แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ใครที่เดินข้ามสะพานที่ทอดข้ามสระนี้ เราจะสังเกตเห็นมีหมาอยู่ 2 ตัว เดินอยู่ที่นั่นเป็นประจำ ชื่อบูบู้ กับ เจ้าขาวหรือบางทีเรียกว่าเจ้าเตี้ย เป็นเกลอกัน เช้าๆ หรือแดดร่มลมตก หรือเวลาบ่ายๆ ที่ไม่ค่อยมีแดดเท่าไหร่ เขาจะมานอน นอนทอดอารมณ์ ชมวิวทิวทัศน์ ดูแล้วเป็นสัตว์ที่มีความสุขมาก ถ้าได้กินอาหาร หลังกินอาหารแล้วก็จะมานอนเล่น ทั้งวันจะอยู่ตรงแถวนั้น บนสะพาน เหมือนกับชีวิตนี้ พอใจแล้ว ไม่ต้องมีอะไรมากกว่านี้ฉันก็มีความสุขแล้ว
มีอาหารกิน มีเพื่อน มีวิวทิวทัศน์ให้ชม แค่นี้มีความสุขแล้ว มองในแง่นี้เป็นครูสอนเราได้มากในเรื่องของการที่มีความสุขกับชีวิตที่ง่ายๆ ถ้าพูดถึงเรื่องของการเสพและการบริโภคแล้ว หมาสองตัวนี้เป็นตัวอย่างที่ดี คือชีวิตนี้ไม่มีอะไรมาก และไม่ได้เรียกร้องอะไรจากโลก มีกิน มีที่พัก มีเพื่อน มีอาณาบริเวณพอสมควรมีความสุขแล้ว ซึ่งต่างจากคนแบบเราไม่ว่ามีเท่าไหร่ ไม่เคยพอ หรือไม่รู้สึกมีความสุขสักที ตอนที่ได้มาใหม่ๆก็มีความสุข แต่พอผ่านไปสักพัก ความสุขหดหายไป ต้องหาสิ่งใหม่เข้ามา เพื่อจะพยุงหรือชุบชูใจให้มีความสุขมากขึ้นและประเดี๋ยวความสุขลดลง และต้องการอีก มีเท่าไหร่ไม่รู้จักพอ มีเท่าไหร่ก็ไม่พบความสุขสักที
มีเสื้อผ้า มีรองเท้า ได้มาแล้วยังอยากจะหามาอีก ตอนหลังมีเครื่องประดับ มีโทรศัพท์ มีแล้วอยากจะได้รุ่นที่ใหม่กว่า และใหม่เรื่อยๆ ได้มาแล้วยังอยากได้อย่างอื่น อยากได้รถ ได้รถมาแล้วอยากได้บ้าน มีบ้านแล้วอยากได้หลายคัน บ้านที่ใหญ่กว่าเดิม ไม่มีความสุขสักที เวลามีความทุกข์เวลามีความเร้าร้อนใจ ลองมองไปที่หมาสองตัวนี้ ดูว่ามีความสุขแบบง่ายๆมาก แต่แน่นอนคนเราไม่ได้มีเรื่องของการเสพ การบริโภค คนเรายังมีคุณค่ามากกว่านั้น คือการกระทำสิ่งที่มีประโยชน์ อันนี้มนุษย์เราเหนือกว่าสัตว์ สัตว์ได้อาหาร ได้ที่พัก มีอาณาเขตบริเวณของเขา ก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านั้น แต่คนเราควรทำตนให้เป็นประโยชน์ไม่ใช่แค่มีกินแล้วพอเท่านั้น ทำตนให้เป็นประโยชน์ให้กับครอบครัว ให้กับส่วนรวม ให้กับประเทศชาติ ให้กับโลก
อย่างพวกเราหลายคน มาที่นี่เพื่อจะได้ปลูกป่า เพื่อที่จะฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวให้เกิดมีขึ้น อันนี้คือคุณค่าอย่างหนึ่ง ที่มาเติมความหมายความเป็นมนุษย์ให้กับเรา อันนี้มนุษย์เราดีกว่าสัตว์มาก แต่ถ้าพูดถึงการบริโภค การเสพแล้ว สัตว์เป็นครูให้กับเราได้ คือ การที่ไม่เรียกร้องอะไรจากชีวิตมาก แค่มีอาหารอิ่มท้อง หรือมีอาณาบริเวณก็มีความสุข