แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเราส่วนใหญ่ก็รักชีวิตเกลียดกลัวความตาย แต่ถ้าถามว่าชีวิตที่เราทุกคนรักและหวงแหน มันคืออะไร อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าชีวิตก็คงตอบกันไปคนละทิศคนละทาง คำนิยามว่าชีวิตคืออะไร คิดว่านิยามได้เป็นร้อย ความตายก็เหมือนกัน อย่างไรก็ตามแม้เราจะพูดออกมาเป็นคำไม่ได้ว่า ชีวิตคืออะไร แต่ก็เชื่อแน่ว่าถ้าเราเห็นสิ่งมีชีวิตหรือเห็นคนที่มีชีวิตเราก็บอกได้ว่านี่คือชีวิต บอกเป็นคำพูดไม่ได้แต่ถ้าเห็นเราก็บอกได้ว่านี่คือชีวิต ความตายก็เหมือนกัน คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าถึงแม้จะนิยามไม่ได้ว่าความตายคืออะไร แต่ถ้าเห็นคนตายเราก็บอกได้ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถพูดได้ชัดเจน เวลาพูดถึงความตายหรือได้เห็นคนตายเราก็บอกว่านี่เขาตายแล้ว เพราะว่าหัวใจเขาหยุดเต้น เพราะว่าเขาหมดลมหรือสมัยนี้ใช้เทคโนโลยี ถ้าจับได้ว่าสมองตายก็ถือว่าตาย อันนี้ก็เป็นความเข้าใจของคนทั่วไปว่า ความตายเกิดขึ้นเมื่อคนเราหัวใจหยุดเต้นหรือสมองตาย แต่เราแน่ใจได้หรือเปล่าว่าเป็นความตายที่เรียกว่าจริงแท้
ในทางพุทธศาสนามองว่าความตายมีอยู่สองระดับ อันที่หนึ่งความตายคือความแตกดับทางกาย อันที่สองความตายคือความแตกดับทางจิต เวลาเราพูดว่าคนนี้ตายแล้วเราก็พูดแต่เฉพาะอาการทางกาย หมดลม หัวใจหยุดเต้น สมองตาย อันนี้เป็นวิธีการวัดโดยอาศัยความรู้ทางการแพทย์ แต่จริงๆ แล้วแม้หัวใจหยุดเต้น หมดลม ในทางพุทธศาสนาเราก็ไม่เรียกว่าตายร้อยเปอร์เซนต์ ชีวิตมันประกอบไปด้วยกายกับใจ เพราะฉะนั้นเวลาพูดถึงความตายมันก็ต้องมีสองระดับ ก็คือการแตกดับของกายและการแตกดับของใจ ความตายที่วัดกันที่อาการทางกายภาพ มันยังไม่ใช่เป็นการตายที่สมบูรณ์ การตายสมบูรณ์หรือการตายร้อยเปอร์เซนต์ ในทางพุทธศาสนา หมดลมหัวใจหยุดเต้น สมองตายไม่พอ จิตมันต้องแตกดับด้วย แต่ทางวิทยาศาสตร์เขาอาจจะไม่ค่อยได้สนใจเรื่องจิตเท่าไหร่ หรือเขาคิดว่าจิตมันเป็นเรื่องของสมอง แต่ทางพุทธศาสนามองว่ามันคนละส่วนกัน เดี๋ยวนี้มันก็มีเหตุการณ์หรือปรากฎการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า สมองกับจิตมันไม่ใช่อันเดียวกัน
เรามาลองทำความเข้าใจเรื่องความตายในทางพุทธศาสนาสักหน่อย เพราะว่ามันก็เป็นประโยชน์สำหรับเวลาเราเกี่ยวข้องกับคนใกล้ตาย หรือแม้กระทั่งเวลาที่เราจะตายเอง ในทางพุทธศาสนาอย่างที่บอกไว้แล้วว่าความตายมีสองประเภทสองมิติ ทางเถรวาทก็บอกว่า คนเราตายเมื่อหนึ่งอายุ สองไออุ่น สามวิญญาณดับ หรือว่าออกจากร่าง อายุนี่ก็หมายถึงพลังชีวิต ไออุ่นก็อาจจะหมายถึงอุณหภูมิ อันนี้ก็เป็นเรื่องกาย ส่วนวิญญาณเป็นเรื่องของจิต
