แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตอนเช้าเราก็มารวมตัวกันเพื่อทานอาหาร การทานอาหารอันนี้ก็เป็นหน้าที่ต่อชีวิต แต่บางครั้งเราก็ไม่ได้ทานเพื่อการดำรงชีวิตอย่างเดียว ความเอร็ดอร่อยหรือความสุขก็เป็นจดมุ่งหมายของการเสพการบริโภคของเรา ซึ่งที่จริงแล้วพูดถึงการเสพการบริโภคนี้ มันก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะการกินอาหารเท่านั้น บางทีบ่อยครั้งด้วยซ้ำเราก็เสพทางตา ทางหู ทางจมูก ทางสัมผัสกาย ตอนนี้สิ่งที่เราเสพกันมากนอกจากทางปากก็คือทางตานี้แหละ ก็คือการเสพข้อมูลข่าวสาร เมื่อก่อนนี่เราฟังทางหูเราเสพทางหูกันมาก เพราะว่าสมัยก่อน อย่างมากก็มีแค่วิทยุ แต่ต่อมาก็มีโทรทัศน์ เราก็เสพทางตามากขึ้น
ทางโทรทัศน์เมื่อ 40-50 ปีก่อนก็มีเป็นเวล่ำเวลา อย่างเช่นจะเปิดสถานีโทรทัศน์ก็สี่โมง บ่ายสี่โมง เที่ยงคืนก็เลิก แต่ตอนนี้เรามีโทรทัศน์ดูกันทั้งวันทั้งคืนเลย แล้วก็ไม่ใช่มีแค่ 3 - 4 ช่องอย่างแต่ก่อน มีเป็นร้อยๆช่อง และเดี๋ยวนี้มันก็มาในรูปที่สะดวกมากขึ้น ก็คือมาทางโทรศัพท์ แต่ก่อนโทรศัพท์เรามีไว้ใช้ฟัง เสพทางหู แต่เดี๋ยวนี้เราก็เสพทางตาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสาร ข้อความต่างๆก็กลายเป็นสิ่งที่คนเมืองขาดไม่ได้ ทั้งวันก็จะมีเสียงเตือนให้เราหันมาดู ว่ามีข้อความอะไรเข้าบ้าง ต้องหยิบโทรศัพท์มาดู หลายคน 80-90 %ก็ว่าได้ ตื่นเช้าขึ้นมาอย่างแรก ๆ ที่ทำภายใน 15 นาทีหลังจากตื่นก็คือการเปิดโทรศัพท์เช็คข้อความ และเดี๋ยวนี้เราเช็คข้อความทางโทรศัพท์นี่ไม่ใช่เฉพาะเวลาว่าง เวลาทำงานเราก็อดชำเลือง อดมองไม่ได้ ว่ามีข้อความเข้ามาหรือเปล่า สมาธิซึ่งเป็นของหายากอยู่แล้วสำหรับคนในเมือง มันก็ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ เพราะแม้แต่เวลาจะกินข้าว ก็ไม่มีสมาธิ ต้องคอยดูข้อความหรือไม่ก็ถ่ายรูป ส่งภาพ ส่งข้อความไปให้ เวลาจะคุยกับเพื่อนก็ไม่ค่อยมีสมาธิ เพราะมันมีเสียงปิ๊ง ๆ ๆ มาเป็นระยะๆ ยิ่งเวลาทำงานด้วยแล้ว
สมาธิซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมาก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีกันเท่าไหร่ หรือมีก็ไม่ค่อยต่อเนื่อง มีสักสามนาทีก็จะต้องปิ๊งแล้ว กว่าคนเราจะมีสมาธิทำงานได้ก็ต้องใช้เวลา พอมีสมาธิปุ๊บ อ้าว มีข้อความเข้ามาก็ต้องเปิด อันนี้เรียกว่าเป็นการเสพ เป็นการเสพข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเดี๋ยวนี้มันเกินพอดีไปแล้ว