้ทัน การรู้ทันนี่คือรู้ด้วยสติ มีสติรู้ทันใจกำลังขุ่นเคือง พอรู้แล้วมันวางเอง ใจก็สงบได้ สติ สมาธิ มันช่วยทำให้ใจเย็นได้ แม้ว่ารอบตัวจะรุ่มร้อน ผู้คนจะวุ่นวาย อากาศจะอบอ้าว บางครั้งบางช่วงเรารู้สึกร้อนอ้าว ลองสังเกตใจดู อากาศอ้าว แล้วใจร้อนไหม ไม่ใช่แค่ร้อนกายบางทีเราปล่อยให้ใจร้อนไปด้วย หงุดหงิดขุ่นเคือง บ่นในใจทำไมมันร้อนอย่างนี้โว้ย ไม่น่ามาเลย นั่นแหละ เพราะไม่มีสติแล้ว มันก็เลยบ่น แต่พอเรามีสติรู้ทันใจที่มันกระเพื่อม ใจที่มันหงุดหงิด พอรู้ทันนี่ใจมันกลับมาเป็นปกติได้เร็ว กายร้อนอากาศอ้าวแต่ใจเย็น ใจสงบ นี่ทำได้
ใจได้รับร่มเงาแห่งธรรมะ อันได้แก่เมตตา ได้แก่สติ สมาธิ อันนี้เรียกว่าร่มเย็นเพราะธรรมฝ่ายสมาธิ ที่ดีกว่านั้นคือปัญญา ปัญญาเป็นเรื่องของใจ แต่พระพุทธศาสนาแยกใจออกเป็นสอง คือ จิตกับปัญญา แต่ว่าใจเป็นภาษาไทยเป็นคำรวมๆ ครอบคลุมทั้งจิตและปัญญา ทางฝ่ายจิตนี่บางทีก็เรียกว่าสมาธิ ปัญญาหมายถึงอะไร เบื้องต้นคือความฉลาดคิดหรือการรู้จักคิด รวมไปถึงการเห็นความจริง เห็นว่าอะไรๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดา อาจจะมองว่าอากาศร้อนนี่ยังดีที่เราอยู่ในวัดมีร่มเงา ร่มไม้ ให้เราได้หลบได้พัก เรายังโชคดีกว่าคนที่แก้งคร้อ คนที่ในเมือง เขาไม่มีอะไรจะให้หลบเลยนอกจากเข้าไปในร้านที่ติดแอร์ หรือมองว่าอากาศร้อนก็ดี จะได้ฝึกให้เราเจริญสติ เราจะรักษาใจให้เย็นแม้กายจะร้อนได้อย่างไร
อันนี้เป็นเรื่องของมุมมองหรือเราจะมองว่าเป็นธรรมดาก็ได้ เป็นธรรมดา อากาศร้อนก็ธรรมดา ความสูญเสีย ความพลัดพราก ความเจ็บความป่วย คนไม่มีปัญญาก็จะทุกข์ก็จะร้อน ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ แต่คนที่มีปัญญาเห็นความจริงก็จะมองเหมือนกับเป็นธรรมดา เตรียมใจไว้แล้วว่าไม่มีอะไรคงที่หรือคงทน ทรัพย์สมบัติมันไม่มีอะไรสักอย่างที่จะอยู่กับเราได้ตลอด ในความปกติสุขของร่างกายเรามันก็เป็นสิ่งที่อยู่กับเราเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว สักวันหนึ่งมันก็ต้องไปจากเรา พอมันไปเมื่อไหร่ก็ป่วย บางครั้งมันกลับมา แต่มันก็กลับมาประเดี๋ยวเดียวแล้วก็ป่วยอีก ก็รู้ว่าความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา
อย่างที่บทสวด อภิณหปัจจเวกขณ์ อันนี้เป็นการเติมปัญญาให้กับจิตใจของเรา “เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น” ถ้าเราพิจารณาอยู่เสมอๆ ปัญญาเกิด คือมันเห็นเลยว่าอะไรที่เกิดขึ้นกับเราทั้งบวกและลบ ทั้งขึ้นและลง ทั้งสุขและทุกข์ นี่มันเป็นธรรมดา พอเห็นเป็นธรรมดาแล้ว เราก็เลิกบ่นเลิกโวยวาย รวมทั้งการมีปัญญาเห็นว่ามันไม่มีอะไรจะเป็นของเรา มันไม่มีอะไรที่ยึดเป็นตัวเราได้เลย แม้กายนี้ก็ไม่ใช่เรา แม้จิตนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา
ถ้าเราเห็นจนกระทั่งรู้ว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นตัวเราของเรานี้มันเป็นมายา มันเป็นความหลงไปเอง จนถึงขั้นปล่อยวางได้ สูญเสียอะไรไปก็ไม่ทุกข์ เพราะไม่มีความคิดว่าเป็นของเรา เจ็บป่วยก็ไม่ทุกข์เพราะไม่ได้คิดว่าร่างกายนี้เป็นของเรา เมื่อไม่คิดว่ามีอะไรที่เป็นตัวเรา ถึงเวลากายปวดก็เห็นก็รู้ว่ากายปวด มันไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าฉันปวด คนส่วนใหญ่เวลากายร้อนมันไม่ใช่แค่เห็นว่ากายร้อน มันรู้สึกว่ากูร้อนๆ เวลาป่วยก็ไม่ได้เห็นว่ากายป่วย มันเกิดความสำคัญมั่นหมายว่ากูป่วยๆ แม้แต่เวลาปวดเมื่อย แทนที่จะเห็นว่ามันเป็นกายที่ปวดเป็นกายที่เมื่อยหรือว่าเห็นความปวดความเมื่อยเกิดขึ้นกับกาย มันก็ไปคิดเหมาเอาว่ากูปวดกูเมื่อย อันนี้แหละที่ทำให้ใจทุกข์ เป็นความทุกข์ใจเพราะหลง หลงคิดว่ามีตัวกูของกู หลงยึดในตัวกูของกู จะเห็นความจริงที่นั่นมันต้องมีปัญญาเห็น ก็ทำให้วางได้ กายร้อนก็ร้อนไปใจไม่ทุกข์ กายป่วยก็ป่วยไปใจไม่ทุกข์ มันจะเจ็บก็เป็นเรื่องของกาย ใจไม่ได้เจ็บด้วย ก็ทำให้ใจเย็น กายป่วยจะเจ็บจะป่วยยังไง กายก็เป็นเรื่องของกาย ใจเย็น ใจเป็นปกติ จะสูญเสียทรัพย์หรือแม้แต่คนรัก ใจก็ยังเย็นได้ยังเป็นปกติได้
อันนี้เรียกว่าเป็นความสงบร่มเย็นแห่งธรรม เราต้องรู้จัก เราต้องเข้าถึงความร่มเย็นอย่างนี้ให้ได้ เพราะถ้าเราไม่รู้จัก เข้าไม่ถึง จิตใจก็จะรุ่มร้อนได้ง่ายๆ ตกอยู่ในความเสี่ยง มีอะไรมากระทบนิดกระทบหน่อยก็หงุดหงิดรำคาญ ทุกข์ โมโห หาความสงบหาความเย็นในจิตใจได้ยาก แม้ว่ารอบตัวจะเต็มไปด้วยสิ่งเกื้อกูลอยู่ในห้องแอร์อยู่ในคฤหาสแต่ว่าจิตใจก็รุ่มร้อน เดี๋ยวนี้คนรวยหลายๆ คน ก็หันมาเข้าหาสมาธิภาวนา ผู้ที่ใช้สมองมากๆ ในเมืองนอก บริษัทใหญ่ๆ ที่ทำเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาปัญญา การใช้สติปัญญาของคนก็หันมาฝึกให้พนักงานรู้จักสมาธิภาวนา มันกลายเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เดี๋ยวนี้การเจริญสติการทำสมาธิ อย่างในอเมริกาเงินสะพัดเลยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการเจริญสติ เพราะเขารู้แล้วว่าจะร่ำรวยจะสำเร็จอย่างไร ก็ไม่ทำให้ใจสงบเย็นได้ จนกว่าจะมีสติ สมาธิ หรือปัญญา
เพราะฉะนั้นเรารู้จักหาหรือสัมผัสกับความสงบเย็นอย่างนี้ให้ได้ ร่างกายเราก็อาศัยร่มเงาของต้นไม้ จึงจะสงบหรือหายรุ่มร้อน แต่ใจ ต้องอาศัยร่มเงาแห่งธรรม พูดง่ายๆ คือว่า เย็นกายด้วยร่มไม้ เย็นใจด้วยร่มธรรม และถ้าเรามีร่มแห่งธรรมติดตัวก็ไม่ต่างจากเราเดินไปไหนมาไหนในที่โล่งเราก็ไม่ร้อนเพราะเรามีร่ม เพียงแต่ร่มนี่มันไม่ได้คลุมหัวแต่ว่ามันคลุมใจเรา