แต่ว่าทางพุทธศาสนาแบบทิเบตหรือวัชรยานอธิบายได้เป็นระบบกว่า เขาบอกว่าคนเราจะตายมันเริ่มต้นด้วยการแตกดับทางกายก่อน กายก็ประกอบด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม คนที่ถ้าตายแบบธรรมชาติคือไม่ได้เจออุบัติเหตุตาย ถูกฆ่าตาย หรือว่าไม่ได้ถูกยื้อชีวิตด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ การตายมันจะเริ่มต้นด้วยการแตกดับของธาตุดินก่อน เพราะว่ากายหรือรูปมันประกอบด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม การตายมันเริ่มต้นด้วยการแตกดับของธาตุดิน ก็คือว่าเริ่มอ่อนแรง กล้ามเนื้อก็เริ่มลีบ เรี่ยวแรงที่เคยเดินได้ก็เดินไม่ได้ ต้องนั่งและจากนั่งเป็นนอน ร่างกายผ่ายผอมอันนี้เป็นเรื่องของธาตุดิน อันนี้พูดแบบง่ายๆ เมื่อธาตุดินแตกดับ แล้วก็จะเป็นลำดับของธาตุน้ำ คนที่ใกล้ตายก็จะมีปัญหาเรื่องปากแห้ง คอแห้ง หรือบางทีตาก็แห้ง ผิวแห้ง แต่บางครั้งก็อาจเป็นในทางตรงข้ามเช่น เหงื่อออก เหงื่อกาฬเยอะ หรือว่าอุจจาระ ปัสสาวะ อั้นไม่อยู่ พวกนี้เป็นอาการความแตกดับของธาตุน้ำ
แล้วก็ตามมาด้วยธาตุไฟ ก็คืออุณหภูมิก็เริ่มลดลง ตัวก็เริ่มเย็น แต่บางคนไฟธาตุแตก มันก็อาจจะร้อน อย่างมีโยมคนหนึ่งแกมาใช้ระยะสุดท้ายใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายที่นี่แล้วก็ตายที่นี่ ตอนนั้นเป็นเดือนกุมภาอากาศก็หนาว แต่แกแทบจะไม่ต้องใช้ผ้าห่มเลย เพราะว่าธาตุไฟมันแตก รู้สึกร้อนด้วยซ้ำ แล้วก็ตายสงบ จากธาตุไฟ สุดท้ายคือธาตุลม อาการของธาตุลมที่กำลังแตกดับก็คือ การหายใจมีปัญหา เกิดอาการภาวะที่เรียกว่า Air Hunger คล้ายๆ ปลาทองหิวหรืองับอากาศ เสร็จแล้วก็หมดลม ในทางการแพทย์พอหมดลมหรือหัวใจหยุดเต้นถือว่าตายแล้ว แต่ทางพุทธศาสนาถือว่ายังไม่ตายสมบูรณ์ มันต้องรอลำดับถัดไปคือการแตกดับของธาตุของจิตซึ่งก็มีขั้นตอน มันก็ไปสุดท้ายตรงที่ว่าเกิด “ภาวะแสงกระจ่าง” อันนี้พูดแบบของทิเบต เกิดภาวะแสงกระจ่างคล้ายๆ เหมือนกับดาวฤกษ์ที่พอมันจะแตก มันก็จะระเบิดโพลงขึ้นมาแล้วมันก็ดับไป ดวงอาทิตย์ ระยะสุดท้ายของดวงอาทิตย์ของเราในระบบสุริยะจักรวาล ก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ ถึงจุดหนึ่งก็จะระเบิดขึ้นมาแล้วมันก็หมดไปเลย จิตก็เหมือนกัน พอเกิดภาวะแสงกระจ่างแล้วหลังจากนั้นก็เป็นอันว่าดับก็ไปเกิดใหม่