เวลาเรากินอาหาร พระพุทธเจ้าก็จะสอนจะเตือนว่า ให้รู้จักประมาณในการบริโภค คำว่าบริโภคสมัยก่อนก็หมายถึงการกินอาหารนี่แหละ แต่ตอนนี้การบริโภคมันรวมไปถึงการเสพข้อมูลข่าวสารทางตาด้วย คนเดี๋ยวนี้ในแง่หนึ่งก็มีความสะดวกสบายขึ้น แต่สิ่งที่มาควบคู่กันไปก็คือความว้าวุ่นในจิตใจ หาความสงบไม่ได้ เพราะมันมีสิ่งดึงความสนใจเราไปตลอดเวลา พวกโปรแกรมแอปพลิเคชั่นต่างๆในคอมพิวเตอร์ หรือในโทรศัพท์มือถือ นี่เขามีจุดมุ่งหมายสำคัญเลยนะคือดึงความสนใจของเราให้มาจดจ่ออยู่กับตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นไลน์ เฟสบุ๊ค นี่ตัวดีเลย เขาดีไซน์มาเพื่อจะให้เราใช้เวลาอยู่กับเขานานๆ จึงมีปุ่มให้กดไลด์ มีปุ่มให้แชร์ บางคนตอนแรกก็บอกว่าจะโพสต์อาทิตย์ละวัน แต่พอมีคนไลด์มากขึ้นก็ขยับมาจากอาทิตย์ละวัน วันละครั้ง ก็เป็นวันละสองครั้ง พอมีคนกดไลด์มากขึ้น จากวันละสองครั้งก็เป็นสามครั้งสี่ครั้ง
นี่เรียกว่าเป็นอุบายในการล่อให้เรามาจดจ่อสนใจเขา มี newsfeed ต่างๆมากมาย ที่ล้วนแล้วแต่น่าสนใจ เพราะเขาจะเลือกมาเฉพาะสิ่งที่เราสนใจ ถามว่าเขารู้ได้ยังไง เขาก็รู้จากที่เราใช้บ่อยๆ ตัวโปรแกรมก็จะสามารถทำนายหรือคาดเดาได้ว่า เราชอบอะไร เพราะฉะนั้นก็ป้อนสิ่งที่เราชอบ เราก็เลยอยู่กับมันนานขึ้น ตอนแรกว่าจะดูสัก 15 นาทีหรือบางทีแค่ 2-3 นาที ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง ชั่งโมง ก็เป็นอันว่าสิ่งที่อยากทำ ก็ไม่ได้ทำ เวลาที่จะให้กับลูกกับหลานก็ไม่มี และเดี๋ยวคนเราติดผูกติดกับโทรศัพท์มาก เขามีการทดลองว่าโทรศัพท์ที่ปิดเสียง ถ้ามาวางไว้บนโต๊ะขณะที่ทำงานไปด้วย เทียบกับคนที่เอาโทรศัพท์ไปวางไว้อีกห้องหนึ่ง โทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะที่ปิดเสียงแล้ว คว่ำหน้า ไม่เห็นจอ ไม่มีเสียงที่ส่งมาให้ได้ยิน ว่ามีสัญญาณเข้ามา ข้อความเข้ามา ก็แม้กระทั่งคนที่เอาโทรศัพท์วางไว้บนโต๊ะและปิดเสียงคว่ำหน้า การทำงานก็มีประสิทธิภาพลดลง เมื่อเทียบกับคนที่เอาโทรศัพท์ไปวางไว้อีกห้องหนึ่งหรือคนที่ไม่เห็นโทรศัพท์ อันนี้มันแปลว่าอะไร มันแปลว่าเราพะวง แม้แต่โทรศัพท์วางไว้ข้างหน้า เราจะพะวง พะวงว่าจะเปิดโทรศัพท์ดีไหมหรือจะเช็คข้อความดีไหม แม้แต่ในใจเราบอกว่าอย่าพึ่งเปิดโทรศัพท์นะ อย่าพึ่งเช็คข้อความ แค่นี้ก็ทำให้เสียสมาธิแล้ว ทำให้เสียสมาธิจนกระทั่งทำงานนี้ประสิทธิภาพมันลดลง
