แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราทุกคนที่จริงก็เรียกว่าคนส่วนใหญ่ในโลก ล้วนรักสุขเกลียดทุกข์ ปรารถนาจะได้รับความสุข ความเจริญงอกงาม แล้วไม่อยากจะให้ความทุกข์มาเกิดขึ้นกับตน จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องลงมือทำ พุทธศาสนาเราไม่เชื่อเรื่องการอ้อนวอนบนบานศาลกล่าวขอให้ได้พบกับความสุขความเจริญ แบบนั้นไม่ใช่ วิถีของชาวพุทธต้องลงมือทำ นั่นคือมีความขยันหมั่นเพียร สร้างเนื้อสร้างตัว รู้จักอดออม ใช้จ่ายอย่างประหยัด รวมทั้งการดูแลสุขภาพ การออกกำลังกาย การกินอาหารที่ถูกต้อง ถามว่าเท่านี้พอไหม ยังไม่พอ ต้องทำความดีด้วย มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เกื้อกูลผู้อื่น แล้วก็ไม่ทำบาป ไม่ทำชั่ว ไม่คดโกง พูดง่ายๆ คือ มีศีล
แต่ว่าแม้จะทำสิ่งเหล่านี้แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะพบแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นกับตัวเรา ดูแลสุขภาพดีแค่ไหนก็มีวันที่จะต้องเจ็บต้องป่วย มีความขยันหมั่นเพียรอย่างไรก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกครั้ง ต้องมีความล้มเหลว ทำดีอย่างไรก็ยังมีคนตำหนิ คนต่อว่า หรืออาจจะด่าทอ ใส่ร้าย เก็บหอมรอมริบอย่างไรบางทีบางครั้งเงินที่อดออมหรือสมบัติที่รักษาไว้ก็สูญหายไป ถูกคนแย่งชิงหรือโกงเอาไปบ้าง เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีทางที่จะหนีพ้นได้ แม้ว่าเราจะทำทั้งหมดที่ว่ามานี้ ซึ่งเรียกย่อๆว่า ทำกิจ ในเมื่อเพียรพยายามทำอย่างดีที่สุดแล้วก็ยังมีปัญหา เรียกว่ามีความไม่สมหวังหรือความทุกข์เกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่เราจำเป็นต้องทำควบคู่ไปด้วยคือ ทำจิต ทำจิตหรือการวางใจให้ถูก เรื่องนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น ขาดไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเก่งแค่ไหน ไม่ว่าจะมีคนเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเพียงใด เราก็หนีไม่พ้นความจริงที่ว่า เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว “ทุกโขติณณา ทุกขปะเรตา” มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า จะมากหรือน้อย จะเบาหรือหนักก็แล้วแต่
ทำจิตควรจะทำอย่างไร อย่างแรกที่ควรทำคือ เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น เมื่อความไม่สมหวังเกิดขึ้น อย่าซ้ำเติมตัวเอง เมื่อเจ็บป่วยก็ให้ป่วยแต่กาย อย่าปล่อยให้ใจป่วยไปด้วย เมื่อสูญเสียทรัพย์ก็ให้เสียแค่นั้น แต่อย่าให้ใจเสีย หลายคนชอบซ้ำเติมตัวเอง พอสมบัติสูญหาย เงินถูกโกงไปก็เศร้าโศก เสียใจ อาลัยอาวรณ์ เท่านั้นไม่พอ ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน กินไม่ได้นอนไม่หลับ แทนที่จะเสียใจก็เสียสุขภาพด้วย เวลาทำงานก็ทำไม่ได้ ไม่มีสมาธิเหม่อลอย เสียงานอีก เสร็จแล้วพอมีคนมาหยอกมาเย้า มีเพื่อนร่วมงานมาแซวแต่ก่อนก็อาจจะแซวกลับสนุกสนาน แต่คราวนี้ไม่แล้ว ด่าเละ ก็เลยทะเลาะกันเสียเพื่อนอีก แทนที่จะเสียแค่เงินก็เสียใจ เสียสุขภาพ เสียงาน เสียเพื่อน หรือเสียคนเพราะความลืมตัว เพราะหมกมุ่นจ่อมจมอยู่กับสมบัติที่เสียไป เรียกว่าซ้ำเติมตัวเอง