ความรู้นี้มีประโยชน์อย่างไร มันมีประโยชน์ตรงที่ว่ามันทำให้เราได้ตระหนักว่า คนเราแม้หัวใจหยุดเต้นแล้วแม้สมองตายหรือหมอวินิจฉัยตัดสินว่าตายแล้ว แต่ว่าเจ้าตัวอาจจะยังสามารถรับรู้ได้ ยังสามารถได้ยินสามารถเห็นได้ สามารถจะได้ยินคนพูด สามารถจะเห็นคนที่กำลังร้องห่มร้องไห้ อาจจะเห็นลูกหลานกำลังทะเลาะกัน หลายคนก็สงสัยจะเห็นได้อย่างไร เพราะการเห็นหรือการได้ยิน มันต้องอาศัยระบบประสาท อาศัยสมอง แต่ตอนนี้ก็มีปรากฏการณ์มากมายที่ชี้ให้เห็นว่าการเห็นการได้ยิน มันอาจจะเกิดขึ้นแม้ในภาวะที่ถือว่าตายแล้ว หมอวินิจฉัยว่าตายแล้ว หัวใจหยุดเต้นแล้ว แต่ยังสามารถได้ยินสามารถรับรู้ได้
มีเพื่อนคนหนึ่งไปรักษาที่โรงพยาบาลปรากฎว่าแพ้ยา แพ้ยาอย่างหนักเลย ถึงขั้นหายใจไม่ออก แล้วก็ดิ้นอ้าปากพยายามหายใจ พยาบาลพอรู้เข้ารีบพาส่งห้องฉุกเฉินทันที เธอเล่าว่าตอนที่หน้าสิ่วหน้าขวานวิกฤต เห็นอะไรสีเหลืองไปหมด เสร็จแล้วก็นิ่งสนิทไป เสร็จแล้วมาอีกทีได้ยินพยาบาลพูดว่าความดันเลือดไม่มีแล้ว ชีพจรจับไม่ได้ หยุดหายใจแล้ว แล้วก็ได้ยินหมอปั๊มหัวใจ แบบนี้แสดงว่าถ้าทางวิทยาศาสตร์ถือว่าตายแล้ว แต่ว่าเจ้าตัวได้ยินพยาบาล ได้ยินหมอทำอะไรกับร่างกายของเธอ แต่ว่าไม่ปวด ไม่ปวด พอมารู้ตัวอีกทีปวดมากเลย ปวดที่คอเพราะว่าใส่ท่ออะไรต่างๆ เข้าไป ตอนที่เธออยู่ในภาวะที่เรียกว่าตายทางการแพทย์ ได้ยินหมอได้ยินพยาบาลพูดทุกอย่าง
เรื่องได้ยินมันก็อาจจะเป็นเรื่องแปลกแล้ว แต่บางคนเห็นด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่หัวใจหยุดเต้นเห็น มีคนหนึ่งไป อันนี้รายงานอยู่ในนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก คนไข้ผ่าตัดหัวใจแล้วก็มีช่วงหนึ่งหัวใจหยุดเต้น ปรากฎว่าในภาวะหัวใจหยุดเต้น เธอเห็นจอมอนิเตอร์ เห็นสัญญาณชีพของตัวเอง แล้วก็เห็นจิตมันก็ล่องลอยออกไปข้างนอก ออกไปนอกห้องผ่าตัด ไปที่ระเบียง แล้วก็เห็นพ่อของตัวเองกำลังหยอดเงินในตู้กด ในโรงพยาบาลมีตู้กดหยอดเหรียญเพื่อจะไปซื้อน้ำอัดลมบ้าง ซื้อ snack บ้าง พอเธอได้รับการช่วยให้ฟื้นขึ้นมากลับมาเป็นปรกติเธอก็เล่าให้พ่อฟัง พ่อแปลกใจมากเพราะว่าตอนนั้น ซึ่งมันเป็นกลางดึก มันไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย ไม่มีใครอยู่ตรงระเบียงเลยนอกจากพ่อเอง แล้วลูกสาวเห็นได้อย่างไร เพราะตอนนั้นมันไม่มีใครเลย แล้วลูกสาวตอนนั้นก็เรียกว่าภาวะทางการแพทย์ก็ถือว่าตายแล้ว แต่ก็เห็น เห็นด้วยอะไร ตัวอยู่ที่ห้องผ่าตัด แต่ไปเห็นข้างนอกห้องผ่าตัดได้อย่างไร
