แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
จะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง เป็นเรื่องของนักแสดงชาวฮ่องกงคนหนึ่ง อาตมาไม่เคยดูผลงานเขา แต่ว่ากันว่าเป็นนักแสดงที่มีชื่อ โจว ซิงฉือ ซึ่งโจว ซิงฉือตอนที่เขาเป็นเด็กนั้นพ่อแม่หย่ากัน เขา พี่สาว น้องสาว 3 คนอยู่กับแม่ ตอนนั้นเขาอายุประมาณ 7 ขวบ ลำบากมากเพราะว่าแม่ต้องหาเลี้ยงลูก 3 คน สิ่งที่แม่ให้ความสำคัญนอกจากการเรียนแล้วคืออาหารการกิน แต่ว่าส่วนใหญ่อาหารเป็นประเภทผัก นานๆจะมีเนื้อมีปลามาให้ลูกเพราะลูกกำลังโต เวลามีอาหารประเภทที่มีเนื้อมีปลา โจวซิงฉือจะตักของที่ชอบ กินพวกเนื้อกินปลา 2-3 คำก็ออกไปเล่น
แต่บ่อยครั้งมีเนื้อมีปลาเขาจะเคี้ยวไม่กี่คำ เคี้ยวแล้วคายบนจาน อันนี้เป็นนิสัยที่ไม่ดีของเขาที่ทำเป็นประจำ เคี้ยวพวกเนื้อหมู ปลา เคี้ยวแล้วไม่กิน คายลงบนจาน เป็นหน้าที่ของแม่ที่จะต้องเอาอาหารพวกนี้มากินแทนเพราะว่ายากจนและเสียดาย เป็นนิสัยที่ไม่ดี แต่แม่เห็นว่าโจว ซิงฉือส่วนใหญ่นิสัยดียกเว้นเรื่องนี้ ถือว่าปล่อยๆไป อย่างน้อยเป็นเด็กเรียนดี มีช่วงหนึ่งทั้งๆที่แม่ไม่มีงานทำมา 2 เดือนแล้ว แต่ยังอุตส่าห์ไปยืมเงินคนมาซื้อน่องไก่มาให้ลูกๆ โจวซิงฉือเห็นน่องไก่รีบคว้าเลย คว้าแล้วกิน 2-3 คำ แล้วจู่ๆน่องไก่นั้นหลุดมือตกพื้นเปื้อน แม่โกรธมาก ห้ามใจไม่อยู่ แม่ตีโจว ซิงฉืออย่างแรงเพราะว่าอุตส่าห์ซื้อของดีมาให้ลูก โจวซิงฉือร้องไห้ ตอนกลางคืนแม่ต้องไปปลอบโจวซิงฉือ
เหตุการณ์ผ่านไป 10 กว่าปีโจวซิงฉือเขากลายเป็นดารา มีคราวหนึ่งรายการโทรทัศน์เชิญโจวซิงฉือกับแม่มาออกรายการ แม่พูดถึงโจวซิงฉือว่าเป็นเด็กดี นิสัยดีทุกอย่าง ยกเว้นไม่ค่อยเห็นคุณค่าของอาหาร กินไม่กี่คำก็คาย บางทีเคี้ยวน่องไก่อยู่ดีๆ ก็ทิ้งตกลงพื้น โจวซิงฉือได้ยินเลยสารภาพว่า จริงๆผมเห็นคุณค่าของอาหาร แต่ถ้าวันนั้นผมไม่ทิ้งน่องไก่ แม่ก็คงไม่กิน ตอนที่ผมเป็นเด็ก แม่ชอบซื้อของดีๆมาให้พวกลูกๆกิน แล้วแม่กินแต่พวกข้าวกับผักดอง ถ้าผมไม่ทำอย่างนั้น ไม่เคี้ยว 2-3 คำแล้วคาย แม่คงไม่ได้กินพวกเนื้อพวกปลาพวกนี้ วันนั้นผมตั้งใจทำน่องไก่ตก เพราะรู้ว่าอย่างไรแม่ต้องกินแน่ด้วยความเสียดาย พอโจว ซิงฉือพูดอย่างนี้แม่ก็ร้องไห้เลย เพราะไม่เคยคิดเลยว่าลูกจะมีความคิดแบบนั้น คือมีความคิดที่ห่วงแม่แล้วหาอุบายเพื่อจะให้แม่ได้กินของที่มีคุณค่า อันนั้นเป็นการเปิดเผยครั้งแรกของโจวซิงฉือ ผ่านไป 10 ปีถึงเปิดเผยว่าที่มีนิสัยไม่ดีเพื่อให้แม่ได้กินเนื้อกินปลากินไก่บ้าง แม่เพิ่งรู้ว่าลูกของตัวเองที่นิสัยไม่ดีในเรื่องการกินอาหารที่จริงเขามีจิตงดงาม เขารักแม่ เขาห่วงแม่ เขาจึงแกล้งทำอย่างนั้น ความจริงเพิ่งเปิดเผยหลังจากที่ครอบครัวลืมตาอ้าปากได้
