แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในทางพุทธศาสนามองว่า ชีวิตประกอบด้วยกายกับใจ เพราะฉะนั้นเวลาพูดถึงการดับชีวิต หรือความตาย จะมีสองส่วนที่ใช้พิจารณาร่วมกัน คือ การแตกดับทางกาย และการแตกดับทางใจ ส่วนใหญ่เวลาพูดถึงความตาย เราก็มองแต่เรื่องกาย หรือเอาอาการทางกายเป็นตัววัด เช่น หยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้น หรือสมองตาย ในอนาคตก็อาจจะมีตัวชี้วัดตัวใหม่ที่ดีกว่าสมองตาย แต่ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของกาย แต่ที่จริงแล้วในทางพระพุทธศาสนา เท่านี้ยังไม่เรียกว่า ตายสนิท หรือว่าตายสมบูรณ์ ความตายสมบูรณ์เกิดขึ้นได้เมื่อไม่ใช่เมื่อกายดับ แต่จิตก็ดับด้วย
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า คนเราตายเมื่ออายุไออุ่น และวิญญาณดับ หรือลับออกจากร่าง อายุและไออุ่น ก็คือเรื่องกาย วิญญาณก็คือจิต การแตกดับ การตายนี้จะเรียกว่าตายอย่างแท้จริงก็เมื่อกายและจิตดับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าดับพร้อมกัน กายนี้ไปก่อนแล้วจิตค่อยตามไปทีหลัง พุทธศาสนาทางวัชรยานจะอธิบายอย่างละเอียดเป็นระบบว่า ความตายเริ่มต้นด้วยความแตกดับทางกาย และเนื่องจากกายคือ รูป ประกอบไปด้วยดิน น้ำ ไฟ ลม
ถ้าเป็นคนที่ตายด้วยอาการธรรมชาติแล้วก็ป่วยตาย ไม่มีการแทรกแซงด้วยเทคโนโลยี เพื่อที่จะยืดชีวิตเอาไว้ ความตายก็จะเริ่มต้นจากการแตกดับของธาตุดินก่อน ธาตุดินคือส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องกล้ามเนื้อ คือส่วนที่ทึบตัน เช่น ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง เดินไม่ได้ ต้องนั่ง จากนั่งก็เป็นนอน อย่างนี้ก็เรียกว่า ธาตุดินแตกดับ ค่อย ๆ ผ่ายผอมไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็ธาตุน้ำ ธาตุน้ำก็แปรปรวน ซึ่งปรกติก็เช่น ปากแห้ง คอแห้ง บางทีตาก็แห้ง ผิวแห้ง แต่บางคนก็จะมากเกินไป เหงื่อไหล มีเหงื่อกาฬ
หลังจากที่ธาตุน้ำแปรปรวนแล้ว ก็ถึงคราวของธาตุไฟ ร่างกายก็เริ่มเย็นลง ๆ บางคนก็เย็นจากเท้าขึ้นมา บางคนก็เย็นจากหัวลงไป แต่บางรายก็ร้อนที่ว่าธาตุไฟกำเริบ หนาว ๆ แบบนี้อาจจะไม่ต้องห่มผ้าเลยก็ได้ และสุดท้าย ก็ตามมาด้วยธาตุลม คือ การหายใจเริ่มมีปัญหา พอใกล้ตายก็หายใจเหนื่อยหอบ และสุดท้ายก็หมดลม นั่นก็การแตกดับของร่างกาย ซึ่งจะเกิดควบคู่กับความแปรปรวนในเรื่องของการรับรู้
