แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวานได้อ่านเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อจริงไม่รู้ แต่ชื่อที่เขาเรียกกันคือ น้าต๋อย เซมเบ้ เข้าใจว่าคนรุ่น 30 กว่าๆ คงจะรู้จัก เพราะว่าเป็นนักพากย์การ์ตูนโดเรมอน หรืออาเรล่า เซเลอร์มูน อะไรเหล่านี้ พากย์การ์ตูนญี่ปุ่นมา 20-30 ปีได้ เพราะฉะนั้นเด็กที่อายุไม่กี่ขวบเมื่อสัก 30 ปี ป่านนี้ก็อายุ 30 กว่าแล้ว แต่อาตมาไม่ทัน เพราะว่ามาบวชตั้งแต่ 30 กว่าปีที่แล้วก็เลยไม่ได้ดูการ์ตูนของที่น้าต๋อย เซมเบ้พากย์ แกเล่าว่าหลังจากพากย์การ์ตูนมาเป็นเวลาหลายปี
วันหนึ่งได้ไปเข้าร่วมประชุมกับอาจารย์ อาจารย์ที่มาประชุมเป็นร้อยคน อาจารย์เหล่านี้ก็ซักถามน้าต๋อยว่าการ์ตูนที่คุณพากย์มีประโยชน์อะไร พูดในทำนองที่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับการ์ตูนที่น้าต๋อยพากย์ แกก็คิดอะไรไม่ออก แกก็ตอบไปแบบง่ายๆว่า ก็ดีไม่ใช่หรือครับถ้าเด็กๆได้อยู่กับพ่อแม่แล้วดูการ์ตูนด้วยกัน ครูก็ซักถามต่อไปว่า เดี๋ยวนี้การ์ตูนเต็มไปด้วยความรุนแรง และบางเรื่องก็ทะลึ่งตึงตังอย่างเช่น หนูน้อยอาลาเล่ ด๊อกเตอร์สลัม แล้วเด็กที่ดูการ์ตูนของคุณโตขึ้นเขาจะเป็นอย่างไร เขาจะเป็นคนชนิดไหน น้าต๋อยก็คงไม่ได้คิดว่าจะมาเจอคำถามแบบนี้ ก็เลยตอบไปตามความเข้าใจของแกว่า เด็กเหล่านี้ถ้าเขาได้ดูฮีโร่ของเขา เขาก็คงจะได้เติบโตมาเป็นคน เขาไม่อธิบายมากไปกว่านี้ ตอบสั้นๆ แกก็คงจะเสียความรู้สึกเหมือนกัน ที่มีครูจำนวนไม่น้อยไม่เห็นด้วยกับการ์ตูนที่แกพากย์ แต่แกก็พากย์ด้วยใจรัก ไม่ได้เพราะว่ามีคนจ้างอย่างเดียว เวลาพากย์การ์ตูนก็พากย์ด้วยความสนุก พากย์ด้วยการที่เอาใจทุ่มเทลงไปกับตัวการ์ตูนแต่ละตัว ไม่ว่าจะเป็นฉากบู๊ ไม่ว่าจะเป็นฉากสนุกสนาน ตลกโปกฮา หรือว่าฉากเศร้า ก็ตั้งใจพากย์เต็มที่
ตอนหลังก็เห็นว่ามีแต่การ์ตูนญี่ปุ่นอย่างเดียว น่าจะมีการ์ตูนไทยบ้าง ก็เลยออกนิตยสารที่เป็นการ์ตูนไทย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เจ๊ง ตลาดไม่ค่อยต้อนรับเท่าไหร่ ก็ผ่านไป 30 ปี ตอนหลังแกก็เลิกพากย์เพราะว่าอายุมากแล้วและสุขภาพไม่ดี แกเล่าว่าเลิกพากย์ไป 4 ปีแล้ว ช่วงท้ายๆ ช่วงหลังๆ แกว่าไม่ค่อยสบาย สุขภาพย่ำแย่ ป่วยหนักมาก แกว่าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด วันที่แกไปโรงพยาบาลก็เรียกว่าหมดสภาพไปแล้ว