ความจริงกับสิ่งที่เราเห็นบางครั้งก็ไม่ตรงกัน อันนี้เป็นประเด็นที่พูดเคยพูดมาแล้ว สิ่งที่เราเห็นกับความเป็นจริงบางทีไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกัน อย่างโจว ซิงฉือในสายตาของแม่เป็นเด็กที่ดีทุกอย่าง ยกเว้นนิสัยเสียเรื่องการกิน แต่ในความเป็นจริง เขาเป็นคนมีความกตัญญูมาก แล้วเขาทำอย่างนั้นเพื่อแม่ เขาถูกมองว่าเป็นเด็กไม่ดี เป็นเด็กเกเรในสายตาของพี่น้องและของแม่ ยอมทนมา 10 ปีเพื่อที่จะหลอกให้แม่ได้กินของดีๆบ้าง ไม่ใช่ให้แต่ลูกกินอย่างเดียว อันนี้เป็นเรื่องที่อาตมาอ่านแล้วฟังแล้วประทับใจ แล้วสอนอะไรได้มากทีเดียวว่า สิ่งที่เราแลเห็นกับความเป็นจริงบางครั้งมันก็ไม่ตรงกัน คนที่เราคิดว่านิสัยไม่ดีบางทีในจิตใจส่วนลึกเขามีความดี เขามีเจตนาดี แต่เขาแกล้งทำหรือเขาจะทำเพราะเหตุผลใดแล้วแต่ แต่บ่อยครั้งเรามักจะตัดสินไปแล้วว่าเขาไม่ดี หรือว่ามีพฤติกรรมน่ารำคาญ อันนี้ก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของผู้คนมาก ไม่ว่าในครอบครัว ไม่ว่าแม่กับลูก หรือแม้แต่สามีภรรยา หรือเพื่อนร่วมงาน
มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สมมติว่าภรรยาชื่อกัญญา สามีชื่อเดช อยู่ด้วยกันมา 10 ปี แต่ 2-3 ปีหลังกัญญามีปากเสียงกับเดชอยู่เป็นประจำ เรื่องของเรื่องคือว่าเวลากัญญาไปทำงาน พอตกเย็นสามีจะโทรมาถามว่าวันนี้จะกลับบ้านกี่โมง ถ้ากัญญาไม่ได้อยู่ที่ทำงานเขาจะถามว่าตอนนี้อยู่ไหน หรือบางทีค่ำๆโทรมาถามว่าตอนนี้อยู่ไหน อันนี้เป็นสิ่งที่กัญญารำคาญมากเพราะรู้สึกว่าสามีไม่ค่อยไว้วางใจตัวเองเท่าไหร่ ชอบโทรมาเช็คว่าตอนนี้อยู่ไหน เวลากัญญาได้เห็นเบอร์โทรศัพท์ของสามี แค่เห็นเบอร์แกรำคาญ หงุดหงิด เอาอีกแล้ว บางทีพอรับสายแล้วก็ตะคอกใส่ แต่ว่าเดชเขาไม่เถียงด้วย เขาพยายามพูดดี แล้วเขาขอร้องว่าเวลาไปทำงานอย่างไรขอให้กลับมากินข้าวบ้าน จะกลับค่ำแค่ไหนเขาจะทำอาหารรอ เขาขอแค่นี้แหละ ซึ่งทำให้กัญญาหงุดหงิดมากเพราะว่าบางครั้งอยากจะกินข้าวเย็นกับเพื่อน อยากจะไปสังสรรค์กับเพื่อน ต้องงด ต้องกลับมากินข้าวบ้าน บางทีกลับดึกสามียังรอ เขารำคาญทำไมไม่กินก่อน
วันหนึ่งกัญญาเขาไปเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟังทำนองบ่น เพื่อนเลยถามว่าแล้วเธอรู้ไหม เคยถามเขาหรือเปล่า ว่าทำไมเขาชอบโทรมาถึงเธอทุกเย็น คำถามนี้ทำให้กัญญาอึ้งเพราะว่าเขาไม่เคยถามเดชว่า ทำไมถึงชอบโทรมาทุกวัน ทำไมชอบโทรมาว่าจะกลับบ้านกี่โมง ตอนนี้อยู่ไหน เพื่อนเลยบอกว่าทีหลังน่าจะถามเขาเสียก่อน เวลาถามฟังคำตอบเขาอย่างมีสติก่อน ฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง ได้ยินแล้วอย่าเพิ่งเถียง อย่าเพิ่งโต้แย้ง อย่าเพิ่งหงุดหงิด ให้ฟังด้วยใจ เข้าใจความรู้สึกความต้องการของเขา เป็นประเด็นที่ทำให้กัญญาฉุกคิดขึ้นมา แล้วเย็นนั้นก็เหมือนเคย ได้โทรศัพท์จากเดช ความรู้สึกแรกปฏิกิริยาแรกคือรำคาญ เอาอีกแล้ว แต่ว่าตั้งสติได้ เพื่อนเตือนเอาไว้ ตั้งสติแล้วพูดคุยกับเดชดีๆ บอกว่าเดี๋ยวคืนนี้จะกลับบ้าน ๒ ทุ่ม เสร็จแล้วพอกัญญากลับไปถึงบ้านก็ขอคุยกับเดช เดชทีแรกงงๆ วันนี้มามาดใหม่ เพราะแต่ก่อนพอเห็นหน้ากันก็ทำท่ากระฟัดกระเฟียด แต่วันนี้กัญญาบอกขอคุยด้วย และถามว่าอยากจะรู้จริงๆว่า ทำไมเดชถึงชอบโทรมาทุกเย็น อันนี้เป็นคำถามที่เธอไม่เคยถามเดชมาก่อน
เดชอธิบายว่าเป็นห่วงเพราะว่าบ้านอยู่ในซอยเปลี่ยว ถ้ารู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน อยู่ปากซอยหรือเปล่า เขาจะได้เตรียมไปรับหรือว่ากะเวลาได้ถูกว่าจะมาถึงบ้านกี่โมง อีกอย่างหนึ่งคือว่าตัวเขาเองทุกเช้าตื่นเช้าเขาไปทำสวน เขาทำสวน ไม่ค่อยได้เจอภรรยา กว่าจะเจอค่ำ คิดว่าถ้าหากได้เจอกันตอนค่ำคงจะดี เพราะตอนเช้าไม่ค่อยได้เจอ ค่ำแค่ไหนจะรอ จะได้พูดคุยกัน ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง เป็นครั้งแรกที่เธอรู้ว่าที่เดชทำอย่างนี้เพราะว่าห่วงใย และอยากจะมีเวลาอยู่ด้วยกัน ทำให้ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไปเลย แต่ก่อนหลงคิดว่าสามีระแวง จู้จี้จุกจิก แต่ที่จริงเขามีเหตุผล เขาห่วง แล้วเขาอยากจะมีเวลาอยู่ด้วยกัน จึงเรียกร้องหรือขอร้องภรรยาว่าอย่างไรกลับบ้านมากินข้าวเย็นกัน จะดึกแค่ไหนเขาจะรอ อันนี้เป็นคำตอบที่กัญญาไม่เคยได้ยิน ที่ไม่เคยได้ยินเพราะไม่เคยถาม และพอไม่ถามก็เลยสรุปไปแล้วว่าสามีเป็นคนที่จู้จี้ แต่ความจริงตรงข้ามกับที่เธอเข้าใจ อันนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ดีขึ้น ตอนหลังเลยมีข้อตกลงว่าถ้าหากวันไหนภรรยาจะกลับบ้านผิดเวลาจะโทรมาบอกล่วงหน้า ไม่ต้องรอให้สามีโทรไปถาม แต่จะโทรไปบอกเอง ความขัดแย้งที่เคยมีมา 2-3 ปีก็คลี่คลาย
