แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เชื่อว่าหลายคนในที่นี้เพิ่งมาที่วัดป่าสุคะโตเป็นครั้งแรก แล้วหลายคนก็คงจะเคยได้มาพักค้างคืนในวัดป่าแห่งนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน หลายคนก็คงจะไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศของที่นี่ เพราะมันแตกต่างจากบ้านของเรา หรือว่าสถานที่ที่เราคุ้นเคย ซึ่งส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นเมืองที่มีแสงสี มีผู้คนมากมาย บ้านที่เราพำนักก็มีหลายคนอยู่ด้วยกัน แล้วถัดจากบ้านเรา อาจจะเป็นบ้านของคนใกล้ชิดคุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากกุฏิที่พักที่พวกเราจะนอนค้างคืนในคืนนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกหนักใจตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่าจะอยู่อย่างไรในวัดป่า เพราะว่าสิ่งแวดล้อมไม่คุ้นเคย แล้วก็ยังจะมาทำกิจที่ไม่คุ้นเคย นั่นคือการปฏิบัติ ก็ขอให้สบายใจได้ว่า สถานที่แห่งนี้คือวัดป่าสุคะโต เป็นสถานที่ที่ปลอดภัย แล้วก็มีความเป็นมิตรกับพวกเรา ทั้งสิ่งแวดล้อมคือธรรมชาติ แล้วก็ผู้คนซึ่งประกอบกันเป็นชุมชน ที่นี่ไม่มีอะไรน่ากลัว สิงสาราสัตว์ก็ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไรกับเรา ถึงแม้ว่าอาจจะมีงูเงี้ยวเขี้ยวขออยู่บ้าง อาจจะมีตะขาบบ้าง แมลงป่องบ้าง แต่ว่าก็น้อยเต็มที และสัตว์เหล่านี้ก็ไม่น่ากลัว เพราะที่จริงเขากลัวเรามากกว่า เขาก็พยายามหาทางหลบหลีกให้ไกลจากพวกเรา หากว่าจะต้องมาจ๊ะเอ๋กัน เขาก็จะเป็นฝ่ายที่หลีกเราอย่างรวดเร็ว มากกว่าที่เราจะทันหลีกเขา สิ่งที่จะรบกวนเราจริงๆก็คงได้แก่ยุง นอกนั้นไม่ค่อยมาข้องแวะกับเราเท่าไหร่ งู ตะขาบ แมลงป่อง พวกนี้เขาไม่ค่อยมาข้องแวะกับเรา ซึ่งมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร
บางคนก็ไม่คุ้นเคยกับการนอนคนเดียว แต่ก็ให้ลองสัมผัสกับความวิเวก เวลาที่เรานอนคนเดียวบ้าง มันไม่มีอะไรที่น่ากลัว แม้ว่ารอบที่พักจะมืด บางทีก็มืดสนิท ความมืดก็ไม่น่ากลัวเช่นเดียวกัน ขอเพียงแต่เราทำใจให้คุ้นเคย กลับจะชอบความมืดด้วยซ้ำ จริงๆแล้วสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่อะไรเลย ไม่ใช่ธรรมชาติ ไม่ใช่งูเงี้ยวเขี้ยวขอ ไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่คือใจของเราต่างหาก ใจของเรานี่แหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เราอาจจะหลบหลีกงูเงี้ยวเขี้ยวขอได้ ด้วยการมาอยู่บนศาลา หรือว่าอยู่ในกุฏิที่พัก เราอาจจะหลบหลีกการรังควานของยุงได้ด้วยการอยู่ในมุ้ง แต่ว่าใจของเรา เราไม่สามารถจะหลบหลีกได้เลย