แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เสียงฝนตกกระทบสังกะสีก็ให้เตือนใจตัวเองว่า ฝนกระทบแค่สังกะสีอย่าให้มันกระทบใจของเราไปด้วย ที่จริงตอนนี้ขณะที่ฝนตกแต่เราทุกคนในนี้ไม่มีใครเปียกเพราะมีหลังคา ฝนตกเราห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือตกมาแล้วตัวเราไม่เปียกเพราะเรามีหลังคา ในทำนองเดียวกัน เหตุร้ายหรือเรียกว่าความทุกข์ หลายอย่างก็เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ พ้นวิสัยที่เราจะควบคุมได้ แต่เมื่อเกิดขึ้นกับเราแล้วก็ควรรักษาใจเราอย่าให้ทุกข์ไปด้วย อย่างนี้ทำได้ถ้าใจเรามีธรรมะ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรามันก็เกิดขึ้นได้กับสิ่งรอบตัว กับทรัพย์สมบัติ หรือแม้แต่กับร่างกายของเรา แต่ไม่จำเป็นว่ามันจะทะลุทะลวงเข้ามาถึงใจเราได้ เหมือนกับตอนนี้ฝนตกอย่างไรก็ไม่สามารถจะฝ่าหลังคามากระทบตัวเราให้เปียกได้ แต่บางคนแม้ตัวไม่เปียกแต่ว่าใจเปียกไปแล้ว ใจวิตกกังวล เป็นทุกข์เพราะฝน ทั้งๆที่มันไม่ได้กระทบกายสักหน่อย แต่ใจก็เปียกเรียบร้อยไปแล้ว อาจจะหงุดหงิดว่าฟังไม่ค่อยได้ยิน ฟังไม่ชัดเจน
ฉะนั้นถ้าเรารู้จักรักษาใจให้ดีๆ ความทุกข์ ไม่ว่ามันจะเกิดกับทรัพย์สินของเรา เกิดกับร่างกายของเรา เกิดกับงานการของเรา หรือเกิดกับผู้อื่นที่มีความสัมพันธ์กับเรา ก็ไม่สามารถทำให้ใจทุกข์ได้ คนเราจะทุกข์ก็ทุกข์เพราะสี่เรื่องนี้ หนึ่ง ทุกข์ในเรื่องที่เกี่ยวกับร่างกาย เช่นความเจ็บป่วย หรือความสะความสวย ภาพลักษณ์ หน้าตา แบบนี้ก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือทรัพย์สมบัติ เงินเดือน หรือข้าวของเครื่องใช้ อีกเรื่องหนึ่งก็เกี่ยวกับงานการ รวมทั้งมีงานทำ ตกงานหรือไม่ ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง หรือยังย่ำอยู่กับที่ เงินเดือนไม่ขึ้น ตำแหน่งไม่ขึ้น อีกเรื่องหนึ่งก็เป็นเรื่องความสัมพันธ์กับผู้คน แต่ไม่ว่ามันเกิดขึ้นอย่างไรกับสี่เรื่องนี้ สิ่งที่เราทำได้คือ รักษาใจไม่ให้ทุกข์ ความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย ทรัพย์สมบัติ งานการ และผู้คนที่เราสัมพันธ์ด้วย ส่วนใหญ่ห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ รักษาใจไม่ให้ทุกข์ เรื่องนี้ควรถือว่าเป็นหน้าที่ของเราเลย