อีกรายหนึ่ง อยู่ๆ หัวใจหยุดเต้น รีบพาส่งโรงพยาบาล พยาบาลก็รีบทำการช่วย มีการกระตุ้น มีการปั๊มหัวใจ แล้วก็มีการใส่ท่อเพื่อช่วยหายใจ ตอนนั้นเขาสลบอยู่ พยาบาลที่ใส่ท่อ เอาท่อใส่ปากเห็นเขาใส่ฟันปลอม ก็ต้องถอดฟันปลอมออกก่อน ถึงจะใส่ท่อเข้าไปได้อย่างปลอดภัย แล้วก็ช่วยชีวิตเขาได้ เขาพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณอาทิตย์หนึ่ง ระหว่างที่เขาอยู่โรงพยาบาล วันหนึ่งเขาเห็นพยาบาลเดินผ่านมาเขาก็เลยทักว่าคุณใช่ไหมที่ถอดฟันปลอมผม พยาบาลคนนั้นงงเลย เพราะตอนที่ถอดฟันปลอม คนไข้คนนั้นยังเรียกว่าเป็นตายเท่ากันเลย แล้วเขาเห็นได้อย่างไร แสดงว่าการเห็นของเขาไม่ใช่เห็นด้วยตา
อีกรายหนึ่งหัวใจหยุดเต้น ก็ถูกปั๊มขึ้นมารอด ตอนที่หัวใจหยุดเต้นมันเป็นกลางดึก ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นเขารู้ตัว เขาก็เล่าให้ลูกหลานฟัง ที่จริงเขาว่าลูกหลานด้วยซ้ำ เขาพูดว่าข้าว่าจะไปสบายแล้วเชียว พวกแกไปพาเขากลับ ไปช่วยเขากลับมาทำไม แกเล่าว่าตอนที่หัวใจหยุดเต้นเห็นตัวเองจากมุมสูง เห็นเด็กที่จ้างมาเฝ้าไข้ไปเรียกหมอพยาบาลมา แล้วก็เห็นตัวเองกำลังถูกปั๊ม ตอนนั้นแกว่าสบายมาก รู้สึกสบายมากเลย คิดว่าถ้าไปตอนนั้นก็ดี จะได้ไปสงบ และที่น่าสนใจคือว่าเห็นตัวเองได้อย่างไร ตอนนั้นถือว่าสลบ ถือว่าโคม่าแล้ว หรือถือว่าตายในทางการแพทย์ หัวใจหยุดเต้นแล้ว
การเห็นของคนเรานี่แม้กระทั่งในยามที่ใกล้ตายหรือตายไปแล้ว มันไม่ได้เห็นด้วยตา มันเห็นด้วยใจ เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่าคนที่ถือว่าตายไปแล้วในทางการแพทย์ แล้วก็กำลังจะตายอย่างสมบูรณ์ ตราบใดที่จิตเขายังรับรู้ได้คือยังไม่ออกจากร่าง พูดง่ายๆ ยังไม่ออกจากร่าง ก็สามารถจะรับรู้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้แบบนี้มันก็ทำให้เราตระหนักหรือสังวรณ์ว่า การที่จะพูดอะไรกับคนที่เขาถือว่าตายไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่รับรู้ เขาอาจจะรับรู้ได้ แต่เขาแสดงออกไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่ อาตมาเคยไปรับสังฆทานจากแม่ของเพื่อน ตอนที่ไปถึงโรงพยาบาลปรากฎว่า หัวใจหยุดเต้นแล้ว คุณยายหัวใจหยุดเต้นแล้ว หมอบอกว่าตายแล้ว แต่อาตมาก็เชื่อว่าเขายังรับรู้ได้ ตอนที่หมอบอกว่าตายประมาณแปดโมงเช้า อาตมาไปถึงเก้าโมง ไปถึงก็ไปรับสังฆทานจากมือของเขา แล้วก็พูดกับคุณยาย เหมือนพูดกับคนที่ใกล้ตาย พูดให้นึกถึงบุญกุศล