ซึ่งพอธาตุดินแปรปรวน การเห็นก็มีปัญหาแล้ว พอธาตุน้ำแปรปรวน การได้ยินก็มีปัญหา พอธาตุไฟแปรปรวน การได้กลิ่นก็มีปัญหา และเมื่อธาตุลมแปรปรวน การรับรู้ ความรู้สึก การสัมผัสก็จะไม่รับรู้แล้ว คือ แตะเนื้อต้องตัวเขา เขาก็ไม่รับรู้ แต่ข้อดีก็คือว่าความเจ็บป่วยทางกายซึ่งเรากลัวกัน จิตก็ไม่รับรู้แล้ว กายเป็นอย่างไรใจไม่รับรู้แล้ว อันนี้ก็อาจจะเป็นข่าวดีสำหรับพวกเราที่กลัวว่าตอนใกล้ตายจะปวดหนัก ก็ปวดจริงแต่พอถึงช่วงที่ใกล้ตาย ก็จะไม่รับรู้แล้ว แต่ก็บอกได้ยากว่าก่อนตายกี่นาที ก่อนตายกี่ชั่วโมงภาวะที่ไม่รู้สึกเจ็บป่วย
เมื่อดิน น้ำ ไฟ ลม แตกดับ ไม่หายใจ หัวใจหยุดเต้น แล้วถามว่า ตายหรือยัง ตายสนิทหรือยัง ก็ตอบว่ายัง เพราะจิตนี้ยังไม่ดับก็ต้องรอให้จิตนี้แตกดับ ซึ่งทางทิเบตเขาก็แจกแจงว่ามีสี่ขั้นตอนไปสุดท้ายที่ภาวะแสงกระจ่าง คือ ภาวะที่จิตเหมือนกับว่ามีแต่แสงสว่าง แล้วพอภาวะแสงกระจ่างดับจึงเรียกว่าตายสนิท ชาวทิเบตไม่มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า หยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้นแล้ว แต่ว่าตัวยังอุ่น ๆ อยู่ ศพก็ยังไม่เน่า ผ่านไปสามวันเจ็ดวัน บางทีถึงกับสองสามอาทิตย์ศพก็ยังไม่เน่า อันนี้ก็เพราะว่าเขารู้วิธีที่จะประคองภาวะแสงกระจ่างเอาไว้ คือไม่ยอมให้ดับ แต่นี่ก็เป็นเทคนิคขั้นสูง ทางเถรวาทเราไม่ได้สอนแต่ทางทิเบตเขาสอนกัน เพื่อให้เป็นโอกาส เพื่อที่จะได้เรียกว่า พิจารณาสัจจรรมจนหลุดพ้น ท่านกรรมาปะ (Karmapa) ที่ ๑๖ ที่ไปมรณภาพที่อเมริกา หมอทึ่งมากก็หัวใจท่านหยุดเต้นแล้ว แต่สามสิบหกชั่วโมงหลังจากนั้นก็ยังอุ่น ๆอยู่ อันนี้คนทิเบตเขาก็รู้ว่าธรรมดา เพราะท่านกรรมาปะนี้ ท่านภาวนาได้อยู่ในระดับสูงมาก
ที่น่าสนใจหรือว่าเป็นประโยชน์กับเราในการรู้เรื่องนี้ก็คือว่า เมื่อหัวใจหยุดเต้นแล้ว แต่เนื่องจากจิตยังไม่ดับ เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าการรับรู้ยังเกิดขึ้นได้ รับรู้ คือว่า เห็นแต่ได้ยิน แต่เป็นจิตที่รับรู้ไม่ใช่กาย เพราะว่ากายโดยเฉพาะสมองนี้เรียกว่าไม่ทำงานแล้ว ดังที่เราได้ฟังเมื่อวาน สมองไม่ทำงานแต่จิตยังรับรู้ได้ อันนี้ก็เพราะว่าสมองกับจิตคนละส่วนกัน ทุกคนไปคิดว่าจิตนั้นคือสมอง อันนี้สมัยใหม่ แต่ว่าจริง ๆ แล้วจิตกับสมองแยกกัน เนื่องจากถามกันว่า รู้ได้อย่างไรว่า กายตายดับแต่จิตยังรับรู้ได้ ก็มีปรากฏการณ์หลายอย่างที่พอจะอนุมานลักษณะนั้นได้