สัตว์หลายชนิดเป็นแบบอย่างของการไม่สะสม การอยู่ง่าย ซึ่งพระพุทธเจ้าแนะนำให้ดูเป็นแบบอย่าง เช่นนก นกมีแค่ปีกสองข้าง ออกหาอาหาร พออิ่มแล้วก็พอ แล้วไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไรมาก มีแค่ปีกสองข้าง หรือผีเสื้อ พระพุทธเจ้าแนะนำให้พระดูผีเสื้อเป็นแบบอย่าง ผีเสื้อดูดน้ำหวานจากดอกไม้ อยู่ได้เพราะดอกไม้ และต้องการน้ำหวานจากดอกไม้ แต่ไม่เคยทำให้ดอกไม้บอบช้ำหรือเสียสี ดอกไม้ยังสวยยังสมบูรณ์เหมือนเดิม มิหนำซ้ำยังช่วยดอกไม้ด้วย ผึ้งช่วยดอกไม้ผสมเกสรเป็นการตอบแทน อันนี้เป็นแบบอย่างที่สอนพระ และที่จริงสอนมนุษย์ทั้งหลายด้วย เมื่อเราต้องพึ่งพาใครก็ตามเช่นพระต้องพึ่งพาฆราวาส ก็อย่าไปรบกวนเขา พึ่งพาพอสมควรโดยที่ไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อน
แต่แบบอย่างนี้ใช้ได้กับมนุษย์ทั้งหลายเวลาเราพึ่งพา ในเมื่อเราต้องพึ่งพาธรรมชาติ ปัจจัยสี่ของเรา ที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตเรา ก็อาศัยธรรมชาติ เช่น ป่า ลำห้วยลำธาร พื้นดิน เราควรจะดูแลรักษา ไม่ให้เขาเดือดร้อน หรือทำลายธรรมชาติให้เสื่อมโทรมลงไป แต่ทุกวันนี้อย่างที่เราเห็น มนุษย์เราเอาเปรียบธรรมชาติมาก ไม่ได้รู้ว่าเราพึ่งพาธรรมชาติแค่ไหน แล้วการที่เราเบียดเบียนจนกระทั่งทำลายธรรมชาติ มีผลสะท้อนย้อนกลับมาที่เรา ทำให้คุณภาพชีวิตของคนเรานับวันจะแย่ลง เรากำลังเจอภัยธรรมชาติที่คุกคามในหลายรูปแบบ หลายลักษณะ ไม่ใช่แค่น้ำท่วม ฝนแล้ง โรคระบาด แต่อาจจะรวมถึงการเจอกับปัญหาน้ำทะเลหนุนสูง จนกระทั่งต้องอพยพโยกย้ายกัน
พูดถึงเรื่องการเสพการบริโภค จริงๆ แล้วคนเรา ถ้าเราเรียนรู้จากสัตว์ต่างๆ เรามีความสุขได้ง่าย จริงอยู่ มาตรฐานการครองชีพของคนเราต้องสูงกว่าพวกสัตว์เดรัจฉาน แต่ถ้าเรามาพิจารณาดู อะไรทำให้เราไม่มีความสุข ทั้งๆที่เรามีเยอะแยะไปหมด เด็กเดี๋ยวนี้มีความสุขได้ยาก ตอนเล็กๆอยากได้ของเล่น พอได้มาแล้ว อยากได้อีก ที่มีก็ทิ้ง เบื่อ จากเลโก้ ต่อมาเป็นเกมออนไลน์ มีเครื่องเล่นเกมออนไลน์ เพลย์สเตชันแล้วยังไม่มีความสุข ไม่พอใจ มีเครื่องดนตรี เรียกร้องเอาเครื่องดนตรี กีต้าร์ มีแล้วยังเรียกร้องอีก อยากจะได้เครื่องกีฬาราคาแพง ได้เครื่องกีฬามาแล้ว ขอเอาคอมพิวเตอร์ ได้คอมพิวเตอร์มาดีใจ แต่ดีใจไม่นาน อยากได้อย่างอื่นอีก เช่นกล้อง และตอนหลังโทรศัพท์ ไม่พอใจสักที อันนี้เป็นเพราะอะไร ถ้าจะว่าไปแล้ว ทุกวันนี้ทั้งที่คนเราที่มีมากมาย มีเยอะแยะไปหมดแต่เรายังไม่มีความสุข จะเรียกว่าไม่รู้จักพอก็ได้ และความไม่รู้จักพอส่วนหนึ่งเกิดจากความคิด คนเราทุกวันนี้ทุกข์เพราะความคิดมาก ความคิดที่คิดซับคิดซ้อน ทำให้เราหาความสุขได้ยากทุกที ความสุขกลายเป็นเรื่องยาก ทั้งๆที่เป็นเรื่องง่าย แต่ความคิดที่ซับซ้อนทำให้ความสุขเป็นเรื่องไกลตัวออกไปเรื่อยๆ
