แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พายุฝนเมื่อคืนต้นไม้โค่นล้มมีเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นต้นไม้สูงๆ ต้นสูงๆแล้วถ้าเราสังเกตรากของต้นไม้เหล่านั้นก็จะไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร บางทีพื้นดินหรือแผ่นดินที่ต้นไม้เหล่านั้นยึดเอาไว้ก็ไม่ค่อยมั่นคง แผ่นที่ดินที่อยู่ริมสระริมบึงพอโดนพายุพัดแรงๆก็โค่น แต่แปลกตรงสะพานที่ไปศาลาน้ำ เมื่อวานอาตมาก็จุดธูปเอาไว้นั้น มีธูปอยู่สองดอกที่มันไม่ไหม้ และก็ค้างอยู่ตรงนั้นเสียบไว้ตรงช่องรูตะปู พอมาวันนี้มันก็อยู่ที่เดิม เหมือนกับว่าไม่มีลมมาพัดให้มันกระเจิงไปเลย ทั้งๆที่บริเวณนั้นก็มีลม ต้นไม้สูงใหญ่แต่โค่นล้มแต่ก้านธูปเล็กๆบางๆ มันกลับปักอยู่ในที่เดิมได้ สิ่งนี้ก็แปลกทั้งที่เมื่อคืนลมก็แรงมาก ถ้าต้นไม้ไม่สูงมันก็คงจะไม่โค่นล้ม หรือสูงแต่มีรากที่มั่นคงเข้มแข็งก็คงจะทานพายุมรสุมได้ตลอดทั้งคืน แต่ที่พังครืนก็เพราะว่าสูงด้วยและรากก็ไม่แข็งแรง ส่วนธูปก้านบางๆเนื่องจากมันอยู่ที่ต่ำ ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรยึดมันเลยแต่พออยู่ที่ต่ำแล้วลมก็ไม่ค่อยแรงเท่าไร แถมยังมีพวกต้นไม้ต่างๆคอยกันลมเอาไว้ มันก็คงจะโอนเอนไปมาแต่ไม่ถึงกับหลุดลอยไปจากสะพาน
เปรียบเทียบได้กันคนเหมือนกัน คนเราฐานะที่สูง หรืออยู่ในจุดที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นเพราะที่ร่ำรวยหรือมีฐานะตำแหน่งสูงๆ ก็คงไม่ต่างจากต้นไม้ที่สูง ต้นไม้สูงก็ต้องเจอลมพัดกระหน่ำเป็นครั้งคราว คนที่มีตำแหน่งสูงหรือคนที่เด่นดังเป็นที่รู้จักก็ต้องเจอกับลมเหมือนกัน อาจจะเป็นลมปากของผู้คน บางทีลมปากอาจจะรุนแรงยิ่งกว่าพายุเสียอีก อาจจะรวมไปถึงการเจออุปสรรคมากมาย ยิ่งอยู่สูงก็ยิ่งเจออุปสรรคเจอปัญหา ถ้าหากจิตใจไม่เข้มแข็งหรือด้านในไม่มั่นคง ไม่มีจิตที่หยั่งลึก พอเจอปัญหา เจออุปสรรค เจอคำวิพากษ์วิจารณ์ก็ลมระเนระนาดได้เหมือนต้นไม้
ผู้คนส่วนใหญ่ก็อยากจะอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่น เด่นเพราะร่ำรวย เด่นเพราะฐานะ หรือเป็นเพราะชื่อเสียง แต่ไม่ค่อยได้นึกว่าอยู่ตรงจุดนั้นก็เสี่ยงเหมือนกัน เพราะว่าจะเจอพายุพัดกระหน่ำเมื่อไรก็ไม่รู้ และเนื่องจากโดดเด่นก็ต้องเจอหนักกว่า ไม่เหมือนกับคนที่อยู่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินก็ไม่ค่อยเจอเท่าไร อย่างก้านธูปนั้นมันไม่ค่อยเจอลมเพราะมันอยู่เตี้ยมันอยู่แค่สะพานก็เลยรอดตัวไป อันนี้ก็เป็นประโยชน์ของการที่อยู่ในสถานที่ต่ำ ไม่สูง ผู้คนที่อยากจะอยู่ในสถานะที่สูงก็ไม่ค่อยได้เตรียมใจว่าเมื่อเจอกับพายุ เจอกับมรสุม เจอกับลมปากผู้คนซึ่งมีมากมาย จะเตรียมใจรับมืออย่างไร
