แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทางเรียบ ใครๆก็ชอบ แต่ถ้ามันเรียบมากไป มันก็ลื่น พอลื่นแล้วก็อาจจะหกล้มหัวร้างข้างแตก อย่างทางสุคะโตนี่ เทปูนแล้วก็จริง แต่มันก็ไม่ค่อยเรียบ เดินจะว่าไปก็สบาย แต่พอหน้าฝนนี่ ความขรุขระก็ลดน้อยลง เพราะว่าตะไคร่น้ำ มันเกาะจนเรียบเลย พอเรียบแล้ว เดินบนถนนก็ต้องระมัดระวังหกล้มลื่นไถล หรืออาจจะหัวฟาดพื้นก็ได้ ทางขุรขระนี่คนไม่ค่อยชอบ แต่ก็มีประโยชน์ อย่างทางจากสุคะโตไปท่ามะไฟ หรือจากท่ามะไฟลงไปข้างล่าง แต่ก่อนเป็นทางลูกรัง การเดินทางก็ลำบาก โดยเฉพาะหน้าฝน มีหลุมมีบ่อ แต่อุบัติเหตุมีน้อย แต่พอเทปูนลาดยางเข้าอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นบ่อย โดยเฉพาะช่วงหน้าเทศกาล สงกรานต์ ปีใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะคนขับที่ขับเร็วเพราะทางมันดี ทางยิ่งดีเท่าไหร่ เรียบเท่าไหร่ อันตรายก็มากเท่านั้น
สิ่งที่มันสะดวกสบายก็เหมือนกัน ใครๆ ก็ชอบ แต่ว่ามันอาจจะเป็นภัยเป็นอันตรายได้ เช่น ชีวิตคนสมัยนี้ อาหารการกินสะดวกสบายกว่าแต่ก่อนและราคาถูกด้วย อาหารประเภทพวกเนื้อ พวกไขมัน พวกที่มีน้ำตาลเยอะ เรียกอาหารดีๆ แล้วแถมชีวิตก็สะดวกสบายมากขึ้น มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ทุ่นเวลา ทุ่นแรง เช่น รถยนต์ มันก็ทำให้ในด้านหนึ่งคนสะดวกสบายมากขึ้น แต่ว่า โรคภัยไข้เจ็บชนิดใหม่ๆ ก็มา โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไตวาย มะเร็ง ด้วย พวกนี้ก็เป็นโรคที่เกิดจากชีวิตที่สะดวกสบาย ซึ่งคนไม่ค่อยได้ตระหนัก แล้วเป็นโรคซึ่งรักษายาก ทุกวันนี้เทคโนโลยีราคาร้อยล้าน ก็ยังเอาหรือจัดการกับโรคพวกนี้ไม่ได้อย่างถึงรากถึงโคน พูดง่ายๆ คือรักษาไม่หาย ก็แค่เยียวยาประทังไป ไม่เหมือนโรคที่เกิดจากความยากลำบาก อย่างเช่น พวกโรคที่เกี่ยวกับการติดเชื้อ พวกนี้รักษาได้ง่ายกว่า แม้กระทั่งโรคที่เกิดจากการที่อาหารไม่พอเพียง หรือขาดสารอาหาร นี่ก็ยังช่วยด้วยเทคโนโลยีได้ง่ายกว่า
นอกจากความสะดวกสบายแล้ว ก็ยังมีสิ่งยั่วยุ สิ่งยั่วยวน ให้คนเราหลงใหลได้ง่าย สมัยนี้ พูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม พูดถึงเรื่องการทำสิ่งดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อชีวิต คนก็รู้ เช่น การภาวนา การออกกำลังกาย การศึกษาหาความรู้ พวกนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่ว่าหลายคนก็ทำไม่ได้ บอกว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลาทำสมาธิ ไม่มีเวลาที่จะศึกษาหาความรู้ หรือแม้กระทั่งการให้เวลากับคนที่สำคัญในชีวิต เช่น ลูก คนรัก หรือพ่อแม่ ถามว่าทำไม ก็เพราะว่า มันมีสิ่งยั่วยวนเยอะ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจ ดึงดูดเวลาไป เดี๋ยวนี้มีเยอะมาก ทุกอย่างรอบตัวมันล้วนแล้วแต่พยายามดึงเวลา ดึงความสนใจจากเราไป เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ ข้อมูลข่าวสาร หรือว่าโฆษณา ไปกรุงเทพนี่ มีคนตั้งข้อสังเกตว่าตามถนนมีป้ายโฆษณาเยอะมาก จนกระทั่งมีคนหนึ่งเขาตั้งสมญานามกรุงเทพว่า เมืองบ้าป้าย ป้ายมันเยอะมาก ป้ายโฆษณาเต็มไปหมด ป้ายโฆษณานี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ดึงความสนใจของเรา เดี๋ยวนี้โฆษณามันไม่ได้มีอยู่ตามป้ายอย่างเดียว ในรถแท๊กซี่ รถบริการสาธารณะ รถไฟฟ้า ก็มีป้ายเพื่อดึงความสนใจ แต่นั่นก็ไม่ร้ายเท่ากับ สิ่งที่เราถืออยู่ในมือ คือโทรศัพท์มือถือ มันมีโซเชียลมีเดีย มีแอปต่างๆ มากมาย ที่ดึงเวลาเรา แล้วก็ดึงไปเยอะ เป็นชั่วโมงๆ เรียกว่าคนในเมืองหมดเวลาไปกับพวกนี้ สี่ห้าชั่วโมงต่อวัน ถ้าเป็นเด็กๆ อาจจะมากกว่านั้น อาจจะหกเจ็ดชั่วโมงด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเอาเวลาที่ไหนมาดู ทั้งที่ตัวเองก็ต้องเรียนหนังสือ และเดี๋ยวนี้มันมีหนังให้ดู ๒๔ ชั่วโมงเลย ถ้าสมัครเดือนละสามหรือสี่ร้อยบาท จะมีหนังดูตลอด จนกระทั่งคนไม่อยากจะนอนแล้ว ขอดูให้เต็มอิ่มสักหน่อย ผลก็คือ ไม่มีเวลา ไม่มีเวลาแม้แต่จะพักผ่อน ไม่มีเวลาทำสมาธิ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ยังไม่ต้องพูดถึงกิเลส กิเลสที่มันจะตามมา มากมายคือ ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะมันมีสิ่งยั่วยุให้เกิดความอยาก
สมัยนี้เป็นยุคที่กิเลส หรือมารมีกำลังมาก หรือมีช่องทางมาก ที่จะหลอกจะล่อ เวลาคนจะล่าสัตว์หรือจับสัตว์ วิธีหนึ่งที่เขาใช้กันก็คือ หาเหยื่อมาล่อ เหยื่อนี่ก็คือสิ่งที่สัตว์นั้นชอบ ถ้าเป็นปลาก็หนอนแมลง ถ้าเป็นพวกเสือก็อาจจะเป็นไก่บ้าง หรือว่าสัตว์ตัวเล็กๆ บ้าง มาล่อ หรือมิเช่นนั้นก็ทำทางให้มันสะอาด หรือทำทางให้มันสะดวก เวลาเราไปในป่าบางทีเจอต้นไม้บางต้น รอบโคนนี่มันสะอาดเลย ใบไม้นี่ไม่มีเลย เป็นเพราะพรานเขาเก็บใบไม้ออกให้หมด ทำทางให้มันเรียบ และตรงกลางทางหรือตรงปลายทางนี่ก็จะมีพวกกับดัก พวกแร้ว พรานนี่เขารู้นิสัยของสัตว์ ว่ามันชอบอะไร ชอบกินอะไร หรือชอบทางแบบไหน สัตว์นี่มันชอบทางเรียบ ทางที่มีใบไม้เยอะๆนี่มันไม่เดิน มันจะเดินทางเรียบ พรานก็เลยทำทางแบบนั้นขึ้นมาแล้วก็ล่อให้มันไปติดกับก็คือแร้ว วิธีนี้เป็นวิธีที่พรานใช้อยู่บ่อยๆ อีกวิธีหนึ่งที่พรานใช้ ก็คือเอาสิ่งที่สัตว์นั้นไม่ชอบ จะเรียกว่ามาล่อก็ได้ เช่น เขาใช้นกต่อ นกนี่ธรรมดามันก็มีถิ่นของมัน ถ้ามีนกแปลกหน้าเข้ามามันก็จะไปไล่ นี้รวมถึงไก่ด้วย ไก่นี่มันก็มีถิ่นของมัน มีไก่แปลกหน้าเข้ามามันก็จะไปไล่ นั่นแหละคือวิธีที่พรานใช้ เอาสัตว์ที่เจ้าถิ่นไม่ชอบนี่มา มันมามันก็จะไปไล่ ไม่ว่ามันอยู่ตรงไหน พอมันรู้มันก็จะมา และพรานก็เอากรงบ้างแร้วบ้างมาดักไปตรงนั้นแหละ พอมันจะมาไล่ นกต่อหรือไก่ต่อมันก็จะติดแร้วหรือติดกับดักทันที สัตว์ใหญ่ก็เหมือนกัน ก็คือเอาวิธีเอาสิ่งที่สัตว์นั้นไม่ชอบมาล่อให้มันเข้ามาติดกับดัก นี่เป็นวิธีที่พรานใช้ เอาทั้งสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ไม่ชอบมาล่อ
มารนี่ก็เหมือนกัน มารนี่มีหลายอย่าง ทั้งกิเลสมาร เทวปุตตมาร แต่พูดรวม ๆ ก็คือ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในพุทธประวัติ ก็จะมีมารมาล่อลวงพระพุทธเจ้าบ้าง หรือพระเถระพระเถรีบ้าง ให้เขว ให้คลายความเพียร วิธีการก็มีทั้งเอาสิ่งที่น่ารักน่าใคร่มายั่วยวน หรือเอาสิ่งที่ไม่ชอบเพื่อล่อเพื่อไล่ แต่บางทีก็ไม่ใช่แค่ไล่ บางทีก็มายั่วยุให้โกรธ เวลาเราภาวนา นี่คือปัญหาหรืออุปสรรคที่จะเกิดกับพวกเรา การที่เราจะเจริญสติทำความรู้สึกตัว อุปสรรคอย่างหนึ่งคือว่า ใจมันชอบเผลอแวบไป ไปหาสิ่งที่ชอบ อาจจะเป็นอดีตที่หอมหวาน อาจจะเป็นรูปรสกลิ่นเสียงที่ปรารถนา ลองสังเกตดู มันมีความคิดใดเกิดขึ้น เราก็ไปเลย เพราะเราชอบ ชอบปรุงชอบคิดต่อไปเรื่อยๆ มันทำให้เราเผลอง่าย เผลอคิดในสิ่งที่ชอบ ตอนหลังพอมาภาวนา มาทำกรรมฐาน ก็รู้ว่าการที่จะปล่อยใจให้มันเผลอ หรือลอยไปตามความคิดนี่ไม่ดี แต่ก่อนนี่ปล่อยใจคิดเป็นวรรคเป็นเวรเจ็ดแปดเรื่องเพลินบางทีเป็นชั่วโมง แบบนี้เรียกว่าเพลิน เพลินกับความคิด รู้ว่ามันไม่ดี ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนใจ เปลี่ยนมุมมอง แต่ว่าเป็นการเปลี่ยนในทางตรงข้าม คือ จากชอบกลายเป็นไม่ชอบ แต่ก่อนนี้เพลินกับความฟุ้ง แต่ตอนนี้จะพยายามต่อสู้ต่อต้านกับความฟุ้ง พยายามผลักไสมัน พอมันโผล่ขึ้นมาก็ไปจัดการกับมัน ไม่ว่าความคิดชนิดใดก็ตาม ถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ พอมันโผล่มาก็วิ่งเข้าไป ปราดเข้าไปกดข่มมัน ตะปบมัน ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไรก็ตาม
