แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราส่วนใหญ่มาที่นี่ ก็คงไม่ได้แค่อยากจะมาทำบุญ แต่ว่าอยากจะมาฝึก อยากจะมาปฏิบัติ แต่ว่าความมุ่งหมายของการมา หรือว่าความคาดหวังจากการปฏิบัติ เราอาจจะคิดไม่เหมือนกัน บางคนก็อยากจะมาเพื่อหาความสงบสงัด บางคนก็อยากจะมาเพื่อรู้จักความสุขที่แท้ บางคนก็อยากจะมาปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ แต่จริงๆแล้ว การปฏิบัติที่นี่โดยพื้นฐานก็คือเพื่อให้เรารู้จักตัวเอง อันนี้เป็นเรื่องแรกเลย หลายคนพอได้ยินแบบนี้แล้วก็อาจจะไม่ได้คาดคิด เพราะว่าไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ที่จริงแล้วอันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก
การรู้จักตัวเอง ฟังดูเหมือนกับเป็นเรื่องพื้นฐาน เป็นเรื่องที่เรียกว่าไม่สลักสำคัญอะไร เป็นหญ้าปากคอก ในความเข้าใจของหลายคน อุตส่าห์ตั้งใจจะมาปฏิบัติก็อยากจะได้เจอ ได้เห็น ได้เข้าถึงอะไรที่มันวิเศษ มหัศจรรย์ หรือว่าสูงส่งกว่านั้น บางคนเวลาพูดถึงการปฏิบัติหรือลงมือปฏิบัติแล้วก็ตาม ก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย อาทิตย์ที่แล้วก็มีคนมาถามว่าทำไมเขาปฏิบัติมาตั้งหลายปี ทำกรรมฐานแต่ยังไม่เห็นอนาคตเลย หมายถึงว่ายังไม่สามารถที่จะทายหรือเดาอนาคตได้ ไม่เห็นภาพ ไม่เห็นนิมิต เหมือนที่คนอื่นเขาเห็น บางคนก็เห็นสวรรค์ บางคนก็เห็นนรก คือเขาคิดว่าการปฏิบัติ หรือสมาธิภาวนา หรือกรรมฐาน จะต้องเจออะไรที่เรียกว่าประหลาดหรือว่ามหัศจรรย์ บางคนก็อยากจะได้พบกับภาวะที่เป็นฌานอันสงบลึกซึ้ง หรือมีอิทธิปาฏิหาริย์ สามารถจะเหาะเหินเดินอากาศได้ สามารถที่จะดำดินบินบน หรือว่าทำให้หนังเหนียว ยิงฟันไม่เข้า นี่คือความเข้าใจของหลายคนเมื่อเวลามาปฏิบัติหรือเมื่อเวลานึกถึงสมาธิภาวนา พวกเราก็คงไม่ได้คิดขนาดนั้น แต่น้อยคนที่จะคิดว่าเรามาที่นี่ อุตส่าห์มาแต่ไกล เพื่อมารู้จักตัวเองหรือ แค่นี้เองหรือ มันเป็นเรื่องสำคัญทีเดียว อย่าไปดูแคลน อย่าไปมองข้าม อย่าไปประมาท ในการรู้จักตัวเอง
การรู้จักตัวเองที่เราเข้าใจ ก็อาจจะหมายถึง เห็นหน้าตัวเองในกระจกแล้วก็รู้ว่านี่คือเรา เห็นภาพของตนในวัยเด็กก็บอกได้ว่านี่คือเรา สมัยที่อายุ 3 ขวบ 5 ขวบ อันนี้ยังไม่ใช่เป็นการรู้จักตัวเอง ที่มุ่งหมายในการปฏิบัติที่นี่ เรื่องพวกนี้เราก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่ต่อไปก็อาจจะลืมเลือนเมื่อแก่ตัว ถ้าหากว่าความจำเสื่อมหรือว่าเป็นอัลไซเมอร์เมื่อไร เห็นหน้าตัวเองในกระจกก็อาจจะไม่รู้ก็ได้นะว่านี่คือเรา หรือว่าเห็นภาพตัวเองในวัยเด็ก ในวัยปัจจุบัน ก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือเรา อันนั้นเป็นเรื่องของกายภาพ เป็นเรื่องของสมองที่มันเสื่อมไป