วันก่อนได้พูดไปว่าคนที่ร่ำรวยก็จะมีคนอิจฉามาก คนจะหาประโยชน์ในหลายรูปแบบ เช่นมาประจบสอพลอ หรือไม่ก็มาฟ้องเรียกค่าเสียหาย หรือไม่เช่นนั้นก็ต่อว่าด่าทอกระแนะกระแหน เดี๋ยวนี้มีช่องทางให้ทำอย่างนั้นได้มากมาย เพราะว่ามี Social media มี Line, Facebook, Twitter ใครไม่ชอบขี้หน้าคนนั้นคนนี้ก็สามารถจะเขียนข้อความไปด่าไปป่วนได้ เดี๋ยวนี้คนแบบนี้ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนอยากเป็นดารา หนุ่มสาวอยากเป็นดารา อยากเป็นคนเด่นคนดัง แต่พอเป็นแล้วถึงมารู้ว่าไม่ใช่ง่าย เพราะว่าถึงแม้จะมีคนรู้จักมาก แต่คนที่เกลียดคนที่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์ก็มาก พวกที่อยากเป็นดาราพอได้เป็นแล้วก็ไม่ได้มีความสุข เพราะว่าต้องเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด คือลมปากของผู้คน ข่าวลือ คำนินทา นินทาว่าท้อง นินทาว่าไปเป็นชู้กับคนนั้นคนนี้ เดี๋ยวนี้เต็มไปหมดใน Social media
บางคนทนไม่ไหว อย่างดาราเกาหลีก็มีหลายคนที่ฆ่าตัวตาย มีชื่อเสียงก็มากฆ่าตัวตายเป็นระลอกๆ ดาราญี่ปุ่นก็เหมือนกัน ดาราไทยก็มีเหมือนกัน หรือมิเช่นนั้นก็ประสาทเสีย ผวา อย่างนี้ก็เปรียบกับต้นไม้ ต้นไม้ที่สูงแต่ว่ารากไม่ลึก เพราะไม่เข้าใจเรื่องโลกธรรม 8 ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมา ก็หวังว่าจะได้รับแต่ความชื่นชมสรรเสริญ ไม่ได้คิดว่าสรรเสริญกับนินทามันของคู่กัน สมัยนี้ดังง่ายเพราะว่ามันมีสื่อ Social media ให้ดังได้ง่ายๆ แต่ขณะเดียวกันก็ถูกด่าได้ง่ายเหมือนกันเพราะมีพวกป่วน เดี๋ยวนี้เป็นปัญหามากในวงการ Social media คือพวกป่วน หลายคนเลิกใช้ Facebook หลายคนก็เลิกเล่น Twitter ไปเลย เพราะว่าเจอพวกป่วนไปก่อกวนสารพัด ไม่ใช่แค่ไปป่วนเพราะเห็นต่างทางการเมือง แต่มีเรื่องจะป่วนได้ทุกเรื่อง คนอ้วน คนผอม คนหล่อ ก็เป็นที่อิจฉาของผู้คน เขาก็ไปหาทางโจมตีใส่ร้าย เพราะฉะนั้นการที่เป็นคนเด่นคนดัง หรือการที่มีสถานะสูง เป็นที่รู้จัก หรือมีบริษัทบริวารมากๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นของดี ต้องแลกมาด้วยความทุกข์ แต่คนก็มองไม่เห็นเรื่องโลกธรรม