นักปฏิบัติหลายคนจะเป็นอย่างนั้น จากการที่เคยเพลินไปกับความคิดฟุ้งซ่านกลายเป็นปฏิปักษ์ รู้สึกลบกับมัน ผลคืออะไร ผลก็คือเกิดความเครียด เกิดความเครียด หลายคนก็จะมาพูดว่า ทำไมภาวนาแล้วเครียดเหลือเกิน แต่ก่อนไม่ปฏิบัติมันไม่เครียดเลย หรือบางคนก็บอกว่าทำไมมันฟุ้งมากเหลือเกิน จริงๆแล้วความฟุ้งไม่ใช่ปัญหา ความฟุ้งไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือ ใจ ที่ไม่ชอบความฟุ้งต่างหาก แต่ก่อนนี้มันก็ฟุ้ง ก่อนมาภาวนา ก่อนมาสนใจการปฏิบัติก็ฟุ้ง ก็ไม่เห็นทุกข์อะไรเลย ฟุ้งเป็นวันๆ ก็ไม่เห็นทุกข์เลย แต่พอเริ่มมาภาวนานี่ เป็นทุกข์กับมันแล้ว ที่จริงความฟุ้งไม่ใช่ปัญหา ความรู้สึกลบต่อความคิดฟุ้งซ่านนี่คือปัญหา เรื่องนี้คนไม่ค่อยตระหนักเท่าไหร่ สิ่งที่จะต้องทำหรือสิ่งที่ควรทำ นี่ไม่ใช่ไปทำให้ความฟุ้งซ่านลดลง แต่ว่าทำให้ความรู้สึกลบ เปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกกลางๆ ความรู้สึกลบความรู้สึกเกลียด ไม่ชอบสิ่งใดก็ตาม นี้คือปัญหามากกว่า สิ่งที่เราไม่ชอบนี่ก่อปัญหาน้อยกว่าความไม่ชอบสิ่งนั้น ลองพิจารณาดีๆ สิ่งที่เรากลัว ไม่แย่เท่ากับความกลัวสิ่งนั้น สิ่งที่เราเกลียด ไม่ได้ทำร้ายเรามากเท่ากับความเกลียดสิ่งนั้น มันต่างกัน
อย่างที่เคยยกตัวอย่าง ลิง ที่มันโดนกะปิติดมือ ลิงนี่มันเกลียดกะปิมาก ถ้าเกิดมือมันติดกะปิเมื่อไหร่ มันก็จะเอามือนี่ถู เอานิ้วนี่ถู กับพื้นบ้าง กับหินบ้าง กับเปลือกไม้บ้าง กับต้นไม้บ้าง มันถูจนกระทั่งเลือดไหล บางทีมันก็ไม่ยอมเลิก จนกระทั่งแผลเหวอะหวะ ถามว่าอะไรทำให้ลิงมีแผล ทำให้ลิงเลือดไหล ไม่ใช่กะปิ แต่เป็นความเกลียดกะปิ กะปิไม่ทำให้ลิงเลือดไหล แต่ความเกลียดกะปิมันสั่งให้ลิงทำในสิ่งที่เป็นอันตรายกับมัน ก็คือ ถูๆๆๆ จนเลือดไหล กะปินี่ สำหรับลิง กะปิไม่เลวร้าย เท่ากับความเกลียดกะปิ