การรู้จักตัวเองที่ละเอียดหรือว่าลึกลงไปอีกหน่อยก็คือรู้ว่าเรามีนิสัยใจคออย่างไร มีความชอบความถนัดตรงไหน แต่แม้กระนั้นหลายคนก็ไม่รู้ หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นคนขี้บ่น เป็นคนช่างคุย บางทีอายุตั้งสามสิบสี่สิบ แล้วยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นคนขี้บ่น ทั้งที่ใคร ๆ ก็เห็น ทั้งที่เขาก็บ่นอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัวว่าเป็นคนช่างคุย ช่างพูด พูดเพ้อเจ้อ หลายคนไม่เห็นนะ รวมทั้งไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้หงุดหงิดด้วย อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงว่าคนแบบนี้ก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ถนัดอะไร หลายคนก็ไม่รู้ เรียนจบมหาวิทยาลัยไปแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร ที่เรียนคือเรียนตามเพื่อน หรือเรียนตามที่พ่อแม่ขอ ถามว่าเรียนจบไหม ก็เรียนจบ แต่ถามว่าชอบไหม ก็ไม่ชอบ ถามว่าชอบอะไร ก็ไม่รู้ จะทำงานก็ไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร บางคนก็มาปรึกษาอาตมาว่าลูกจบแล้วจะให้ไปเรียนอะไรดี หรือจะให้ทำงานอะไรดี อาตมาจะตอบได้อย่างไง คนที่ตอบได้ดีกว่าคือเจ้าตัวมากกว่า แต่ว่าเดี๋ยวนี้คนเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร หรือว่าถนัดอะไร
คำว่า ต้องการอะไร ก็ดูเหมือนว่าเราทุกคนรู้คำตอบ เวลาเราอยากจะได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด เราก็จะตอบได้ว่านี่คือสิ่งที่ฉันอยากได้เป็นของขวัญ เมื่อเวลาเราไปห้างเราก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่ฉันอยากได้ แต่เราแน่ใจหรือเปล่าว่านั่นเป็นสิ่งที่เราอยากได้จริงๆ หลายคนจนกระทั่งแก่หรือใกล้ตายถึงรู้ว่าสิ่งที่พากเพียรสะสมหามา งานการที่ทำ เงินทองที่สะสม มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการเลย มารู้ว่าเราใช้เวลาไปกับการหาเงินหาทอง สุดท้ายสิ่งที่เราต้องการคืออย่างอื่นมากกว่า เช่น ครอบครัวที่อบอุ่น หรือว่ามิตรสหาย ความสัมพันธ์ที่เกื้อกูล หลายคนมารู้เอาตอนจะตายหรือตอนแก่แล้ว บางคนก็รู้สึกเสียใจว่า สิ่งที่ชีวิตเราต้องการจริงๆไม่สนใจ แต่ไปสนใจสิ่งที่เราถูกปลูกฝังว่านั่นคือสิ่งที่เราต้องการ เช่น ทำงานจบก็ต้องหาเงินหาทอง มีครอบครัว มีเงินมากๆ มีการงานที่มั่นคง อุตส่าห์หามาแล้วสุดท้ายก็ไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนา…เสียใจ