มีเรื่องเล่าที่อาจจะเคยได้ยิน นักธุรกิจคนหนึ่ง ได้เจอคุณลุงคนหนึ่งที่สะพานปลาแห่งหนึ่ง ลุงแกนั่งชมทะเล ผ่อนอารมณ์อย่างสุขใจ นักธุรกิจถามลุง ทำไมไม่ไปหาปลา แกบอกหาปลามาแล้ว ได้ปลามาแล้ว นักธุรกิจถามทำไมไม่ไปหาอีกเพราะยังมีเวลาอีกตั้งเยอะ ลุงก็ถามว่าหาทำไม นักธุรกิจตอบว่าเพื่อจะได้เงิน มีเงินเยอะๆ มีเงินเอาไปทำไม ก็จะได้ไปซื้อเครื่องยนต์ให้มีแรงมากขึ้นจะได้สามารถออกไปหาปลาในทะเลที่ลึกที่ไกลๆได้ แล้วจะทำไปทำไม ลุงถาม จะได้มีเงินเยอะขึ้นไง มีเงินเยอะไปทำไม มีเงินจะได้มีเรือหลายลำ มีเรือหลายลำไปทำไม จะได้ มีเงินเยอะๆมากกว่าเดิม เอาเงินไปทำไม จะทำให้มีเงินไปซื้อเรือเดินสมุทร ไปหาปลาที่ไกลออกไปไม่ใช่แค่อ่าวไทย ไปไกลๆโน้น เอาไปทำไมเงิน จะได้มีความสุขไง ลุงจึงตอบว่าก็ฉันมีความสุขอยู่แล้วตอนนี้ ความสุขเป็นเรื่องง่าย ไปหาปลามาได้เสร็จนั่งชมธรรมชาติ อันนี้เป็นความสุข ที่หาได้ง่ายๆ อิ่มท้องแล้วชื่นชมธรรมชาติไป
แต่คนสมัยใหม่ทำให้ความสุขเป็นเรื่องยาก กลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น อันนี้เพราะความคิดของมนุษย์เราที่คิดซับคิดซ้อน ความคิดมีประโยชน์ ช่วยแก้ทุกข์ ช่วยแก้ปัญหาของเราได้มากทีเดียว เวลาเจ็บป่วย เราใช้ความคิดในการวิเคราะห์ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร เวลาทำไร่ทำนามีปัญหาต้นไม้ไม่เจริญงอกงาม เราก็ใช้ความคิดเพื่อที่จะสืบเสาะ วิเคราะห์ว่าเกิดจากอะไร เราแก้ปัญหา เราบำบัดความทุกข์ได้เพราะอาศัยความคิด แต่บางครั้งความคิดโดยเฉพาะถ้าเราคิดไม่ถูก คิดไม่เป็น ทำให้เราเป็นทุกข์ได้ง่าย ทั้งๆที่เรามีทุกอย่างในชีวิต แต่เราไม่มีความสุข เพราะอะไร เพราะเราเห็นคนอื่นเขามีมากกว่าเรา พอเห็นคนอื่นเขามีมากกว่าเรา เราก็อยากได้ ที่มีอยู่กลายเป็นไม่มีค่าไปแล้ว ถ้าเรามีความทุกข์ได้ง่าย ไม่ว่าเราจะได้อะไรมา สิ่งที่เราได้มามันไม่ทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง ได้โบนัสมาห้าแสนบาทมีความสุขดีใจ แต่พอรู้เพื่อนเขาได้หกแสนบาทหรือห้าแสนห้าหมื่นบาท แค่นี้เราเป็นทุกข์แล้ว ไม่พอใจแล้ว