นึกถึงพระรัตนตรัย นึกถึงความดีที่ได้ทำ แล้วก็ให้ปล่อยวาง เสร็จแล้วก็สวดมนต์ อนุโมทนาให้พร ตอนที่ไปถึงเครื่องที่สายที่ใช้ต่อกับสัญญาณชีพยังไม่ถอดเพราะว่าเพิ่งตายใหม่ๆ ไม่ถึงชั่วโมง อาตมาตอนนั้นก็รีบ มีอีกงานหนึ่ง พอรับสังฆทานอนุโมทนาให้พร ก็ต้องไปที่อื่นต่อ ลูกสาวเขามาเล่าในภายหลังว่าตอนที่อาตมาคุยกับแม่ สัญญาณชีพที่มันเคยนิ่ง สัญญาณหัวใจปรากฎมันเต้นขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เป็นความบังเอิญก็แสดงว่า ตอนนั้นเจ้าตัวยังรับรู้ได้ ทั้งๆ ที่หมอก็วินิจฉัยว่าตายแล้ว
เมื่อเรารู้แบบนี้ ขนาดคนที่หมอวินิจฉัยว่าตายแล้ว ยังพอจะรับรู้ได้ แล้วประสาอะไรกับคนที่เป็นผักหรือเป็นคนที่โคม่าซึ่งยังมีการหายใจอยู่ ก็เชื่อว่าเขาจะรับรู้ได้ และที่จริงก็มีตัวอย่างมากมาย คนที่ฟื้นจากโคม่า เขาก็บอกว่าเขาได้ยิน เวลาพยาบาลพูดกัน เวลาพยาบาลหยอกล้อกับหมอ เขาก็ได้ยิน คนที่เป็นผักเขารับรู้ได้ แต่เขาอาจจะไม่สื่อสาร แต่บางกรณีก็อาจจะสื่อสาร อาจารย์อมโร ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดอมราวดีที่ประเทศอังกฤษเวลานี้ วัดอมราวดีนี่ก็หลวงพ่อสุเมโธเคยเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก เมื่อสักสองสามปีที่แล้ว คุณยายของอาจารย์อมโร ซึ่งเป็นผักมาได้สามสี่ปี เกิดมีปัญหาร่างกายมันป่วยหนัก หมอวินิจฉัยแล้วต้องผ่าตัดใหญ่ แต่ว่าลูกสาวของคุณยายคนนี้ซึ่งคงจะอายุเป็นร้อยปี ลูกสาวคือโยมแม่ของท่านอาจารย์อมโรกับญาติพี่น้องก็มาประชุมกัน แล้วก็ตกลงว่าไม่ผ่าดีกว่า มันจะเป็นการยื้อชีวิต จะเป็นการทรมาน ตกลงว่าไม่ผ่าก็ขอให้ถ้าจะไปก็ให้ผู้ป่วยไปอย่างธรรมชาติ
ปรากฎว่าพอประชุมเสร็จ คุณยายซึ่งเป็นผักมาสี่ปีจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาเลย แธงกิ้ว (Thank you.) พูดคำเดียว แธงกิ้ว สี่ปีพูดคำเดียวแปลว่าอะไร แปลว่าได้ยิน ได้ยินลูกคุยกันแล้วก็ดีใจที่ลูกไม่ยื้อด้วยการให้หมอมาผ่า ปรากฎว่าหลังจากนั้นประมาณสองวัน คุณยายก็ไป พวกเราถ้าหากว่าเรามีบุพการีที่เป็นผัก หรือว่ามีเพื่อนมีญาติที่เป็นผัก ให้เราตระหนักว่าเขารับรู้ได้ อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นเหมือนคนทั่วไป เมื่อเขารับรู้ได้เราก็พูดสิ่งดีๆ ให้เขาฟัง สวดมนต์ให้เขาได้ยินหรือชวนเขาสวดมนต์ หรือว่าอ่านหนังสือธรรมะให้เขาฟัง หรือจะอ่านนิยายให้เขาฟังก็ได้ อะไรที่เขาชอบ อันนี้มันก็จะเป็นการช่วยในทางจิตใจเขาได้
