แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เป็นวันแรกของการเข้าพรรษา ญาติโยมหลายท่านถือโอกาสมาทำบุญเป็นการประเดิมวันเข้าพรรษา เป็นสิริมงคลสำหรับพวกเรา ทีนี้เมื่อมาที่วัดนอกจากมาทำบุญถวายทาน ถวายไทยธรรม รวมทั้งนอกจากฟังธรรมอยากชวนพวกเราให้ภาวนาด้วย เวลาพูดถึงภาวนาหรือว่าการปฏิบัติธรรม หลายคนจะพูดว่าไม่มีเวลา ที่จริง ถ้ามีเวลามาใส่บาตร มาทำบุญ ถวายทานที่วัด ก็มีเวลาที่จะปฏิบัติธรรมหรือว่าภาวนาเหมือนกัน หรือถึงแม้จะไม่มีเวลามาวัดทำบุญ ถวายทาน เรายังมีเวลาทำอะไรหลายอย่าง มีเวลากินข้าวไหม ถ้ามีเวลากินข้าวนั่นแหละ ภาวนาได้ ภาวนาด้วยการเจริญสติ
เราสามารถที่จะเจริญสติได้ในทุกอิริยาบถ ในทุกกิจกรรม ทุกเวลาเลยว่าได้ ยกเว้นเวลานอน เมื่อตื่นขึ้นมา ไม่ว่าทำอะไรเราภาวนาได้โดยทำให้สิ่งที่เราทำเป็นการเจริญสติ หมายความว่าเวลาทำอะไรใจอยู่กับเนื้อกับตัว หรือพูดง่าย ๆ คือตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น เวลาทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นล้างหน้า อาบน้ำ ถูฟัน เราไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ทำทีละอย่าง อย่าทำหลายอย่างพร้อมกัน ทำหลายอย่างพร้อมกันเช่น ถูฟันไปอาบน้ำไปและคิดว่าจะทำอะไรต่อไปข้างหน้า จะทำอะไรให้ลูกกิน หรือว่าจะไปประชุมเช้านี้จะเอาประเด็นอะไรมาพูด นี่เรียกว่าทำสองอย่างในเวลาเดียวกัน ถ้าต้องการฝึกจิตฝึกใจเรา การเจริญสติเป็นพื้นฐานที่ดีมากและเราทำได้ ทันทีที่เราตื่นขึ้นมา เก็บที่นอนอย่าเพิ่งไปนึกอะไร อย่าเพิ่งไปคิดอะไร ใจอยู่กับการเก็บที่นอน ไม่ใช่เก็บไปใจคิด เดี๋ยวจะไปเปิดโทรศัพท์มือถือ เดี๋ยวจะส่งข้อความไปถึงเพื่อน เดี๋ยวจะทักทายด้วยสติ๊กเกอร์อะไร อรุณสวัสดิ์ หรือ Hi หรือ Good morning
เดี๋ยวนี้พอเราตื่นเช้าขึ้นมาอย่างแรกที่เรานึกถึงคือ โทรศัพท์มือถือ ข้อความทางไลน์ ทางเฟสบุ๊ค วางไว้ก่อนนะ ใจอยู่กับสิ่งที่เราทำเฉพาะหน้า เรามีเวลาอาบน้ำ เรามีเวลาถูฟัน เราต้องมีเวลาภาวนา รวมทั้งเรามีเวลากินข้าว เราก็มีเวลาภาวนา เวลากินข้าวเริ่มตั้งแต่เวลาไปตักอาหาร เห็นอาหารมันอร่อยให้มีสติรู้ตัวว่าใจกำลังลอย กำลังเคลิ้ม เพียงแค่เห็นภาพหรือรูปกระทบตาความอยากมันเกิดขึ้น เห็นมัน เห็นความอยาก เวลาตักอยากจะตักมาก เห็นความอยากนั้น นึกถึงคนอื่นที่ตามมาข้างหลังว่าเขาควรจะได้กินเหมือนเราด้วย เราตักแต่พอประมาณ การที่เราตักพอประมาณมันเป็นการภาวนาแบบหนึ่ง มันทั้งฝึกให้เรารู้เห็น รู้ทันความอยากที่เกิดขึ้น ควบคุมกายไม่ให้ทำตามความอยาก พอตักอาหารเสร็จมานั่งเรามีสติอยู่กับการตามลมหายใจหรือการคลึงนิ้วมือ ภาวนา ไม่ต้องหงุดหงิดว่าคอยนาน อย่าปล่อยให้การคอยมาสร้างความหงุดหงิดให้กับจิตใจ
คนเดี๋ยวนี้หงุดหงิดได้ง่ายเพราะว่าต้องคอยหลายอย่าง คอยนั่น คอยนี่ คอยเพื่อน เพื่อนไม่มาตามนัดสักที หรือว่าคอยไฟแดงให้เปลี่ยนเป็นไฟเขียว คนสมัยนี้ทำอะไรใจร้อน ทำอะไรเร็ว ๆ การคอยเป็นเรื่องยาก พอคอยอะไรตามกลายเป็นความหงุดหงิด แทนที่จะเสียเวลาอย่างเดียวเสียอารมณ์ด้วย โดยเฉพาะรถติด หลายคนไม่ยอมปล่อยให้เสียแค่อย่างเดียวคือเสียเวลา กลับปล่อยให้เสียอารมณ์ เสียความสุข เสียสติพูดง่าย ๆ ไม่ต้องคอย อย่าไปถือว่าเป็นการคอย แต่ถือว่าขณะที่เรารอพระหรือว่ารอเพื่อนมาพร้อมกันเพื่อที่จะได้กินพร้อม ๆ กันเราเจริญสติไปด้วย และเมื่อถึงเวลาฉันเวลากิน เรามีสติรู้ตัวอยู่กับการกิน สังเกตว่าเวลากินใจมันคิดโน่น คิดนี่ ยิ่งอาหารอร่อยใจมันยิ่งฟุ้งไปใหญ่ ดึงจิตกลับมา รับรู้อยู่กับการกิน อร่อยรู้ว่าอร่อย ไม่ใช่เคลิ้ม หลงใหล เพลินไปกับมัน ถ้าเป็นอย่างนี้เรียกว่าเพลินในสุข อย่างที่พูดเมื่อวานอันนี้เป็นความสุดโต่งอย่างหนึ่ง พอเพลินในสุขเวลาเจอทุกข์มันจมไปในทุกข์ได้ง่าย อาหารไม่ถูกใจก็บ่น โวยวาย บางทีอาหารมันอร่อยนะแต่ว่ามันอร่อยไม่เท่ากับที่เราคาดหวัง เราเกิดความไม่พอใจขึ้น เห็นความไม่พอใจนั้น ไม่ต้องไปบังคับให้มันนิ่ง ให้มันเป็นปกติ อะไรเกิดขึ้นกับใจรู้ พอใจรู้ ไม่พอใจรู้ อันนี้เจริญสตินะ เวลาเจออาหารอร่อยอย่ารีบเคี้ยว ค่อย ๆ เคี้ยว
บางคนระหว่างที่กินใจนึกถึงงาน อยู่วัดอาจจะไม่เท่าไหร่นะ แต่พออยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่ทำงานใจคิดถึงเรื่องงาน พอคิดถึงเรื่องงานจะรีบเคี้ยว ๆ ๆ ไม่มีสติ ที่จริงการเคี้ยวข้าวให้ช้าลงเป็นภาวนาได้ มีอานิสงส์มากด้วย มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจ เป็นผู้หญิงเก่ง ทำอะไรต่ออะไรมากมายจนเครียด ความสัมพันธ์กับลูก ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน หรือลูกน้อง ไม่ค่อยดี เพราะความเครียด เพราะความใจร้อน จนกระทั่งเกิดปัญหาชีวิตขึ้นมา วันหนึ่งตัดสินใจไปเข้าคอร์สของเพื่อนอาตมา ชื่อว่าสุรเชษฐ เวชชพิทักษ์ เขาทำมหาวิทยาลัยชีวิต