เมื่อวานนี้ตอนที่พายุพัดกระหน่ำหลายคนคงตื่น เป็นโอกาสดีที่เราจะได้มาดูใจของเรา ก็ไม่รู้ว่ากี่คนที่จะมีสติกลับมาดูใจของตัว ตอนนั้นหลายคนอาจจะมีความกลัว มีความวิตก มีความกังวล น้ำจะท่วมหรือเปล่า หรือน้ำจะท่วมไหม บางช่วงกุฏิมันถูกเขย่า ศาลาน้ำมีลมพัดจนเขย่า ผู้คนส่วนใหญ่ก็มองไปที่ส่งจิตออกนอก แต่ถ้าเราหวนกลับมาดูใจของเราจะถือว่าได้ประโยชน์ ได้ประโยชน์จากพายุหรือมรสุมเมื่อคืน เป็นการฝึกใจอย่างดีเลยว่าเรามีความกลัวแค่ไหน มีความวิตกกังวลหรือไม่ หรือเราปล่อยให้มันครอบงำใจโดยที่ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว แบบฝึกหัดอย่างนี้นานๆจะมีที
สำหรับสุคะโตถ้าเป็นเรื่องของดินฟ้าอากาศ เราจะเจริญสติอยู่แต่ในศาลาหอไตร เดินจงกรมสร้างจังหวะอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสติรู้ทันเวลาเจอเหตุการณ์ต่างๆ การฝึกสติ หรือสติปัฏฐาน4 ถ้าสรุปย่อๆ คือฝึกสติ เมื่อเราทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าเราทำอะไร ตั้งแต่ตื่นนอน ล้างหน้า แปรงฟัน เก็บที่นอน ไม่ว่าทำอะไรก็ให้ใจรู้ว่ากำลังทำสิ่งนั้น มีความรู้สึกตัวทุกอย่าง ทุกอิริยาบถที่เราเคลื่อนไหวหรือทำ ในบทกายานุปัสสนาก็มีส่วนหนึ่งที่พูดถึงการทำความรู้สึกตัว ในเวลาเดินไปข้างหน้า ถอยไปข้างหลัง เหลียวซ้าย แลขวา ห่มผ้า คู้ขา เหยียดขา กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม อุจจาระ ปัสสาวะ ทั้งหมดนี้เรียกรวมๆว่าให้มีความรู้สึกตัว เวลาเราทำอะไรก็ตาม
ส่วนใหญ่เวลาเราทำอะไรเราทำด้วยกาย ไม่ว่าด้วยแขน ด้วยขา หรือด้วยอวัยวะต่างๆในร่างกายของเรา ก็ให้มีสติรู้ เรียกว่ารู้กายเคลื่อนไหว ให้มีสติไม่ว่าเราเจออะไรก็ตาม เวทนานุปัสสนา หรือจิตตานุปัสสนา ถ้าดูดีๆ คือการมีสติไม่ว่าเราเจออะไรก็ตามที่เกิดกับกายและใจ เช่น มีความปวด มีความร้อน มีความหนาว หรือมีความโกรธ มีความอยากได้ พวกนี้คือปฏิกิริยาเมื่อเราเจอหรือเราเกิดผัสสะ ไม่ว่าจะเห็นรูปทางตา ได้ยินเสียงทางหู หรือสัมผัสด้วยกาย อย่างเมื่อวานนี้เราก็เจอ เจอลมพายุ เจออะไรต่ออะไรมากมายที่จะส่งผลต่อใจของเรา ส่วนใหญ่จะมีความวิตก เกิดความกังวล เกิดความกลัว นั่นคือแบบฝึกหัดให้เราได้มีสติมารู้ใจ มีอะไรก็ให้ยอมรับ เริ่มต้นด้วยการรู้ก่อน และเพียงแค่รู้ก็ช่วยได้มากแล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าพูดย่อๆ การเจริญสติก็มีอยู่สองส่วน หรือสองโอกาส คือหนึ่ง เมื่อเราทำอะไรก็ตามให้มีสติรู้ เมื่อเราทำด้วยกายก็ให้รู้ว่ากายทำอะไร แบบนี้เรียกย่อๆว่า รู้กายเคลื่อนไหว นอกจากทำแล้ว ชีวิตเราต้องเจอโน่นเจอนี่ คือเกิดผัสสะนั่นเอง เจอนี่ก็มีทั้งเจอของที่ชอบและของที่ไม่ชอบ ประสบกับสิ่งรัก ประสบกับสิ่งที่ไม่รัก รวมทั้งพลัดพรากจากสิ่งที่รัก แบบนี้เรียกรวมๆว่าเกิดมีเกิดเจอ เจอบวกบ้าง เจอลบบ้าง เมื่อเจอแล้วก็กลับมาดูใจ อย่างนี้คือเห็นใจคิดนึก ตลอดทั้งวันในยามตื่นมีแค่สองอย่างเท่านั้น ส่วนใหญ่คือ ทำกับเจอ เราทำโน่นทำนี่แล้วเราก็เจอโน่นเจอนี่ บางช่วงอาจจะไม่ได้ทำอะไร นั่งอยู่เฉยๆ แต่ก็เจอ เช่นอาจจะได้ยินเสียงนกร้อง อาจจะเจอตุ๊กแก อาจจะเจอยุงกัด ก็อย่าไปมัวสนใจแต่สิ่งที่ปรากฏกับเรา หรืออย่าไปสนใจแต่สิ่งที่เราเจอ ที่สำคัญกว่านั้นคือ ใจเป็นอย่างไร ใจคิดนึกอย่างไร ใจกระเพื่อมหรือเปล่า ถ้าทำสองอย่างนี้ได้ก็เรียกได้ว่าเราปฏิบัติธรรมทั้งวันเลย ทำอะไรก็ตามใจก็รับรู้ คือรู้สึก
ถ้าใจลอยเมื่อไรก็ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เวลาเจออะไร ดีใจเสียใจ ยินดียินร้าย เห็นของอร่อยก็ยินดี เจองูยินร้าย ลมพัดเย็นสบายกระทบกายดีใจ แดดร้อนมากระทบไม่ชอบ เห็นพระอาทิตย์สวยยินดี เจอมรสุมเจอพายุก็กลัว พวกนี้เป็นโอกาสที่เราจะได้ฝึกสติ อย่ามัวแต่ส่งจิตออกนอก หรือมัวแต่จ้องมองสิ่งที่เราเจอ หรืออย่ามัวแต่เงี่ยหูฟังเสียงที่มากระทบหู สิ่งนั้นก็จำเป็นอยู่เพราะว่าเราก็ต้องใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อรักษาตัวให้ปลอดจากอันตราย แต่อันตรายไม่ได้มีอยู่แค่นอกตัว อันตรายมีอยู่ในใจด้วย ต้องมีสติเข้าไปดู รู้ทันว่าใจเป็นอย่างไร เวลาตาเห็นรูปก็ให้มีสติเห็นความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้นด้วย เวลาหูได้ยินเสียงก็ให้มีสติเห็นความกลัว ความกังวลที่มันเกิดขึ้นในใจด้วย ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็เรียกว่ากำลังบำเพ็ญจิตตานุปัสสนาแล้วก็จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวลามีอะไรมากระทบแล้วเกิดความปวดความเมื่อยก็ให้เห็น แบบนี้คือรู้เวทนานุปัสสนา เห็นความปวดความเมื่อยแต่ไม่เข้าไปเป็นผู้ปวดผู้เมื่อย มีอะไรมาทิ่มมาแทงที่เท้า ที่มือ มันปวดก็เห็นความปวด อย่าไปเป็นผู้ปวด หรืออาจจะเข้าไปเป็นผู้ปวดแล้วมีสติรู้ทันก็ถอนจากมา แบบนี้เขาเรียกว่าเจริญหรือบำเพ็ญเวทนานุปัสสนา