ถ้าพูดถึงภาวะใกล้ตาย มันยังมีปรากฎการณ์ทางจิตอยู่สองสามอย่างที่เราควรจะรู้ อันแรกเราเรียกว่า “กรรมอารมณ์” กรรมอารมณ์ก็คือภาวะที่ปรากฎการณ์ที่จิตมันระลึกนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต อาจจะเกิดเห็นเป็นภาพ อาจจะตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กเป็นทารกด้วยซ้ำ เป็นภาพที่มันย้อนกลับมาให้เราเห็นและเร็วมากเลย มันแสดงว่าสิ่งที่เราได้เจอได้เห็นมันไม่เคยลืมเลย มันอยู่ในจิตของเรา วันดีคืนดีมันก็เหมือนกับสำรอกออกมา คนที่เขาใกล้ตายหลายคนจะบอกว่าเจอปรากฎการณ์นี้ ฝรั่งซึ่งทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องประสบการณ์ใกล้ตาย ก็พบว่ามีผู้ป่วยใกล้ตายจำนวนมากสามารถที่จะเห็นเหตุการณ์ที่ย้อนถอยหลังในอดีตได้ ในอดีตไม่ใช่อดีตชาติ หมายถึงอดีตสมัยยังเป็นเด็กเป็นหนุ่มสาว ฝรั่งเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า Life Review คือการย้อนทวนประสบการณ์ในอดีต คนที่พยายามฆ่าตัวตายแล้วไม่ตาย ตอนที่หน้าสิ่วหน้าขวานเขาก็เล่าว่ามันมีปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นกับเขา แต่อันนี้ก็ไม่ค่อยสำคัญเท่าไร
เรื่องสำคัญอีกอันหนึ่งก็คือ “กรรมนิมิต” กรรมนิมิตก็คือ ภาพหรือเสียงที่คนใกล้ตายเห็นหรือได้ยิน ซึ่งยังมีทั้งบวกและลบ ทั้งกุศลและอกุศล เป็นภาพที่เกี่ยวกับประสบการณ์ในอดีตที่ฝังใจ หรือประทับใจ เช่นใครที่เคยไปฆ่าคน ไปฆ่าสัตว์ คนที่เคยถูกฆ่า สัตว์ที่ถูกฆ่า มันก็จะเหมือนกับว่ามาหลอกหลอน เจ้าตัวจะเห็นภาพสัตว์หรือคนเหล่านั้น แล้วก็จะมีอาการตื่นกลัว ตื่นตระหนก คนที่ชอบทรมานไก่ หลายคนก็จะเห็นไก่ที่เขาทรมาน คือไก่ชน มันมาร้องมาโหยหวน บางทีก็เอามือ เอากำปั้นกระแทกกัน กระแทกกำปั้น เหมือนกับไก่มันชนกัน บางคนก็ร้องเป็กพ่อ เป็กพ่อ กระแทกจนมือนี่แตกเลย อันนี้ก็เป็นกรรมนิมิตแบบหนึ่ง แต่ว่ากรรมนิมิตอีกแบบหนึ่งก็คือ เป็นกุศล อย่างเช่นคนที่ใส่บาตรพระเป็นประจำ ตอนใกล้ตายก็อาจจะเห็นขันใส่บาตร ขันใส่ข้าวที่ใช้เวลาบิณฑบาตหรือใช้เวลาใส่บาตร เห็นแล้วก็เกิดปีติ บางคนชอบหล่อพระ เวลาจะตายก็เห็นพระพุทธรูปที่ตัวเองหล่อหรือถวาย เห็นแล้วจิตใจชื่นบานเกิดปีติ นี่ก็ทำให้จิตเป็นกุศล