มาภาวนาทั้งที มาปฏิบัติธรรมมีโอกาสได้พบกับพระธรรมคำสอนแล้ว สิ่งที่เราทำได้เป็นอย่างแรกและควรทำคือ อะไรเกิดขึ้นกับเราก็อย่าให้ใจทุกข์ เวลาเงินหายก็ให้หายแต่เงิน หายแต่โทรศัพท์ อย่าให้ใจหาย หรือความสุขใจหายไปด้วย คนส่วนใหญ่เวลาเงินหายของหาย ไม่ใช่หายแต่ของ ใจก็หายใจก็เสียไปด้วย เท่านั้นไม่พอ พอกินไม่ได้นอนไม่หลับ สุขภาพก็เสีย พออารมณ์ไม่ดีทำงานไม่ได้ เสียงานอีก แล้วก็มีเรื่องทะเลาะกับคนรอบข้าง บางทีเขาก็แซวเราแต่ก่อนเราก็แซวกลับ แต่พอเราอารมณ์ไม่ดีเพราะของหาย สูญเงิน เขาแซวมาเราก็ด่า กลายเป็นทะเลาะเบาะแว้งกัน เสียความสัมพันธ์กัน แทนที่จะเสียแค่หนึ่งคือเสียของ เสียเงิน ก็กลายเป็นว่าเสียสามเสียสี่ คือเสียใจ เสียสุขภาพ เสียงาน แล้วก็เสียความสัมพันธ์ บางทีเสียอีกข้อหนึ่งคือ เสียผู้เสียคน
เมื่อ 2-3 ปีก่อน มีคลิปวิดิโอถ่ายที่ประเทศจีน เป็นกล้องวงจรปิด เป็นภาพผู้หญิงกับผู้ชายสอคน เข้าใจว่าเป็นสามีภรรยาหรือแฟน ในคลิปนั้นบรรยายว่า ผู้หญิงอยากได้ไอโฟนในห้าง แต่ผู้ชายไม่ยอม ไม่ซื้อให้ ผู้หญิงก็ไม่พอใจ โกรธ แล้วหาทางประชดหรือประท้วง เพื่อพยายามเอาชนะกดดันผู้ชายให้ซื้อให้ได้ เธอทำอย่างไร ทีแรกก็ถอดเสื้อ ไม่ได้ผลก็ถอดกางเกง ผู้ชายก็ยังนิ่ง เธอก็เลยถอดยกทรง แล้วก็ถอดกางเกงใน ยืนโป๊อยู่อย่างนั้น คล้ายๆว่าจะทำให้ผู้ชายอับอาย หรือเป็นเพราะลืมตัวด้วยความโกรธก็ไม่รู้ ผู้ชายก็เดินหนี เธอก็เดินตาม ตอนนั้นอาจจะไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่าเธอได้ทำอะไรลงไป แล้วคงไม่รู้ว่ามีการถ่ายกล้องวงจรปิด ยังดีที่มีผู้หญิง คงเป็นอาม่าคนหนึ่งเห็นก็เลยมาหยิบเสื้อให้เธอใส่ เตือนให้เธอมีสติ ก็คงจะได้สติก็เลยสวมเสื้อกลับไปเหมือนเดิม แบบนี้เรียกว่า แทนที่จะเสียแค่หนึ่งอย่างคือไม่ได้ไอโฟน เสียผู้เสียคนไปด้วยเพราะว่าภาพคลิปวิดิโอกระจายไปทั่วโลก
ความลืมตัวจะเป็นเพราะความเสียใจ หรือความต้องการประชดก็แล้วแต่ ทำให้นอกจากจะไม่ได้ไอโฟนแล้วยังเสียอีกหลายอย่างตามมา อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักรักษาใจ เมื่อไม่ได้ของก็อย่าน้อยใจ ก็ยังเป็นปกติ คนเวลาป่วยให้มันป่วยแต่กายอย่าให้ใจป่วยด้วย ส่วนใหญ่ป่วยกายเสร็จแล้วก็ป่วยใจ อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่รักตัวเอง เพราะว่าซ้ำเติมตัวเอง ป่วยกายก็แย่พอแรงอยู่แล้วยังซ้ำเติมตัวด้วยการป่วยใจ คือหงุดหงิด โวยวาย ตีโพยตีพาย เครียด บางทีประการหลังนี่แย่กว่าความป่วยกาย ป่วยกายอาจจะไม่เป็นอะไรมากหรือพอจะเยียวยาไหว แต่ถ้าป่วยใจแล้วนี่แย่มากทีเดียว ถึงตายได้
อาจารย์ประเวศ วะสี เคยเล่าว่ามีผู้ชายคนหนึ่งไปตรวจสุขภาพ แกเป็นคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เล่นเทนนิสเป็นประจำ อยู่วัยกลางคน พอไปตรวจสุขภาพ หมอบอกว่าแกหัวใจรั่ว พอได้ยินแกตกใจเพราะหัวใจรั่วที่แกวาดภาพเอาไว้ คือหัวใจเป็นรูแล้วเวลาหัวใจเต้นมีเลือดพุ่งกระฉูดออกมา แบบนี้ก็ตายสิ ที่จริงหมอตั้งใจจะบอกว่าแกลิ้นหัวใจรั่ว แต่หมอพูดไม่ครบ พอพูดไม่ครบแกก็เข้าใจผิดแล้วแกก็กลัว ตื่นตระหนก กลับไปบ้านอยู่ได้ 2 วันก็เข้าโรงพยาบาล แล้วอีกไม่นานก็เข้าไอซียู แล้วก็ไม่ออกมาอีกเลย ที่จริงลิ้นหัวใจรั่วยังใช้ชีวิตตามปกติได้ ออกกำลังกายก็ยังออกได้ แต่เป็นเพราะความเข้าใจผิดทำให้แกปรุงแต่งด้วยความตื่นตระหนก สุดท้ายก็เลยตาย ลิ้นหัวใจรั่วไม่ทำให้ถึงตายอย่างนั้น แต่เพราะความทุกข์ใจ ความกลัว ความวิตกกังวล ทำให้ตายได้
ฉะนั้นอะไรเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าเกิดขึ้นกับทรัพย์สมบัติ เกิดขึ้นกับร่างกาย อย่างแรกที่เราควรทำคือ รักษาใจไม่ให้ทุกข์ แบบนี้ทำได้ อย่าซ้ำเติมตัวเอง คนเรามักจะซ้ำเติมตัวเอง เวลามีเรื่องอะไรที่ไม่ถูกใจแทนที่จะให้เกิดปัญหาเพียงแค่นั้น ก็ปล่อยให้ใจเป็นทุกข์ด้วย เวลาทำงานก็เหมือนกัน หลายคนทำงานไม่ใช่แค่เหนื่อยกายแต่ปล่อยให้ใจเหนื่อยตามไปด้วย เพราะว่าไม่รู้จักรักษาใจ แต่ถ้ารักษาใจดี มันเหนื่อยแต่กาย ใจไม่เหนื่อย
เมื่อ 7-8 ปีก่อน มีรายการโทรทัศน์ของช่องไทยพีบีเอส ชื่อรายการพลเมืองเด็ก เขานำเด็ก 3 คน บางทีก็เป็นเด็ก 7-8 ขวบบ้าง บางทีก็เป็นเด็ก 12-13 ขวบบ้าง มาออกรายการ คล้ายๆเรียลลิตี้โชว์ ให้ทำกิจกรรม เลี้ยงม้าบ้าง ทำความสะอาดห้องบ้าง เพราะอยากจะรู้ว่าเด็กแก้ไขปัญหาหรือทำงานร่วมกันอย่างไร คราวหนึ่งก็ให้เด็กอายุ 12-13 ขวบ 3 คน มาทำกิจกรรมร่วมกัน กิจกรรมนี้คือขนของขึ้นรถไฟ รถไฟมีเวลาออกที่แน่นอนเพราะฉะนั้นต้องรีบขน แต่ปรากฎว่าบ่ายวันนั้น สมจิต จงจอหอ ขึ้นชก สมจิตเป็นนักมวยเหรียญทองโอลิมปิก การชกวันนั้นมีการถ่ายทอดสดด้วย เด็ก 2 คนขนของไปได้ซักพักก็แวบไปดูโทรทัศน์ ไปดูชกมวยทิ้งให้เพื่อนผู้หญิงขนของ เธอก็ขนของอย่างตั้งใจ พิธีกรเลยไปถามว่าคิดอย่างไรที่เพื่อนทิ้งงานไปดูสมจิต จงจอหอ ขึ้นชก เธอบอกว่าก็เห็นใจเขา เพราะว่าเขาเป็นแฟนสมจิต นานๆจะได้ดูสมจิตชกมวย แต่เธอไม่สนใจมวย เธอก็ทำงานของเธอไป พิธีกรก็ถามแหย่ว่า แล้วเธอไม่โกรธ ไม่คิดจะด่าว่าเพื่อนหรือที่เขาทิ้งงานให้เธอทำคนเดียว เธอตอบดี เธอตอบว่าหนูขนของขึ้นรถไฟหนูก็เหนื่อยอย่างเดียว ถ้าหนูไปโกรธไปด่าว่าเขาด้วยหนูก็เหนื่อยสองอย่าง
เด็กฉลาด ถ้าจะเหนื่อยก็เหนื่อยอย่างเดียวคือเหนื่อยกาย แต่คนส่วนใหญ่ไม่ใช่เหนื่อยกายปล่อยให้ใจเหนื่อยด้วย ใจเหนื่อยด้วยการบ่น โวยวายตีโพยตีพาย ถามตัวเราเองว่าเวลาเราทำงานเราเหนื่อยแต่กายหรือเราปล่อยให้ใจเหนื่อยด้วย แล้วคอยไปดูเพื่อนว่าเพื่อนทำงานน้อยกว่าเราบ้าง เพื่อนอู้งานบ้าง เพื่อนทิ้งงานให้เราทำคนเดียวบ้าง ใจที่ไปจดจ่ออยู่กับพฤติกรรมของคนรอบตัวคนรอบข้าง ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ใจเราทุกข์ แล้วที่ทำอย่างนั้นเพราะใจไม่มีสติ ใจไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่อยู่กับงาน ไปคอยเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ไปดูเพื่อนร่วมงานบ้าง ไปดูลูกน้องบ้าง ก็เลยเป็นทุกข์ ถ้าใจมีสติรักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้ เวลารถติดก็แค่เสียเวลา แต่ไม่เสียอารมณ์ แต่ถ้าไม่มีสติก็เสียทั้งเวลา เสียทั้งอารมณ์ หรืออาจจะเสียสติด้วย
การเจริญสติช่วยเรา ช่วยให้รักษาใจไม่ให้เป็นทุกข์ได้ ทีนี้นอกจากรักษาใจไม่ให้เป็นทุกข์แล้วเราทำได้ดีกว่านั้น คือหาประโยชน์จากมัน หาประโยชน์จากเหตุร้าย หาประโยชน์จากความทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกอย่างแม้จะไม่พึงประสงค์ ไม่พึงปรารถนา แต่ก็มีประโยชน์ถ้าเรารู้จักมอง ของหายก็เป็นการฝึกใจเราให้รู้จักปล่อยวางได้ หรือเตือนใจให้เราไม่ประมาท เตือนใจให้เราระมัดระวัง หรือสอนเราว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเรา ทุกอย่างไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง นี่สอนได้ เจ็บป่วยก็เหมือนกัน เจ็บป่วยมาสอนให้เราตระหนักถึงความไม่เที่ยงของสังขาร เพื่อจะเป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง
มีหนุ่มคนหนึ่งเป็นนักศึกษา ปรากฎว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือด ลูคิเมีย ทีแรกก็ทุกข์ แต่ตอนหลังใจกลับมาเป็นปกติ แกบอกว่ามะเร็งทำให้แกได้พบสิ่งดีๆหลายอย่าง เช่น หนึ่ง ทำให้ได้รู้จักธรรมะ แต่ก่อนไม่สนใจธรรมะเลย แต่พอป่วยไม่มีอะไรทำ มีคนเอาหนังสือธรรมะมาให้ ได้อ่านก็พบว่าพุทธศาสนาสอนไว้ดีมาก แต่ก่อนนึกว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องงมงาย แต่ตอนนี้เข้าใจ เห็นคุณค่าของพุทธศาสนา สอง ทำให้ได้เห็นความรักอันบริสุทธิ์ของพ่อแม่ ตอนไม่ป่วยก็ห่างเหิน ธรรมดาคนกรุงเทพฯ ลูกกับพ่อแม่ก็ห่างเหิน เช้าลูกไปเรียน พ่อไปทำงาน ยิ่งลูกไปอยู่หอพักด้วยยิ่งเหินห่าง แต่พอลูกป่วยพ่อแม่ก็มาช่วยดูแล ได้ใกล้ชิดกัน ได้เห็นความรักอันบริสุทธิ์ของพ่อแม่ ข้อต่อมาก็คือ ทำให้ได้รู้จักคิด ทำให้มีโอกาสได้หยุดคิด แต่ก่อนนี้ก็เที่ยวอย่างเดียวเลย ไม่ค่อยได้มีเวลาหยุดคิดเท่าไหร่ แกบอกว่าถ้าแกไม่ป่วยเป็นมะเร็งก็คงเหมือนกับเด็กทั่วไป นอนหอพักกว่าจะเข้านอนก็ตีสามตื่นมาก็เที่ยง รอเพื่อนชวนไปกินไปเที่ยวไปเฮฮา เรียนก็ไม่ค่อยเรียน ถ้าไม่เป็นมะเร็งก็ใช้ชีวิตอย่างประมาท ไม่นึกถึงคนอื่น ไม่รู้จักสนใจ เอาแต่ใจตัวเอง แต่พอเป็นมะเร็งได้คิดมากขึ้น แล้วก็ได้เห็นได้เข้าใจธรรมะมากขึ้น มีคนหลายคนที่อาจจะไม่ได้เป็นนักปฏิบัติธรรม แต่ความทุกข์สอนเขาทำให้เขาได้เห็นประโยชน์ของความทุกข์
มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง แล้วเป็นโรคที่หายาก กล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ปลายประสาท เป็นตอนเรียนมัธยมทำให้ไม่สามารถจะเรียนหนังสือต่อได้ แต่ก่อนพ่อต้องอุ้มต้องให้ขี่คอขึ้นไปเรียนหนังสือ แต่ตอนหลังพ่อไม่ค่อยมีแรงขึ้นบันไดไม่ไหวตัวเธอก็หนัก ก็เลยต้องเลิกเรียน ระหว่างที่นอนอยู่ที่บ้าน ชีวิตก็เหมือนกันนอนรอความตาย เพราะว่ากล้ามเนื้ออ่อนแรงจะลามไปเรื่อยๆ ไม่มียารักษา เธอนอนรอวันตาย ขยับเขยื้อนก็ไม่ได้ พูดคุยก็ลำบาก แต่วันหนึ่งมียายอ่านนิยายให้ฟัง เธอเกิดความเพลิดเพลินในนิยาย แล้วก็เกิดแรงบันดาลใจว่า เราน่าจะแต่งนิยายได้เหมือนกัน แล้วเธอก็เริ่มแต่งนิยาย โดยใช้คอมพิวเตอร์ แต่ที่จริงคอมพิวเตอร์ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ธรรมดามันเป็นแท็บแล็ต ตอนหลังก็ใช้โทรศัพท์มือถือพิมพ์เขียนนิยาย มือเธอจิ้มแบบนี้ไม่ได้ เธอต้องจิ้มแบบเนี้ คือนิ้วนี่มันงอหมดเลยเวลาจิ้มต้องใช้งอนิ้วกดไปที่แป้นทีละตัวๆ กว่าจะได้ประโยคหนึ่งก็ใช้เวลา กว่าจะเขียนเป็นเล่มก็นาน ปรากฎว่านิยายเธอมีคนสนใจ ขายได้ค่าลิขสิทธิ์ ได้เงินมาเลี้ยงจุนเจือครอบครัว
จากคนที่เป็นภาระของครอบครัว กลายเป็นเสาหลักของครอบครัว เพราะว่าเมื่อพ่อตายที่บ้านก็รายได้ลดลง แถมแม่ตกงานอีก น้องสาวต้องเรียนหนังสือ อาศัยรายได้จากนิยายที่เธอเขียนเลี้ยงครอบครัว ส่งน้องไปเรียน ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เคยเป็นภาระของครอบครัวกลายเป็นเสาหลัก เธอเขียนนิยายมา 14 เล่มโดยนอนอยู่บนเตียง เธอพูดถึงความเชื่อของเธอไว้น่าสนใจ เธอบอกว่าความทุกข์ดีกว่าความสุข ความทุกข์ให้อะไรกับเธอมากกว่าความสุข ความสุขทำให้จิตใจล่องลอย ฟุ้งกระจาย แต่ความทุกข์ทำให้เธอได้อยู่กับตัวเอง และได้อยู่กับความเป็นจริง ซึ่งดีกว่าความสุขมากเลย คนที่นอนรอวันตายแต่สามารถจะเห็นประโยชน์ของความทุกข์ก็ต้องถือว่าน่ายกย่อง เป็นคนที่นอกจากจะรักษาใจไม่ให้ทุกข์ ทุกข์แต่กายแล้วยังหาประโยชน์ หรือเห็นประโยชน์จากความทุกข์ทางกายด้วยว่าดีกว่าความสุขอย่างไรบ้าง
มีอีกคนก็น่าทึ่ง ตอนที่เธอยังเป็นนักศึกษาเธอสวย เป็นดาวมหาวิทยาลัยตอนปี 3 แล้วตอนปี 4 เธอไปรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งผ่านโซเชียลมีเดีย สมัยนั้นยังไม่มีเฟสบุ๊ค มีเหมือนกันแต่ไม่แพร่หลาย ประมาณสักปี 2552 ไปรู้จักผู้ชายคนหนึ่งทางอินเตอร์เน็ต ติดต่อกันทางอินเตอร์เน็ตจนกระทั่งผู้ชายเกิดหลงรักเธอ ก็นัดพบกัน นัดคุยกัน ผู้ชายพอได้คุยได้พบกับเธอก็พบว่าเธอไม่ได้มีใจให้กับเขาในลักษณะนั้น ผู้ชายก็โกรธหาว่าเธอโกหกหลอกลวง เอาน้ำกรดสาดหน้าเธอ เสียโฉม ตาบอดไปข้างหนึ่ง