แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีต่อชนิดหนึ่งโปรดปรานเต่าทองมาก เวลามันบินไปเจอเต่าทองมันจะเข้าไปต่อย ไม่ใช่เพื่อกินแต่เพื่อที่จะฉีดไข่ลงไปในตัวเต่าทอง ไข่ก็จะค่อยเติบโตเป็นตัวอ่อน แล้วก็กินอวัยวะภายในของเต่าทอง แต่กินเฉพาะส่วนที่ไม่เป็นอันตรายถึงขั้นตาย ก็คือเลี้ยงเต่าทองเอาไว้ แล้วพอตอนมันโตมาถึงจุดหนึ่งมันก็จะออกมาจากตัวเต่าทอง แล้วมาสร้างรังอยู่ตรงหน้าท้อง คล้ายๆว่าพอมันกลายเป็นดักแด้มันก็ต้องออกมา แล้วรังก็เหมือนคล้ายๆทำเหมือนกับรังไหมอยู่ตรงหน้าท้องของเต่าทอง คราวนี้ออกมาอย่างนั้นก็อาจจะเป็นอันตรายเพราะว่าอาจจะมีนกอาจจะมีอะไรมากินมันได้ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องไปอาศัยเต่าทอง เพื่อที่จะช่วยปกป้องไอ้ตัวดักแด้ของตัวต่อเอาไว้ วิธีการคือไปบังคับบงการให้เต่าทองมันขยับแข้งขยับขา ที่จริงตัวมันเป็นอัมพาตเพราะว่ามันโดนคล้ายๆว่าโดนเชื้อจากตัวอ่อนทำให้เป็นอัมพาต แต่ว่าขามันจะขยับเขยื้อนได้เพื่อขับไล่ศัตรู คือถ้ามันยังเหมือนกับว่ายังมีการขยับเขยื้อนขาได้ ศัตรูก็ไม่กล้า เพราะว่าเต่าทองก็มีพิษของมัน สัตว์ที่เป็นคู่ปรับตามธรรมชาติพอเห็นเต่าทองขยับแข้งขยับขา มันก็ไม่กล้ามากิน ซึ่งก็เป็นการช่วยปกป้องตัวดักแด้ของต่อชนิดนี้เอาไว้ พอมันโตเต็มวัยมันก็ออกมาจากรัง ส่วนเต่าทองก็ตายเพราะว่าข้างในไม่เหลืออะไรแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นความฉลาดของตัวต่อที่มันอาศัยประโยชน์จากเต่าทอง ทั้งที่ตัวมันเล็กแต่มันสามารถจะใช้เต่าทองให้กลายเป็นองครักษ์พิทักษ์ตัวมันได้
และเดี๋ยวนี้ก็มีที่เขาเรียกว่าปรสิต หรือพวกพาราไซต์หลายชนิดที่มันใช้วิธีการคล้ายๆกันนี้ อย่างเช่นมีปรสิตชนิดหนึ่งมันจะชอบหนูมากเลย พอมันเข้าไปในตัวหนู มันก็จะบังคับหรือบงการให้ตัวหนูไม่กลัวแมว ปกติพอมันได้กลิ่นแมวมันจะหนีเลย แต่ว่าพอปรสิตเข้าไปในตัวหนู มันไม่กลัวแมว มันได้กลิ่นก็เฉย มันแถมเดินเข้าไปหาแมวด้วยซ้ำ เพื่ออะไร เพื่อให้แมวกิน แมวกินเสร็จปรสิตก็จะไปโตในท้องของแมว เรียกว่าวงจรมันครบรอบตรงนั้น เสร็จแล้วแมวก็ถ่ายออกมา พอถ่ายออกมาขี้ของมันก็มีปรสิต แล้วมันก็เข้าสู่ตัวหนู แล้วมันก็ไปบังคับหนูให้ทำตัวให้เป็นอันตรายต่อตัวมันเอง คือเดินซุ่มซ่ามเพ่นพ่าน ไม่มีคำว่ากลัว มีแต่คำว่าบ้าระห่ำเดินให้แมวกิน และมีปรสิตอีกชนิดหนึ่งมันชอบตัวมอดมากเลย