มีนักปราชญ์ชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ ทอโร หนังสือของทอโรเป็นแรงบันดาลใจให้กับคานธีในการต่อสู้เพื่อเอกราชด้วยสันติวิธี ทอโรได้ปลีกตัวไปอยู่ป่า แล้วก็เขียนบันทึกที่มีความลึกซึ้งมาก มีประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า โศกนาฏกรรมของคนเราก็คือ หลังจากที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อที่จะหาปลา แล้วพบว่าปลาที่หามาได้นั้นไม่ใช่ชนิดเดียวกับที่ต้องการ หมายความว่าอุตส่าห์หาเงินหาทอง มีอำนาจ มีชื่อเสียงเกียรติยศ แต่ปรากฏว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เพราะมันไม่ได้ทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง จิตใจเราปรารถนาสิ่งอื่นมากกว่า แต่เรากลับมองข้าม เพราะไปคิดว่าเงินทองลาภยศสุขสรรเสริญ คือสิ่งที่เราต้องการ เราลืมฟังเสียงร้องของจิตใจ ว่าจิตใจต้องการอะไรอย่างแท้จริง อันนี้ก็เรียกว่าไม่รู้จักตัวเอง
การรู้จักตัวเองที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นก็มี ก็คือการรู้เรื่องกายเรื่องใจของเราเอง ซึ่งไม่ได้มีแค่รู้ว่าร่างกายเราสูงเท่าไร หนักเท่าไร หรือรู้แค่กายวิภาคอย่างที่หมอหรือพยาบาลเรียน แต่ที่จริงแล้วมันรู้ลึกไปกว่านั้น อย่างเช่นที่เมื่อสักครู่ เราสาธยายอาการ 32 ของร่างกาย ทวัตติงสาการปาฐะ เป็นการพิจารณาร่างกายว่าประกอบด้วยอาการ 32 คนที่เรียนกายวิภาคก็อาจจะรู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรใหม่ เพียงแต่ว่าสิ่งที่สาธยายอาจจะแตกต่างจากที่เรียนมาบ้าง แต่จริงๆแล้วต้องการที่จะบอกให้เรารู้ว่า ร่างกายของเราไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นตัวเป็นตนได้เลย ร่างกายเราก็คือก้อนธาตุ หรือว่าสิ่งที่เกิดจากการประชุมกันของอวัยวะต่างๆ ซึ่งนอกจากจะเต็มไปด้วยความไม่งามแล้ว ยังไม่สามารถจะยึดเป็นตัวเป็นตน หรือไม่มีตัวตนที่จะยึดมั่นถือมั่นได้เลย อันนี้ก็เป็นการรู้กายแบบหนึ่ง แต่ว่าเราจะมาฝึกเรื่องการรู้กาย ในอีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งเราก็คงอาจจะได้เรียนรู้มาบ้างแล้ว
การรู้จักตัวเอง คือการรู้กายรู้ใจ รู้ว่าตัวเราคือกองสังขาร ซึ่งตกอยู่ภายใต้ความเสื่อม จะว่าไปแล้วในสายตาของธรรมชาติ กองสังขารที่เรียกว่า เรา นั้น ก็ไม่ได้ต่างจากฝุ่นธุลีในจักรวาล คือมันไม่เที่ยง มันไม่แน่นอน และสักวันหนึ่งมันก็ต้องเสื่อมและดับไป บางทีเราก็ลืมไปว่าสักวันหนึ่งเราต้องตาย เราทุกคนมีปลายทางคือความตาย แต่ว่าบ่อยครั้งเราก็ลืมไป เราไปจดจ่ออยู่กับจุดหมายชีวิตมากกว่า จุดหมายชีวิตก็วาดไว้สวยหรู เป็น CEO เป็นผู้จัดการ เป็นเศรษฐี เป็นนักธุรกิจร่ำรวย หรือว่าเป็นนักการเมือง อันนั้นคือจุดหมายชีวิต ซึ่งทำให้เรามีความฝัน แล้วจริงๆมันเป็นจุดหมายที่เราต้องการรึเปล่าก็ไม่รู้ อย่างที่พูดไปแล้ว หลายๆคนก็ลืมไปว่าสุดท้ายแล้วชีวิตเรามีปลายทางด้วย ปลายทางของคนเราจะว่าไปก็คือเชิงตะกอนหรือเมรุ ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน รวยแค่ไหน สุดท้ายเชิงตะกอนหรือเมรุก็คือปลายทางของเรา