คนที่เคยภูมิใจกับรูปร่างหน้าตาของตัวเจอแบบนี้ก็ไม่มีใครอยากอยู่ แต่เธอตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตายเพราะว่านึกถึงแม่ แต่ขอร้องแม่ว่าขอย้ายบ้านได้ไหม อายที่จะเห็นคนที่เคยเห็นเธอในหน้าตาที่สะสวย ตอนนี้เสียโฉมไปแล้ว เธออายที่จะเจอคนเหล่านั้น ที่จริงไม่น่าอายเพราะเธอไม่ได้ทำผิดอะไร ผ่านไปหลายปีปรากฎว่าเธอทำใจได้ ยอมรับหน้าตาของตัว ใช้ชีวิตตามปกติเหมือนคนทั่วไป เป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ นั่งรถไฟฟ้าคนมากมายเธอก็ไม่ได้รู้สึกอายอะไร แล้วก็ไม่ได้ปิดบังหน้าตาของตัว มีคนมาทักว่าคุณชื่อเคสใช่ไหม คือเธอเคยออกรายการโทรทัศน์ เธอก็ยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ถูกต้องแล้วค่ะ ไม่ได้อับอายอะไรเลย มีคนถามเธอว่าโกรธผู้ชายคนนั้นไหม คนที่สาดน้ำกรดใส่หน้าเธอ เธอบอกว่าเธอไม่โกรธเลย อยากจะขอบคุณเขาด้วยซ้ำ เธอบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ข้อแรกทำให้เธอได้มีเวลาอยู่กับบ้าน อยู่กับพ่อแม่ได้มากขึ้น เพราะถ้าเธอยังสาวยังสวยก็คงจะหลงไปกับแสงสี ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน แต่ที่สำคัญคือทำให้เธอเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เธอบอกว่าแต่ก่อนเธอเป็นคนที่มีความยึดติดถือมั่นมาก ทำอะไรก็ยึดติดถือมั่น ใครพูดอะไรก็ไม่พอใจ แต่พอมาเจอเหตุการณ์นี้ทำให้เธอได้เห็นเลยว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างมีวันหมดอายุ หน้าตาของเธอเมื่อแก่ตัวลงก็ต้องเปลี่ยนไป แต่การที่ถูกน้ำกรดสาดเสียโฉม ทำให้เธอได้เรียนรู้การปล่อยวาง คือไม่ต้องรอปล่อยวางตอนแก่ มาปล่อยวางกันตอนสาวๆเลย เธอบอกว่าเดี๋ยวนี้ใครพูดอะไรเธอก็ไม่ได้โกรธอะไรเลยเพราะเธอปล่อยวางแล้ว ได้เรียนรู้การปล่อยวางจากการที่เสียโฉม อย่างนี้ก็เรียกว่ารู้จักหาประโยชน์จากความทุกข์ แทนที่จะปล่อยให้ทุกข์ซ้ำเติมย่ำยี เธอนอกจากรักษาใจไม่ให้ทุกข์แล้ว ยังใช้ประโยชน์กับความทุกข์ ทำให้ได้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่สอนให้เราเห็นว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างมีวันหมดอายุ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมากเกินไป
ให้เราลองพิจารณาดูว่า ทุกอย่างมีประโยชน์ทั้งนั้น ที่จริงนักปฏิบัติธรรมต้องเป็นนักฉวยโอกาสด้วย ฉวยโอกาสจากทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ หาประโยชน์กับมันให้ได้ มาภาวนาทั้งทีให้เตือนใจเราอยู่เสมอว่า อะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่างน้อยข้อแรกคือ รักษาใจไม่ให้ทุกข์ และข้อที่สองคือ หาประโยชน์จากมันให้ได้