ผู้ชายคนหนึ่งหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน คนก็รีบพาส่งโรงพยาบาลทำการช่วยชีวิต มีการปั้มและมีการใส่ท่อคนไข้คนนี้ เนื่องจากใส่ฟันปลอม พยาบาลก็ต้องถอดฟันปลอมออกก่อนที่จะใส่ท่อเข้าไปช่วยหายใจ ช่วยชีวิตไว้ได้ก็ไปพักฟื้นอยู่ที่ห้องพยาบาลอยู่อาทิตย์หนึ่ง ในวันหนึ่งชายคนนี้เห็นพยาบาลคนหนึ่งเดินผ่านมาเขาก็ทักเลย คุณใช่ไหมที่ถอดฟันปลอมผม นี่เขาเห็นได้อย่างไรตอนนั้นเขาสลบ หรือไม่รู้ตัว สมองแทบจะไม่ทำงานเท่าไรแล้ว เรียกว่าสมองส่วนการรับรู้ทางตาไม่ทำงาน แต่ก็ยังเห็นไม่ใช่เห็นภาพหลอน แต่เห็นความจริงเห็นภาพจริง
มีคนหนึ่งหัวใจหยุดเต้นแล้วหลังจากที่ผ่านการรักษามะเร็ง ตอนที่เจอคีโม เจอการฉายแสง แพ้เท่าไรเขาก็ยังมีความหวังว่าจะรอดก็อดทน แต่แล้ว คืนวันหนึ่งหัวใจหยุดเต้นหมอช่วยขึ้นมาได้ เขาก็รู้ว่าอนาคตเขาคงจะไม่รอด ก็เลยบอกหมอ "หมอ ถ้าหัวใจผมหยุดเต้นไม่ต้องปั๊มแล้ว" คืนหนึ่งหัวใจหยุดเต้น หมอเจ้าของไข้ไม่อยู่ หมอเวรก็ไม่รู้ก็ไปปั๊มกันขึ้นมา วันรุ่งขึ้นพอเขารู้ตัว เขาก็เรียกลูกเรียกหลานมาต่อว่า "ข้าว่าจะไปสบายแล้วเชียว นี่ข้ากลับมาอีก" แล้วเขาก็เล่าว่าตอนที่หัวใจหยุดเต้นนี่เห็นตัวเองจากมุมสูง เห็นเด็กที่จ้างมาดูแลวิ่งไปเรียกหมอ พยาบาล แล้วเห็นว่าตัวเองกำลังถูกปั๊ม แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกปวดไม่รู้สึกอะไรเลยกลับรู้สึกสบาย ในใจยังนึกว่าถ้าไปตอนนี้ก็ดี สงบ สบายพอรู้ว่าจะไม่ตายนี่ผิดหวัง เลยต้องเรียกลูกเรียกหลานมาว่า ตอนหลังเขาก็หัวใจหยุดเต้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่มีใครปั๊ม เขาเห็นได้อย่างไร ไม่ใช่ Hallucination (อาการประสาทหลอน) ไม่ได้เห็นญาติพี่น้องที่ตายแต่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในเวลานั้น
National Geographic เคยเขียนถึงผู้หญิงคนหนึ่ง National Geographic ฉบับนั้นเขาพูดถึงเรื่องภาวะใกล้ตาย ผู้หญิงคนหนึ่งไปผ่าตัดแล้วหัวใจหยุดเต้น อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผ่าตัด พอหัวใจหยุดเต้นเขาก็เห็นจิตนี้ถอดออกมาจากร่าง เห็นจอมอนิเตอร์ แล้วจิตก็ออกไปนอกห้องผ่าตัด ไปเห็นพ่อของตัวเองกำลังอยู่หน้าตู้กดคงจะซื้ออะไรในตู้ หยอดเหรียญ ตอนนั้นดึกมาก เมื่อผ่าตัดเสร็จเขาก็ฟื้นขึ้นมา เขาก็เล่าให้พ่อฟัง พ่อตกใจ แปลกใจเพราะพ่อบอกตอนนั้นไม่มีใครเลยนอกจากพ่อ บริเวณนั้นไม่มีใครเลย ตอนนั้นดึกมาก แล้วลูกสาวรู้ได้อย่างไร และก็คงอธิบายได้อย่างเดียว คือว่า เห็น ถามว่าเห็นอะไรก็เห็นด้วยจิต ร่างนอนอยู่ในห้องผ่าตัด สมองส่วนที่รับรู้การเห็นคงจะไม่ทำงาน นอกจากเห็นก็ได้ยินด้วยเหมือนกัน คนที่หัวใจหยุดเต้นยังสามารถได้ยินได้