คนเราก็เหมือนกัน หลายคนรำคาญเวลามีเสียงดัง ไม่ชอบเสียงดัง แต่ที่จริงเสียงนี่ มันไม่แย่เท่ากับความเกลียดเสียงนั้น พอเกลียดเสียงนั้นขึ้นมา มันเป็นทุกข์เลย หงุดหงิดเลย แม้จะเป็นเสียงที่ไพเราะก็ตาม เช่น เสียงริงโทน เสียงไม่ใช่ปัญหาเท่ากับความเกลียดเสียง บางคนกลัวเข็ม กลัวเข็มฉีดยา แต่ก็พบว่าคนกลัวเข็มฉีดยาเวลาโดนเข็มทิ่ม จะรู้สึกเจ็บกว่าคนที่ไม่กลัวเป็นสามเท่า แปลว่าความกลัวมันทำให้เจ็บเพิ่มขึ้น คนที่ไม่กลัวนี่เจ็บแค่หนึ่งส่วน คนที่กลัวนี่เจ็บสามส่วน เข็มไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวเข็ม หลายคนไม่กล้ามาที่นี่ เพราะได้กิตติศัพท์ว่ามีตุ๊กแก กลัวตุ๊กแก ถามว่าระหว่างตุ๊กแกกับความกลัวตุ๊กแกนี่ อะไรที่เป็นปัญหากับเรามากกว่ากัน ตุ๊กแกนี่มันไม่น่ากลัวไม่มีอันตรายเลย แต่ความกลัวตุ๊กแกนี่ทำให้ผวา นอนไม่หลับ
แต่ถ้าไม่กลัว แม้แต่มะเร็งก็ทำให้เราอยู่เป็นสุขได้ คนที่กลัวมะเร็งนี่ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่มีชีวิตชีวาเลย แต่พอหายกลัวมะเร็งก็อยู่กับมะเร็งได้อย่างมีความสุข อย่างมีปกติสุข แม้กายไม่สุขแต่ใจปกติ แต่ถ้ากลัวเสียอย่าง ไม่ว่าจะกลัวอะไรก็ตาม เช่น บางคนกลัวหรือเกลียด ไม่ชอบ กลัวแก่ กลัวไม่สวย พอเป็นสิวนี่ ก็เลยเป็นทุกข์มาก หรือบางทีแค่ผิวแห้ง ผมแตกปลายนี่ก็ทุกข์มาก นอนไม่หลับ เพราะไม่ชอบ เพราะกลัว เพราะเกลียดความไม่สวย ความเสื่อมของสังขาร ตรงข้ามกับคนที่ไม่กลัวมะเร็ง เขานอนหลับสบาย แต่อีกคนหนึ่งเกลียดสิว กลัวสิว กินไม่ได้นอนไม่หลับ สิวกับมะเร็งนี่มันต่างกันมาก แต่ทำไมคนหนึ่งเป็นมะเร็งเขาปกติ แต่อีกคนหนึ่งมีสิวกลับท้อแท้ หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต มีนะ บางคนนี่ถือว่าเป็นวิกฤตของชีวิตเลย สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ คนหนึ่งไม่กลัว อีกคนหนึ่งกลัว จึงบอกว่าสิ่งที่เรากลัว สิ่งที่เราเกลียด มันไม่แย่ เท่ากับความเกลียดความกลัวสิ่งนั้น แม้มันจะเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่ถ้ากลัวเสียอย่างเกลียดเสียอย่าง มันทำให้ชีวิตนี้มันแย่ไปเลย แต่แม้เราจะเจออะไรที่หนักๆ แต่ไม่กลัว ไม่ต่อต้านมัน วางใจเป็นกลางกับมัน หรือวางใจเป็นบวกกับมัน กลับอยู่ได้ปกติสุข
มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นมะเร็ง ปรากฏว่า จากเดิมนี่เคยเป็นประเภทซึมเศร้าจนกระทั่งคิดฆ่าตัวตาย พอเป็นมะเร็ง ความซึมเศร้า โรคซึมเศร้าหายไปเลย เธอบอกว่ามะเร็งนี่มันดี มันทำให้เธอรู้จักตัวเอง ทำให้รับมือกับโลกภายนอกได้ เธอว่าถ้าเธอไม่เป็นมะเร็ง ป่านนี้เธอคงตายเพราะโรคซึมเศร้าแล้ว เพราะฆ่าตัวตายมาสามครั้ง คนเป็นมะเร็งแต่เขาไม่กลัว เขาแถมเห็นว่ามันมีประโยชน์กับตัวเขา ก็สามารถจะอยู่กับมันได้ หมอจิตแพทย์นี่ยังออกปากชมเลยว่า คนไข้คนนี้ทัศนคติเปลี่ยนไปเมื่อเริ่มเป็นมะเร็ง แต่ก่อนนี้ซึมเศร้าหดหู่ เธอจะฆ่าตัวตายมาสามครั้งแล้ว เธอเห็นประโยชน์ของมะเร็ง ก็เลยอยู่กับมันได้ กลับขอบคุณมันด้วยซ้ำ จริงๆ สิ่งที่เป็นปัญหานี่ เวลามีอะไรมากระทบเรา ให้เราตระหนักว่า สิ่งที่เป็นปัญหา มันไม่ใช่สิ่งนั้น แต่คือความไม่ชอบสิ่งนั้น
เสียง นี่ถ้าเกิดเราไม่ชอบมัน มันทำให้เราอาจจะหงุดหงิดงุ่นง่านเลยก็ได้ แต่พอเราเปลี่ยนความรู้สึกต่อสิ่งนั้น ต่อเสียง มันกลายเป็นดีไป เมื่อประมาณหกสิบปีก่อน มีนักบินอวกาศคนหนึ่งเป็นชาวรัสเซีย รัสเซียเป็นประเทศแรกที่ส่งยานอวกาศไปโคจรรอบโลก สมัยนั้นเทคโนโลยีไม่ได้ก้าวหน้ามาก แต่ก็เป็นครั้งแรก ที่คนได้มาเห็นโลกจากอวกาศ นักบินอวกาศคนนั้นแกบอกว่าตอนที่ไปโคจรรอบโลกนี่มันเห็นโลกสวยงามมากเลย ข้างบนนั้นสงบด้วย มันเป็นภาพที่วิเศษมาก แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง กิ๊ก กิ๊ก กิ๊ก กิ๊ก คล้ายๆ เสียงเหล็กกระทบกัน เขาก็พยายามหาว่าเสียงนั้นอยู่ไหน แล้วก็อยากจะให้เสียงนั้นเงียบหายไปเพราะไปรบกวนความสงบ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เสียงก็ดังเป็นระยะๆ ต่อเนื่อง จากห้านาทีเป็นสิบนาที แล้วเขาก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดแล้ว และเขาก็คิดต่อไปเลยว่า ถ้าเสียงดังเป็นชั่วโมงแบบนี้นี่ เขาคงทนไม่ไหว เพราะว่าที่ตรงนั้นก็แคบ ในห้องเคบินมันแคบยิ่งกว่าห้องนักบินสมัยนี้เสียอีก รู้สึกอึดอัด จะหนีก็หนีไม่พ้น จะปิดเสียงหยุดเสียงก็ไม่ได้ ก็เริ่มพลุ่งพล่านแล้ว ถ้าเสียงมันดังแบบนี้ไปเรื่อยๆเป็นชั่วโมงนี่ กูบ้าแน่ แต่ซักพักเขาก็ได้สติขึ้นมาว่า ถ้าเราจะต้องอยู่กับเสียงนี้ไปเรื่อยๆ ทำไมเราไม่ลองรักเสียงนี้ดู เขาก็เริ่มจินตนาการ หลับตาไปด้วย จินตนาการว่าเสียงนี้เป็นเสียงเพลง เขาก็นึกถึงเพลงที่เขาชอบขึ้นมา แล้วก็จินตนาการว่า ไอ้เสียง กิ๊ก กิ๊ก กิ๊ก กิ๊ก ที่มันรำคาญหูเขานี่ มันกลายเป็นเสียงเพลง ปรากฏว่าเขาสงบเลย สงบเลย แม้ลืมตาขึ้นมา เสียงเพลงนั้นก็ยังอยู่ในหูเขา แต่ที่จริงมันไม่ใช่เสียงเพลง มันเป็นเสียงกิ๊ก กิ๊กกิ๊ก กิ๊ก เสียงเหล็กกระทบกัน เสียงยังเป็นเสียงเหมือนเดิม แต่ว่าทำไมใจเขาสงบ เพราะความรู้สึกเขาเปลี่ยนไป จากความรู้สึกไม่ชอบ เป็นความรู้สึกรักมัน ชอบมัน เสียงยังอยู่ แต่ใจไม่ทุกข์แล้ว เพราะอะไร เพราะใจนี่ ความรู้สึกมันเปลี่ยนไป ความรู้สึกลบหายไป