มีชาวบ้านคนหนึ่งเล่าว่าไปแทงหวยสามตัว แทงไป 15 บาทปรากฏว่าถูกแกดีใจ ได้มา 600 ไปอวดใครต่อใครว่าถูกหวย แต่พอไปเจอเพื่อนอีกคนหนึ่งอยู่หมูบ้านเดียวกันเขาแทง 50 บาทเขาได้ 2,000 บาทตัวเองได้ 600 แต่เพื่อนได้ 2,000 แค่รู้เท่านั้นที่เคยยิ้มก็เหี่ยว เราทุกข์ก็เพราะเปรียบเทียบ ดังนั้นลองดูนะแม้เราจะเจอโชคอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเรามองไม่เป็นหรือเราคิดไม่ถูก ก็ทุกข์ ไปซื้อของไปเที่ยวเชียงใหม่ ตลาดคนเดินหรือตลาดที่ขายของกลางคืน เจอย่ามชาวเขา 500 บาทเราต่อลงมาได้ 300 บาทเราดีใจ กลับไปโรงแรมจะไปอวดเพื่อนฉันซื้อมาได้ 300 บาท ปรากฏเพื่อนเอาย่ามจากร้านเดียวกันมาให้ดู ลายคล้ายๆกัน บอกว่าเขาต่อได้ 200 บาท ตัวเองต่อได้ 300 บาทแต่เพื่อนได้ 200 บาทพอรู้แค่นี้ก็โมโห เป็นทุกข์ ทั้งที่น่าจะดีใจ ราคาติดเอาไว้ 500 บาทเราซื้อได้ 300 บาท แต่พอเห็นเขาจ่ายน้อยกว่าเราก็ทุกข์ อันนี้เรียกคิดไม่เป็น ความคิดหรือวิธีการมองไม่เป็นแบบนี้ทำให้คนเราทุกข์ง่าย ไม่ว่าจะได้มาเท่าไหร่ก็ทุกข์ มีร้อยล้านมีพันล้านก็ยังกินไม่ได้นอนไม่หลับ
เมื่อวันสองวันก่อนมีเศรษฐีพันล้านยิงตัวตาย อันนี้เป็นเพราะอะไร ไม่ใช่เป็นเพราะตัวเองมีน้อย ไม่ใช่เพราะชีวิตไม่สะดวกสบาย แต่เป็นเพราะเราคิดไม่เป็น ความคิดที่ซับซ้อนของเรา ความคิดที่อยู่ในหัวเราถ้าเราไม่รู้เท่าทัน หรือใช้ไม่เป็น จะกลับมาทำร้ายเรา ทำให้ชีวิตไม่มีความสงบสักที มีมากเท่าไหร่ชีวิตก็ไม่สงบ ไม่สงบในที่นี้หมายถึงจิตใจ ได้เท่าไหร่ก็ไม่สงบ เพราะไม่รู้จักพอสักที หรือเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราคิดให้เป็นคิดให้ถูก เราจะมีความสุขได้ง่าย ขอบคุณที่วันนี้ฉันยังไม่เจ็บไม่ป่วย ขอบคุณที่วันนี้ฉันยังมีคนรัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือลูกหลานอยู่กับฉัน ขอบคุณที่ฉันยังมีตามองเห็น ขอบคุณที่ฉันยังมีหูที่ได้ยิน ขอบคุณที่ฉันยังมีร่างกายที่เดินไปไหนได้ ทำไมเราต้องขอบคุณ เพราะเรารู้ว่าสักวันหนึ่งมันจะไม่มีอย่างที่มี จะเสื่อมไป อย่างที่เราสวดเมื่อสักครู่ เราจะต้องพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น ถ้าเราคิดแบบนี้บ้างว่าที่เรามีอยู่ วันหน้าอาจจะไม่มี วันนี้เราสุขภาพดี แต่วันหน้าเราอาจจะเจ็บจะป่วย วันนี้เราวิ่งเล่นได้ เดินเหินไปไหนมาได้ แต่วันหน้าเราอาจพิการ หรืออัมพฤต อัมพาต หรือถ้าบังเอิญเราโชคดีมีอายุยืน จนกระทั่งอายุ 90 ปีหรือ 100 ปีถึงตอนนั้นเราอาจจะเดินไม่ค่อยได้