เพื่อนอาตมาคนหนึ่ง ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะว่า วันหนึ่งเกิดแพ้ยาอย่างหนัก หายใจไม่ออก ดิ้นเลย ก็ถูกพาตัวไปห้อง Emergency ตอนแรกเขาปวดมากถึงจุดหนึ่งความปวดก็หายไป ได้ยินพยาบาลพูดกับหมอว่าหัวใจหยุดเต้นแล้ว บีพีวัดไม่ได้ ชีพจรก็จับไม่ได้ แปลว่าอะไร แปลว่าตายไปแล้วชั่วขณะ ตอนหลังก็ฟื้นขึ้นมาได้ พอรู้ตัวนี่ปวดคอมากเลย เจ็บคอมาก เพราะว่าโดนใส่ท่อ แต่ตอนที่หมออีรุงตุงนังขณะที่เขาไม่หายใจ หัวใจไม่เต้น ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย แต่ได้ยินหมอได้ยินพยาบาลพูด อันนี้คือ ภาวะที่เกิดขึ้นกับคนที่ถือว่าตายทางการแพทย์ แต่ว่าถูกช่วยให้ฟื้นขึ้นมาได้ เราก็เลยรู้ว่าเขายังสามารถจะรับรู้ได้ทั้ง ๆ ที่ตามองไม่เห็น ทั้งที่ปิดตาก็ยังเห็น ทั้งที่หัวใจหยุดเต้นก็ยังได้ยิน พอจะอนุมานได้ว่า คนที่ตายจริง ๆ หมายถึงว่าหัวใจหยุดเต้นไม่สามารถจะเอาฟื้นขึ้นมาได้ ถ้าหากจิตเขายังไม่แตกดับเขาก็น่าจะรับรู้ หรือเห็น
อาตมาก็เคยมีประสบการณ์คล้าย ๆ แบบนี้ ไปเยี่ยมแม่ของเพื่อนที่กำลังจะตาย ไปถึงปรากฏว่าตายแล้ว หมอบอกว่าตายแล้วเมื่อชั่วโมงที่แล้ว คือตายไปแล้วชั่วโมงหนึ่ง แต่ว่าสัญญาณเครื่อง หรือว่าสายที่ต่อมอนิเตอร์ต่างๆก็ยังไม่ได้ถอด อาตมาก็มีความเชื่อว่า คุณยายยังรับรู้ได้ เพราะแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นเอง ก็เลยคุย คุยเหมือนกับนำทางเขา คุยให้นึกถึงพระแล้วก็ให้ปล่อยวางทุกสิ่ง เนื่องจากลูกเขาเตรียมจะให้แม่เขาถวายสังฆทานก็เลยมีการถวายสังฆทานอย่างที่ตั้งใจไว้ จนมารับสังฆทานเสร็จก็กรวดน้ำ ยะถาฯ ให้พร พี่สาวกรวดน้ำเสร็จแล้วก็รีบไปเลยเพราะมีอีกงานหนึ่ง ก็คืองานอบรมแถวพุทธมณฑล ตอนนั้นไปที่โรงพยาบาลภูมิพล ลูกเขาเล่าในเวลาต่อมาหลังจากนั้น เพราะว่าไม่มีเวลาคุยกัน รีบไป เขาก็เล่าว่าตอนที่อาตมาคุยกับแม่เขาสัญญาณในมอนิเตอร์บอกว่าหัวใจเต้น สัญญาณชีพ สัญญาณหัวใจเต้นก็ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญ เป็นความผิดพลาดทางเทคนิค หรือว่าคุณยายเขารับรู้ได้จริง ๆ ว่าอาตมากำลังพูดอะไรกับคุณยาย เรื่องนี้ก็เป็นไปได้คนที่ตายแม้หัวใจหยุดเต้นแล้ว แต่ว่าการรับรู้ก็ยังเกิดขึ้นได้ จิตยังทำงานต่อไปอยู่สักระยะหนึ่ง
บางทีจิตของคนตายยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตาย หรือโดยเฉพาะถ้าเป็นการตายอย่างฉับพลัน อุบัติเหตุ อย่างผู้หญิงคนหนึ่งนุ่งขาวห่มขาวกำลังจะไปทำบุญที่วัดใกล้บ้าน ต้องข้ามถนนไป ปรากฏว่าโดนรถชนตายคาที่ แต่ปรากฏว่าคนในวัดเห็นเธอมาที่วัดในช่วงใกล้ ๆ กัน คนที่วัดก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นมีการชนกันตายหน้าวัด ถ้าสิ่งที่คนวัดเห็นนั้นจริงก็แปลว่า ผู้หญิงคนนั้นจิตของเธอยังไม่รู้ว่ารถทับเธอตาย ร่างกายนอนกองกับพื้นแล้ว แต่จิตนี้ด้วยความมุ่งมั่นที่จะมาทำบุญก็เลยทำงานต่อไป
เมื่อเรารู้แบบนี้แล้ว เวลาเราดูแลคนใกล้ตายจนกระทั่งเขาหมดลมก็อย่าพึ่งไปคิดว่าเขาหมดการรับรู้ การรับรู้ยังเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเวลาจะทำอะไรกับร่างของเขา หรือว่าจะพูดกัน พูดคุยกันเองก็ต้องระวัง บางคนทะเลาะกัน พี่น้องทะเลาะกันเรื่องงานศพ เรื่องการรักษา ทะเลาะกันเรื่องแบ่งสมบัติ ผู้ตายก็อาจจะยังรับรู้ได้ และก็จิตอาจจะเศร้าหมอง ถ้าจิตเศร้าหมองจนถึงวาระจิตสุดท้ายนี่ก็ไปไม่ดี เพราะจิตสุดท้ายเป็นตัวกำหนดว่าจะไปสุคติ หรือทุคติ
ถ้าจิตสุดท้ายเป็นกุศลก็ไปดี จิตสุดท้ายเป็นอกุศลก็ไปไม่ดี จิตอกุศลก็หมายความว่า มีความวิตก มีความห่วง มีความหวง มีความโกรธ มีความรู้สึกผิด พวกนี้ถ้าหากว่าอารมณ์นี้ครองจิตจนกระทั่งจิตสุดท้ายที่เรียกว่ามรณาสันนวิถีก็ไปอบายเลย ถ้าจิตสุดท้ายเป็นกุศลน้อมนึกถึงพระรัตนตรัย ถึงความดีที่เคยทำ หรือจิตปล่อยวาง มีแต่ตัวรู้ก็ไปดี ถ้าจิตเห็นสัจธรรม เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกว่าหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้เลย
เรื่องการน้อมจิตผู้ใกล้ตายจะได้คุยกันตอนเช้าวันนี้ จากนี้เป็นเรื่องที่เราน่าจะรับรู้ หรือว่าพึงจะสังวรเอาไว้ ขนาดคนตายที่หมอวินิจฉัยว่าตายแล้ว ยังมีโอกาสจะรับรู้ได้ นับประสาอะไรกับคนที่ยังเป็นผัก คนที่โคม่า ยังมีลมหายใจอยู่จะรับรู้ไม่ได้เชียวหรือ และบางอย่างก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาด อาจารย์อมโร ท่านเล่าว่า ยายของท่านเป็นผักมาสี่ปีแล้ว วันหนึ่งร่างกายผิดปกติ ป่วยหนักอย่างแรง หมอวินิจฉัยว่าจะต้องผ่าตัด ลูก ๆ คือโยมแม่ หรือว่าป้า น้าของท่านอาจารย์อมโรก็มาปรึกษากัน ตกลงกันว่าอย่าผ่าเลย ให้แม่ไปอย่างธรรมชาติดีกว่า ปรากฏว่าตกลงกันเสร็จ ไม่รู้ทันทีหรือหลังจากนั้น คนไข้ คุณยายก็พูดขึ้นมาว่า Thank you สี่ปีมีพูดคำเดียวคือ Thank you แล้วไม่นานหลังจากนั้นก็เสียชีวิต เป็นผักได้ยินยังรับรู้อะไรต่าง ๆได้มากมาย
อันนี้เป็นที่ยืนยันกันแล้วว่าเป็นไปได้เพราะว่ามีการสแกนสมองคนที่เป็นผักจากอุบัติเหตุ ผักมีหลายแบบ ผักจากอุบัติเหตุ แล้วก็เป็นผักชั่วคราวไม่ใช่ผักถาวร หมอก็สั่งคนไข้ว่าให้จินตนาการว่า กำลังเดินเล่นอยู่ในห้อง และก็จิตนาการว่ากำลังเล่นเทนนิส ปรากฏว่าสมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับภาษานี่ สว่าง สมองที่เกี่ยวกับการควบคุมกล้ามเนื้อ เรียกว่า Premotor cortex ก็ทำงาน เวลาจินตนาการว่าเราเดิน สมองก็ทำงานเหมือนกับว่าเราเดินจริง ๆ แต่ว่าทำงานในดีกรีที่ต่ำกว่าเราเดินจริง ๆ
นักเล่นเปียโนเขาก็จินตนาการว่าเขากำลังดีดเปียโน เหมือนกับว่าเขาได้ซ้อมเปียโน สมองทำงานคล้าย ๆ กัน ไม่ว่าในยามทำ ทำจริง ๆ หรือว่า คิดเอา ผลการทดลอง ผลจากสแกนสมองเขาเอาไปเปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่ได้รับคำสั่งแบบเดียวกัน อาสาสมัครที่เป็นคนปรกติ ปรากฏว่าผลการสแกนสมองเหมือนกันเลยแยกไม่ออกว่าคนไหนเป็นผัก คนไหนปรกติ ก็แปลว่าคนที่เป็นผักเขายังรับรู้ได้ แต่เขาไม่สามารถจะสื่อออกมาได้ และก็เชื่อว่าคนที่เป็นผักยืดเยื้อถาวรก็คงเป็นอย่างนั้น
และมีหลายเคสที่เส้นเลือดในสมองแตก ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ แต่เกิด Stroke (โรคหลอดเลือดสมอง) แล้วสมองตาย แต่ว่าได้รับการฟื้นขึ้นมาจนกระทั่งตื่น แล้วสามารถจะเดินเหินได้เกือบจะปรกติซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์ เขาก็เล่าว่าตอนที่หมอมาคุยกันเองเขาก็ได้ยิน ตอนที่หมอมาบีบเท้าเขา เพื่อจะดูว่าเขาเป็นผักหรือเปล่า เขาบอกว่าเขาปวดมาก ปวดมากแต่พูดไม่ได้ อยากจะบอกให้หมอหยุด หยุดทำได้แล้ว แต่พูดไม่ออก แต่พอฟื้นขึ้นมาเขาเล่า ก็เลยทำให้เรารู้ว่าภาวะจิต หรือความรู้สึกของคนที่เป็นผักนี่อาจจะไม่ต่างจากคนธรรมดา