เราซ้ำเติมกันเป็นประจำแม้กระทั่งในเหตุการณ์ประจำวัน เจอรถติดแทนที่จะเสียแค่เวลาก็เสียอารมณ์ด้วย เสียเวลานี้ห้ามไม่ได้ แต่เสียอารมณ์เป็นเพราะเราทำตัวเราเอง คือวางใจไม่ถูก ไม่รู้จักดูแลจิตใจของตัว เวลาถูกคนนินทาถูกคนต่อว่า แค่นี้ก็แย่พอแล้ว ยังซ้ำเติมตัวเองปล่อยให้ความโกรธ ความหงุดหงิด เสียใจเข้ามาเล่นงานจิตใจ ในเมื่อเราไม่สามารถจะควบคุมบงการให้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเราได้ บางครั้งสิ่งที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา กับทรัพย์สินของเรา กับงานการของเรา กับร่างกายของเรา หรือแม้กระทั่งกับคนที่แวดล้อมเรารวมทั้งคนที่เรารัก สิ่งที่เราทำได้คือไม่ปล่อยให้มันส่งผลเสียลุกลามมาถึงจิตใจของเรา นั่นคือไม่ซ้ำเติมตัวเอง แม้ถูกทำร้ายก็ให้เจ็บปวดแต่กาย ใจไม่ปวด ใจไม่ทุกข์ คนที่ฉลาดเขาจะระมัดระวังไม่ซ้ำเติมตัวเอง แม้จะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเองก็ตาม
อย่างที่เคยเล่าในวันแรกๆ ที่พวกเรามาว่า พูดถึงพระธิเบตท่านหนึ่งที่ถูกคนทำร้าย ถูกทรมานตลอดเวลาที่ติดคุกอยู่ในเรือนจำ 20 ปี เมื่อองค์ทะไลลามะถามท่านว่า ตอนที่ท่านติดคุกท่านกลัวอะไรมากที่สุด แทนที่ท่านจะบอกว่ากลัวคนทรมานท่าน ท่านบอก กลัวว่าท่านไปโกรธไปเกลียดคนที่ทรมานท่าน เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็คือการซ้ำเติมตัวเอง คนอื่นทำได้แต่สร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกาย แต่ไม่สามารถจะยัดเยียดความทุกข์ให้กับจิตใจของท่านได้ มีคนเดียวที่ทำได้คือตัวท่าน คือปล่อยให้ความโกรธความเกลียดครอบงำ นั่นคือการซ้ำเติมตัวเอง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “คนพาลปัญญาทรามย่อมทำกับตัวเองเหมือนเป็นศัตรู” หมายความว่าย่อมทำร้ายตัวเอง ทำร้ายตัวเองทั้งด้วยการผิดศีล ทำบาปกรรม หรือทำร้ายตัวเองด้วยการที่ไม่รู้จักรักษาใจ การไม่ซ้ำเติมตัวเองทำได้อย่างไร ก็ด้วยการวางใจให้ถูก เริ่มต้นด้วยการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างนี้ก็เช่นกันได้พูดไปตั้งแต่วันแรกๆว่า คนเราทุกข์ใจเพราะไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น จิตดิ้นรนผลักไสต่อต้าน แต่ทันทีที่เรายอมรับได้ ใจสงบเลย ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะรุนแรงแค่ไหน
มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อกันต์ เธอพบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะตอนที่อายุสามสิบกว่า สามสิบต้นๆ เป็นมะเร็งที่ปกติแล้วเกิดขึ้นกับคนที่มีอายุ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเกิดขึ้นกับเธอ ทำไมต้องเป็นฉัน มีความทุกข์มากก็เลยเหวี่ยงก็เลยหวีน ก็เลยอาละวาดใส่ผู้คนรอบข้างอยู่บ่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่หมอ พยาบาล