ไม่ทราบตอนนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า มีคอร์สหนึ่งให้ทำกิจกรรมเพื่อมารู้จักตัวเองเกิดความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะแก้ไขจุดอ่อน จุดบกพร่อง จุดบกพร่องอย่างหนึ่งที่ผู้หญิงคนนี้เขาเห็นคือว่า เขาเป็นคนที่กินอะไรกินเร็วมากโดยเฉพาะอาหารเช้า อาหารกลางวัน อาหารเย็น เขาจะเคี้ยวเร็วมากเพราะว่ามีงานเยอะ เวลากินอาหารนึกถึงงานที่รออยู่ เดี๋ยวต้องไปประชุม เดี๋ยวต้องไปสั่งงานลูกน้อง รีบ ๆ กิน รีบเคี้ยว คราวนี้พอเขาเห็นจุดอ่อนตรงนี้ ที่จริงจุดอ่อนมีเยอะนะแต่ว่าอาจารย์บอกว่า ให้เอาที่มันพอจะแก้ไขได้ ทำโครงงานนะ แก้ไขนิสัยนี้ เขาเลยตกลงว่า ๓ เดือนนี้เขาจะทำโครงงานชื่อว่า เคี้ยวข้าวให้ช้าลง แค่นี้แหละ
ทุกอาทิตย์ต้องไปรายงานความคืบหน้า มีการจดบันทึกด้วยว่ามีความคืบหน้าอะไรบ้าง ได้เรียนรู้อะไรบ้าง อุปสรรคคืออะไร ไปรายงานหน้าชั้น เพราะฉะนั้นคิดอย่างเดียวไม่พอ ตั้งใจดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำต่อเนื่อง เขาพบความเปลี่ยนแปลง คือพอเคี้ยวให้ช้าลง อย่างแรกที่รู้สึกคือข้าวนี่มีรสอร่อยนะ มีรสหวาน แต่ก่อนเคี้ยวไม่รู้จักรสข้าวเลยนะ เด็ก ๆ รู้จักรสข้าวไหมว่ามันมีรสยังไง เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยรับรู้รสของข้าวเพราะเราเคี้ยวเร็ว พอปฏิบัติไปนาน ๆ นะ ปรากฏว่าโรคที่เคยเป็น เป็นมาสิบกว่าปี โรคปวดท้องและหายใจไม่ทั่วท้อง คือหายใจไม่ทัน มันหายไปเลย โรคนี้เป็นมาหลายปี กินยาเท่าไหร่ไม่หาย เพราะโรคแบบนี้มันไม่ได้แก้ที่ยา มันต้องแก้ที่พฤติกรรมหรือนิสัย พอเคี้ยวข้าวให้ช้าลง โรคปวดท้อง โรคหายใจไม่ทัน หายไปเลย แต่ก่อนหน้านั้นมันจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งเกิดขึ้นคือว่า พอใช้เวลาอยู่บนโต๊ะอาหารให้นานกว่าเดิม แต่ก่อน 5 นาทีก็ไป กินข้าวเสร็จอยู่บนโต๊ะอาหารแค่ 5 นาทีก็ไป แต่พอเคี้ยวข้าวให้ช้าลงอยู่บนโต๊ะนานขึ้น จาก 5 นาทีเป็น 10 นาที เริ่มสนใจคนที่กินอาหารร่วมโต๊ะ คือลูก เริ่มมีการพูดคุยทักทายลูก แต่ก่อนไม่ทักทายเลย รีบ ๆ กินไป ไม่สนใจด้วยว่าใครนั่งโต๊ะด้วย แต่ตอนนี้เริ่มทักทายลูกชาย เริ่มโอภาปราศรัย ทำอย่างนี้ทุก ๆ วันความสัมพันธ์กับลูกดีขึ้น และต่อไปพอเคี้ยวข้าวให้ช้าลงเวลาใจมันจะคิดถึงเรื่องงานวาง ใจคิดถึงเรื่องงานวาง เริ่มใจเย็นขึ้น