การรู้จักตัวเอง ในความหมายหนึ่งก็คือ รู้ว่าไม่ว่าใหญ่แค่ไหนก็เล็กกว่าโลง รู้จักตัวเองก็ยังหมายถึงว่า เราสุขและเราทุกข์เพราะอะไร อันนี้สำคัญนะ คนส่วนใหญ่ไปคิดว่าความสุขใจก็ดี ความทุกข์ใจก็ดี มันเกิดจากสิ่งภายนอก ถ้าได้โชคได้ลาภ ประสบความสำเร็จ มีคนรัก ก็เรียกว่าสุขใจ ถ้าสูญลาภหรือว่าประสบเคราะห์ เจ็บป่วย มีคนกลั่นแกล้ง งานการล้มเหลว อกหัก ผิดหวังในความรัก อย่างนี้จึงเรียกว่าทุกข์หรือว่าเป็นเหตุให้ทุกข์ แต่ที่จริงแล้วถ้าเรารู้จักตัวเองอย่างแท้จริงก็จะพบว่าอันนั้นไม่ใช่สาเหตุแห่งความทุกข์หรือสุขที่แท้ สาเหตุแห่งความทุกข์หรือสุขนี้มันอยู่ที่ใจเรานี่แหละ หรือถ้าพูดให้เป็นรูปธรรมหน่อยก็คือ มันอยู่ที่ความคิดของเรา เป็นเพราะไม่รู้ทันความคิด เป็นเพราะคิดลบคิดร้าย เป็นเพราะความยึดติดถือมั่น มันก็ทำให้เกิดความทุกข์ จิตที่ผลักไสไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นก็เป็นเหตุให้ทุกข์ ถ้าเรามารู้จักตัวเอง เราจะพบว่าสุขก็ไม่ได้ไกลไปจากไหนเลย มันก็อยู่ที่ใจเรานี่แหละ และไม่ต้องทำอะไรมาก สิ่งสำคัญคือการกลับมาที่ใจของเรา เพราะฉะนั้นก็กลับมาเรื่องการรู้กายรู้ใจ
การปฏิบัติที่นี่จุดหมายคือ เพื่อการรู้กายรู้ใจ ส่วนความสงบนั้นเป็นผลพลอยได้ บางคนมาเพื่อจะหวังได้รับความสงบ แต่รู้กายรู้ใจนี่สำคัญกว่า และการรู้กายรู้ใจนี้ไปสัมพันธ์กับสิ่งที่เรียกว่าความรู้ตัว รู้อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการรู้ตัว เราเรียนรู้อะไรต่ออะไรมามากแล้ว วิชาทางโลกเราก็เรียนมามาก คนหนึ่งก็ 12 ปีบ้าง 16 ปีบ้าง 20 ปีบ้าง 24 ปีบ้าง จนจบปริญญาเอก แต่ว่าความรู้ที่เรียนมาอาจจะไม่ช่วยทำให้เราพบกับสิ่งที่ชีวิตต้องการ หรือมีความสุขอย่างแท้จริง ถ้าหากว่าเราขาดสิ่งที่เรียกว่าความรู้ตัว ความรู้นี้ดีมีประโยชน์ แต่ว่าตัวรู้ก็อย่ามองข้าม ความรู้ในที่นี้ก็หมายถึงรู้โลกภายนอก แต่ว่าอย่าลืมตัวรู้ เราต้องสร้างตัวรู้ให้มีมากขึ้นด้วย ตัวรู้หรือรู้ตัวก็อันเดียวกันนั่นแหละ เราจำเป็นต้องสร้างความรู้ตัวให้มีขึ้นเพราะว่าความทุกข์ของคนเรานั้นสุดท้ายก็เกิดจากการที่เราไม่รู้ตัว คนเราพอไม่รู้ตัวแล้วก็สามารถจะทำอะไรก็ได้ แม้ว่าจะมีความรู้มาก แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด อย่างคำพูดที่ว่า ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด เพราะมีแต่ความรู้ แต่ไม่มีตัวรู้ มีแต่ความรู้คือรู้เรื่องทางโลก แต่ไม่มีตัวรู้คือไม่มีความรู้ตัว ความรู้ตัวช่วยทำให้เราไม่เผลอ ไม่ลืมตัว คนเราลืมตัวหรือไม่รู้ตัวอยู่บ่อยๆ และบางทีทำให้เราทำสิ่งที่ไม่ฉลาดน่าหัว