เวลามีลมเย็นๆกระทบกายสบาย รู้สึกเป็นสุขก็มีสติเห็น อย่าเห็นแต่เฉพาะทุกขเวทนา สุขเวทนาก็เห็นด้วย อย่ารู้ทันแต่เฉพาะอารมณ์ที่เป็นอกุศล ให้รู้ทันอารมณ์ที่เป็นกุศล หรืออย่ารู้ทันแต่เฉพาะความยินร้ายให้ความยินดีก็รู้ด้วย เวลาเพลิดเพลินกับความยินดีก็ให้รู้ จริงๆแล้วกับดักของนักปฏิบัติอยู่ที่ว่า เวลาเกิดสุขเวทนาหรือความยินดีแล้วเพลิน คนเราจะรู้ทันทุกขเวทนาได้ง่ายกว่า หรือรู้ทันความยินร้ายได้ง่ายกว่า เพราะว่าใจเราไม่ชอบมันอยู่แล้ว อะไรที่เราไม่ชอบเราจะไว แต่อะไรที่เราชอบเราจะเคลิ้มเรามักจะหลงได้ง่าย อะไรที่เราไม่ชอบเราพยายามจะหนีห่าง แต่อะไรที่เราชอบเราก็มักจะโดดเข้าหาโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว จริงๆสิ่งที่เราต้องระมัดระวังมากกว่าไม่ใช่สิ่งที่เราไม่ชอบ แต่คือสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่ให้ความสุขกับเรา
ทุกวันนี้คนเจ็บคนป่วย ไม่ใช่เพราะป่วยเนื่องจากเจอสิ่งที่ไม่ชอบ แต่ป่วยเพราะเจอหรือไปหลงอยู่กับสิ่งที่ชอบ เช่น ชอบกินไขมัน ชอบกินเนื้อ ชอบกินพิซซ่า ชอบกินแฮมเบอร์เกอร์ ชอบกินหวาน สมัยก่อนก็ชอบกินเนื้อดิบ ปลาดิบ พอชอบกินปลาดิบเป็นอย่างไร พยาธิใบไม้ในตับเป็นมะเร็งตับ ตายเร็ว เดี๋ยวนี้มีสุขอนามัยมากขึ้น แต่ไปพลาดท่ากับของชอบแบบอื่น เช่น ชอบน้ำตาล ชอบหวาน แล้วเป็นอย่างไร เป็นเบาหวาน ชอบพวกของทอดก็โรคหัวใจ ไขมันในเส้นเลือด ไขมันทำให้เส้นเลือดในสมองแตกบ้าง หรือทำให้เป็นโรคหัวใจ ชอบกินน้ำอัดลม กินมากๆเป็นเบาหวาน โรคต่างๆทุกวันนี้เราตายเพราะของที่ชอบทั้งนั้น ไม่ใช่ตายเพราะสิ่งที่ไม่ชอบ เพราะว่าพอชอบแล้วก็เพลิน ก็หลง ชอบสบายก็เหมือนกัน ชอบสบายไม่ค่อยอยากออกกำลังกาย ออกกำลังกายแล้วเหนื่อย ชอบสบาย ชอบนั่ง ชอบนอน วันๆเอาแต่นั่งเอาแต่นอน พวกนี้ตายเร็ว มีคนบอกไว้ว่าฆาตกรที่น่ากลัวมาก คือเก้าอี้ เป็นฆาตกรที่ฆ่าคนมามากแล้ว คนตายเพราะชอบนั่ง นั่งเก้าอี้ทั้งวัน ไม่ใช่นั่งกินอาหารอย่างเดียว นั่งดูโทรทัศน์ นั่งเล่น Line เวลาไปทำงานก็นั่ง เวลาเดินทางก็นั่ง กลับมาจากที่ทำงานก็นั่ง