คนที่เกลียดมะเร็งกลัวมะเร็ง หรือคนที่กลัวความเจ็บความปวด บางคนนี่พอเขาเปลี่ยนความรู้สึกต่อมะเร็ง แม้ยังปวดอยู่ แต่ว่ากลายเป็นความปวดที่ทนได้ ไม่ต้องกินยาก็ได้ อย่างมีคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็ง แล้วมันมักจะเกิดอาการปวดมาก ตอนกลางคืน แต่ก่อนนี้เขาทรมานมากเลย อาจจะบ่นก่นด่ามะเร็ง แต่ตอนหลังเขาเปลี่ยน เปลี่ยนทัศนคติ เขาเริ่มคุยกับมะเร็ง แล้วบอกว่า มะเร็ง ตอนนี้มันค่ำแล้ว มันดึกแล้ว ได้เวลานอนแล้ว เธอนอนนะ ฉันก็จะนอนด้วย แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน ว่าแล้วเธอก็ร้องเพลงกล่อมเด็กให้มะเร็งฟัง มะเร็งนี่มันจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไป จากความรู้สึกลบกับมะเร็งกลายเป็นความเมตตามะเร็ง พอมีความเมตตา ไอ้ความทุกข์ความทรมานก็ทุเลาลง แล้วเธอก็นอนหลับได้โดยที่ไม่ต้องใช้ยา สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่ มะเร็ง สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ใจของเธอ ถ้ารู้สึกลบกับมันเมื่อไหร่จะปวดมากทรมานมาก แต่พอรู้สึกเป็นบวกกับมัน ก็อยู่กับมันได้
อาตมาจึงบอกว่าจริงๆแล้ว สิ่งที่เรากลัว มันไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวสิ่งนั้น มะเร็งไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวมะเร็ง เรื่องนี้รวมถึงความตายด้วย ความตายก็ไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวตาย กลับมาที่ความฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านนี่ก็ไม่น่ากลัว หรือแย่ เท่ากับความกลัวฟุ้งซ่านหรือความไม่ชอบฟุ้งซ่าน ภาวนาต้องจับตรงนี้ให้ได้ ความฟุ้งซ่านไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่เป็นปัญหาคือความรู้สึกลบต่อความฟุ้งซ่าน ฉะนั้นถ้าเปลี่ยน จากความรู้สึกลบเป็นความรู้สึกกลางๆ หรือ ความรู้สึกบวกก็ได้ ความฟุ้งซ่านมันมาเพื่อฝึกเรา มันมาเพื่อฝึกเราให้มีสติมากขึ้น มันมาเพื่อทักทายเรา แผ่เมตตาให้กับมันบ้าง ทำใจให้เป็นบวกกับมันบ้าง เราก็สงบได้ เหมือนกับนักบินอวกาศคนที่สามารถจะสงบได้ แม้จะมีเสียงดังมากระทบหู นักบินอวกาศคนนั้นแกก็สงบจนกระทั่งสามารถกลับถึงพื้นโลกได้ปลอดภัย แกก็ยังสงบ เสียงดังแต่ใจสงบได้เพราะรู้สึกบวกกับมัน จึงบอกว่า ความฟุ้งซ่านไม่ใช่ปัญหา ความฟุ้งซ่านไม่ได้ทำให้ใจเราไม่สงบ แต่เป็นเพราะความรู้สึกลบกับมัน ปรับความรู้สึกลบให้เป็นความรู้สึกกลางๆเสีย