พอมันเข้าไปในตัวมอด ไอ้มอดจะไม่กลัวนกมันก็จะออกมาเพ่นพ่าน เจอนกมันก็ไม่หนี นกก็กินมัน แล้วปรสิตก็จะไปโตในท้องนก แล้วก็เติบโตเต็มวัยแล้วก็ออกมาทางขี้นก ทีนี้ก็เพราะว่ามันก็มีกลอุบายนิดหนึ่งที่สัตว์ตัวเล็กๆ มันฉลาดมาก ดูเหมือนมันไม่มีอะไร แต่มันสามารถจะบงการสัตว์ชนิดอื่นซึ่งตัวใหญ่กว่า ให้ทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์มันจนตัวตาย หรือมิฉะนั้นก็มีพฤติการที่สุ่มเสี่ยง บ้าระห่ำ จนกระทั่งหมดสภาพไป
คนเราจะว่าโชคดีก็ได้ หรืออย่างน้อยตอนนี้ก็ยังโชคดีอยู่ที่เราไม่พบว่ามีพวกปรสิต หรือพวกแมลงที่มันมาคอยบงการเราให้ทำหน้าที่พิทักษ์มัน เหมือนกับเต่าทอง หรือทำอะไรบ้าระห่ำเหมือนกับพวกหนูพวกมอด ที่ว่าตอนนี้เรายังไม่รู้ แต่อาจจะมีบางอย่างที่น่ากลัวกว่าก็ได้ ที่เข้ามาบงการมนุษย์เรา มาบงการจิตใจ บงการพฤติกรรมของเรา ให้ทำตัวเป็นอันตราย มีนิสัยบางอย่างซึ่งคนโบราณเขาเรียกว่า พอเกิดขึ้นแล้วก็เหมือนกับถูกสิง อย่างเช่นเขาเรียกผีสุรา ผีสุราเข้ามาสิงในใครแล้วก็จะมีพฤติกรรมที่ทำให้บั่นทอนทำร้ายเป็นภัยกับตัวเอง แล้วก็ทำให้ตกอยู่ในอำนาจของผีสุรามากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างเช่นคนที่ติดเหล้า ไม่ว่าเพราะสาเหตุใดก็ตาม อาจจะเป็นเพราะเครียด หรือจะเป็นเพราะว่าสังสรรค์กับเพื่อน ต้องการเข้าสังคมจนติด ก็จะมีพฤติกรรมที่ทำร้ายตัวเองเรื่อยๆ เช่นไม่เป็นอันทำงานบ้าง หรือทะเลาะเบาะแว้งบ้าง กับเพื่อนร่วมงานบ้าง กับคนในครอบครัวบ้าง หรือเพลินกับการกินจนไม่เป็นอันทำงาน เป็นหนี้เป็นสิน เสร็จแล้วก็จะมีความเครียด พฤติกรรมเหล่านี้นำไปสู่ปัญหาในชีวิต ปัญหาในที่ทำงาน แล้วก็จะเครียด พอเครียดแล้วทำไง ก็ต้องกินมากขึ้น ผีสุราก็เข้ามาครอบงำหนักขึ้น แล้วพอเครียดหนัก เครียดหนัก ก็กินมากขึ้น มากขึ้น ก็อยู่ในอำนาจของผีสุรา คราวนี้อาจจะทั้งวันเลยก็ได้ แต่ก่อนอาจจะเป็นบางช่วงของวัน แต่คราวนี้หนักเลย ชีวิตก็ย่ำแย่ สุขภาพก็เสื่อมโทรม แถมอยู่ในอำนาจของผีสุราจนกระทั่งโงหัวไม่ขึ้นเลย แล้วพอเอะอะมีปัญหาอะไรก็จะกินแต่เหล้า กินแต่เหล้า