คนจำนวนไม่น้อย ตอนที่เขาสุขภาพดีเขาไม่เคยรู้สึกว่าการที่หายใจได้เป็นโชค เป็นสุขแล้ว จนกระทั่งเขาป่วย ต้องเข้าห้องไอซียู ใช้เครื่องช่วยหายใจ หายใจแต่ละทีมันทรมานเหลือเกิน ถึงตอนนั้นเราจึงรู้ว่าการที่เรามีสุขภาพดี มีลมหายใจ หายใจได้ด้วยตัวเองเป็นความสุขแล้ว ตอนที่แก่จนกระทั่งจะเดินไม่ได้แล้ว หลายคนยืนกรานที่จะเดินให้ได้ ถึงแม้ลูกหลานกลัวว่าจะเดินแล้วล้ม แต่เจ้าตัวก็ขอเดินเอง ดิ้นรนที่จะขอเดินเอง ไปห้องน้ำบางทีเดินกระย่องกระแย่ง พยาบาลหรือลูกหลานจะช่วยพยุงก็ไม่อยากให้ช่วย เพราะฉันอยากจะเดินเอง การเดินด้วยตัวเองกลายเป็นสำคัญในชีวิตขึ้นมา ทั้งที่ตอนที่เราเดินได้เองเพราะยังเป็นหนุ่มเป็นสาวหรือยังเด็ก ไม่เคยเห็นความสำคัญ ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นโชค เพราะเราไปสนใจในสิ่งที่เรายังไม่มี และเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่เรายังไม่มี ไม่จะเป็นรถยนต์ บ้าน ตำแหน่ง สถานภาพ คนเราทุกวันนี้ทุกข์เพราะสิ่งที่ยังไม่มี ใจไปจดจ่อกับสิ่งที่ยังไม่มี ถ้าคนเราย้อนกับมาชื่นชมสิ่งที่เรามี จะพบความสุขได้ง่าย เพียงแค่ชื่นชมสิ่งที่เรามี เราจะมีความสุขได้ง่ายมาก
แต่เป็นเพราะเรามองไม่เป็น เรานึกถึงแต่สิ่งที่เรายังไม่มี เราไม่เห็นความสำคัญของสิ่งทีเรามี แล้ววันหนึ่งถ้าสิ่งที่เรามีหมดไป หายไป วันนั้นถึงจะรู้สึกว่าเราปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไป เมื่อสิบกว่าปีก่อนมีผู้หญิงคนหนึ่ง อายุไม่มาก ไม่ถึง ๒๐ ปี เป็นนักกีฬา เป็นกีฬาใหม่ เรียกคาราเต้โด ยูโดบวกคาราเต้ เธอหมายมั่นที่จะเอาเหรียญทองให้กับประเทศไทยในการแข่งในกีฬาซีเกมส์ให้ได้ เหรียญทองสำคัญมากเพราะจะเป็นเหรียญแรกของประเทศในกีฬาชนิดนี้ เธอตั้งใจฝึกฝนอย่างดี และโชคดีมีพ่อเป็นโค้ชส่วนตัวช่วยฝึกให้เธอ เธอเคี่ยวเข็ญตัวเองอย่างมากทีเดียว พ่อช่วยอย่างเต็มที่ เพราะมุ่งจะคว้าเหรียญทอง มาให้กับตัวเองและประเทศชาติให้ได้ เสร็จแล้วในที่สุดได้เดินทางไปฟิลิปปินส์ ตอนนั้นฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพซีเกมส์ สุดท้ายเธอได้เหรียญทอง สมกับที่ตั้งใจไว้ ดีใจมาก มีความสุขมาก บรรลุถึงความใฝ่ฝันในชีวิต เป็นเหรียญทองเหรียญแรกในประเทศในกีฬาชนิดนี้ มีการเลี้ยงฉลองกันตอนเย็น พอฉลองกันเสร็จ โค้ชทีมชาติมาบอกกับเธอ มีข่าวร้ายจะแจ้ง พ่อเธอเสียชีวิตแล้วเมื่อสองวันก่อน แต่ไม่ได้แจ้งให้เธอทราบเพราะกลัวเธอจะไม่มีกำลังใจเล่นคาราเต้โด และเขาเห็นว่านี่คือความฝันแรกในชีวิตของเธอ ไม่อยากให้ความฝันหลุดลอยไป พอเธอรู้พ่อเสียชีวิต เธอร้องไห้โฮ และพูดขึ้นมา เหรียญทองฉันไม่เอาแล้ว ขอพ่อคืนมา ตอนนั้นเธอเพิ่งรู้ว่า จริงๆแล้วสิ่งที่มีค่าสำหรับชีวิตเธอไม่ใช่เหรียญทอง แต่คือพ่อ แต่ตอนนั้นหรือก่อนหน้านั้นไม่เห็น และคิดว่าชีวิตนี้ต้องได้เหรียญทองให้ได้เท่านั้น ถ้าไม่ได้ฉันจะทุกข์มาก ถึงตอนนั้นเธอได้รู้ว่าถึงแม้จะไม่ได้เหรียญทอง ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะมีสิ่งที่สำคัญกว่าคือพ่อ มาเห็น มารู้ว่าพ่อสำคัญที่สุดในชีวิต ก็ตอนที่พ่อเสียไปแล้ว