แต่หลังจากทุกข์มาเป็นปีในที่สุดใจเธอก็สงบ ยิ่งได้มาปฏิบัติธรรมแม้โรคจะลุกลามแต่ใจสงบ แล้วเธอก็ได้ค้นพบบางสิ่งซึ่งมีประโยชน์มาก เธอบอกว่าแม้ความจริงจะโหดร้าย แต่การไม่ยอมรับความจริงต่างหากที่โหดร้ายกว่า เพราะมันเป็นเสมือนคุกที่ขังใจเราเอาไว้ การเป็นมะเร็งก็ถือว่าเป็นข่าวร้าย แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าคือ การไม่ยอมรับความจริงว่าเป็นมะเร็ง หรือไม่ยอมรับโรคเหล่านี้ว่าคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเราแล้ว เธอทุกข์มากเพราะไม่ยอมรับความจริง แต่พอยอมรับได้ใจก็สงบ
การไม่ซ้ำเติมตัวเองวิธีที่เป็นพื้นฐาน คือการยอมรับความจริง ไม่บ่น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย อย่างเรื่องรถติด ถ้าเพียงแต่เรายอมรับว่าเป็นธรรมดา ความรุ่มร้อนในจิตใจก็จะหายไป เจอความล้มเหลว เจออุปสรรคในการงานก็ยอมรับว่ามันเป็นธรรมดา ความผิดพลาดก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน อุปสรรคก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น ก็ใจสงบได้ ปัญหาที่สร้างความทุกข์กับเราเป็นเพราะใจที่ไม่ยอมรับ โอดครวญ โวยวาย เลยกลายเป็นว่าทำงานแทนที่จะเหนื่อยแต่กายก็เหนื่อยใจด้วย เป็นอย่างนี้ทุกวัน วันแล้ววันเล่า ลองฝึกใจให้ยอมรับ ซึ่งวิธีหนึ่งที่จะช่วยได้คือ การที่เราเอาใจมาอยู่กับปัจจุบัน
ที่เรายอมรับไม่ได้ก็เพราะส่วนหนึ่งเอาใจไปปรุงแต่งถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่จะเกิดขึ้นตามมา ถ้ารถติดแบบนี้เดี๋ยวไปประชุมไม่ทัน เดี๋ยวส่งลูกสาย ไปโรงเรียนสาย หรือเดี๋ยวตกเครื่องบิน เดี๋ยวผิดนัดเพื่อนนัดสำคัญด้วย พอคิดไปอย่างนี้ใจมันร้อนรุ่ม มันกระสับกระส่าย กระวนกระวายขึ้นมาทันที มันยังไม่เกิดแต่ทุกข์ไปแล้วเพราะไปคิดข้ามช็อต เอาเข้าจริงมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ทุกข์ไปแล้วเพราะใจไม่อยู่กับปัจจุบัน บางทีก็ไปนึกถึงอดีต ของที่หายไป เงินที่สูญไป กลายเป็นอดีตไปแล้ว ใจก็ยังไปห่วงนึกถึง เสร็จแล้วก็กลายเป็นการซ้ำเติมตัวเอง คำต่อว่าด่าทอ คนด่าเขาพูดเขาก็ลืมไปแล้ว แต่เราก็ยังเก็บเอามาทิ่มแทงจิตใจ นี่เรียกว่าเป็นเพราะใจไม่อยู่กับปัจจุบัน ไปจมอยู่กับอดีต ไปฝังใจอยู่กับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว มีสติกลับมาอยู่กับปัจจุบัน รวมทั้งรู้จักมอง มองบวกด้วย หมายความว่าอย่างไร มองบวกความหมายหนึ่งคือว่าแทนที่จะนึกถึงแต่สิ่งที่เสียไปแล้ว ลองนึกถึงสิ่งที่เรายังมีอยู่ เราจะพบว่าสิ่งที่เรายังมีอยู่มากกว่าสิ่งเสียไปมาก
มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกโกงไปหกสิบล้าน เธอก็เสียใจอยู่สองสามวัน หลังจากนั้นเธอก็ยิ้มได้ เพื่อนก็ถามว่าเธอยิ้มได้ยังไงสามีเธอยังทุกข์อยู่เลย เธอบอกว่าก็มานึกได้ว่าทุกวันนี้ก็ยังอยู่สบาย ยังได้กินของดีๆ ยังได้หลับนอนในบ้านที่สุขสบายแล้วจะทุกข์ไปทำไม ชีวิตก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร สิ่งที่หายไปก็เป็นเหมือนแค่ตัวเลข