มีหมอคนหนึ่งเล่าว่า เจอคุณลุงคนหนึ่งแกติดเหล้าจนกระทั่งร่างกายแย่ มาหาหมอ หมอก็รักษาไป แล้วแนะนำว่าให้เลิกเหล้า แต่แกก็ไม่ยอมเลิกเหล้า พอป่วยทีไรก็มา จากที่หมอแนะนำก็เป็นการเรียกว่ากดดันเลย ว่าให้เลิกเหล้าให้ได้ บางทีขู่ด้วยซ้ำว่าจะไม่รักษาแล้วเพราะว่าลุงมาหลายครั้งแล้ว และหมอก็บอกหลายครั้งแล้วว่าให้เลิกเหล้าสักที เพราะว่าร่างกายไม่ไหว แต่แกก็เลิกไม่ได้สักที แล้วก็ซมซานมาหาหมอ จนกระทั่งหมออดรนทนสงสัยไม่ได้ ถามว่าทำไมถึงกินเหล้าไม่เลิกสักที แกก็บอกเครียด หมอก็ถามว่าเครียดอะไร แกก็บอกว่าเครียดที่เลิกเหล้าไม่ได้สักที คือคนเราพอเครียดเรื่องอะไร ไอ้ตัวผีสุราก็จะหาเหตุว่าต้องกินเหล้า แล้วมันก็จะหาข้ออ้างแม้กระทั่งว่าเลิกเหล้าไม่ได้ เลิกเหล้าไม่ได้เพราะฉนั้นก็เครียดดังนั้นต้องกินเหล้า กินเหล้าเพื่อที่จะได้คลายความเครียดจากการที่เลิกเหล้าไม่ได้เสียที คราวนี้เหมือนกับพฤติกรรมของพวกหนูที่มันทำร้ายตัวเอง มันไม่ค่อยรู้จักรักตัวเองเท่าไร เหมือนคนที่ติดเหล้าติดสุราก็เป็นอย่างนั้น
พวกเราหลายคนอาจจะไม่โดนผีสุราครอบงำ แต่ว่าอาจจะโดนตัวอื่นมันเข้ามาเล่นงานก็ได้ เอาที่ง่ายๆ คือ ตัวโกรธ ตัวเศร้า พอมันเข้าไปในใจเรามันก็จะบงการเรา มันจะบงการให้เราทำในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตัวเรา เป็นภัยต่อตัวเรา แล้วคนที่พอโกรธซักครั้งหนึ่งแล้วก็แสดงพฤติกรรมออกไป จะเป็นการต่อว่า จะเป็นการตำหนิติเตียนผู้อื่น หรือสร้างปัญหากับใคร ก็จะยิ่งเจอสิ่งกระตุ้นสิ่งเร้าที่ทำให้โกรธมากขึ้น เพราะพอทำไม่ดีกับคนอื่น คนอื่นเขาก็ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ พอตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ เขาต่อว่าหรือเขาตอบโต้กลับมา ก็โกรธ ความโกรธยิ่งฝังใจมากขึ้น และยิ่งกว่านั้นพอโกรธแล้วมันก็จะบงการให้เราเป็นองครักษ์พิทักษ์ความโกรธ จะพิทักษ์ตัวมันเอาไว้ จะพยายามที่จะรักษาความโกรธ เหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะหวงแหนมาก คนที่โกรธมากๆ เวลามีเพื่อน หรือมีลูก มีใครมาแนะนำนะว่าอย่าโกรธเขาเลย เขาเป็นอย่างนั้นเอง หรือบางทีแนะนำว่าให้อภัยเขาไปเถอะ โกรธไปก็เผารนจิตใจ ความโกรธมันจะไม่พอใจมาก มันจะสั่งให้เราไปต่อว่า ไปตอบโต้คนที่ไปแนะนำอย่างนั้น เพราะว่าถ้าหากว่าทำตามคำแนะนำ ความโกรธก็จะมีพิษสงครอบงำจิตใจเราน้อยลง มันก็จะค่อยๆ เลือนหายไป มันกลัวว่ามันจะอยู่ไม่ได้ ถ้าหากว่าเราทำตามคำแนะนำของคนเหล่านั้น เพราะฉะนั้นก็สั่งให้เราไล่ตะเพิดเลยถ้าใครมาแนะนำอย่างนี้