และใจที่ชอบปรุงเรียกว่าน่ากลัวที่สุด เพราะแม้แต่อยู่ในมุ้ง แม้จะอยู่ในกุฏิที่พักปลอดภัยจากสัตว์ร้าย ก็อาจจะยังผวา ไม่มีอะไรมาคุกคามเรา แต่เพราะจิตที่ปรุงแต่ง นั่นมันทำให้เรานอนไม่หลับ ทำให้เราฝันร้าย แล้วก็ทำให้สิ่งต่างๆที่ไม่ดูน่ากลัวกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวขึ้นมา เช่นเสียงใบไม้ เสียงกิ่งไม้ที่หักลงมากระทบหลังคา เสียงกรอบแกรบที่ดังอยู่รอบกุฏิ เสียงขลุกขลักในห้องน้ำ เสียงพวกนี้ไม่มีอะไรที่อันตรายเลย แต่เป็นเพราะใจของเรา ที่ชอบปรุงแต่งที่ทำให้เราผวา ทำให้เราขนลุก หรือทำให้เราอาจจะถึงกับตัวสั่นนอนไม่หลับ ไม่มีอะไรภายนอกที่จะมาคุกคามเรา ไม่มีเลย แต่ว่าเรากลับกลัว เรากลับตื่นตระหนกเพราะใจ ใจที่ปรุงแต่ง บางทีแม้เสียงของสัตว์เล็กๆ เสียงของหนู ในยามค่ำคืนก็อาจจะทำให้เราผวาได้ เพราะว่าจิตมันปรุงแต่ง ให้กลายเป็นเสียงที่น่ากลัว
เมื่อสักสามสิบปีก่อน มีหลวงพ่อท่านหนึ่ง ท่านพักอยู่ตรงในเขตอุบาสิกา สมัยนั้นสุคะโตไม่ค่อยมีพระไม่ค่อยมีโยมเท่าไหร่ กุฏิพระก็อยู่ในเขตอุบาสิกา ซึ่งมีต้นไม้ปกคลุมค่อนข้างทึบ วันดีคืนดีก็มีร่องรอยของกวาง เก้ง มากินน้ำ ก่อนหน้านั้นยังมีหมูป่าอยู่เลยในเขตอุบาสิกา มาหากิน แล้วก็เป็นเขตที่เรียกว่าไม่ค่อยมีใครมาแตะต้อง ไฟก็ไม่ค่อยได้มาเผา ไม่เหมือนกับส่วนอื่นของวัด มีวันหนึ่งตอนที่ขณะที่ท่าน หลวงพ่อรูปนี้ ท่านกำลังนั่งเจริญสติอยู่ ก็ได้ยินเสียงเหมือนกะว่ามีสัตว์ตัวใหญ่ๆ มันขึ้นมา...มันขึ้นบันไดมา เสร็จแล้วมันก็ขลุกขลักอยู่ตรงระเบียงนั่นแหละ ท่านตกใจมาก เพราะเสียงแบบนี้มันจะเป็นอะไรอื่นไม่ได้ นอกจากหมี ก็รีบล็อคกุฏิ ล็อคประตูกุฏิ ใจท่านก็สั่นเลย เพราะว่าไม่เคยเจอหมี แล้วก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร จะหาอาวุธอะไรที่อยู่ในกุฏิก็ไม่มี ก็ต้องล็อคประตูอย่างเดียว แล้วมันก็ขลุกขลิกอยู่ตรงระเบียงหน้าประตูอยู่พักใหญ่ เหมือนกะว่ามันกำลังหาของกิน แต่ก็ไม่มีอะไรจะกิน สักพักมันก็เดินลงไป แต่ว่าท่านก็ไม่วางใจ ปิดหน้าต่างหมด นอนไม่หลับทั้งคืนเลย ตื่นเช้าพอสว่าง สมัยนั้นถ้าไม่ค่อยมีพระ ก็ไม่มีการทำวัตรเช้าเท่าไหร่ พอได้เวลาบิณฑบาต ท่านก็ค่อยๆเปิดประตูกุฏิ แล้วก็มองให้แน่ใจว่ามันไม่มีอะไรที่จะเป็นสัตว์ร้าย ก็สำรวจระเบียงก็พบว่าสบู่นี่หายไป ก็เอะใจ เอ๊ะ หมีมันกินสบู่เหรอ พอท่านเดินลงจากกุฏิ ก็ผ่านราวป่า ก็ไปเหลือบเห็นก้อนสบู่ของท่านมันไปตกอยู่แถวๆนั้นแหละ ท่านก็พินิจดู สบู่ เก็บสบู่มาแล้วพินิจดูว่ามันมีรอย แต่มันเป็นรอยหนูกัด ท่านก็เลยรู้ว่า อ๋อ ที่แท้มันไม่ใช่หมี มันเป็นหนูขึ้นมากุฏิท่าน เสียงหนูกับเสียงหมีนี่มันห่างกันมาก แต่ว่าความที่ท่านกลัวเสียงหนูก็กลายเสียงหมีไปได้ หนูไม่ใช่เป็นสัตว์ที่น่ากลัวเลย แต่ว่าท่านก็กลับกลัวสัตว์ เพราะว่าจิตมันปรุงแต่งว่าเป็นหมี พอรู้ความจริงท่านก็หัวเราะเยาะตัวเอง โอ เรานี่โง่เหลือเกิน กลัวหนูได้ เพราะจิตมันปรุงแต่ง