มีเพื่อนคนหนึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า เขาไปที่คลองเตยเพื่อไปซื้อมะม่วง ที่คลองเตยก็มีแผงอยู่หลายแผงเรียงกัน เขาก็เดินตั้งแต่แผงแรกไปจนถึงแผงสุดท้าย เพื่อดูมะม่วงและก็ดูราคา แต่เขาก็ไม่ได้ซื้อเลยนะ จนกระทั่งเขากลับมาที่แผงแรก แล้วก็เลือกมะม่วงเพื่อจะซื้อ ปรากฏว่าคนขายเขาไม่ขาย บอกว่าไปดูร้านอื่นแบบนี้ฉันไม่ขายให้แล้ว เขาไม่พอใจที่ว่าเดินผ่านแผงเขาไป เสร็จแล้วเดินกลับมาซื้อที่แผงเขา จริงๆแล้วคนที่พูดแบบนี้หรือพ่อค้าแบบนี้เรียกว่าฉลาดหรือไม่ ลูกค้ามาซื้อก็น่าจะดีใจนะ แต่ว่าเขาปล่อยให้ความไม่พอใจนี้มันครอบงำจิต เพราะเห็นลูกค้าเดินผ่านแผงของเขาไปแล้วก็ไปดูแผงอื่น อันนี้เรียกว่าเขาลืมตัว เขาไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ตัวว่าความไม่พอใจมันเกิดขึ้น มันครอบงำจิต เขาไม่รู้ตัวว่าตัวอัตตา อัตตาซึ่งมันปรารถนาจะให้คนอื่นให้ความสำคัญ พอเห็นลูกค้าเดินผ่านแผงตัวเอง ตัวอัตตานี่มันก็ไม่พอใจ ว่าทำไมไม่สนใจแผงฉัน และดังนั้นพอลูกค้ามาซื้อก็เลยแก้แค้นด้วยการไม่ขาย ตัวอัตตามันสั่งว่าอย่าขาย เพราะอัตตาไม่พอใจที่ลูกค้าเดินผ่านทีแรก อย่างนี้ดูดีๆ เป็นความไม่รู้ตัว พอไม่รู้ตัวแล้วก็จะทำสิ่งที่น่าหัว หรือทำสิ่งที่โง่ลงไป ที่ไม่ได้เป็นประโยชน์กับตัวเองเลย
พวกเราคงจะเคยได้ยินนิทานเซนซึ่งมีชื่อมาก เป็นเรื่องของพระ 4 รูปที่ตั้งใจจะภาวนา โดยการนั่งอยู่ในความสงบ หันหน้าเข้าหาฝาผนัง แล้วก็ปฏิญาณหรือทำข้อตกลงว่าจะไม่คุยกันตลอด ๗ วัน เป็นการภาวนาขั้นอุกฤษฏ์ วันแรกก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทุกคนก็ภาวนาอย่างสงบ แต่พอตกค่ำมันมีเสียงกุกกักๆที่ศาลา ศาลาของวัดนี้ก็มีวัตถุโบราณมาก ของเก่าแก่หลายร้อยปี พระรูปหนึ่งก็เลยถามเพื่อนที่อยู่ติดกันว่าท่านล็อคประตูไว้หรือเปล่า รูปที่สองก็เลยพูดขึ้นมาว่าท่านลืมแล้วหรือว่าเราตกลงว่าจะห้ามคุยกัน รูปที่สามก็เลยพูดว่าแล้วท่านล่ะคุยทำไม เงียบสักพัก รูปที่สี่ก็เลยพูดขึ้นมาว่าพวกท่านแย่หมดเลย คุยทุกคนเลย มีข้าพเจ้าคนเดียวที่ไม่พูด ตกลงใครแย่ที่สุด คนที่สี่นะ เขาลืมตัว เขาลืมตัวเพราะอะไร เพราะว่าเขาดีใจว่าคนอื่นพูดทุกคน มีฉันที่ไม่พูด ก็อยากจะพูดข่ม อยากจะพูดอวดว่าฉันเก่ง อันนี้ก็เกิดจากตัวอัตตา ว่ากูแน่ กูแน่ ตัวอัตตานี่มันครองใจ แล้วก็ไม่รู้ตัว ก็เลยเผลอพูดออกไป ก็แสดงความโง่อีกแบบหนึ่ง เพียงแต่ว่าตัวที่ทำให้ลืมตัวและแสดงความโง่ออกไปนี้มันต่างจากกรณีแรก กรณีพ่อค้ามะม่วง พ่อค้ามะม่วงนี้ไม่พอใจที่ลูกค้าเดินผ่านไปทีแรก ส่วนกรณีของพระรูปที่สี่นี้ อัตตามันต้องการที่จะชูคอว่ากูแน่ กูเก่ง อยากจะอวดตัวเองแล้วข่มคนอื่น อันนี้แหละคือความไม่รู้ตัว คือ ความลืมตัว