ตื่นขึ้นมามีหมอหนุ่ม อายุ 30 ต้นๆ กุมมือแกเอาไว้แล้วก็เรียกชื่อแกว่า น้าต๋อย ผมโตมากับการ์ตูนของน้าต๋อย ผมจะช่วยน้าต๋อยสุดความสามารถ จะช่วยชีวิตของน้าต๋อยให้ได้ พยาบาลอีกคนก็พูดว่าหนูก็โตมากับเซเลอร์มูนของน้าต๋อย น้าต๋อยสู้ๆนะ แกประทับใจมากเลย แล้วแกก็คงน้ำตารื้นเลยที่ได้ฟัง ที่ได้มีประสบการณ์แบบนี้ เพราะแกไม่คิดว่าการ์ตูนที่แกพากย์มา 30 ปี จะมีคุณค่าอะไร แกก็คงมีความเชื่อว่ามันมีประโยชน์กับเด็ก แต่ก็ไม่คิดว่าไม่แน่ใจว่ามันจะมีประโยชน์จริงรึเปล่า แต่แกมีความศรัทธาว่า สิ่งที่แกทำน่าจะช่วยให้มีประโยชน์กับเด็กได้ แล้ววันนั้นแกก็ได้พบว่า ความเชื่อหรือว่าศรัทธาของแก ไม่ได้สูญเปล่า หมอหรือพยาบาลที่เติบโตมากับการ์ตูนของแก เป็นเด็กที่เติบโตมากับการ์ตูนของแกกลายมาเป็นหมอที่ดี เป็นพยาบาลที่ดี แล้วมีความซาบซึ้งในสิ่งที่แกทำ จะเรียกว่าซาบซึ้งในบุญคุณของแกก็ได้ ทำให้แกมีกำลังใจ
แกก็เล่าเรื่องนี้ให้หลายคนฟังในการบรรยายที่เขาเรียกว่า Ted Ex อะไรสักอย่างที่กรุงเทพฯ คนฟังหลายคนก็น้ำตารื้น เพราะว่ามีประสบการณ์เป็นคนที่โตมากับน้าต๋อยเหมือนกัน โตมากับการ์ตูนของน้าต๋อย แล้วก็ได้รับแรงบันดาลใจหรือว่าได้รับอิทธิพลจากการ์ตูนญี่ปุ่นของน้าต๋อยอยู่มาก หลายคนก็คงดีใจที่ได้มาเห็นตัวจริง ได้ยินเสียงของน้าต๋อยมานาน ที่เล่าเรื่องนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า อะไรก็ตามที่เราทำด้วยความรัก ด้วยความตั้งใจ ด้วยความปรารถนาดี ด้วยความใส่ใจ มันไม่สูญเปล่า สักวันหนึ่งก็ย่อมแสดงผลออกมา
เหมือนกับต้นไม้ กว่าจะปลูก กว่าจะดูแล กว่าจะเห็นมันเติบโตก็ใช้เวลานาน 30 ปี บางชนิดก็ 50 ปี แต่แล้ววันหนึ่งต้นไม้นั้นก็ออกดอกออกผล อย่างต้นพยอมกว่าจะออกดอกได้ก็ 50 ปี ในระหว่าง 50 ปี ระหว่างที่รอมันออกดอก ก็ต้องใช้ความเพียรพยายาม ก็ต้องมีศรัทธาด้วย ถ้าไม่มีศรัทธาก็เลิกทำไปนานแล้ว แต่เพราะมีศรัทธาและเพราะมีฉันทะ ทั้งศรัทธาทั้งฉันทะสำคัญ ศรัทธาคือความมั่นใจคือความเชื่อมั่น แล้วฉันทะคือความรัก ถ้าเรามีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราทำ ทำด้วยความตั้งใจย่อมส่งผลดีในที่สุด แล้วถ้าหากว่าทำด้วยความชอบด้วยมีฉันทะแปลว่าทำให้มีความสุข ทำให้ถึงแม้ว่าผลพวงยังไม่ปรากฏแต่ก็มีความสุข มีความสุขที่ได้รดน้ำต้นไม้แม้ยังไม่ออกดอก มีความสุขที่พากย์การ์ตูนแม้ว่าผลที่เกิดขึ้นยังไม่เด่นชัด