อันนี้เป็นตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งว่า คนเราบางครั้งมีความรู้สึกไม่ดีต่อกันเพราะการที่เราสรุปว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เป็นการสรุปโดยที่ไม่เคยได้ถาม เพียงแค่ถามจะพบความจริง คงคล้ายๆกับแม่ของโจว ซิงฉือ ถ้าถามสักหน่อยว่าโจวซิงฉือมีนิสัยแย่ๆในการกินอาหารเพราะอะไร บางทีอาจจะพบคำตอบได้ ไม่ต้องรอให้เข้าใจผิดเป็นเวลาสิบกว่าปี มาพบความจริงกลางสถานีโทรทัศน์ต่อหน้าผู้คน ซึ่งเป็นดราม่าดี แต่ว่าความเข้าใจผิดที่ติดค้างมาสิบกว่าปีคงไม่ใช่เป็นความรู้สึกที่ดีเท่าไร แต่อย่างน้อยยังมีความเข้าใจที่ดีต่อกันในที่สุดเพราะว่าความจริงเปิดเผยออกมา
บ่อยครั้งคนเรามีความทุกข์ในความสัมพันธ์ก็เพราะว่าการที่เราด่วนสรุป เราเห็นพฤติกรรมบางอย่างเขาเราก็สรุปทันที แต่ว่าสิ่งที่เราสรุปอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้ ในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ในหลักกาลามสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสมา ๒,๖๐๐ ปีแล้วแต่ทุกวันนี้ยังใช้ได้ดี แล้วยิ่งจำเป็นด้วยเพราะว่าเดี๋ยวนี้ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นเยอะมาก เพราะว่าเราด่วนสรุปแล้วไม่ค่อยมีเวลาพูดคุยซักถาม เดี๋ยวนี้เราฟังกันน้อย เราไม่ค่อยมีเวลาถามกัน ไม่ค่อยมีเวลาคุยกัน เจออะไรก็สรุปเลย อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสในกาลามสูตรว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะว่าได้ยินเสียงเล่าลือ อย่าเชื่อเพียงเพราะว่าทำสืบๆตามกันมา อย่าเชื่อเพียงเพราะว่าเข้าได้กับความเห็นของตัวเรา อย่าเชื่อเพียงเพราะว่าเหตุผลหรือตรรกะเป็นอย่างนั้น คือสรุปด้วยตรรกะแล้วคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่าเชื่อเพียงเพราะรูปลักษณะอาการน่าเชื่อถือ อย่างที่พูดเมื่อวาน คนที่ทำสร้อยทองหายในรีสอร์ทเขาคิดว่าพนักงานทำความสะอาดเอาไป เพราะว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นเนื่องจากหายหลังจากที่พนักงานทำความสะอาดเข้าไปทำความสะอาดในห้อง ก็หาไม่เจอ ที่จริงไม่ได้หาย ตกอยู่ในซอกข้างเตียง แต่ว่าอนุมานแล้วเขาคิดว่าต้องเป็นพนักงานทำความสะอาดเอาไป อันนี้เป็นการสรุปด้วยตรรกะ ด้วยการอนุมาน หรือสรุปเพราะอาการน่าเชื่อถือ ยิ่งเห็นเขามีพิรุธ พูดมีพิรุธ เดินมีพิรุธ อันนี้ใช่แน่เลย อันนี้เรียกว่าเชื่อเพราะรูปลักษณะน่าเชื่อถือ แต่ที่จริงเกิดจากอคติ พอคนเรามีอคติแล้ว เห็น ได้ยินสอดคล้องกับอคติของตัว