วางใจเป็นกลาง กับทุกอย่างที่มันปรากฏกับเรา ไม่ว่าอยู่ข้างนอกหรืออยู่ข้างในใจเรา อย่าว่าแต่ความฟุ้งซ่านเลย ความหงุดหงิด บางทีเราก็เผลอหงุดหงิด บางทีเราก็เผลอโกรธอะไรบางอย่าง เผลอเกลียดอะไรบางอย่าง ตั้งสติให้ดี แล้วก็ทำใจเป็นกลางกับมัน อย่าไปกดข่มมัน การเข้าไปกดข่มมัน ก็เหมือนกับว่าเราเข้าทางมาร มารมันต้องการล่อให้เราเข้าไปเล่นงาน ไปต่อสู้ ไปผลักไสกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนกับพรานที่ล่อให้สัตว์เจ้าถิ่น เข้าไปเล่นงานนกต่อไก่ต่อ เสร็จแล้วไอ้เจ้าถิ่นนี่ก็ถูกจับติดกับดัก พรานต้องการล่อให้เจ้าถิ่นนี่ไปเล่นงาน ไปผลักไสให้นกต่อไก่ต่อ ไปผลักไสมันเมื่อไหร่ก็เข้าทางพรานเมื่อนั้น มารก็เหมือนกัน ถ้าเราไปผลักไสอารมณ์ใดที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือธรรมารมณ์ ไปผลักไสมันเมื่อไหร่ เราก็เข้าทางมาร ก็ติดกับดักของมาร ก็คือว่า หลงวนอยู่ในความหลงต่อไป ยิ่งเราไปสู้รบตบมือกับความฟุ้งซ่าน ไปสู้รบตบมือกับความโกรธความหงุดหงิดที่มันเกิดขึ้น ไปสู้รบตบมือกับเสียงที่ดัง อากาศที่ร้อน เราก็จะยังหลงต่อไป ไม่สามารถที่จะรู้สึกตัว หรือมีสติขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นต้องรู้เท่าทัน
เวลาโกรธ มีความโกรธขึ้น เกิดขึ้นก็ดูมันไป อย่าไปผลักไส อย่าไปกดข่มมัน ยิ่งไปกดข่มมันเท่าไหร่ ยิ่งไปผลักไสมันเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มอำนาจให้กับมัน มันก็ยิ่งมีกำลังมากขึ้น เหมือนไฟ ถ้าเราปล่อยไว้เฉยๆ มันก็ดับไปเอง แต่เป็นเพราะเราไปเติมเชื้อเติมฟืนให้มัน มันก็เลยลุกอยู่เรื่อยๆ ความโกรธนี่ถ้าเราไม่ทำอะไรกับมัน มันก็ดับไปเอง ความฟุ้งซ่านนี่ถ้าเราไม่ทำอะไรกับมัน มันก็ดับไปเอง แต่เป็นเพราะเราไปผลักไสมัน ไปสู้รบตบมือกันมัน จึงเท่ากับเป็นการให้อำนาจกับมัน เป็นการต่ออายุให้กับมัน มันก็เลยยังลุกโพลง หรือก่อกวนเราไปเรื่อยๆ อย่างน้อยๆ ก็แค่วางใจเป็นกลางกับมันนะ รู้ซื่อๆ ดูเฉยๆ หรือว่าจะลองเปลี่ยนความรู้สึกให้เป็นบวกก็ได้ เปลี่ยนความรู้สึกเกลียด โกรธเกลียด ให้เป็นความรู้สึกชอบ หรือว่าเห็นประโยชน์ของมัน นี้มันเป็นวิธีการที่จะทำให้เรา ไม่พลัดตกอยู่ในอำนาจของมาร หรือว่าไม่ไปติดกับดักของพรานที่มันเจตนาร้ายกับเรา