ก็รู้แต่ว่าเด็กมีความสุข แต่ก็ไม่รู้ว่าเด็กเขาจะโตเป็นคนชนิดไหน แต่ว่าผ่านไป 30 ปี พอได้เจอหมอเจอพยาบาลที่เขาบอกว่าเขาโตมากับการ์ตูนของน้าต๋อย แกภูมิใจมากแล้วก็มีความสุข อันนี้ก็ให้เรามั่นใจว่าเวลาเราทำความดี ความดีที่เราทำแม้วันนี้จะยังไม่ส่งผล แต่ถ้าเราทำด้วยศรัทธา แล้วทำอย่างต่อเนื่อง ผลดีย่อมปรากฏออกมาในที่สุด ไม่ว่าความดีนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม อาจจะเป็นความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่นก็ได้
อย่างที่เราเคยดูคลิปวีดีโอซึ่งมาจากเรื่องจริงของเด็กที่ไปขโมยยามาให้แม่ เพราะแม่ป่วยแล้วก็ยากจน แล้วเจ้าของร้านยาจับได้ แต่เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ข้างเคียงแกเห็นใจ จึงจ่ายเงินค่ายาให้กับเจ้าของร้านยาไป เด็กก็สำนึกในบุญคุณของเจ้าของร้านอาหารนั้น และ 30 ปีผ่านไป เด็กคนนั้นได้เป็นหมอ และได้ดูแลคนไข้คนหนึ่งซึ่งอาการหนักมากต้องผ่าตัดใหญ่ แล้วคนไข้นี้ก็ยากจน ไม่รู้จะทำอย่างไร ลูกสาวต้องไปเจรจากับโรงพยาบาลว่าไม่มีเงินจะจ่าย แต่สุดท้ายก็เป็นอันว่าไม่ต้องจ่ายเลยสักบาท เพราะคนที่จ่ายแทนคือหมอ และหมอคนนั้นคือเด็กที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวคนนั้นก็คือคนป่วยที่หมดสภาพอยู่ในการดูแลของหมอคนนั้นนั่นเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราเคยดูหรือเคยได้ยิน ความดีที่ทำวันนี้แม้จะไม่ส่งผลในเร็ววัน แต่ว่าย่อมปรากฎผลในที่สุด
ที่จริงทำอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าทำด้วยความตั้งใจแล้ว บางครั้งก็ไม่ต้องรอผล บางครั้งไม่ต้องรอเวลา ผลมันออกมาเอง ถ้าเราทำด้วยความตั้งใจ ด้วยความใส่ใจ มีช่างทำผมคนหนึ่งได้เล่าว่า เช้าวันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่าอยากจะมาทำผมตอนบ่าย ปกติแกก็งานมากอยู่แล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้บอกว่ามีงานสำคัญที่จะต้องไปทำ มีเรื่องสำคัญที่จะต้องไปทำ เพราะฉะนั้นขอลัดคิวหน่อย ขอมาทำผมตอนบ่ายเลย แกก็ให้ก็ยอม ยอมให้ลูกค้าคนนี้มาทำผมตอนบ่าย แกก็มา ลูกค้าแต่งตัวมาอย่างดีเลยแต่หน้าตาเศร้าๆ ช่างทำผมก็ทำผมให้ด้วยความตั้งใจ ระหว่างที่ทำผมก็สัมผัสเรือนผมของลูกค้าด้วยความอ่อนโยน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน บางครั้งพูดชมว่าผมเธอสวย ผิวเธอก็ดี ช่างทำผมใส่ใจกับการดูแลทำผมของลูกค้าซึ่งก็ไม่เคยรู้จักกัน สัมผัสแต่ละสัมผัสทำด้วยความนุ่มนวล คำพูดก็พูดด้วยความใส่ใจ ให้กำลังใจ ใช้เวลาทำเกือบชั่วโมงก็เสร็จ แล้วลูกค้าก็จากไปหลังจากให้เงิน ไม่กี่วันต่อมา ช่างทำผมได้รับจดหมายจากลูกค้าคนนี้