ฉะนั้น คนเราเวลามีความคิดอะไรโดยเฉพาะในทางลบกับผู้อื่นต้องอย่าเพิ่งด่วนสรุป ต้องรู้จักทักท้วง บางทีทักท้วงไม่พอ ต้องสอบถามด้วย แล้วสมัยนี้มีข่าวลือมีมากมาย คนเราเชื่อข่าวลือง่าย ที่จริงเป็นมานานแล้ว เมื่อสัก 200 กว่าปีก่อนที่ประเทศญี่ปุ่นมีเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์หนึ่ง เป็นพระที่ทุกวันนี้เป็นที่เคารพนับถือของชาวญี่ปุ่นมาก ชื่อท่านฮาคุอิน ท่านฮาคุอินเป็นพระเซน วันหนึ่งลูกสาวชาวบ้านที่อยู่ข้างวัด เกิดท้องขึ้นมา พ่อแม่ของหญิงสาวถามว่าท้องกับใคร เธอไม่รู้จะตอบอย่างไร เลยบอกว่าท้องกับท่านฮาคุอิน พ่อแม่ตรงไปที่วัดทันที แล้วไปด่าว่าเป็นพระอะไร เลวมาก อุตส่าห์เลี้ยงดูอุปถัมภ์กลับทำตัวเลวร้ายแบบนี้ ด่าใหญ่เลย ท่านฮาคุอินพูดเพียงว่า อย่างนั้นหรือ ไม่มีอาการโกรธอะไรเลย
ต่อมาหญิงสาวคนนั้นคลอดลูก พ่อแม่ของหญิงสาวเอาทารกไปให้ท่านฮาคุอินเลี้ยง วางไว้ตรงหน้าท่านแล้วบอกว่าลูกของเจ้า เจ้าต้องเอาไปเลี้ยง ท่านฮาคุอินก็ไม่ปฏิเสธ เลี้ยงดูทารกนั้นเท่าที่จะมีกำลัง ต้องออกไปหาผ้าอ้อมมา ต้องไปหาความรู้เกี่ยวกับการดูแลเด็ก ต้องไปหานมมาให้เด็ก ชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเชื่อเลยว่าท่านฮาคุอินเป็นพ่อของเด็ก ไม่ใส่บาตร บ่นด่านินทาว่าร้าย บางทีท่านเดินผ่านบ้านชาวบ้าน เจ้าของบ้านด่าท่าน ท่านนิ่ง แต่มีชาวบ้านบางคนที่ยังเข้าใจหรือเชื่อในความบริสุทธิ์ของท่านพยายามหาโน่นหานี่ มาเพื่อช่วยเลี้ยงเด็ก เลี้ยงอยู่ประมาณ 2-3 เดือนได้ แม่ของเด็กอดรนทนไม่ได้ สงสารเด็กด้วย สงสารท่านฮาคุอินด้วย เลยบอกความจริงว่า ที่จริงพ่อของเด็กคือไอ้หนุ่มลูกจ้างร้านขายปลาที่อยู่ใกล้ๆกัน พอพ่อแม่ของหญิงสาวรู้ตกใจเพราะว่าไปด่าท่านฮาคุอินอย่างรุนแรงมาก แล้วไปผลักภาระ ไปเอาภาระให้ท่านเลี้ยงทารก รีบตรงไปหาท่านฮาคุอิน ขอโทษขอโพยแล้วพูดชมว่าท่านฮาคุอินเป็นพระที่ประเสริฐมาก เป็นผู้ที่เสียสละ เป็นผู้ที่ไม่ว่าจะถูกนินทาว่าร้ายไม่โกรธ ยังมั่นคงอยู่ในธรรมะ สรรเสริญใหญ่เลย ท่านฮาคุอินเพียงแต่ตอบว่า อย่างนั้นหรือ คือท่านคงเส้นคงวามาก ถูกด่าก็นิ่ง สรรเสริญชื่นชมท่านก็นิ่ง แล้วท่านคืนเด็กไปให้กับแม่และพ่อของทารกนั้น
เรื่องนี้ไม่เพียงแต่บ่งชี้ถึงคุณสมบัติของท่านฮาคุอินว่าเป็นพระที่ประเสริฐ มีลักษณะที่เรียกว่าไม่ยินดียินร้ายในสรรเสริญและคำนินทา แต่ในอีกด้านหนึ่งสะท้อนว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดขนาดนี้ได้ ถ้าหากว่าเพียงแต่แม่ของหญิงสาวแทนที่จะโกรธแล้วไปด่าว่าท่าน เพราะว่าได้ฟังข่าวจากลูกสาวว่าท้องกับท่านฮาคุอิน ถ้าหากว่าจะเฉลียวใจสักหน่อยแล้วไปถามว่าจริงไหม ไปถามว่าจริงหรือเปล่า ว่าท่านไปมีเพศสัมพันธ์กับลูกสาว ไปหลับนอนกับลูกสาว แต่ว่าไม่มีคำถามนี้จากพ่อแม่ของหญิงสาวคือเชื่อทันทีแล้วไปด่า ท่านฮาคุอินก็เพียงแต่พูดแค่ว่า อย่างนั้นหรือ เพราะท่านรู้ว่าอธิบายไปไม่มีประโยชน์เพราะว่าเขาไม่ฟัง แล้วเขาไม่เปิดโอกาสให้อธิบายด้วย