คนเรามักจะเห็นสิ่งที่มีค่า ก็ต่อเมื่อเสียไปแล้ว ไม่ใช่แต่พ่ออย่างเดียว อย่างอื่นด้วย อาจจะเป็นอวัยวะที่อยู่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด อาจจะหมายถึงเพื่อน อาจจะหมายถึงสิ่งดีๆที่เรามี ตอนที่มีก็ไม่เคยรู้สึกเป็นความสุข หรือรู้สึกว่าเป็นโชค ต่อเมื่อเสียไปถึงค่อยเห็น และถามว่าทำไมตอนที่มีถึงไม่รู้สึกว่าคือความสุข เพราะใจไปจดจ่อกับอยู่กับสิ่งที่ยังไม่มี อะไรตามที่เรายังไม่มีเราจะเห็นค่ามาก และเห็นค่าอีกทีตอนที่เสียไป มีสองช่วงเท่านั้นที่เราจะเห็นค่าของสิ่งใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ คือตอนที่ยังไม่ได้ กับตอนที่เสียไป แต่ตอนที่อยู่กับเรา เราไม่ค่อยเห็นค่าเท่าไหร่ เพราะอะไร เพราะเราคิดว่าเป็นของตาย หรือเพราะคิดว่ายังไม่พอ อยากได้อีก
เพราะฉะนั้นคนเราจริงๆแล้วความสุขนี้มันง่าย ความสุขใจของคนเราหาได้ง่าย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ความสุขกายกลายเป็นสิทธิพื้นฐานไปแล้ว เราเกิดมามีความสะดวกสบายทางวัตถุที่มากมาย โดยเฉพาะถ้าเป็นชนชั้นกลาง ที่ไม่ใช่ชาวบ้านที่ยากจน เราเกิดมาเล็กจนโตเราก็มีความสุขกาย แต่เป็นเพราะมีความคิดที่ซับซ้อน มองไม่ถูกวางใจไม่เป็น ความสุขที่มีอยู่กลายเป็นสิ่งที่ดูเหมือนไกลเกินเอื้อม จริงๆ แล้วไม่ได้ไกล มีอยู่แล้ว แต่มองไม่เห็นเอง
ถ้าอย่างนั้นลองกลับมาพิจารณา กลับมาใคร่ครวญ และชื่นชมสิ่งที่เรามี เราจะพบว่าความสุขอยู่กับเราอยู่แล้ว และอยู่กับเราตลอด ยิ่งถ้าเราตระหนักว่า สิ่งที่ต้องทำให้มากกว่านั้นคือการที่เราฝึกจิตฝึกใจ เพื่อที่จะพร้อมรับมือกับเวลาที่ความสุขเหล่านั้นหายไป เพราะมันไม่เที่ยง เพราะวัยที่แก่ชรา เพราะสิ่งที่มีต้องพลัดพรากไป ถึงเวลาที่พลัดพรากไป ถึงเวลาที่เจ็บป่วย ถึงเวลาที่สูญเสียเรายังรักษาใจให้เป็นสุขอยู่ได้ และนี่คือคุณค่าของธรรมะ ที่เราควรจะให้ความสำคัญ หมาวันนี้มีความสุข แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ป่วย สิ่งแวดล้อมแปรเปลี่ยนไปก็เป็นทุกข์ แต่คนเราทำได้ดีกว่านั้น ถึงแม้จะแปรเปลี่ยนไป แต่เราสามารถรักษาใจให้เป็นสุขได้ เพราะเราได้เตรียมตัวล่วงหน้า เราได้ฝึกเอาไว้ เราไม่ใช่แค่พอใจกับสิ่งที่มี แต่เราตระหนักว่าแม้สุขที่มีก็ประมาทไม่ได้ เพราะฉะนั้นเตรียมใจเพื่อจะรับกับการเปลี่ยนแปลง และถึงเวลาที่เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไป ยังสุขอยู่ได้