แล้วเราลองพิจารณาดูตัวเราเอง ชีวิตของเรา ว่าเราลืมตัวเองแบบนี้กี่ครั้ง หรือบ่อยไหม ความผิดพลาดหลายครั้ง ความทุกข์หลายอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา หรือว่าปัญหาที่เราสร้างให้กับตัวเองหรือว่าคนอื่น ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ตัว การไม่รู้เรื่องภายนอกไม่มีความรู้เพียงพอนี้ยังไม่เท่าไร แต่เพราะเราไม่รู้ตัวต่างหาก และความไม่รู้ตัวนี้ก็เกิดจากการที่เราไม่ได้ฝึกฝนจนแคล่วคล่องในเรื่องการรู้กายรู้ใจ ถ้าเรามาฝึกให้หมั่นรู้กายรู้ใจ ความรู้ตัวจะเจริญงอกงามมากขึ้น รู้กายก็คือว่า เมื่อกายเคลื่อนไหวก็รู้หรือรู้สึกว่ามันเคลื่อนไหว อันนี้ต่างจากการรู้ว่าร่างกายเราประกอบด้วยอาการ 32 อันนี้เป็นความรู้อย่างหนึ่งซึ่งมันสำคัญ ต้องอาศัยการพิจารณา แต่ว่าในที่นี่เราจะมาเน้นเรื่องการรู้กายเมื่อมีการเคลื่อนไหว โดยการกำหนดหรือสร้างอิริยาบถหลักๆ 2 อิริยาบถขึ้นมา คือ การยกมือ ที่เราสร้างจังหวะ และการเดินจงกรม ถึงแม้จะเป็นการสร้างอิริยาบถขึ้นมา ไม่ใช่อิริยาบถธรรมชาติ ถ้าหากว่าเราดูเป็น มันก็เป็นวิปัสสนาได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าวิปัสสนานี่จะต้องหมายถึงการมารู้ หรือว่าพิจารณาอิริยาบถที่เป็นธรรมชาติอย่างเดียว รู้กายนี้ไม่ได้ยากอะไรเลย แต่เราจะพบว่า เรามักจะทำไม่ได้ เพราะความเผลอ ความลืม หรือไม่มีสติ ทำไมมันจะยากตรงไหน เวลายกมือก็รู้ว่ายก เวลาเดินก็รู้ว่าเดิน แต่ว่าเป็นเพราะใจเราไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ใจมันชอบไหลไปอดีตบ้าง ลอยไปอนาคตบ้าง จมอยู่ในอารมณ์บ้าง หรือเข้าไปในโลกแห่งความคิด ตอนนั้นแหละที่จะไม่รู้ จะไม่รู้ว่ามือกำลังยก เท้ากำลังขยับ หรือตัวกำลังเคลื่อน ก็คือไม่ได้รู้สึกว่ากายมันเคลื่อนไหว เรามาทำเรื่องง่ายๆ แบบนี้แหละ แต่หากว่าเราวางจิตวางใจไม่เป็น ก็กลายเป็นเรื่องยาก เพราะว่าหลายคนก็พยายามไปเพ่งบ้าง หลายคนก็เผลอ เผลอสติ ใจลอยไปโน่นไปนี่ เมื่อสวดมนต์ใจก็ลอย ไม่ได้สวดมนต์อย่างมีสติ ไม่ได้สวดมนต์อย่างรู้ตัว
รู้กายนี้ เรามาฝึกเป็นเบื้องต้นเลย มาเริ่มต้นกันใหม่ที่ตรงนี้ ที่เคยฝึกเคยปฏิบัติอย่างอื่นมาก็วางไว้ก่อน ลองมาทำสิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องพื้นฐานมาก ๆ แล้วเราจะรู้ว่าเอาเข้าจริงๆ มันกลับกลายเป็นเรื่องยาก เพราะว่าใจเราไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร เมื่อเรารู้กายอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ไปเพ่ง แต่เป็นเพราะว่าใจอยู่กับเนื้อกับตัว และที่ใจอยู่กับเนื้อกับตัวเพราะมีสติรู้ทัน เวลามีความคิดเผลอฟุ้งปรุงแต่งไป