แต่ก่อนเป็นคนที่ใจร้อน ชอบต่อว่าลูกน้อง สั่งลูกเดียว แต่ว่าตอนหลังเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้องมากขึ้นเพราะใจเย็นลง ตอนหลังเริ่มไว้ใจลูกน้อง โอนงานให้ลูกน้องทำ งานบางอย่างโอนให้ลูกชายทำ พอความสัมพันธ์กับลูกชายดีขึ้น ไว้วางใจลูกทำให้กล้าที่จะมอบความรับผิดชอบให้แก่ลูก ทั้งลูกชายลูกน้อง กลายเป็นว่างานเบาลง เครียดน้อยลง และมีเวลามากขึ้น ก็นึกถึงพ่อ นึกถึงแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่เคยถามว่าเมื่อไหร่จะมาเยี่ยมสักที เธอชอบตอบว่าไม่มีเวลา แต่คราวนี้มีเวลานี่ มีเวลาเลยไปเยี่ยมพ่อแม่ เสร็จพาพ่อแม่ไปเที่ยว มีเวลาพาท่านไปเที่ยวบ้าง และถี่ขึ้น ถี่ขึ้น กลายเป็นว่าความสัมพันธ์กับพ่อแม่ดีขึ้น พอความสัมพันธ์กับลูกดีขึ้น ความสัมพันธ์กับพ่อแม่ดีขึ้น งานการเบาลงเพราะว่ากระจายให้ลูกน้อง ความเครียดความวิตกกังวลน้อยลง มีความสุขมากขึ้น เธอเลยพบว่า ความสุขที่แท้จริงมันไม่ได้ยากอะไรเลย ไม่ต้องไปเที่ยวห้าง ไม่ต้องไปกินอาหารราคาแพง ๆ หรือว่าไปซื้อของหรู ของดัง แบรนด์เนมชื่อดัง ความสุขมันอยู่ใกล้ตัว ทั้งหมดนี่เริ่มต้นจากการที่เคี้ยวข้าวให้ช้าลง
เพราะฉะนั้น ดูเหมือนมันเล็กน้อย แต่ว่าอย่าประมาทสิ่งที่เล็กน้อยนะ พูดไปเมื่อเช้าตอนหลังทำวัตรว่าความดีแม้เพียงเล็กน้อย ถ้าเราทำบ่อย ๆ ทำทุกวัน มันก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่มากมายอย่างที่เรานึกไม่ถึง เพราะว่าพอเราทำความดี ถ้าเราทำทุกวันนิสัยใหม่จะเกิดขึ้น นิสัยเก่าจะค่อย ๆ สลายหายไป และนิสัยใหม่หนึ่งอย่างนำไปสู่นิสัยใหม่อันที่สอง นิสัยใหม่อันที่สามเกิดขึ้น นิสัยใหม่อันที่สี่ตามมา เรียกว่ามาเป็นขบวน อันมันเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ที่เราทำเป็นประจำจนกลายเป็นนิสัย อันนี้เป็นตัวอย่าง ใครจะอธิษฐานพรรษาทำสิ่งดี ๆ ตลอดสามเดือนลองทำพวกนี้ ไม่ต้องทำใหญ่โตหรือยากได้ ทำง่าย ๆ ที่มันเป็นจุดอ่อนของเรา และทำให้เป็นรูปธรรม มันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ อันนี้ก็เป็นภาวนา ซึ่งเกิดขึ้นได้ในระหว่างที่เรากินอาหาร คำว่าไม่มีเวลาภาวนา มันแปลว่า หนึ่ง ไม่เข้าใจภาวนา สอง เป็นข้ออ้าง เป็นข้ออ้างของกิเลส แต่ถ้าเรารู้ทันกิเลสเราเข้าใจเรื่องภาวนา เราสามารถที่จะภาวนาได้ ในทุกที่ทุกเวลา เราจะมีเวลาภาวนาได้มากขึ้นแม้จะไม่ได้มาวัดหรือมาเข้าคอร์สก็ตาม