ปี 2553 เกิดไฟเกิดเหตุการณ์จลาจลกลางกรุง มีการเผาศูนย์การค้าไปหลายแห่ง เรื่องนี้เราคงจำได้ มีร้านสุกี้ชื่อดังร้านหนึ่งโดนเผาไปสี่แห่งสี่สาขา สูญเสียไปหลายสิบล้าน ผู้จัดการมารายงานกับ CEO คุณฤทธิ์ ธีระโกเมน ซึ่งครอบครัวนี้เป็นเจ้าของเครือข่ายสุกี้ ผู้จัดการมารายงานด้วยสีหน้าที่เศร้าโศก CEO กลับพูดเหมือนกับจะปลอบใจ ไม่ได้แสดงถึงความเศร้าโศกเสียใจเลย บอกว่าร้านเราถูกเผาไป 4 สาขา แต่เรายังมีตั้ง 320 สาขา ถูกเผาไป 4 สาขาก็เหลือตั้ง 316 ระหว่าง 4 ที่ถูกเผากับ 316 ที่ยังมีอยู่ต่างกันมาก จะไปสนใจกับ 4 ทำไม ทำไมไม่มามอง 316 ที่ยังมีอยู่ นี่ก็มองบวก คือไม่มองสิ่งที่เสียไป แต่มองสิ่งที่มีอยู่ คือความจริง ไม่ใช่เป็นการมองอนาคตว่าสดใส จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือสิ่งที่มีอยู่มันยังมีมากมายกว่าที่เสียไป
ลองมองแบบนี้ดูบ้าง เราปวดหัว แต่ว่าเรามีตาที่มองเห็น เรายังมีจมูกที่ดมกลิ่นได้ เรายังมีหูที่ฟังเสียงไพเราะ เรายังมีมือที่เป็นปกติ มีขาที่พาเราเดินเหินไปไหนมาไหนได้ อย่าไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เสียไปหรือเสื่อมไป ใส่ใจกับสิ่งดีๆ ที่ยังมีอยู่บ้าง แล้วเราจะพบว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่เราคิด แบบนี้ช่วยทำให้เราไม่ซ้ำเติมตัวเอง เวลาป่วยก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย เท่านั้นไม่พอ ควรจะทำอีกข้อหนึ่งคือ รู้จักเห็นหรือหาประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีประโยชน์ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือใช้ประโยชน์จากมันหรือไม่
หลายคนเป็นมะเร็งแต่เขาสามารถที่จะอยู่กับมันได้ เพราะเห็นว่ามันมีประโยชน์ อย่างคนที่เป็นมะเร็งเต้านมอายุก็ยังไม่มาก แต่หลังจากที่เธอพิจารณาใคร่ครวญก็พบว่า มะเร็งไม่ได้ร้ายอย่างที่ตัวเองคิด เธอบอกว่ามะเร็งทำให้เรารู้จักตัวเอง ทำให้เรารับมือกับโรคได้ดีขึ้น มะเร็งไม่ได้น่ากลัวเลย เพราะว่าถ้าเธอไม่เป็นมะเร็ง เธออาจจะตายเพราะโรคซึมเศร้า คือเธอเคยเป็นซึมเศร้าแล้วก็พยายามฆ่าตัวตายมา 3 ครั้งแล้ว แต่พอเป็นโรคมะเร็งเข้าโรคซึมเศร้าหายไปเลย หมอที่เคยรักษาเธอเป็นประจำถึงกับออกปากกว่า การมองโลกการมองชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่เริ่มเป็นมะเร็ง เธอบอกว่าถ้าไม่เป็นมะเร็งคงตายไปแล้วเพราะโรคซึมเศร้า เพราะเหมือนกับมันทำ มันฆ่าตัว มันทำร้ายตัวเธอโดยไม่รู้ตัวมาเป็นเวลานาน
อีกคนหนึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้อปลายประสาทอ่อนแรง เรียนหนังสือก็ต้องให้พ่ออุ้มไป พาไปเรียนเพราะเดินไม่ไหว ตอนหลังอาการหนักพ่อแก่ตัวอุ้มไมไหว ต้องปล่อยให้อยู่ที่บ้านทำอะไรก็ไม่ได้ เขยื้อนขยับก็ไม่ได้ เหมือนกับรอวันตาย แต่ตอนหลังเธอได้คิดกลับมาสู้กับชีวิต ทำอะไรไม่ได้ก็ยังมีอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ได้เลย ยังมี อย่างน้อยมีอย่างหนึ่งที่ทำได้คือเขียนนิยาย เธอใช้นิ้วใช้มือ ใช้นิ้วที่หักงอจิ้มแป้นในโทรศัพท์มือถือเขียนนิยาย สามารถจะทำรายได้เลี้ยงครอบครัว จากคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เป็นภาระของคนในบ้านกลับกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว หาเงินส่งเสียน้องสาวเรียนหนังสือแล้วก็ช่วยทางบ้าน เรียกว่าเต็มร้อยเลย เพราะว่าแม่ตกงานพ่อก็เสียชีวิต เธอพูดไว้น่าสนใจบอกว่า ความทุกข์ให้อะไรเรามากกว่าความสุขเยอะ
ความสุขทำให้จิตใจล่องลอย ฟุ้ง ส่วนความทุกข์ก็คือความเจ็บป่วยของเธอ ทำให้มาอยู่กับตัวเองมาอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น ซึ่งดีกว่าการล่องลอยเยอะเลย นั่นขนาดทุกข์ ทุกข์เรียกว่าสาหัสสากรรจ์ แต่เธอก็สามารถอยู่กับมัน อยู่กับความเจ็บป่วยได้เพราะเธอรู้จักมองเห็นว่าทุกข์นี่มีประโยชน์อย่างไร คำพูดนี้คล้ายกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งชื่อกนกวรรณ เธอเป็นโรคทาลัสซีเมียตั้งแต่เกิด หมอบอกว่าจะอยู่ได้ไม่เกินอายุ 20 ปี ทาลัสซีเมียเป็นโรคเลือด เป็นแล้วตาโปน ตัวแห้ง ตัวผอม กระดูกเปราะอ่อนแอ หกล้มเมื่อไรก็ต้องเข้าเฝือกเมื่อนั้น เธอบอกว่า ความสุขอาจจะทำให้เราหลงลืม แต่ความทุกข์ทำให้เรามองความจริงของชีวิตได้ดีขึ้น สองคนนี้ไม่รู้จักกันแต่พูดคล้ายๆกัน เพราะเขารู้จักใคร่ครวญและมองว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
อาจารย์พุทธทาสบอกว่า “ป่วยทุกทีก็ให้ฉลาดทุกที” คือฉลาดในเรื่องของความจริงของชีวิต เป็นสิ่งที่จะให้อะไรกับจิตใจของเรามาก โดยเฉพาะความจริงของสังขารว่า ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ซึ่งทำให้รู้จักปล่อยรู้จักวางได้ ลองมองดูดีๆ ทุกอย่างมีประโยชน์ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือไม่ รถติดก็มีประโยชน์ แต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นเพราะเอาแต่กังวล มีคราวหนึ่งรถติดหนัก พ่อก็เลยหันไปถามลูกซึ่งอยู่หลังรถว่า รถติดมีข้อดีอย่างไรบ้าง ลูกคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็พูดขึ้นมาว่า รถติดมีข้อดีตรงที่ทำให้พ่อมาคุยกับลูกไง ถ้ารถแล่นฉิวพ่อก็คงสนใจมองแต่ทางข้างหน้า ไม่สนใจลูกที่นั่งอยู่ข้างหลัง เวลารถติดอย่าปล่อยให้จิตตก กลับมาตามลมหายใจ ใส่ใจกับลมเข้าลมออก ให้มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว หรือใช้เวลาคุยกับลูก สนทนากับคนในครอบครัวก็ได้ เรียกว่ารู้จักหาประโยชน์จากความทุกข์ หาประโยชน์จากเหตุการณ์ที่ไม่สมหวังหรือไม่สมปรารถนา คำต่อว่าด่าทอก็มีประโยชน์ หลายคนมองไม่เป็นไม่รู้จักหาประโยชน์จากมัน ก็เลยซ้ำเติมตัวเอง ถูกเขาด่าก็แย่แล้วยังปล่อยใจให้ทุกข์เพราะความโกรธ ความเกลียด ความหงุดหงิด แต่คนฉลาดเขาจะหาประโยชน์จากคำต่อว่าด่าทอได้