มีอาม่าคนหนึ่งแกเป็นคนที่ขี้โกรธมาก จริงๆแกเป็นคนนิสัยดี แต่ว่าเวลานึกถึงคนๆหนึ่งหรือพูดถึงคนๆหนึ่ง แกจะโกรธมากเลย นิสัยจะเปลี่ยนไปเลย เพราะว่าเคยช่วยเหลือแต่เขากลับเนรคุณ ไม่สำนึกบุญคุณไม่พอ ยังเนรคุณด้วย เป็นอย่างนี้มา 30 ปีแล้ว มันก็ยังครองจิตครองใจพอพูดถึงทีไรก็โกรธ ลูกสาวกลัวว่าแม่จะป่วยเพราะความโกรธนี้ แล้วที่สำคัญพอตายถ้ายังละทิ้งความโกรธความพยาบาทไม่ได้ ลูกสาวกลัวแม่จะไปอบาย ขอร้องว่าให้แม่ให้อภัยเขาไปเถอะ ตัวแม่ไม่พอใจลูกสาว ว่าลูกสาวเหมือนกับว่าลูกสาวกำลังจะมาแย่งชิงของรักของหวงไปจากแม่ ความโกรธเป็นสิ่งที่ควรรักควรหวงแหนที่ไหน ถ้าลูกมาขอเพชรขอพลอยขอที่ดินจากแม่ ก็น่าจะโกรธลูกเพราะว่ามันเป็นของมีค่า แต่ความโกรธไม่ได้เป็นสิ่งมีค่าอะไรเลย แต่ทำไมถึงหวงแหนนัก ทำไมถึงต้องต่อว่าลูก เพราะความโกรธสั่งให้อาม่าเป็นองครักษ์พิทักษ์ตัวมันไปแล้ว ก็เลยไล่ตะเพิดลูกสาว
ความเศร้าก็เหมือนกัน ตัวเศร้าพอมันครองใจ มันก็จะบงการให้เราจ่อมจมอยู่กับความเศร้า ใครจะมาชวนไปไหน ชวนไปเที่ยว ไม่พอใจเขา ความเศร้าจะสั่งให้เราไล่ตะเพิดคนเหล่านั้นไป อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันจะขอนั่งเจ่าจุกอยู่ตรงนี้ แบบนี้เรากลายเป็นองครักษ์พิทักษ์ความเศร้าไปเสียแล้ว ใครจะมาชวนให้ทำอะไร ใครมาชวนไปปฏิบัติธรรม ใครจะมาชวนไปเที่ยว หรือแม้แต่มาพูดคุยเพื่อให้เราหายเศร้า เราจะโกรธมาก จริงๆไม่ใช่เราโกรธ แต่ความโศกตัวโศกตัวเศร้ามันโกรธมันก็จะสั่งให้เราไปว่าเขา อย่ามายุ่งกับฉัน ไปได้แล้ว เพราะมันรู้ว่าถ้าหากว่าถ้าหากว่าเราลุกไปทำอะไร ความโศกความเศร้าจะคลายไป
มีหมอเด็กคนหนึ่งสามีตายแกก็เศร้ามาก เพราะว่าอายุของสามีก็ยังไม่มาก งานศพผ่านไปเธอก็ยังไม่หายเศร้า เวลามาทำงานก็ซึมอยู่ในห้องของตัวเอง เป็นหมอใหญ่ด้วย ผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้วสองอาทิตย์แล้วก็ยังไม่เขยื้อนขยับออกไปทำงานเสียที ทีแรกเพื่อนร่วมงานพยาบาลก็เห็นใจ แต่ตอนหลังรู้สึกว่าชักจะนานไปแล้ว แล้วคนไข้ก็จะจมอยู่ในความโศกความเศร้ามาก พยายามชวนออกไป ไปเที่ยวก็ไม่ไป พยายามขอร้องให้ไปช่วยรักษาเด็กก็ไม่สนใจออกไปข้างนอก ไปที่วอร์ดก็ไม่ไป วันหนึ่งหัวหน้าพยาบาลก็เลยเอาทารกมาวางไว้ที่โต๊ะ ทารกจากหอผู้ป่วยนั่นแหละ หมอก็ไม่สนใจ ไม่สนใจก็ซึมต่อไป แต่พอเด็กร้องก็ปล่อยให้ร้องต่อไป นานเข้าก็รำคาญก็มาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น อ้อ เด็กฉี่นี่ก็เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ เปลี่ยนเสร็จสักพักสักชั่วโมงเด็กก็ร้องอีก เลยลุกขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กไม่สบายก็ให้ยาไป พอเลิกงานสัก 5 โมงเย็นก็เอาเด็กไปคืนที่วอร์ดแล้วกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นปรากฏว่าประโยคแรกที่หมอถามคือเด็กคนนั้นเป็นอย่างไร สนใจแล้วคราวนี้ แล้วเข้าไปที่วอร์ดเด็ก แล้วดูแลเด็กคนนั้นแล้วก็ดูแลเด็กคนอื่นๆ ต่อไป ทีละน้อยๆ ความเศร้าโศกก็หายไป
ความเศร้าโศกมันรู้ว่าถ้าหากว่าเราออกไปทำนั่นทำนี่ความเศร้าโศกจะคลาย มันจึงไม่ยอม ใครมาชวนให้เราไปไหนเราก็จะโวยวาย ไล่ตะเพิดเขาไป อย่ามายุ่งกับฉัน แบบนี้ตัวโศกมันสั่งเพื่อจะได้ครองจิตครองใจเราไปได้นานๆ แล้วไม่ใช่เท่านั้นมันจะพยายามที่จะหาอุบายที่จะให้เราอยู่ในอำนาจของมันมากขึ้น เวลาเราโกรธใครก็ดี เวลาเราโศกเศร้าในเรื่องใดก็ดี เราก็จะไปขุดคุ้ยความไม่ดีของเขา อาจจะถอยหลังกลับไป 10 ปีที่แล้ว หรืออาจจะถอยหลังถึง 20 ปีที่แล้ว ทั้งที่เขามีความดีมากมาย เอื้อเฟื้อเกื้อกูลเรามากมาย แต่ใจเราก็จะไปขุดคุ้ยแต่ความไม่ดีของเขาเพื่อมาตอกย้ำหรือเพิ่มพูนความโกรธให้มากขึ้น ตัวโกรธมันจะได้มีอิทธิพลครองจิตครองใจเราได้นานๆ และแน่นหนามากขึ้น เวลาเราโศกเศร้าเสียใจ ความเศร้ามันจะสั่งให้เราไปจมอยู่กับความเศร้า หรือไปขุดคุ้ยเรื่องเศร้าๆ ที่ทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง ทำให้เรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชะตากรรมของตัวเองว่าทำไมฉันเคราะห์ร้ายแบบนี้ หรือทำไมฉันแย่แบบนี้ ทำไมฉันทำผิดทำพลาดเป็นประจำ เห็นแต่ความล้มเหลว เห็นแต่ความผิดพลาด เพื่ออะไร เพื่อตัวโศกจะได้ครองจิตครองใจเราได้นานๆ และนี่คืออุบายของมัน
และที่สำคัญอีกอย่างก็คือมันพยายามให้เราส่งจิตออกนอก ไม่ให้กลับมาดูตัวเอง ไม่ให้เรากลับมามองตน โกรธใครจิตก็จะไปเพ่งอยู่กับเหตุการณ์หรือคนที่ทำให้เราโกรธ คนที่ทำไม่ดีกับเรา คนที่ต่อว่าด่าทอเรา หรือคนที่ทำให้เรามีความเศร้าโศก มันจะดึงจิตของเราออกไปข้างนอก เพราะว่ามันกลัวว่าถ้าเรากลับมามองตน กลับมาดูจิตดูใจจะเห็นมันกำลังอาละวาดกำลังก่อกวนปั่นปวนอยู่ข้างใน ตัวโศกตัวเศร้าตัวโกรธมันกลัว มันกลัวถูกรู้ถูกเห็น ถ้าใจเราไปเห็นมันเมื่อไร มันจะอ่อนยวบยาบ จะเรียกว่าเลือนหายไปเลย จุดอ่อนมันอยู่ตรงนั้น ถึงแม้มันจะเก่งมีอุบายมากมาย จุดอ่อนอยู่ตรงนี้