สองสามเดือนหลังจากนั้น ท่านก็เฝ้าวัดคนเดียว อาตมาก็ไม่อยู่ หลวงพ่อก็ไม่อยู่ แล้วก็บังเอิญมีงานศพตรงแคมป์ป่าไม้ ตอนก่อนนี้มันเป็น ออป. ทุกวันนี้ก็ยังเป็น ออป. อยู่ แล้วก็จะมีสำนักงานป่าไม้ ออป. อยู่ด้านทิศตะวันตก ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเขาเสียชีวิต ก็เป็นคนคุ้นเคยกันมาวัดอยู่บ่อยๆ เสียชีวิต ท่านก็ไปสวดศพ แล้วก็หลังจากสวดได้วันสองวันก็เผา ที่นี่เมื่อสามสิบปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน เวลาจะเผาก็ต้องเปิดฝาโลง เพื่อที่จะได้ล้างหน้าศพด้วยน้ำมะพร้าว เมื่อบ่ายนี้อาตมาก็ไปทำอย่างนี้เหมือนกันที่หมู่บ้านตาดรินทอง ชาวบ้านตายสามสิบปีผ่านไปก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไร อาจจะเปลี่ยนแปลงตรงที่ว่าโลงหาง่ายขึ้น สมัยก่อนโลงก็ไม่ได้ซื้อมา ก็อาศัยฝาบ้านมาตีให้พอเป็นโลงบ้าง แล้วมันก็ปิดไม่มิด ก็เอากระดาษ เอากระดาษ หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ได้ มาปิดทับอีกที เพื่อไม่ให้มันประเจิดประเจ้อ แล้วก็สวดศพกันตรงนั้นแหละ แถวๆนั้นแหละ ในหมู่บ้าน พอถึงเวลาก็เอา...ยกศพมา ตอนนั้นไม่ได้มาเผาในวัด เผาในเขต ออป. เปิดฝาโลงดูก็เห็นศพเขียวเลย ที่จริงก็พึ่งตายได้แค่วันสองวัน ตอนนั้นก็ค่ำแล้ว ก็เผา เผาเสร็จท่านก็คุยกับชาวบ้านซักพัก จนมืด ท่านก็จะกลับวัด ชาวบ้านก็บอกว่าจะขับรถมาส่ง ท่านบอกไม่ต้องหรอกเดินกลับวัดเองได้ พอเดินไปได้ครึ่งทางนี่ เสียวเลย นึกถึงหน้าของคนตาย แม้จะเป็นคนรู้จักกัน แต่ว่าก็เกิดความกลัวขึ้นมา กลัวท่านก็หันหลังดูว่ามันตามมาหรือเปล่า ก็ไม่มีอะไรตามมา จนกระทั่งมาถึงศาลาหน้า สมัยก่อนศาลาหน้าก็ไม่มีไฟฟ้า ไฟฟ้าเพิ่งเข้ามาเมื่อปีสองเก้านี้เอง ตอนนั้นปีสองหกสองเจ็ด ศาลาหน้าก็มืด แต่จู่ๆก็เห็นอะไรผิดสังเกตก็มองไปที่ศาลา ไม่มีอะไร ก็เดินข้ามสะพาน แล้วก็เดินขึ้นหอไตร แต่ก่อนหอไตรไม่ได้อยู่นี่ หอไตรอยู่บนเขา กุฏิท่านเลยหอไตรไปหน่อย ใกล้ๆกุฏิอาตมา
ท่านเดินไปก็เสียว เสียวข้างหลังก็ต้องหันมามอง ทั้งวัดไม่มีใคร มีแต่ท่านคนเดียว พอขึ้นมาหอไตร ท่านก็เหลียวเห็นแว๊บ เหมือนกะว่าเห็นโยมคนที่ตาย มายืนอยู่ตรงระเบียงหอไตร แต่ดูอีกทีอ่าว ไม่มี ตอนนี้ชักเสียวแล้ว ตอนนี้เริ่มกลัวแล้ว กลัวมากเลย ระยะทางจากหอไตรไปกุฏิท่านก็ประมาณห้าสิบเมตรไม่ถึงร้อยเมตรตอนนั้น ท่านก็กลัวมาก ท่านก็รีบจ้ำๆๆ จนกระทั่งพอถึงทางแยกเข้ากุฏิท่าน ท่านก็รีบเลี้ยว เข้าไปปรากฏว่า จู่ๆนั่นเลี้ยวเข้าไปไม่ได้ เหมือนกับมีอะไรฉุดเอาไว้ ท่านก็พยายามดึง แต่ก็ดึงไม่ออก ดึงไม่ไป ตกใจมากเลย ตายเลย มันเอากูแล้ว ฉุดย่ามเอาไว้ สะบัดเลย ย่ามหลุด แล้วท่านก็รีบวิ่งไปที่กุฏิ ปิดประตู ตัวสั่นเลย นอนไม่หลับทั้งคืนเลย ยังโชคดีที่ว่าผีไม่ตามมาถึงกุฏิ ตามมาแค่ข้างหน้า พอเช้าได้เวลาบิณฑบาต สว่างแล้วท่านก็ลงมา ค่อยๆย่องลงมา แล้วก็พอเลี้ยวขวาเพื่อที่จะลงมาจากเขา ก็มาสะดุดตรงจุดตรงที่ท่านถูกรั้งถูกดึงเอาไว้ ก็ไปเห็นย่ามปรากฏว่ามันไปติดอยู่กับแง่งไม้ ก็กลายเป็นว่า ไมใช่ผีหรอกที่ดึงย่ามท่านเอาไว้ แต่เป็นเพราะย่ามท่านมันไปติดอยู่กับแง่งไม้ ท่านนึกว่าผี โอย หลงกลัวทั้งคืนเลย ไอ้แง่งไม้ มันไปยึดกับย่ามของท่านเอาไว้ มันไปขัด แต่ท่านนึกว่าผีมาดึง ก็เขกหัวตัวเอง ทำไมโง่อย่างนี้ อันนี้เป็นตัวอย่าง
ว่าจริงๆแล้วในป่าสุคะโต มันไม่มีอะไรที่น่ากลัวเท่ากับใจของเรา ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราหวาดผวา ฝันร้าย หรือว่าตื่นตระหนกเท่ากับใจของเรา ใจนี่ มันหนีไม่พ้น จะไปที่ไหนก็ตาม แล้วอย่าไปคิดว่าออกจากวัดนี้ไปแล้วจะปลอดภัย ก็ยังต้องผวาหรือต้องมีความทุกข์อยู่เรื่อยไป เพียงแต่ว่าอาจจะเปลี่ยนลักษณะของความทุกข์ จากความกลัวตระหนกเวลาค้างคืนที่นี่ พอไปถึงบ้านอาจจะกลายเป็นความวิตกกังวล ความกลัว ความเครียด ไปถึงที่ทำงานอาจจะมีความโกรธ อาจจะมีความวิตก มันเพียงแต่เปลี่ยนอารมณ์ แต่ว่าความทุกข์ก็ยังตามติดเราไป ใจที่ไม่ฝึก มันจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าใจที่ฝึกไว้ผิด หรือว่าตั้งไว้ผิด ย่อมก่อความเสียหายยิ่งกว่าความพินาศที่โจรกับโจรกระทำต่อกัน หรือคนที่จองเวรกันกระทำต่อกัน โจรผู้ร้ายเวลาจะทำร้ายกัน เขาเล่นกันหนักมาก เอาถึงตาย หรือว่าบอบช้ำ แต่ว่ามันก็ไม่หนักหนาเท่ากับใจที่วางไว้ผิด เวลาเรามีความกลัวขึ้นมา ให้รู้ว่ามันไม่ใช่สาเหตุจากอะไรเลย ไม่ใช่งูเงี้ยวเขี้ยวขอ ไม่ใช่อมนุษย์ หรือผีสางที่อยู่นอกกุฏิ แต่มันเป็นที่ใจเรา ใจที่ปรุงแต่งไปสารพัด
แต่ว่าใจสามารถฝึกได้ สามารถจะเปลี่ยนได้ จากศัตรูที่ร้ายที่สุดกลายมาเป็นมิตรที่ดีที่สุด และเราจำเป็นด้วยที่ต้องฝึกต้องเปลี่ยน ให้ใจจากศัตรูนี่กลายเป็นมิตร เพราะถ้าเราไม่เปลี่ยนมันจะเอาทุกข์มาทิ่มแทง บีบคั้น เผาลนเราอยู่ตลอดเวลา แล้วถ้าปล่อยให้มันกำเริบเสิบสานนี่ ก็สามารถจะเอาเราถึงตายได้ อาจจะตายแบบผ่อนส่ง เช่น คนที่มีโทสะมาก รู้สึกไม่ชอบหรือว่ารู้สึกเป็นลบ มองรู้สึกเป็นลบกับทุกอย่าง เก็บกดความโกรธเอาไว้ มันก็ทำให้มีความดัน เป็นโรคความดันบางคนก็ปวดหัวเรื้อรัง บางคนก็ปวดท้องเป็นประจำ บางคนอาการหนักถึงกับเส้นเลือดในสมองแตก พิการ อัมพฤกษ์ อัมพาต อันนี้เรียกว่าตายผ่อนส่ง ค่อยๆตาย มันไม่ใช่เกิดจากอะไรเลย มันเกิดจากจิตที่วางไว้ผิด คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น จิตที่มันคิดแค้นไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวาง มันจะให้เรา ทุพพลภาพได้ พิกลพิการ หรือ อาจจะหนักกว่านั้น คือว่ามันคลุ้มคลั่งจนกระทั่งต้องตัดช่องน้อยแต่พอตัว คือฆ่าตัวตาย คนที่ฆ่าตัวตายนี่ไม่ใช่เพราะว่ามีภัยคุกคามจากภายนอก แต่มันเกิดจากความคิดปรุงแต่งสารพัดต่างๆ ที่ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าไร้คุณค่า จิตที่มันจมอยู่ในความผิดหวังซ้ำซาก กลายเป็นซึมเศร้า แล้วก็หลุดจากความทุกข์นั้นไม่พ้น ภัยอย่างอื่นนี่เรายังพอหนีได้ ภัยจากผู้ร้ายเราก็สร้างกำแพง ภัยจากหนี้สินเราก็หนีหนี้ หนีเจ้าหนี้ แต่ว่าภัยที่มันเกิดจากใจของเรานี่ มันไม่มีทางหนีเลย เพราะฉะนั้นหลายคนจึงเลือกวิธีการฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่านั่นคือวิธีที่เหลืออยู่
แต่ที่จริงแล้วมันมีวิธีที่ดีกว่านั้น ก็คือการที่จะเปลี่ยนใจจากที่เคยเป็นศัตรู เอาความทุกข์มาทิ่มแทง บีบคั้น ให้กลายมาเป็นมิตรกับเรา และการที่ใจจะเป็นมิตรกับเราได้นะ มันไม่มีใครทำให้ได้ พ่อแม่ก็ทำให้ไม่ได้ คนรักก็ทำให้ไม่ได้ เราต้องทำเอง และการที่เรามาปฏิบัติเจริญภาวนาก็เป็นวิธีหนึ่ง แล้วก็เป็นวิธีที่เร็วที่ลัดในการที่จะช่วยให้เราเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร เปลี่ยนจิตที่คิดร้าย ให้กลายเป็นจิตที่สงบสันติ แต่ต้องเป็นการภาวนาที่ถูกต้อง เพราะถ้าภาวนาไม่ถูก ก็อาจจะผิดเพี้ยนได้ วางใจไม่เป็น จิตมันก็เล่นงานเราได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นการพยายามไปบังคับจิต จิต ถ้าเราไปบังคับเขา คือไปใช้กำลังรุนแรงกับเขา เขาก็จะสู้ เขาก็จะพยศ นักภาวนาหลายคนวางใจไว้ผิดหรือว่าเกี่ยวข้องกับจิตไม่ถูก เกิดมีอาการเพี้ยน เกิดความเครียด บางคนตัวแข็ง บางคนยกมือไม่ขึ้น บางคนปวดหัว บางคนเหมือนกะจะเป็นลม อันนี้เรียกว่าจิตมันก็ต่อสู้ เราพยายามไปสู้กับเขา เขาก็ตอบโต้กลับมา
แต่ถ้าหากว่าเรามีวิธีการปฏิบัติที่ถูก มันก็จะช่วยทำให้จิตของเราค่อยๆคลายพยศ ค่อยๆกลับมามีความสงบ เป็นสุข ถึงตอนนี้จิตก็จะเริ่มกลับมาเป็นมิตรกับเรา การเจริญสติปัฏฐาน มันเป็นวิธีที่เร็ว ที่ลัด ในการที่จะช่วยทำให้จิตของเรากลับมาเป็นมิตร ที่จริงแล้วมันเป็นวิธีการเยียวยารักษาใจเสียมากกว่า หมาที่มันดุร้ายเพราะมันมีบาดแผล เพราะมันมีความฝังใจ อาจจะฝังใจกับใครบางคน อาจจะฝังใจกับเหตุการณ์บางอย่าง บางตัวนี่มันก็วิ่ง...