ก็เลยเป็นโรคหัวใจ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องระมัดระวังคือสิ่งที่เราชอบ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม หรือเทคโนโลยี รวมถึงสิ่งที่เป็นอารมณ์ภายในด้วย ความยินดี ความสุข ความเพลิดเพลิน เราจะไม่ค่อยรู้ทันมันเท่าไร ถ้าเป็นความโกรธ ความเกลียด เราจะรู้ทันได้ไว ต้องฉลาดในการที่จะรู้สิ่งที่เราชอบ บางทีก็ต้องพาตัวเองไปเจอสิ่งที่เราไม่ชอบบ้าง เพราะถ้าเราคลุกอยู่แต่กับสิ่งที่ชอบไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามจะทำให้เราไม่ค่อยเติบโตเท่าไร และบางทีสิ่งที่ชอบนั้นทำให้เราแย่ลงด้วย การออกไปเจอสิ่งที่ไม่ชอบ เขาเรียกว่าออกจากไข่แดงไปเจอกับสิ่งที่ลำบาก ไปเจอกับสิ่งที่อันตราย ไปเจอกับสิ่งที่ไม่สะดวกสบาย อย่างนี้ก็เป็นโอกาสที่จะฝึกจิตฝึกใจ ให้เรารู้ทันอารมณ์ฝ่ายลบที่เกิดขึ้น และขณะเดียวกันก็ทำให้เราไม่ยึดติดกับอารมณ์ที่เป็นบวก
การที่เราเกิดมรสุมอย่างเมื่อคืนก็ดีเหมือนกัน ทำให้มีเรื่องตื่นเต้นอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นมันจืดไป หรือทำให้เราจำเจอยู่กับความเคยชินเดิมๆ เจอสิ่งที่ไม่คุ้นเคยบ้าง เจอสิ่งที่ไม่จำเจบ้าง ความจำเจก็เป็นโทษ อยู่กับความจำเจมากๆ ถ้าไปเสพติดมันก็ทำให้กลายเป็นประเภทว่ารากงอก และพอออกจากสิ่งนั้นไปก็กลายเป็นปลิโพธ ปลิโพธคือความวิตกกังวล เช่นพออยู่วัดแล้วก็ติดวัด เวลาไปที่อื่นก็จะเกิดปลิโพธขึ้นมา อยู่แต่กุฏิ ออกจากกุฏิก็เกิดปลิโพธ เพราะอย่างนั้นสมัยก่อนพระสงฆ์จะนิยมออกธุดงค์ ออกไปเจอความอยากลำบาก จะได้ไม่ติดที่ ไม่ติดโยม ไม่ติดความสบาย ทำให้สามารถจะให้ใจเป็นอิสระจากสิ่งที่ชอบได้ เพราะถ้าอยู่กับสิ่งที่ชอบก็จะถลำจมลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดปัญหา
เพราะฉะนั้นเวลาเราเจริญสติให้พยายามใช้ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา ประสบการณ์นั้นอาจจะเป็นการกระทำ ไม่ว่าทำอะไรก็ตามก็ให้มีสติรู้ ถ้าทำด้วยกายก็ให้รู้เมื่อกายเคลื่อนไหว เวลาเจออะไรใจกระเพื่อม ยินดีก็ตามยินร้ายก็ตามก็ให้รู้ และถ้าทำสองอย่างนี้ได้ คือ ทำอะไรก็มีสติ เจออะไรก็มีสติ แค่นี้ก็ครบแล้ว เพราะชีวิตประจำวันของเรามีสองอย่าง คือ ทำกับเจอ ถ้าทำอะไรก็ไม่รู้ตัว ใจลอย เจออะไรก็ปล่อยมันไปตามอารมณ์ อย่างนี้ก็เรียกว่าหมดสภาพแล้ว เพราะว่าใจเราจะไม่ได้เติบโตอะไรเลย การปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้า