เมื่อเรารู้ว่าจิตใจกำลังทุกข์ ชีวิตกำลังย่ำแย่ หรือกำลังเผลอทำในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตัวเอง เช่นเศร้าโศกจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่เป็นอันทำงาน เสื้อผ้าหน้าผมไม่สนใจ ใครมาพูดมาคุยก็ขับไล่ ไล่ตะเพิด ถ้าเกิดว่าเฉลียวใจตรงนี้รู้สึกว่ามันเป็นโทษ หรือเวลาโกรธ โกรธจนกระทั่งตัวสั่น โกรธจนป่วย ความดันขึ้น ถ้าหากว่าเฉลียวใจตรงนี้ แล้วก็อยากจะให้ตัวโกรธตัวเศร้าสลายหายไป ไม่มาบงการจิตใจ ต้องกลับมาหมั่นดูจิตดูใจของตัวเองบ่อยๆ หมั่นดูใจของตัวเอง สติสำคัญมากเลย สติเป็นปฏิปักษ์โดยตรงกับตัวโกรธตัวเศร้าและตัวทุกข์ทั้งหลาย เป็นภูมิที่คุ้มกันจิตใจของเรา ร่างกายเราก็มีภูมิคุ้มกันที่คอยกินคอยกำจัดเชื้อโรคสิ่งแปลกปลอมที่มันเข้ามาในร่างกาย ไม่ให้เข้ามายึดครองจิตใจของเรา ไม่ให้ยึดครองร่างกายของเรา หรือเป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา จิตใจเราก็มีตัวสติที่สามารถจะเล่นงานหรือจัดการกับตัวโศกตัวเศร้าตัวโกรธได้ สติไม่ได้ทำอะไรมาก แค่รู้ แค่ทำให้ใจรู้ทัน พอรู้ทันมันก็จางคลายไป
ฉะนั้นการสร้างสติ เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากสำหรับการที่จะช่วยรักษาจิตใจให้เป็นปกติสุข ไม่ให้ตัวโกรธ ตัวเศร้า รวมทั้งตัวโลภ แล้วก็ตัวรู้สึกผิด ตัวเครียด เข้ามาครองจิตหรือบงการชีวิตของเรา การมาเจริญสติเรื่องนี้เป็นหัวใจเลย จุดมุ่งหมายคือเพื่อให้เรามารู้ทันจิตใจของเรา ใจกระเพื่อมก็รู้ว่าใจกระเพื่อม ใจโกรธก็รู้ว่าโกรธ ใจเศร้าก็รู้ว่าเศร้า แล้วไม่ต้องรอให้มันเศร้านาน เพราะยิ่งเศร้านานมันยิ่งฝังรากลึกครองจิตครองใจเรามากขึ้น ถ้ารู้ตั้งแต่ต้นมือ มันก็จะหลุดจะสลัดจะเป็นอิสระจากมันได้ไว การเจริญสตินอกจากการเจริญสติในรูปแบบ อย่างที่เราปฏิบัติที่นี่ เช่นการเดินจงกรม การยกมือเป็นจังหวะหรือเรียกว่าสร้างจังหวะ เราสามารถจะเจริญสติได้ในชีวิตประจำวันได้
การเจริญสติได้ในชีวิตประจำวันหลักง่ายๆ คือตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น หรือทำอะไรใจก็รู้สึก เวลาตัวเราอยู่ห้องน้ำใจเราก็อยู่ห้องน้ำ เวลาตัวอยู่ห้องนอนใจเราก็อยู่ห้องนอน ไม่ใช่ตัวอยู่ห้องนอนแต่ใจนี่ไปอยู่ที่ทำงาน ก็เลยทำให้นอนไม่หลับ บางทีตัวอยู่บ้าน อยู่บ้านกับลูก แต่ใจนึกไปถึงที่ทำงาน ก็เลยเครียด ก็เลยหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดีก็ระบายใส่ลูก ทั้งที่ลูกก็ไม่ได้พูดอะไรผิด