ที่นี้เรามีการจำแนกคนที่เป็นผักว่า จะมีกลุ่มหนึ่งที่เราเรียกว่าเป็นผักไม่ได้ แต่เรียกว่าเป็นคนไข้ประเภท Minimally Conscious Patient (MCP) คือ ยังรับรู้ได้ เวลาเพื่อนคุยเรื่องตลกบางทีหัวเราะ เป็นผักนี่แต่พอเพื่อนมาคุยตลก บางเรื่องตลกนี่หัวเราะเลย หรือบางทีภรรยามาร้องห่มร้องไห้ เพราะรู้สึกว่าชีวิตลำบากหลังจากที่สามีเป็นผัก คนไข้ก็น้ำตาไหลและน้ำตาซึมเฉพาะเวลาภรรยาเขามาร้องห่มร้องไห้ ไม่ใช่ว่าน้ำตาซึมน้ำตาไหลในกรณีอื่น ๆ อันนี้ก็เลยเชื่อมั่นว่า รับรู้ได้ โคม่าก็ยังรับรู้ได้ อันนี้เราเคยได้ยินมาหลายรายแล้ว พอฟื้นขึ้นมาก็มาเล่าว่าได้ยินหมอ พยาบาลพูดถึงตัวเองว่าอย่างไร บางทีก็พูดถึงตัวเองอย่างไม่สุภาพ บางทีก็เอามาล้อเล่น เจ้าตัวก็โกรธแต่ก็ไม่สามารถจะสื่อสารอย่างไรได้
มีอันหนึ่งที่แปลกมาก มีการบันทึกเอาไว้ ศักดิ์ชัย กาย บางคนก็รู้จัก เพื่อนเขาเป็นนักแต่งผมที่มีชื่อ ชื่อเป็ด เป็นคนดังในวงการแฟชั่น เป็ดนี้เป็นมะเร็ง ตอนหลังทรุดจนกระทั่งอาการแย่ลง มีช่วงหนึ่งที่ศักดิ์ชัยก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเป็ด วันหนึ่งตอนเที่ยงก็ได้โทรศัพท์จากเป็ด เป็ดมาบอกว่า "พี่ หนูจะไปแล้ว" ศักดิ์ชัยก็ถามว่าจะไปไหน หมอบอกว่าหนูจะอยู่ได้ไม่นาน “เฮ้ย ไปได้ไง เสียงยังใสอยู่เลย” “ไม่รู้ล่ะหมอบอกยังงี้แหละพี่ ถ้าจะมาก็รีบมา” ศักดิ์ชัยก็รีบบึ่งรถไปเลย
ถึงโรงพยาบาลบ่ายสอง ไปถึงปรากฏว่าเป็ดโคม่า ก็เลยถามว่าเป็ดโคม่าเมื่อไร ก็ได้คำตอบว่าโคม่าตั้งแต่ตีสองแล้ว ศักดิ์ชัยก็งง เมื่อกี้ยังคุยโทรศัพท์กันอยู่เลย แล้วก็โชว์โทรศัพท์ให้ดูว่า มีบันทึกอยู่ว่าเป็ดโทรมาตอนเที่ยงสองนาที แล้วโทรศัพท์เป็ดอยู่ไหน มีใครไปใช้หรือเปล่า ก็ไม่มีใครยุ่งเลย แล้วโทรศัพท์เป็ดอยู่ไหน อยู่ในลิ้นชัก ก็ไปเอามาดู ปรากฏว่ามีการบันทึกว่าโทรมาหาศักดิ์ชัยเที่ยงสองนาทีเหมือนกัน ปรากฏว่าใครโทร ก็คงมีคนเดียวที่โทรคือเป็ด แต่เป็ดโทรมาได้อย่างไร ก็คงไม่ได้กดปุ่มแน่ แต่แปลกเดี๋ยวนี้คนที่ใกล้ตาย หรือคนที่ตายไปแล้วบางทีก็ส่งข่าวทางโทรศัพท์ได้
เด็กคนหนึ่งเป็นมะเร็งเป็นลูคีเมีย ตอนหลังเขาขอมารักษาตัวที่บ้าน แล้วสุดท้ายเขาก็หมดลมขณะที่พ่อแม่กำลังอยู่ข้างเตียง ก็มีรถส่งออกซิเจนมา บอกว่าเอาอ๊อกซิเจนมาส่ง พ่อแม่เลยบอกว่าไม่ต้องแล้ว ไม่ใช้แล้ว แล้วนี่ใครเรียกมา เพราะพ่อแม่ก็ไม่ได้เรียก คนส่งบอกว่าได้โทรศัพท์จากเด็กคนหนึ่งให้เอาออกซิเจนมาส่งเมื่อกี้นี้เอง พ่อแม่นี่งงเลย เด็กคนนั้นคือใคร ก็คงจะเป็นลูกของตัวเองนั่นแหละ แล้วโทรได้อย่างไร นี่เรียกว่าโทรหลังตาย แบบนี้ก็มี.