เพราะเขาไม่ถาม เรื่องนี้น่าจะสอนใจ ที่จริงถ้าพ่อแม่ของหญิงสาวถามสักหน่อยว่าจริงหรือเปล่าว่าท่านไปทำลูกสาวท้อง ท่านฮาคุอินคงจะปฏิเสธ คงจะพูดความจริงว่าเปล่าเลย ไม่ใช่ แต่ว่าไม่มีคำถามอย่างนี้จากพ่อและแม่ของหญิงสาว ทำให้เกิดบาปกรรมขึ้นมา ข่าวที่พูดไปกลายเป็นข่าวลือแล้วแพร่สะพัดทำให้ท่านเสียหาย ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านด่าท่านด้วยความเข้าใจผิด
อันนี้คล้ายๆกับเรื่องที่เคยเล่า เรื่องที่พระพุทธเจ้าถูกลือใส่ร้ายว่าไปทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อนางสุนทรีตาย ไปมีเพศสัมพันธ์กันแล้วลอบฆ่า ไปพบศพนางใกล้ๆกับกุฏิใกล้ๆกับวิหารที่เชตวัน ชาวบ้านลือกัน ชาวบ้านสาวัตถีเชื่อทันที เชื่อข่าวลือเลยว่าพระพุทธเจ้าฆ่าผู้หญิง ไม่มีใครสักคนไปถามพระพุทธเจ้าว่าจริงหรือเปล่า ไม่มีใครสักคนเลย เชื่อทันที ขณะที่พระพุทธเจ้าอยู่เชตวันมาเป็น 10 พรรษา ทำคุณงามความดีมาเยอะ แต่เพียงแค่ได้ยินข่าวลือเพราะพบศพและถูกใส่ร้าย คนก็เชื่อ ถ้ามีสักคนลองไปถามว่าจริงหรือเปล่า จริงไหม คงจะไม่เกิดการสร้างบาปสร้างกรรมกับพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ในเรื่องของการดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์กับผู้อื่น อย่างที่บอกไว้เมื่อวานว่าเราจะต้องรู้จักทักท้วงความคิด อย่าด่วนสรุป ต้องมีสติทักท้วงความคิด และวิธีหนึ่งคือการซักถาม ซักถามผู้ที่เกี่ยวข้อง บางทีเพียงแค่ซักถามก็ได้คำตอบแล้ว แต่เพราะว่าไปเชื่อ สรุปล่วงหน้า อย่างกัญญาสรุปล่วงหน้าแล้วว่าสามีระแวง อาจจะเรียกว่าจู้จี้งี่เง่าได้ หารู้ไม่ว่าความจริงไม่ใช่เลย สามีห่วงใยแล้วอยากจะมีเวลาอยู่ด้วยกันมากๆทุกวันๆ เราเข้าใจผิดแล้ววิจารณ์หรือตัดสินในทางลบ อันนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ความสัมพันธ์ในวงกว้างแย่ลง เรียกว่าอาจจะเป็นการสร้างบาปสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเรารู้จักยับยั้งชั่งใจบ้าง ตรงนี้สติสำคัญมากเลย กัญญามีสติเพราะเพื่อนเตือนเอาไว้ เวลารับโทรศัพท์ให้มีสติ ฟังเขาหน่อย พูดกับเขาดีๆ และเมื่อจะถามเขาตั้งใจฟังแบบมีสติ สติทำหน้าที่ 2 อย่างคือเป็นตัวเบรกและตัวเร่ง เป็นทั้งเบรกและคันเร่ง เวลาเราขี้เกียจ สติจะเป็นตัวกระตุ้นให้เราขยัน แต่เวลาเราวู่วามร้อนรน สติจะคอยเตือนให้เราช้าๆ อย่าเร่งรีบ อย่าวู่วาม รวมทั้งถ้าด่วนสรุปจะเตือนว่าอย่าเพิ่ง ฟังเขาก่อน หรือว่าหาข้อมูลความจริงก่อน เพราะฉะนั้น ให้เรารู้จักใช้สติให้มีประโยชน์ มีประโยชน์มากมายทั้งในทางโลกและทางธรรม