สติก็ไปเรียกจิตกลับมา ออกจากความคิด กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วก็รู้ตัว รู้ว่ากายกำลังทำอะไร มือกำลังทำอะไร ต่อไปสติก็จะไวพอที่จะรู้ใจด้วย ทีแรกก็รู้กายก่อน ต่อไปก็จะรู้ใจ คือรู้ว่าเมื่อเผลอคิดนึกหรือว่ามีอารมณ์มาครอบงำ แต่เดิมเพราะไม่รู้ใจก็โดนความคิดพวกนี้ลากจิตลากใจไป หรือว่าโดนอารมณ์พวกนี้บีบคั้นจิตใจ เผารนจิตใจ หรือว่าจับพันธนาการจิตเหมือนกับคุกที่ขัง อันนี้เพราะไม่รู้ใจทั้งนั้นเลยนะ ที่เราจมอยู่ในความเศร้า จมอยู่ในความโกรธ จมอยู่ในความรู้สึกผิด เพราะว่าไม่รู้ใจ
ตัวรู้ที่จะทำให้รู้ใจ คือ สติ สติทำให้เรารู้ว่าตอนนี้ใจ จมเข้าไปในอารมณ์แล้ว เพียงแค่รู้เท่านั้น จิตก็จะถูกดึงออกมา ถูกไถ่ถอนออกมา กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วก็จะรู้สึกว่ามือกำลังขยับ เท้ากำลังเขยื้อน หรือว่ากำลังอาบน้ำ กำลังถูฟัน เรามาทำเรื่องที่เป็นพื้นฐาน ที่เราอาจไม่ได้คาดคิดว่า เรากำลังปฏิบัติเพื่อตรงนี้หรือ เพราะว่าหลายคนนึกหรือคาดหวังเรื่องใหญ่ๆโตๆ เรื่องที่ซับซ้อนพิศดาร หรือเป็นเรื่องที่สูงส่ง จนบางทีมองข้ามเรื่องที่เป็นพื้นฐานมากๆ แต่มันจะช่วยทีเดียวนะ เพราะว่าอย่างที่บอก ว่าเป็นเพราะเราไม่รู้ตัว จึงจมอยู่ในความทุกข์ แล้วก็สร้างความทุกข์ให้กับคนอื่นมากมายหลายประการ ไม่รู้ตัวเมื่อไร ตัวอัตตากับตัวกิเลสจะมาครอบงำใจ รู้ตัวเป็นปฏิปักษ์กับตัวกูหรือตัวกิเลส คนเราถ้าปล่อยให้ตัวกูเข้ามาครอบงำใจ เราก็สามารถจะทำอะไรก็ได้ที่มันน่าหัวหรือที่มันน่ากลัว แม้กระทั่งทำร้ายผู้มีพระคุณ ด้วยวาจาหรือด้วยการกระทำ เพราะว่าตัวกูมันใหญ่ พอใหญ่แล้วมันไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี แต่ถ้ารู้ตัวเมื่อไร ตัวกูจะมาครอบงำจิตใจไม่ได้
สองตัวอย่างที่เล่ามานี้เป็นเพราะตัวกูทั้งนั้นแหละ พ่อค้ามะม่วงก็รู้สึกว่าตัวกูนี้มันโกรธที่ลูกค้าเดินผ่านไม่ได้สนใจฉัน ตัวกูมันต้องการการชื่นชม ต้องการการยอมรับ การสรรเสริญ การให้ความสำคัญ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นพ่อค้าก็น่าจะตระหนักว่าลูกค้ามาซื้อ น่าจะดีใจ แต่ตัวกูมันต้องการแก้แค้น ทำไมไม่มาซื้อไม่มาดูร้านกูก่อน เพราะฉะนั้นกูไม่ขายให้มึง อันนี้ตัวกูมันสั่ง ส่วนกรณีพระเซนรูปที่ 4 นี้ ตัวกูมันชูคอมา มันอยากจะประกาศให้เพื่อนอีก 3 คนรู้ว่ากูเก่ง กูแน่ แต่สุดท้ายก็เป็นการพลาดท่าเสียที ไปโชว์ความโง่ ความน่าหัวออกมา แต่นั้นมันยังเล็กน้อยนะ เพราะจริงๆ ตัวกูมันทำอะไรได้มากกว่านี้ สามารถสร้างความฉิบหายให้กับตัวเองและคนอื่นได้ ดังนั้นถ้าเราไม่รู้จักเท่าทันมัน ด้วยความมีสติรู้ตัว เราก็จะเป็นทาสของมัน ถูกมันหลอกล่อพาให้เกิดความเดือดร้อนตามมาในภายหลัง