แต่เป็นเพราะเครียดเรื่องงานก็เลยระบายใส่ลูก แบบนี้ตัวกับใจมันอยู่คนละที่ ลองฝึกดู ตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น หรือว่าทำอะไรก็ทำทีละอย่าง เวลาอาบน้ำก็อาบน้ำอย่างเดียวไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องนึกว่าเดี๋ยวจะต้องทำอาหารอะไรให้ลูกกิน ไม่ต้องวางแผนเรื่องงานเรื่องการ ลองวางมันลงดูบ้าง ถ้าจะคิดเรื่องงานเรื่องการก็ให้คิดเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ต้องทำอย่างอื่น แต่ถ้าจะทำอย่างอื่น เช่นอาบน้ำ กินข้าว ใจเราก็อยู่กับการอาบน้ำ กินข้าว
ลองฝึกทำทีละอย่างดู เหมือนกับเวลาเรากินข้าวเราก็กินทีละคำ เวลาเราเดินเราก็เดินทีละก้าว กินทีละหลายคำก็แย่ เดินทีละหลายก้าวก็อาจจะหกล้ม เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง จะสร้างนิสัยที่ทำให้เรามีสติมากขึ้น เวลาจะทำอะไรใจก็อยู่กับสิ่งนั้นได้อย่างต่อเนื่อง ความวิตกกังวลก็จะรบกวนจิตใจเราน้อย ทำงานตอนเช้าก็อย่าเพิ่งไปนึกถึงงานตอนกลางวัน ทำงานอะไรอยู่ข้างหน้าก็อย่าเพิ่งไปนึกถึงอีกสิบอย่างที่มันคาอยู่ หลายคนทำงานข้างหน้าแต่พอมานึกถึงงานอีกสิบอย่างที่ยังคาอยู่ ท้อเลย หนักใจเลย แล้วก็เลยไม่เป็นอันทำงานที่อยู่ข้างหน้า อันนี้เราอยู่กับปัจจุบัน ทำทีละอย่างก็เป็นเจริญสติที่ดี การที่เราหมั่นทำเป็นนิสัยจะช่วยให้เรามีภูมิคุ้มกันรักษาจิตใจ เวลามีความเครียด ความวิตกกังวล ความหนักอกหนักใจ ความโกรธ ความเศร้า มันจะเข้ามาเล่นงานจิตใจเราไม่ได้นาน มันโผล่เข้ามาประเดี๋ยวเดียวมันก็ล่าถอยไป เพราะว่าใจมีสติเป็นเครื่องรักษา เหมือนกับมียามเฝ้า และที่สำคัญอย่างหนึ่งนอกจากการทำทีละอย่าง หรือรักษาใจให้อยู่กับปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวช่วยคือ การสร้างสิ่งแวดล้อมให้เกื้อกูลต่อการที่เราจะมีสมาธิหรือมีสติ
สิ่งต่างๆเดี๋ยวนี้เราพากันบั่นทอนสติสมาธิของตัวเอง ด้วยการปล่อยใจให้ว่อกแว่กไปกับสิ่งภายนอก แล้วเดี๋ยวนี้มีสิ่งเร้าที่คอยทำให้ใจเราไม่ค่อยมีสติเท่าไร สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือโทรศัพท์มือถือ เป็นตัวที่ทำให้เราไม่สามารถจะมีสติกับอะไรได้นานๆ ใจจะคอยพะวง จะคอยว่อกแว่ก เคยมีการทดลองให้คนทำกิจกรรมโดยใช้คอมพิวเตอร์ มีโจทย์ให้ทำให้แก้ แล้วคนกลุ่มหนึ่งเอาโทรศัพท์มือถือวางไว้ที่โต๊ะข้างๆคอมพิวเตอร์ แล้วเอาจอปิดเอาไว้ แล้วก็ปิดเสียงด้วย อีกกลุ่มหนึ่งเอาโทรศัพท์ไปไว้อีกห้องหนึ่ง คือไม่ต้องเห็น เพราะว่ากลุ่มแรกที่มีโทรศัพท์อยู่บนโต๊ะแล้วมองเห็น ทั้งๆที่ปิดจอหรือปิดเสียง ปรากฏว่าทำโจทย์ทำการบ้านที่เขามอบหมายไม่ดีเท่าคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เอาโทรศัพท์ไปไว้อีกห้องหนึ่ง แปลว่าอะไร แปลว่าคนกลุ่มแรกไม่มีสมาธิ ใจมันพะวง บางคนก็อาจจะอยากพลิกดูโทรศัพท์ว่ามีข้อความอะไรบ้าง หรือบางคนก็พยายามหักห้ามใจว่าอย่า อย่าไปพลิกดู อย่าไปเปิดดู อย่าไปเช็คข้อความ แค่คิดแบบนี้เข้า ใจก็ว่อกแว่ก ไม่มีสมาธิกับการทำโจทย์ที่ได้รับมอบหมาย
แล้วปกติคนเรา เราไม่ได้ปิดจอ เราไม่ได้ปิดเครื่อง เราวางเครื่องชนิดที่ว่ามองเห็นจอได้ง่าย แล้วก็จะมีข้อความเข้ามา ทางไลน์ ทางเฟสบุ๊ค เดี๋ยวก็จะมีบอลลูนสีแดงในช็อทคัทของหน้าเครื่องว่ามีข้อความเข้ามาแล้ว เราก็อดรนทนไม่ได้ ทำอะไรก็ตามใจเราไม่สามารถจะอยู่กับสิ่งนั้นได้นานๆ เพราะว่ามีตัวที่คอยดึงจิตออกไป และเดี๋ยวนี้มันมารบกวนเราจะเรียกว่าทุก 3 นาที ทุก 5 นาทีเลยก็ว่าได้ สมัยก่อนคนเราจะถูกรบกวนประมาณทุก 8 นาที เมื่อสมัยก่อนคือ 10 ปีที่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้ทุก 3 นาที และนึกไม่ออกเลยว่าถ้า 3 ปีข้างหน้า 5 ปีข้างหน้าจะรบกวนเราอาจจะทุกนาทีเลยก็ได้
เพราะฉะนั้นคนสมัยนี้สติแย่มาก ไม่สามารถที่จะมีสติอยู่กับอะไรได้นานๆ ไม่สามารถจะมีสติอยู่สิ่งที่เราทำอยู่ข้างหน้าได้ต่อเนื่อง เพราะว่ามีโทรศัพท์ที่มาคอยดึงความสนใจ แบบนี้เรียกว่าเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างหนึ่งของคนสมัยนี้ แม้จะปิดโทรศัพท์ แม้จะปิดเครื่องไปเลย แล้ววางไว้ข้างหน้าก็อดไม่ได้ อยากจะเปิดเครื่องเพื่อที่จะมาเช็คข้อความ เดี๋ยวนี้เราเป็นกันถึงขนาดนี้แล้ว แล้วเดี๋ยวนี้ก็พบว่าระยะเวลาการจดจ่อของคนเรา ของคนสมัยใหม่มันสั้นมาก 10 ปีก่อนประมาณ 12 วินาที แต่เดี๋ยวนี้ประมาณ 8 วินาทีแค่นั้น เขาว่าสั้นกว่าปลาทองอีก ปลาทองมีความสนใจประมาณ 9 วินาทีแล้วก็ไปสนใจอย่างอื่น แต่คนเราลดเหลือ 8 วินาทีน้อยกว่าปลาทองอีก และถ้าเราปล่อยให้เราอยู่ใต้อิทธิพลของโทรศัพท์มือถือแบบนี้ก็คงจะโดนตัวโศก ตัวโกรธ หรืออาจจะถึงขั้นผีสุราเข้ามาครอบงำ แล้วก็ทำให้เรากลายเป็นซอมบี้ไปเลยก็ได้ ซอมบี้ในหนังมันไปทำร้ายคนอื่น แต่ซอมบี้ในโลกจริงๆ มันทำร้ายตัวเอง อย่างนี้ต้องระวังมาก