อันนี้ก็ทำวิจัยมาเปรียบเทียบกันระหว่างคนที่เอาโทรศัพท์ไปวางไว้ในห้องห้องอื่นกับคนที่เอาโทรศัพท์มาวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆตัว หรือแม้แต่เอาโทรศัพท์ไปวางไว้ในกระเป๋าที่อยู่ใกล้ๆตัว แม้จะปิดเสียงไม่มีสัญณาณเตือนระบบสั่นก็ตาม แต่ก็ทำให้สมาธิลดลง คือทำให้ใจวอกแวก เพราะว่ามันพะวง พะวงเรื่องอยากจะเช็คดูข้อความ เพราะทำอย่างนี้มาเป็นนิสัย วันละเป็น 10 เป็น 100 ครั้ง เห็นแล้วเป็นไม่ได้ เห็นแล้วเป็นต้องมาเช็คข้อความ มันมีความอยากที่ทำให้ใจเสียสมาธิและในการที่ห้ามใจว่าอย่าเปิด อย่าเปิด อันนี้ก็ทำให้การทำงานของเราเพราะการใช้สมองนี้ มันมีคุณภาพต่ำลง เพราะว่าไม่มีสมาธิ มันมีสิ่งรบกวนจิตใจ เขาทดลองแม้กระทั่งโทรศัพท์ที่ปิดแล้ว ปิดเครื่องไม่มีสัญญาณเข้ามา วางไว้ตรงใกล้ๆตัว เหลือบมองเห็น ก็ยังทำให้ไม่มีสมาธิได้ เพราะใจนี้มันก็อยากจะเปิด เปิดเพื่ออะไรเพื่อดูข้อความ เพื่อจะได้เสพ
และการเสพข้อความ การเสพข้อมูลข่าวสารนี้ มันไม่รู้จักอิ่ม มันอิ่มยาก ไม่เหมือนการกินข้าว การกินข้าวนี้ เรากินเสร็จเราก็อิ่มแล้ว พออิ่มแล้วเราก็ไม่อยากกินอีก อย่างมากเราก็แค่ตุน แต่ว่าเสพข้อมูลข่าวสารนี่มันไม่อั้น เสพได้เรื่อยๆอาจจะไม่ใช่ข้อความหรือตัวอักษร อาจจะเป็นภาพ อาจจะเป็นคลิปวีดีโอ ก็ดูได้เรื่อยๆ แล้วยิ่งเดี๋ยวนี้มันยิ่งมีสิ่งล่อเร้าหลายอย่าง เช่นเกมส์ ติดทั้งวัน เล่นทั้งวันทั้งคืน นี่ก็เป็นการเสพอีกอันหนึ่ง ซึ่งน่ากลัวมาก เพราะว่ามันทำให้คนไม่เป็นอันทำงาน ไม่เป็นอันหลับอันนอน คนที่ช็อคตายเพราะว่าเล่นเกมส์ 36 ชั่วโมงติดต่อกันนี้มีนะ แล้วก็มีหลายคนด้วยโดยเฉพาะประเทศที่เขามีอินเตอร์เน็ตก้าวหน้า ไว รวดเร็ว เช่นไต้หวัน เกาหลี นี่ตายคาเครื่องหรือว่าตายคาโทรศัพท์นี่ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ อันนี้เรียกว่าไม่รู้จักประมาณในการบริโภค และที่ไม่รู้จักประมาณเพราะขาดสติ ก็เรียกว่าหลง อย่างที่พูดเมื่อเช้า คนเรานี่หลงมากกว่ารู้และสิ่งที่มายั่วยวนให้เราหลงนี่นับวันก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ มันมาพร้อมเทคโนโลยี มันมาพร้อมความสะดวกสบาย ซึ่งใครๆก็มักจะมองเป็นของดี เพราะมองไม่เห็นว่ามันมีโทษอย่างไรบ้าง เราได้ความสะดวกสบายแต่เราสูญเสียอะไรไปบ้าง ไม่ค่อยนึกเท่าไหร่ โดยเฉพาะความสงบในจิตใจ โดยเฉพาะสมาธิ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องให้กับพ่อแม่ ลูกหลาน หรือว่าเวลาหลับเวลานอน