ชอบวิ่งไล่มอเตอร์ไซค์ บางตัวมันก็ชอบวิ่งไล่เห่ารถยนต์ เพราะมันมีความฝังใจ มันก็กลายเป็นหมาที่ก้าวร้าว แล้วไม่มีความสุข จิตที่มันกลายเป็นศัตรูกับเรา เพราะมันมีบาดแผล หรือว่ามีความทุกข์ที่ฝังอยู่ มันถูกกดดันอย่างยืดเยื้อยาวนาน การเจริญสติมันเหมือนกะว่าเป็นการใช้สติมาช่วยเยียวยาจิตใจของเรา ช่วยชำระพิษที่มันหมักหมมสะสมออกไปจากใจของเรา จิตของคนส่วนใหญ่เป็นจิตที่เจ็บที่ป่วย เจ็บป่วยมานาน จะด้วยเหตุผล หรือเหตุปัจจัยใดก็แล้วแต่ ทำให้มันกลายเป็นจิตที่หวาดระแวง ชอบมองลบ เจ้าคิดเจ้าแค้น หรือว่าหวาดกลัว หวาดผวา
การเจริญสติมันจะช่วยเยียวยาจิตใจของเรา แล้วขณะเดียวกันก็คอยป้องกันไม่ให้ไอ้ความเจ็บปวด ความทุกข์ มันเข้ามาเล่นงาน ย่ำยีใจของเรา พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า สติเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก ธรรมที่มีอุปการะมากมีสองประการ คือสติและสัมปชัญญะ สติคือไม่ลืม สัมปชัญญะคือไม่หลง อันนี้แปลง่ายๆ ถ้าเรามีสติ สัมปชัญญะก็จะตามมาด้วย เป็นฝาแฝดกัน และสตินี่ละจะเป็นเหมือนกับสิ่งที่จะคอยป้องกันจิต พระพุทธเจ้าเปรียบสติเหมือนกับทหารยาม หรือว่าทวารบาลที่คอยปกป้องรักษาเมือง สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่เพิ่งจากไป ท่านเปรียบจิตว่าเหมือนกับนคร ที่จริงอันนี้พระพุทธเจ้าก็เปรียบว่าจิตเหมือนกับนคร ท่านแต่งหนังสือเรื่องจิตตนคร นครนี้มันจะมีความมั่นคงปลอดภัยได้ก็เพราะมีสติช่วยรักษาประตูเมืองเอาไว้ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราพยายามเจริญสติให้มาก สติเราก็จะมีเครื่องป้องกัน ในด้านหนึ่งสติก็ช่วยเยียวยารักษาจิตใจ ให้หายเจ็บป่วย ขณะเดียวกันก็ป้องกันไม่ให้ความทุกข์เข้ามาทำให้ใจมันเจ็บปวดกว่าเดิม แล้วพอใจกลับมาฟื้นคืนเป็นปกติได้ จะกลายเป็นมิตรที่ประเสริฐมาก จะกลายเป็นมิตรที่วิเศษ ชนิดที่ว่าแม้แต่พ่อแม่ก็ไม่สามารถจะทำให้ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว ย่อมนำสิ่งประเสริฐมาให้กับเราชนิดที่พ่อแม่ไม่สามารถจะทำให้ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาถึงที่นี้แล้วก็พยายามใช้สถานที่และโอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ในการเจริญสติให้งอกงาม ขณะเดียวกันก็ช่วยให้เราสามารถจะอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุข หากว่ามีความทุกข์เมื่อใด ก็ขอให้ตระหนักไว้ว่าจริงๆแล้วไม่มีอะไรที่น่ากลัวเท่ากับใจที่ฝึกไว้ไม่ดี หรือว่าใจที่วางไว้ผิด กลับมาดูที่ใจเรา อย่าไปโทษอย่างอื่น อย่าไปกลัวอะไรอย่างอื่น กลับมาดูใจของเรา แล้วเราก็จะปลอดภัยและเป็นสุขได้