ลูกค้าคนนี้บอกว่าที่มาทำผมก็เพราะว่าอยากจะทำให้ตัวเองดีที่สุด ทำให้รูปร่างหน้าตาตัวเองดีที่สุด ตั้งใจแต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุด แล้วอยากจะให้ทำผมให้ตัวเองดูดีที่สุด เพราะว่าเย็นวันนั้นเธอคิดจะฆ่าตัวตาย ก่อนจะตายก็ขอให้ตัวเองดูดีที่สุด เพราะเธอรู้สึกว่าชีวิตนี้ไร้ค่า แต่ว่าหลังจากที่ได้มาทำผมกับช่างทำผมคนนี้ ความอ่อนโยน ความนุ่มนวล ความใส่ใจของช่างทำผม ทำให้เธอรู้สึกมีคุณค่าขึ้นมา ทำให้เธอรู้สึกมีกำลังใจ ทำให้ความคิดที่ว่าตัวเองไร้ค่าหายไป แล้วเกิดความหวังที่จะกลับมาสู้ชีวิตใหม่ ก็เลยเขียนจดหมายมาขอบคุณ ช่างทำผมคนนี้ก็งง เพราะว่าสิ่งที่เธอทำก็ไม่ได้ทำอะไรพิเศษไปกว่าลูกค้าคนอื่น เธอทำอย่างที่เคยทำนั่นแหล่ะ แต่สิ่งที่เธอทำไม่เหมือนคนอื่นเพราะว่าเธอทำด้วยความใส่ใจ ซึ่งก็คือการมีสติใส่ลงไป
เวลาทำอะไรก็ตาม ถ้าเราทำด้วยความใส่ใจ เอาใจใส่ลงไป จะกลายเป็นของพิเศษขึ้นมา อย่างเวลาล้างหน้า เราล้างหน้าแล้วเอาใจใส่ลงไป เวลาเราหายใจเราเอาใจใส่ลงไปในลมหายใจ ลมหายใจก็กลายเป็นลมวิเศษได้ ช่วยลบช่วยลดความรุ่มร้อนในใจ ช่วยขจัดปัดเป่าความหนักอกหนักใจออกไปจากภายในได้ เพราะฉะนั้นถ้าทำด้วยความใส่ใจ ทำด้วยความรัก ทำด้วยฉันทะ ทำด้วยสติ สิ่งที่เราทำจะมีความหมายมาก บางอย่างก็ให้ผลทันทีกับคนที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกภายใน แต่บางอย่างอาจก็จะใช้เวลาแต่ก็คุ้มค่า
การปฎิบัติธรรมของเราก็เหมือนกัน บางคนทำก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไม แต่ละวันก็ผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ใครจะไปรู้ พอทำไปสัก 5 ปี 10 ปี ถึงเวลาที่เราเจ็บป่วยหนัก ถึงเวลาที่เราเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง หรือวันที่เรากำลังจะตาย สติที่เราได้ฝึกเอาไว้นี่แหล่ะสามารถจะช่วยชีวิตเราได้ สามารถที่จะทำให้เราอยู่กับความเจ็บป่วยได้ โดยที่ใจไม่ทุกข์ หรือถึงจะตายก็ตายอย่างสงบได้ ไม่ทุรนทุราย เพราะฉะนั้นอย่าไปประมาทความดี หรือว่าการทำสิ่งต่างๆด้วยความใส่ใจ ด้วยความรู้สึกที่ดีที่สุดของเรา