ที่วัดถ้ำกลองเพลสมัยที่หลวงปู่ขาวยังมีชีวิตอยู่ มีแม่ชีท่านหนึ่งเอาใจใส่อุปฐากพระเณรดีมาก ชื่อแม่ชีซา และปฏิบัติธรรมก็ดีด้วย จนหลวงปู่ขาวชม แต่อยู่ๆวันหนึ่งหลวงปู่ขาวก็สั่งให้พระ 2 รูปไปด่าแม่ชีซา ทั้งสองรูปซึ่งเป็นลูกศิษย์ก็คงสงสัยว่าครูบาอาจารย์จะให้ไปด่าทำไม ในเมื่อครูบาอาจารย์สั่งก็ต้องไป ไปที่กุฏิแม่ชีซา เรียกแม่ชีซาออกมาแล้วก็ด่าเลย ต่างผลัดกันด่า แม่ชีซาทีแรกก็งง แต่ว่าตั้งสติได้ก็พนมมือฟังอย่างนิ่งสงบ ทั้งสองท่านด่าจนไม่รู้จะด่าอะไรแล้วก็หยุดด่า แม่ชีซาแทนที่จะโกรธหรือแทนที่จะน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมครูบาอาจารย์มาว่าเราอย่างนี้ เราอุตส่าห์ทำดี ทำไมท่านไม่เห็น ทำไมท่านถึงพูดกับเราแรงๆแบบนี้ ถ้าเกิดคนอื่นเขารู้เราจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ไม่มีอะไร แม่ชีซาไม่ได้คิดแบบนี้ ถ้าคิดแบบนี้ทุกข์แน่ แต่แม่ชีซาวางใจเป็น พอครูบาอาจารย์พระสองรูปด่าเสร็จ แม่ชีซาก็พูดขึ้นมาว่า ท่านอาจารย์ดุด่าดิฉันเสร็จแล้วหรือ ดิฉันฟังแล้วซาบซึ้งใจเหลือเกิน เสียงดุด่าเป็นเสียงธรรมะทั้งนั้นเลย คราวหน้านิมนต์มาด่าบ่อยๆ กิเลสจะได้หมดเสียที
แบบนี้ฉลาด แม้จะเรียนหนังสือไม่มากแต่ฉลาด คือเห็นประโยชน์ของคำดุด่าหรือคำต่อว่า ว่าช่วยขูดกิเลส ช่วยขัดจิตใจ สิ่งที่ขัดอกขัดใจเรา ถ้าเราปล่อยให้ขุ่นเคือง อย่างนี้เราขาดทุน แต่ถ้าเราเอาสิ่งนั้นมาขัดใจของเราให้สะอาด ให้กิเลสมันเบาบางถือว่าฉลาด เราควรจะทำอย่างนั้น อย่าให้เมื่อไรก็ตามที่มีความขัดใจอย่าให้เป็นความขุ่นเคือง แต่เป็นการขัดจิตใจให้สะอาดไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นคำต่อว่า จะเป็นอุปสรรค จะเป็นความร้อนความหนาว ยุงกัด แมลงรบกวน ให้เป็นการขัดใจ ในความหมายที่สองคือ ขัดใจเราให้สะอาดหรือว่าทำให้กิเลสเบาบาง มีสติมากขึ้น รู้จักใช้ประโยชน์จากทุกเหตุการณ์แม้จะเลวร้ายแค่ไหนให้เป็นประโยชน์ให้ได้ เพราะว่าความทุกข์สามารถจะสอนใจเราให้เห็นธรรมะ สามารถจะฝึกใจเราให้เข้มแข็ง สามารถจะเตือนใจเราให้ไม่ประมาท
มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นช่างไฟ วันหนึ่งเกิดพลาดขึ้นมา สายไฟแรงสูงไปถูกที่ต้นขาต้องผ่าตัด ต้องผ่าขาทั้งสองข้างต้องตัดขาทั้งสองข้างกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต เท่านั้นไม่พอ ไม่กี่เดือนต่อมาภรรยาก็ทิ้งไปเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ถ้าเป็นเราคงจะคับแค้นในชะตากรรม แต่ว่าผู้ชายคนนี้แกชื่อดำริแกกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น มีคนมาถามว่าคุณรู้สึกอย่างไรที่ภรรยาทิ้งคุณไป แกตอบว่าผมไม่รู้สึกอะไรหรอกครับ คิดดูสิแม้แต่กระทั่งขาทั้งสองข้างมันยังไม่อยู่กับผมเลย แล้วจะให้เมียอยู่กับผมได้ยังไง แกไม่ทุกข์ที่เมียทิ้งเพราะแกได้เห็นธรรมจากการที่เสียขา คนธรรมดาถ้าเสียขาก็เอะอะโวยวาย ตีโพยตีพาย กลุ้มอกกลุ้มใจ แต่ดำริแกมองเห็นธรรมะ เห็นความจริงจากการเสียขาทั้งสองข้างว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ขาที่มันอยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด วันดีคืนดีมันก็ทิ้งเราไป ก็ต้องยอมให้มันไป ถ้าไม่ยอมให้มันไป ไม่ยอมเสียขา ไม่ยอมตัดขา อาจถึงตายได้ แต่การที่เสียขาไปไม่เพียงแต่ทำให้แกมีชีวิตรอด ทำให้แกเห็นธรรมะว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย พอเห็นตรงนี้เหมือนกับมีภูมิต้านทานความทุกข์แล้ว พอเจอทุกข์ซ้ำสองภรรยาทิ้ง ใจไม่ทุกข์แล้ว นี่เรียกว่าหาประโยชน์จากการเสียขาได้ คนส่วนใหญ่เมื่อเจอเหตุร้ายมักซ้ำเติมตัวเอง ขาดทุนไม่รู้กี่ทบ แต่คนฉลาดเขาสามารถทำให้เป็นกำไรได้ คือนอกจากใจไม่ทุกข์แล้วก็ยังได้ประโยชน์ เห็นธรรมะเกิดปัญญา อย่างนี้เรียกว่าตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ไม่ได้แปลว่าไม่มีการตกน้ำไม่เจอไฟ แต่มันไม่ทำร้ายจิตใจ จิตใจไม่เป็นทุกข์ อย่างนี้ถือว่าเปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี
หลวงพ่อคำเขียนท่านบอกว่า นักภาวนาคือคนที่รู้จักเปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี บางครั้งเราเปลี่ยนร้ายข้างนอกให้เป็นดีไม่ได้ เปลี่ยนร้อนให้กลายเป็นเย็นไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนข้างในได้ คือเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นธรรมะ เปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นปัญญา ฉลาดในการหาประโยชน์จากความทุกข์ ฉลาดในการหาประโยชน์จากปัญหา ก็เห็นธรรมเกิดปัญญาขึ้นได้ นี่แหละคือการทำจิต สองอย่างที่เป็นขั้นพื้นฐานที่จะช่วยทำให้เราสามารถอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข ถ้าโลกนี้เราไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นข้างหน้าบ้าง เพราะอะไรๆก็ไม่แน่นอน เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนแปรปรวน เราไม่สามารถจะควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปอย่างที่เราปรารถนา แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือเรามีวิชาในการรับมือเหตุร้ายที่อาจจะประดังประเดเข้ามา หรืออาจจะผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา พยายามทำดีที่สุดแล้ว ทำดีทั้งทางโลกและทางธรรม ทำดีทางโลกคือขยันหมั่นเพียร อดออม ดูแลสุขภาพ ทำดีทางธรรมคือมีศีล ไม่ทำชั่ว แต่แม้กระนั้นก็ยังมีเหตุร้าย ความทุกข์หลุดรอดผ่านเข้ามากระทบกับตัวเรา หรือเกิดขึ้นกับทรัพย์สินของเรา กับคนรักของเรา กับงานการของเรา หรือแม้กระทั่งกับหน้าตาของเรา ภาพลักษณ์ของเรา แต่ถ้าเรารักษาใจให้ดีมันก็ไม่สามารถจะมากระทบกระเทือนจิตใจ หรือยัดเยียดความทุกข์ให้กับใจเราได้ มิหนำซ้ำเรายังสามารถจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ในการทำให้เราฉลาดมากขึ้น เข้มแข็งมากขึ้น หรืออยู่ในโลกอย่างมีความสุขได้มากขึ้น สองอย่างนี้ขาดไม่ได้ “ทำกิจและทำจิต” ขาดอันใดอันหนึ่งก็ไม่เพียงพอ ทำกิจดีแต่อย่าลืมทำจิต ทำจิตทำอย่างไร อย่างน้อยก็ทำสองข้อนี้ หนึ่งอย่าซ้ำเติมตัวเอง สองรู้จักหาหรือเห็นประโยชน์จากความทุกข์หรือเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็แน่ใจได้เลย หรือเป็นหลักประกันได้เลยว่าจะมีความสุขความสงบเย็นได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม หรือเป็นสุขในทุกที่ ไกลจากทุกข์ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม