แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีนักปราชญ์ชาวจีนคนหนึ่งชื่อ จางจื๊อ หรือ จวงจื๊อ เกิดเมื่อประมาณ ๒,๓๐๐ ปีที่แล้ว ใกล้ ๆ กับสมัยพุทธกาล ถือว่าเป็นปราชญ์ของลัทธิเต๋า ซึ่งคำสอนใกล้เคียงกับพุทธศาสนามาก จางจื๊อเคยเขียนเรื่องเล่าหรืออุปมาอุปมัยว่า ถ้าเกิดชายคนหนึ่งกำลังพายเรืออยู่ แล้วจู่ ๆ ก็มีเรือเปล่าตรงเข้ามา แล้วก็ชน แม้ว่าชายคนนั้นจะเป็นคนเจ้าอารมณ์หรือมีโทสะ แต่ถ้าโดนเรือเปล่ามาชนก็คงจะไม่พูดอะไรมาก แต่ถ้าเกิดเรือลำนั้น เรือที่พุ่งมาชนมีคนพายอยู่ ก็คงจะตะโกนว่าอย่ามาชน อย่ามาชน หรือถ้าเรือลำนั้นมาชนตัวเองก็คงจะด่า ด่าเสียๆ หายๆ อาจารย์จางจื๊อเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสอนใจเราว่าให้ทำตัวเหมือนเป็นเรือเปล่า เมื่อเป็นเรือเปล่านี้จะกระทบกระทั่งกับใครก็ไม่มีใครว่าอะไร เหมือนกับชายที่พายเรือแล้วโดนเรือเปล่าชนก็ไม่ได้โวยวายอะไรกับเรือลำนั้น เรือเปล่าในที่นี้ก็คล้าย ๆ กับความไม่มีตัวตน อาจารย์จางจื๊อสอนว่า ให้เราทำตนเหมือนเป็นเรือเปล่าก็คือ ไม่มีตัวตน ที่จริงในทางพระพุทธศาสนานั้น มันไม่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว การทำตนเหมือนเป็นเรือเปล่าก็คือการที่ไม่ยึดติด ไม่ยึดมั่นในความคิดว่ามีตัวตน อันนี้ถ้าพูดเต็มยศต้องแบบนี้แหละ เพราะว่าทุกอย่างนั้นไม่มีตัวตนตั้งแต่แรก แต่เป็นเพราะว่าเราไปยึดว่ามีตัวตน ถึงเกิดปัญหาขึ้นมา
เมื่อใครมาต่อว่าด่าทอหรือติฉินนินทา คนส่วนใหญ่ก็โกรธ เพราะรู้สึกว่ากูกำลังถูกด่า ความรู้สึกว่า กู มันเกิดขึ้น และพอยกตัวกูขึ้นมา กระทบกับคำด่า ก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมา เกิดความโกรธ เวลาเราโกรธเมื่อได้ยินคำด่า คำวิพากษ์วิจารณ์ ติฉินนินทา จริง ๆ แล้วไม่ใช่เป็นเพราะคำด่าหรือคำพูดของใคร ตัวการสำคัญคือการที่ไปชูตัวกูขึ้นมา หรือไปเกิดความสำคัญมั่นหมายว่ากูถูกด่า กูถูกด่า แต่ที่จริงถ้าเราลองเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ว่า แทนที่จะไปจมอยู่กับความคิดหรือความสำคัญมั่นหมายว่ากูถูกด่า กูถูกว่า ลองเปลี่ยนไปมองว่าที่เขาพูดมานี่มันจริงไหม ตรงนี้ความโกรธมันก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะตอนนั้นไม่ได้ชู ตัวกู ขึ้นมารับคำด่า ตอนนั้นใจไปอยู่กับการค้นหาใคร่ครวญว่าที่เขาพูดมาจริงไหม อันนี้เป็นท่าทีแห่งปัญญา หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นการเอาปัญญาขึ้นออกรับ เอาปัญญาออกหน้า ไม่ใช่เอาอัตตาออกหน้า ถ้าเราเอาอัตตาออกหน้าก็จะต้องเจอสิ่งที่มากระทบอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะคำพูดที่ไม่ถูกใจ หรือการกระทำที่ไม่ถูกใจ เหมือนกับว่าเวลามีใครขว้างก้อนหินใส่เรา คนฉลาดก็จะหลบ แต่คนที่ไม่ฉลาดก็จะเอาหน้ารับ เอาตัวรับ เกิดอะไรขึ้น ก็เจ็บ เมื่อไรก็ตามที่เราเอาตัวกูออกหน้าก็จะเป็นทุกข์เจ็บปวด เมื่อมีใครพูดกระทบ ที่จริงไม่ต้องด่าว่าหรือติฉินนินทา แค่พูดไม่ไพเราะก็ทุกข์แล้ว หาว่าเขาไม่เคารพเรา ก็คือเขาไม่เคารพกูนั่นแหละ ทุกครั้งที่มีความทุกข์ใจนั่นก็เพราะมันมีตัวกูขึ้นมา ที่จริงบางทีเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแต่เขาอาจจะมีการกระทำบางอย่างที่ไม่ถูกใจเรา หรือไม่ให้ความสำคัญกับเรา
มีเพื่อนคนหนึ่งเขาไปเที่ยวที่ตลาดคลองเตย ก็มีแผงผลไม้วางติด ๆ กันหลายแผง เขาก็ไปดูผลไม้ เดินตั้งแต่แผงแรกแล้วก็สอบถามราคาดูผลไม้ดูมะม่วงไปจนถึงแผงสุดท้าย ก็คงไปสอบถามราคา เสร็จแล้วกลับมาที่แผงแรกใหม่ แล้วก็เลือกมะม่วง เลือกมาได้จำนวนหนึ่งก็จะจ่ายเงิน พ่อค้าบอกว่าไปดูแผงอื่นแบบนี้อั๊วไม่ขายให้ พ่อค้าไม่ยอมขายเพราะไม่พอใจที่ตอนแรกเดินผ่านแผงของเขา อันนี้เป็นเพราะอะไร เพราะอำนาจของตัวกู ตัวกูมันต้องการได้รับความสนใจ ได้รับความสำคัญ พ่อค้าเห็นลูกค้าเดินผ่านไป ไปถามแผงอื่นก็เกิดความไม่พอใจ ไม่พอใจก็เลยตอบโต้ด้วยการไม่ขายให้ การไม่ขายของให้ลูกค้านั้นมันโง่หรือฉลาด คนเราเป็นพ่อค้าก็เพื่อจะขายของ แต่ว่าเหตุผลที่ไม่ขายให้กับลูกค้าเป็นเพราะว่าเขาไม่ให้ความสำคัญกับเราตั้งแต่ทีแรก อันนี้ก็เป็นเพราะตัวกู ตัวกูมันต้องการได้รับความสำคัญมาก อย่าว่าแต่ต่อว่าด่าทอเลย เดี๋ยวนี้แค่ไม่ชมก็เป็นเรื่องแล้ว เป็นทุกข์แล้ว เดี๋ยวนี้โพสต์รูปโพสต์ข้อความอะไรขึ้นไปทางเฟซบุ๊กแล้ว ไม่มีคนกดไลค์ โดยเฉพาะเพื่อนถ้าไม่กดไลค์ก็โกรธแล้ว ถ้าไม่โกรธก็น้อยใจ หรือว่ากังวลว่าเราทำอะไรผิดหรือเปล่า แต่ก่อนเขากดไลค์เดี๋ยวนี้เขาไม่กดแล้ว ทุกข์ง่ายมากเลยคนสมัยนี้ เพราะว่าตัวกูมันใหญ่ มันยึดมั่นในตัวกูมาก เพราะฉะนั้นไม่น่าแปลกใจ เมื่อเราได้ข่าวว่าวัยรุ่นฆ่ากันเพียงเพราะว่ามองหน้ากันเท่านั้น เพียงแค่มองหน้ากัน หรือว่ากดแตร หรือว่าขับรถปาดหน้า แค่นี้แหละก็เป็นเรื่องได้ เพราะว่าความรู้สึกว่าตัวกูถูกกระทบ คือรู้สึกว่ากูถูกเหยียดหยาม
ความรู้สึกว่าตัวกู หรือความยึดมั่นในตัวกู นั้นเป็นที่มาของความทุกข์ของคนทั้งหลาย นอกจากตัวเองทุกข์แล้วก็ไปสร้างความทุกข์ให้แก่คนอื่น คนบางคนเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความสำคัญ หรือว่าไม่มีตัวตนอยู่ในสายตาของคนอื่น คนเหล่านี้จะมีความทุกข์มาก และบางทีก็ต้องการเรียกร้องความสนใจ วิธีเรียกร้องความสนใจของคนประเภทนี้ก็คือไปฆ่าคนดัง ตัวอย่างเช่น แชปแมน ฆาตกรที่ไปฆ่าจอห์น เลนนอน เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว เขาก็ไม่ได้เกลียดชังอะไรจอห์น เลนนอน เลย เป็นแฟนเพลง จอห์น เลนนอน เสียด้วยซ้ำ แต่เขาให้รับสารภาพตอนที่ตำรวจจับได้ว่า ถ้าเขาไม่ฆ่าจอห์น เลนนอน ก็คงไม่มีใครรู้จักเขา ฆ่าจอห์น เลนนอน เพราะอยากให้คนรู้จัก เพราะว่าตัวเองเขาเองเป็นคนที่ไม่มีคนสนใจ เรียนหนังสือก็เรียนไม่เก่ง จบมาทำงานก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เงินเดือนก็น้อย มีแฟนก็ประสบความล้มเหลว คือทำอะไรจับอะไรก็ตามมันล้มเหลวไปหมดเลย เขาเคยคิดฆ่าตัวเพราะรู้ว่าอยู่ไม่ไหวแล้ว ไม่มีตัวตนอยู่ในสายตาของคนอื่นก็อยู่ไม่ไหว แม้คิดฆ่าตัวตายก็ยังล้มเหลวเลย ฆ่าไม่สำเร็จ เมื่อฆ่าตัวตายไม่สำเร็จก็ไปฆ่าคนดังก็แล้วกัน ปรากฏว่าได้ดังสมใจ อันนี้เพราะตัวกู ตัวกูแท้ ๆ เลย
ธรรมชาติของตัวกูอย่างหนึ่งคือต้องการได้รับความสนใจ ถ้าไม่ได้รับความสนใจ คือเป็น no body หลายคนคิดว่าตายดีกว่า ถ้าเป็น no body เมื่อไรตายดีกว่า ความตายไม่น่ากลัวเท่ากับการไม่มีตัวตนในสายตาของคนรอบข้าง แต่ถ้าฆ่าตัวตายไม่ได้ ก็ไปฆ่าคนอื่นแทน เมื่อสิบกว่าปีก่อนมีการจับฆาตกรต่อเนื่องได้ ฆาตกรต่อเนื่องคือคนที่ไปฆ่าคนหลายศพ จับได้แล้วเขาก็ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า จะต้องให้ผมฆ่าอีกกี่ศพ หนังสือพิมพ์ถึงจะสนใจ ปรากฏว่าต้องฆ่าคนถึง ๖ คนถึงจะเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ น่ากลัวมากตัวกูนี้ มันไม่เพียงแต่ทำให้คนเราทุกข์ แต่ยังทำให้คนอื่นทุกข์ด้วย เพราะว่าความโกรธ ความน้อยเนื้อต่ำใจ นั้นสามารถผลักดันให้ตัวกูนี้ไปทำร้ายคนอื่นได้
ตัวกู ไม่มีอยู่จริง พูดแบบนี้คนก็รู้สึกเข้าใจยาก แล้วก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมเข้าใจง่าย ๆ อาตมาเคยไปจำพรรษาที่ประเทศอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ อยู่ที่วัดอมราวดี ของหลวงพ่อสุเมโธ มีลูกศิษย์ฝรั่งมาก เมื่อไปบิณฑบาตก็ไม่ได้บิณฑบาตแบบเมืองไทย คือเราไปอยู่หน้าบ้านรอรับบิณฑบาต ที่นั่นเราก็ไปฉันน้ำร้อนน้ำชา คุยกับเจ้าของบ้าน วันหนึ่งก็สองสามบ้านเท่านั้นแหละ เขานิมนต์ให้ฉันน้ำร้อนน้ำชา แล้วเขาก็ถวายพวกบิสกิต สแน็ค หรือผักผลไม้ แล้วขับรถไปส่งที่วัด แต่ขาไปเดินไป ก็คุยกับฝรั่งคนหนึ่ง เธอก็สนใจพุทธศาสนา เธอก็บอกว่าคำสอนของพุทธศาสนาเรื่องไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง เข้าใจได้ยอมรับได้ แต่เรื่องอนัตตานี้เข้าใจยากและยอมรับยาก เพราะฝรั่งเขายึดเรื่องตัวกูมาก เขาเชื่อว่ามีตัวกู แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า ตัวกูไม่มีจริง นี่เขาต่อต้านทีเดียว ทำไมตัวกูไม่มีจริง ตัวกูไม่มีจริงหมายความว่ามันไม่มีตัวตนอะไรที่เที่ยงแท้ถาวร ทุกอย่างไม่ได้มีโดยตัวมันเอง แต่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เช่น ต้นไม้ขึ้นได้ งอกได้ เพราะว่าอากาศ อุณหภูมิ ดิน ปุ๋ย ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ต้นไม้ก็ไม่เกิดขึ้น รถยนต์เป็นรูปเป็นร่างได้เพราะมีองค์ประกอบส่วนประกอบมากมายเป็นหมื่นชิ้น ถ้าเราถอดเอาส่วนประกอบทีละอย่าง ๆ ออกไปจนหมด ก็ไม่เหลือเลย ตัวรถก็หายไปเลย
ร่างกายเราก็เหมือนกัน ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ เรียกว่าอวัยวะ ๓๒ หรืออาการ ๓๒ สมอง หัวใจ ปอด ตับ ไต ม้าม เลือด น้ำเหลือง ฯลฯ ถ้าเอาแต่ละอย่างออกไป ก็ไม่มีร่างกาย อันนี้บอกว่าร่างกายก็ไม่ใช่ตัวตน เมื่อเราชี้ว่าตรงไหนเป็นตัวเรา เช่นมาชี้ตรงนี้ นี่ไม่ใช่ตัวเรานี่หน้าอก ชี้ตรงนี้ นี่ไม่ใช่ตัวเรานี่มันหัว ชี้ตรงนี้ นี่ก็ไม่ใช่นี่มันแขน คือชี้ตรงไหนก็ไม่เจอตัวเราสักอย่าง มีแต่เจอหัว เจอแขน เจอปาก เจออก และหัวนี่ถ้าชี้ไปก็ไม่ได้เจอหัว อาจไปเจอขมับบ้าง ไปเจอคิ้วบ้าง ไปเจอแก้มบ้าง คือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เรียกว่าตัวเรานั้นมันเป็นสิ่งสมมติ เป็นสมมติที่ใช้เรียกสิ่งที่เกิดจากองค์ประกอบต่าง ๆ พูดง่าย ๆ กว่านั้น ถ้าเรากำแบบนี้เราก็เรียกว่า กำปั้น แต่ถ้าถามว่ากำปั้นมีจริงไหม ตัวกำปั้น ตัวตนกำปั้นนี้ พอคลายมือหรือแบมือ ตัวกำปั้นก็หายไปแล้ว แสดงว่ากำปั้นไม่มีจริง กำปั้นเป็นแค่สมมติ เป็นคำสมมติที่ใช้เรียกมือที่รวบเข้าหากัน มือหรือนิ้วที่รวบเข้าหากันเราเรียกกำปั้น กำปั้นเป็นคำสมมติที่ใช้เรียกอาการของนิ้วและมือที่รวบเข้าหากัน แต่ตัวตนกำปั้นไม่มีจริง พอมือหรือนิ้วแบออก ไปแล้ว กำปั้นหายไปแล้ว ถ้าตัวตนของกำปั้นมีจริงมันก็ต้องคงอยู่เที่ยงแท้ถาวร
อันหนึ่งที่สังเกตได้คือ ตัวเราหรือตัวกู นี้ ถ้ามันมีตัวตนจริง ๆ มีตัวกูมีตัวเราจริง มันก็ต้องคงที่ แต่เราสังเกตว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย เวลาเราเจอพ่อแม่ก็เกิดความสำคัญว่าเราเป็นลูก กูเป็นลูก แต่เวลาเจอลูกก็เกิดความสำคัญมั่นหมายว่า กูเป็นพ่อแม่ เวลาเจออาจารย์ เจอครูที่สอนมาตั้งแต่เล็ก เราก็เกิดความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นลูกศิษย์ แต่พอเราเจอลูกศิษย์ที่สอนมา เราก็เกิดความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นอาจารย์ คือตัวกูนี้มันจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แล้วเมื่อเปลี่ยนไปแต่ละอย่างก็จะมีลักษณะนิสัยเป็นคนละแบบ เช่น ถ้ามีความรู้สึกว่าเราเป็นลูกศิษย์ อยู่ต่อหน้าอาจารย์ เราก็ปฏิบัติต่ออาจารย์ เราก็พูดด้วยความเคารพนบนอบ แต่พอเราไปเจอลูกศิษย์ เราเป็นอาจารย์ขึ้นมา การพูดของเราก็จะเปลี่ยนไป อาจจะพูดแบบไม่ค่อยมีน้ำเสียง พูดแบบดุ ๆ คนที่เจอเจ้านาย จะเป็นปลัดกระทรวงหรือรัฐมนตรี ก็จะพูดแบบพินอบพิเทา เพราะรู้สึกว่ากูเป็นลูกน้อง แต่ว่าพอไปเจอลูกน้อง เราเป็นอธิบดีเจอลูกน้องก็จะพูดกับลูกน้องอีกแบบหนึ่ง character หรือลักษณะนิสัยจะเปลี่ยนไปเลย ตอนที่เกิดความสำคัญมั่นหมายว่ากูเป็นลูกน้อง เราก็จะพูดจาแบบเรียบร้อยพินอบพิเทากับเจ้านาย แต่พอเจอลูกน้อง พอสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นเจ้านาย เราก็จะกระโชกโฮกฮากบ้าง ลักษณะนิสัยเปลี่ยนไปเลย เมื่อตัวกูหรือความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูมันเปลี่ยนไป
มีนายทหารคนหนึ่ง ตอนที่อายุประมาณ ๔๐ ปี มีชื่อเสียงมาก เพราะเป็นคนที่ไม่กลัวตาย แล้วก็ทำอะไรแผลง ๆ ตอนที่ได้ข่าวว่าทหารคนนั้นคนนี้ฆ่าตัวตาย แกก็ไม่เข้าใจ แกถึงกับพูดว่าคนที่ฆ่าตัวตายนั้นไม่ใช่ชายชาติทหาร ผ่านไปสิบยี่สิบปี แกป่วยเป็นมะเร็ง แล้วเป็นมะเร็งที่รักษาได้ยาก หลังจากที่เป็นมะเร็งมา ๕-๖ ปี วันหนึ่งก็พบว่าแกนอนตายอยู่ในห้องน้ำ มีรูกระสุนอยู่ตรงขมับ ตอนแรกคนก็นึกว่าแกโดนฆ่า แต่หลังจากที่สำรวจดูแล้วปรากฏว่าแกฆ่าตัวตาย ตอนแรกคนไม่เชื่อ เพราะแกเคยพูดไว้ว่าคนที่ฆ่าตัวตายไม่ใช่ชายชาติทหาร แล้วแกมาฆ่าตัวตายได้ยังไง อ้าวก็ตอนนั้นแกไม่ได้เป็นชายชาติทหารแล้ว ตอนนั้นแกไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าแกเป็นทหารแล้ว ตอนนั้นแกเกิดความสำคัญมั่นหมายว่ากูเป็นคนป่วย ตอนที่มีความสำคัญมั่นหมายว่ากูเป็นทหาร มันก็จะมีค่านิยมมีนิสัยแบบหนึ่ง แต่ว่าตัวกูนี้เนื่องจากมันไม่มีจริง มันเป็นสมมติ มันก็แปรเปลี่ยนไปเรื่อย วันหนึ่งก็คิดว่าหรือรู้สึกว่าตัวกูเป็นคนป่วย มันทรมานมากมะเร็ง ทรมานมาก ก็อย่ากระนั้นเลย ตายดีกว่า ก็เอาปืนยิงตัวเองตาย
คนเรานี้มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ส่วนหนึ่งก็เพราะความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูนี้มันเปลี่ยนไปเรื่อย อะไรที่มันเปลี่ยนไปเรื่อย แสดงว่ามันไม่มีตัวตนที่เที่ยงแท้ มันไม่ใช่ตัวตนที่เที่ยงแท้ มันเป็นแค่สมมติหรือสิ่งปรุงแต่งขึ้นมา อันนี้คือสิ่งที่พวกเราชาวพุทธต้องทำความเข้าใจ เพราะว่ามันเป็นที่มาของความทุกข์ ความสำคัญยึดมั่นในตัวกูหรือความสำคัญยึดมั่นว่ามีอัตตา ซึ่งทางพระเรียกว่า อัตตวาทุปาทาน การปฏิบัติในทางพุทธศาสนาก็เพื่อที่จะทำให้เห็นความจริงว่ามันไม่มีตัวกูตั้งแต่แรก ทุกอย่างมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และก็ไม่ใช่ตน ตราบใดที่ยังมีความสำคัญมั่นหมายในตัวตนในตัวกูนี้ ก็หนีทุกข์ไม่พ้น เรียกว่าต้องอยู่ในอำนาจของมารไปเรื่อย ๆ
ในพระไตรปิฎก มารจะคอยไปหลอกล่อ และหลอกล่อคนที่ยังมีความสำคัญมั่นหมายว่ามี ตัวกู อยู่ มีคราวหนึ่งที่มารไปหลอกล่อภิกษุณีท่านหนึ่ง ซึ่งท่านก็ทำความเพียร ที่จริงท่านก็ทำเพียรจนบรรลุแล้ว แต่ว่าท่านก็ทำความเพียรให้เป็นแบบอย่างแก่อนุชน มารก็ไปล่อไปหลอก ไปพูดดูถูก บอกว่าท่านเป็นผู้หญิงปัญญาแค่สองนิ้ว ทำความเพียรไปก็ไม่เกิดประโยชน์หรอก คือไม่มีทางบรรลุธรรม ภิกษุณีท่านนั้นก็ตอบว่า เมื่อเห็นแจ้งในธรรม ความเป็นหญิงจะทำอะไรเราได้ คนที่ยังสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นหญิงเป็นชาย สำคัญมั่นหมายว่าเป็นเรา ท่านจงไปกล่าวกับคนเหล่านั้นเถิด ก็คือไปหลอกไปล่อคนเหล่านั้นเถิด อย่ามายุ่งกับเรา เพราะว่าภิกษุณีท่านนี้ท่านพ้นจากความเป็นหญิงเป็นชายแล้ว คือไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นหญิงเป็นชาย ความเป็นหญิงเป็นชายนี้มันสมมติ เป็นหญิงเป็นชายเป็นคนนี้ก็สมมติ จริง ๆ แล้ว ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ว่างเปล่าจากตัวตน
คำว่าว่างเปล่า เราคงได้ยินบ่อย สวดมนต์ก็สวด ถึงคำว่าสุญโญ หรือความว่างเปล่าจากตัวตนก็หลายครั้ง สุญโญ เมื่อเราพิจารณาธาตุปัจจเวกจะมีคำนี้ สุญโญ สุญก็คือว่างเปล่า ว่างเปล่าก็คือว่างเปล่าจากตัวตน ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเลย จับต้องได้ แตะได้ อย่างเช่นเสานี้ก็ว่างเปล่า แต่ว่างเปล่าคือมันไม่มีตัวตน ไม่ใช่ข้างในมันว่างกลวงเหมือนกับไม้ไผ่ ข้างในมันก็ตัน แต่ว่าแก่นแท้ของมันไม่มีตัวตนหรือว่าว่างเปล่าจากตัวตน สิ่งที่เรียกว่าสัตว์ บุคคล เรา เขา นี้ก็เป็นสมมติ เพราะจริง ๆ แล้วก็มีแต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ชีวิตคนเราแต่ละคนก็ประกอบไปด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่นาย ก นาย ข อันนั้นมันสมมติ แต่ว่าพื้นฐานจริง ๆ ก็มีแค่นี้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งแต่ละอย่างก็ไม่มีตัวตน อันนี้คือความจริงที่เราต้องผ่านจากการปฏิบัติ แต่ว่าเราก็ฝึกได้ เวลาเราจะฝึกเราก็รู้ว่าตัวตนมันไม่ดี ความยึดในตัวกูไม่ดี มันทำให้เกิดความทุกข์ ไม่ว่าเกี่ยวข้องกับใคร หรือว่าเวลาทำงานทำการ แม้แต่นักปฏิบัติธรรมถ้าไม่รู้เท่าทันตัวตนหรือตัวกูมันก็เกิดเรื่อง
ในสมัยพุทธกาล มีคราวหนึ่งพระสารีบุตรจะไปจาริกยังที่ไกล ก็มีพระมายืนรอเป็นแถวเพื่อส่งท่าน แถวยาวทีเดียว เพราะว่าเป็นศิษย์พระสารีบุตร พระสารีบุตรท่านก็เป็นพระที่สุภาพ ท่านก็ทักทายแต่ละรูปแต่ละท่าน ถามชื่อถามโคตร แต่บังเอิญไม่ได้ทักพระรูปหนึ่ง พระรูปนั้นโกรธว่าพระสารีบุตรไม่ทักท่าน จึงหาเรื่องเล่นงาน บังเอิญชายจีวรของพระสารีบุตรไปโดนตัวพระรูปนี้ พระรูปนี้เลยหาทางกลั่นแกล้ง ฟ้องว่าพระสารีบุตรทำร้าย เพราะอะไร เพราะว่าไม่ได้รับความสำคัญหรือคิดว่าพระสารีบุตรไม่ให้ความสำคัญกับตัวเอง ก็คือไม่ให้ความสำคัญกับตัวกูนั่นแหละ อันนี้ก็คงคล้าย ๆ กับพ่อค้าที่ไม่ขายมะม่วงให้ลูกค้า เพราะว่าเมินเฉยหรือว่าไม่ให้ความสำคัญกับตัวเอง แต่อันนี้ไม่ใช่พ่อค้า พ่อค้านี้ไม่ใช่เป็นผู้ปฏิบัติ แต่นี่เป็นพระ อยู่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ก็ยังไม่เห็น ก็ยังไม่รู้เท่าทันอำนาจของตัวกู หาเรื่องฟ้องพระสารีบุตร กลายเป็นอธิกรณ์เลย ต่อหน้าพระพุทธองค์ แต่สุดท้ายตัวเองก็ยอมรับผิดว่าไปกลั่นแกล้งพระสารีบุตร เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ แม้กระทั่งคนที่มาปฏิบัติใกล้ชิดพระพุทธเจ้า ก็ยังละเลยเพิกเฉย ไม่ตระหนักว่าความยึดมั่นในตัวกูนี้มันร้าย
หลายคนที่อยู่วัด ตัวกูก็มาก ถูกกระทบกระแทกหรือว่าไม่ได้รับความสำคัญก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมา สิ่งที่เราต้องทำคือหาทางจัดการ จัดการในที่นี้ไม่ใช่ไปกดข่มตัวกู แต่ให้รู้เท่าทัน รู้เท่าทันด้วยสติ เมื่อตัวกูมันชูคอขึ้นมาเพราะว่ามีอะไรมากระทบ ก็รู้เท่าทันว่านี่กำลังโกรธแล้ว หรือว่ามีใครชม เห็นความยินดีก็รู้ว่ามันเป็นแค่ความยินดี ไม่ยึดว่าเป็นเรา มีอะไรเกิดขึ้นกับใจ ไม่ว่าฟูหรือแฟบ ดีหรือร้าย ก็ให้รู้ว่ามันเป็นแค่อาการ ไม่คิดว่าเป็นเรา มีความโกรธเกิดขึ้นก็เห็นความโกรธ ไม่ยึดว่ามันเป็นเราโกรธหรือว่าความโกรธเป็นของเรา คนเราถ้าไม่มีสติเวลาคิดก็ไปสำคัญมั่นหมายว่ากูคิด เวลาโกรธก็ไปสำคัญมั่นหมายว่ากูโกรธ เมื่อดีใจก็ไปสำคัญมั่นหมายว่ากูดีใจ อันนี้เพราะไม่มีสติ แต่ถ้ามีสติปุ๊บ มันจะเกิดอาการรื้อการถอน ก็คือไม่ยึดว่าอารมณ์เหล่านั้นเป็นเราเป็นของเรา มีความโกรธเกิดขึ้นก็เห็นความโกรธ แต่ไม่มีผู้โกรธ มีความดีใจก็เห็นความดีใจ แต่ไม่มีผู้ดีใจ มีความเครียดก็เห็นความเครียดเกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้เครียด ทุกอย่างมันเป็นสักแต่ว่าอาการ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา อันนี้ก็เป็นวิธีการที่ช่วยลดความยึดมั่นในตัวกูได้
เวลาเจริญสติ เดินก็จะเห็นหรือรู้สึกว่ามันเป็นรูปที่เดิน ไม่ใช่เราเดิน เวลาคิด ก็เป็นนามคิด ไม่ใช่เราคิด คือถ้าไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว ทำอะไรก็จะไปยึดว่าเป็นกูหมด ตัวกูเป็นเจ้าของการกระทำทุกอย่าง ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม แต่ถ้ามีสติมีความรู้ตัว ก็จะถอนความยึดในตัวกู ทุกอย่างก็เป็นกายกับใจที่ทำ เป็นอาการของรูปและนาม ไม่ใช่เรา เป็นการมองทะลุตัวกูไปเห็นรูปนาม จะเรียกว่าเป็นเอกซเรย์ก็ได้ เอกซเรย์ที่ทำให้เห็นข้างในที่เป็นของจริง คนใส่เสื้อผ้าจะแต่งตัวเป็นไทย เป็นลาว เป็นเขมร เป็นฝรั่ง แต่เอกซเรย์ เสื้อผ้าที่บอกความเป็นชาติโน้นชาตินี้มันหายไปหมดเลย เหลือแต่อวัยวะและร่างกาย ซึ่งแทบจะเหมือนกันทุก ๆ คน ความเป็นนาย ก นาย ข ถ้าหากว่ามีสติมันจะทะลุความเป็นนาย ก นาย ข จะเห็นแต่รูปกับนาม กายกับใจ หรือว่าเห็นเป็นขันธ์ ๕ การเจริญสติช่วยทำให้เราสามารถเห็นทะลุตัวสมมติ ไปเห็นความจริง กายกับใจ รูปกับนาม พ้นจากความเป็นตัวกู ซึ่งการเจริญสติสำคัญมากที่จะช่วยไถ่ถอนในความยึดมั่นหรือคลายความยึดมั่นในตัวกูได้ แล้วถ้ายึดมั่นในตัวกูน้อยเท่าไร ก็มีความสุขมีความเบาสบาย อยู่กับใครก็สงบเย็น ไม่รุ่มร้อน