มันมี “คตินิมิต” ด้วย คตินิมิตหมายถึงนิมิตเกี่ยวกับภพภูมิที่จะไป บางทีก็เห็นก็เป็นภาพเมฆ บางทีก็เห็นเป็นภาพท้องฟ้า บางทีก็เห็นเป็นภาพไฟ เห็นเป็นภาพถ้ำ พวกนี้มันแสดงว่าจะไปสุคติหรือทุคติ แต่ว่าก็ยังอยู่ในวิสัยจะเปลี่ยนได้ ถ้ามีคนนำทางดีๆ คตินิมิตที่จะบอกว่าไปอบายก็อาจเปลี่ยนเป็นคตินิมิตที่บอกว่าจะไปสุคติก็ได้ แต่จะไปสุคติหรือทุคติตัวชี้ขาดคือ “อาสันนกรรม” อาสันนกรรมก็คือ กรรมจวนเจียน ที่คนทั่วไปเรียกว่าจิตสุดท้าย จิตสุดท้ายเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ในช่วงมรณาสันนกาล คือช่วงที่จะตาย ถ้าจิตไปนึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เกิดความเศร้าความหวงแหน ความอาลัยอาวรณ์ ถ้าจิตสุดท้ายไปหน่วงเหนี่ยวอารมณ์แบบนั้น มันก็ไปอบายเลย แต่ถ้าจิตสุดท้ายเป็นจิตที่นึกถึงความดี นึกถึงพระรัตนตรัย นึกถึงบุญกุศล อันนี้ก็อาสันนกรรมเป็นกุศลก็ไปสุคติ กรรมในพุทธศาสนาตัวชี้ขาดว่าจะไปไหน เมื่อตายแล้วหรือเมื่อจะไปสู่ภพใหม่ คือ อาสันนกรรม ยกเว้นพวกที่ทำอนันตริยกรรมไว้ พวกนี้ยกไว้ แต่คนทั่วไปถ้าไม่ได้ทำอนันตริยกรรม ไม่ได้ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ไม่ได้ทำร้ายพระอรหันต์ ถ้าจิตสุดท้ายเป็นกุศลก็ไปดี จิตสุดท้ายเป็นอกุศลก็ไปไม่ดี คนดีบางคนทำความดีมา แต่จิตสุดท้ายเกิดไปนึกถึงอะไรก็ตามที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ไปอบาย
ในพุทธกาลมีพระรูปหนึ่งท่านคงเป็นพระที่เรียบร้อย เป็นพระที่ตั้งใจปฏิบัติ แต่ตอนจะตายท่านไปนึกถึงจีวร พี่สาวให้จีวรถวายจีวรท่าน สมัยพุทธกาลจีวรเป็นของหายากถือเป็นของมีค่า แถมเป็นจีวรเนื้อดีด้วย ท่านได้จีวรมาแต่ไม่ทันได้ครอง ตอนจะตายจิตสุดท้ายไปนึกถึงจีวรผืนนั้นด้วยความหวงแหน ด้วยความอาลัย หรืออาจจะด้วยความเสียดายที่ไม่ได้ฉลองศรัทธาพี่สาว ตายปุ๊บไปเป็นเล็นในจีวรเลย
อีกกรณีหนึ่ง นางมัลลิกาเทวีเป็นมเหสีพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นคนที่ชวนให้พระเจ้าปเสนทิโกศลหันมาสนใจบุญกุศล เลิกบูชายัญด้วยการฆ่าสัตว์ เป็นคนมีธรรมะ แต่ว่าอายุสั้น อายุประมาณยี่สิบปลายๆ สามสิบต้นๆ ก็ตาย ตอนที่ตายจิตเกิดไปนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่ทำไม่ดีกับพระเจ้าปเสนทิโกศล คือไปหลอก ตัวเองทำอะไรไม่ดีบางอย่างที่น่าอับอายแล้วก็พูดหลอกพระเจ้าปเสนทิโกศลว่าไม่ได้ทำ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เชื่อก็รอดตัวไป แต่ปรากฎว่าตอนจะตายจิตใจไปนึกถึงเหตุการณ์นั้นว่าทำมุสาวาท จิตก็รู้สึกหม่นหมอง รู้สึกผิด แล้วจิตสุดท้ายนี้ก็อยู่ในภาวะอารมณ์นั้น พอเขาตายปุ๊บไปนรกเลย คนอย่างนี้บางทีเราอาจจะมีความสงสัย คนทำดีทำไมตายแล้วไปอบายไปนรก อันนี้คำตอบคือว่าเป็นเพราะจิตสุดท้ายเป็นอกุศล บางคนอาจจะสงสัยหรือตั้งคำถาม อย่างนั้นความดีที่ได้ทำมามันไม่ช่วยหรือ ทำดีทำไมไม่ได้ดี ก็ต้องตอบว่าการกระทำทุกอย่างหรือกรรมมันส่งผลทั้งนั้น แต่กรรมบางอย่างส่งผลเร็ว กรรมบางอย่างส่งผลช้า อาสันนกรรม นี่ส่งผลเร็ว แต่กรรมที่ทำก่อนนั้นส่งผลช้าแต่ก็ส่งผล อย่างเช่นพระที่ท่านเป็นเล็นในจีวร พอครบเจ็ดวันเล็นก็หมดอายุ กรรมดีที่ท่านได้ทำก็ส่งผลให้ท่านไปเกิดในสวรรค์ เช่นเดียวกับนางมัลลิกาเทวี พออยู่ในนรกได้เจ็ดวัน ความดีที่นางได้ทำก็ส่งผลให้นางไปเกิดเป็นเทพธิดา
เพราะฉะนั้นความดีที่ได้ทำมันส่งผลแน่ แต่ว่าจะไปไหนมันขึ้นอยู่กับอาสันนกรรมเป็นหลัก คนไทยชาวพุทธจึงให้ความสำคัญกับการนำทางคนใกล้ตาย คนใกล้ตายก็จะพยายามต้องมีการนำเพื่อให้จิตเป็นกุศลจะได้ไปดี การนำทางคนใกล้ตายก็จะมีการนิมนต์พระมา เขาเรียกว่าบอกอะระหัง บอกอะระหัง คือ อะระหัง สัมมา ส้มพุทโธ แต่คนบางคนถ้าเกิดว่าจิตมันบาปมาก มีใครมานำทางแม้จะบอกอะระหังก็ไม่ไป จิตก็ไม่ไป ไม่น้อมไปในทางกุศล อย่างหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านเล่ามีคนหนึ่งชอบทรมานปลามาก ตอนที่เขาจะตาย น้องชายเขามาบอกอะระหัง คนที่ใกล้ตายคนนั้นกลับนึกถึงปลาในกระชัง บอกอะระหังแต่นึกถึงปลาในกระชัง เวลาน้องชายบอกพุทโธ ก็ไปนึกถึงแกงส้มปลาเทโพ มันไปไม่พ้นเรื่องปลา อย่างนี้ไปอบายแน่เลย หรือบางคนเป็นพระมาบวชตอนแก่ ตอนจะตายเพื่อนพระก็มานำบอกทางให้นึกถึงพระรัตนตรัย แต่เจ้าตัวนึกไปไม่ถึงเลย เห็นแต่หน้าคนตาย เห็นแต่หน้าคนที่ตัวเองเคยฆ่าตอนยังเป็นฆราวาส เพราะฉะนั้นพอเห็นก็เกิดความกลัวเกิดความตื่นตระหนกอย่างนี้ก็ไปไม่ดี เพราะว่าแม้จะมีสิ่งแวดล้อมดียังไง แต่ว่าถ้าใจมันฝังกับความชั่วที่ทำ มันก็ไม่สามารถจะเป็นกุศลได้
เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ดีก็พยายามทำความดีเอาไว้ ทำความดีแล้วก็ต้องฝึกจิตให้รู้จักปล่อยวางด้วย คนเราแม้จะทำความดีแค่ไหนมันก็ต้องเผลอทำความชั่วหรือผิดศีลบ้าง ถ้าไม่เคลียร์ก่อนตาย ความชั่วที่ได้ทำก็จะผุดโผล่ขึ้นมา ถึงตอนนั้นต้องอาศัยสติแล้ว รู้ทันแล้วก็วาง การเจริญสติเพื่อให้เราจะได้ทันความคิด รู้ทันจิตใจ แล้วก็ปล่อยวางมันเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งจะเป็นหลักประกันให้เราสามารถจะไปสงบได้ อันนี้ก็เป็นความรู้พื้นฐานที่เราควรได้รู้เอาไว้ เพราะเวลาเราจะช่วยคนที่เรารัก ให้เขาไปสงบ ตอนที่เขาอยู่ในระยะสุดท้ายใกล้ตาย เราจะได้เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีอาการแบบนี้ หรือเราจะช่วยให้เขาไปดีได้อย่างไร