แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีคำถามที่อาตมาถูกถามบ่อยและก็คงอยู่ในความสงสัยของหลายคน คือจะปฏิบัติธรรมเวลาไหนดี จะปฏิบัติธรรมที่ไหนดี หรือบางคนก็อาจจะบอกว่าจะปฏิบัติธรรมเวลาไหนดีที่สุด ปฏิบัติธรรมที่ไหนจึงจะดีที่สุด หลายคนจะนึกอยู่ในใจว่า ก่อนนอนบ้าง หรือเวลาตอนตื่นใหม่ๆบ้าง ส่วนสถานที่ บ้างก็ว่าปฏิบัติธรรมที่วัดดี บางคนก็ว่าต้องปฏิบัติธรรมที่บ้านเพราะว่ามีสิ่งกระทบมาก จริงๆแล้วปฏิบัติธรรมเวลาไหนที่ดีที่สุด ก็คือตอนนี้ ตอนนี้คือเวลาปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด แล้วก็ตรงนี้ ก็คือสถานที่ที่ปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด ถ้าไปรอก่อนนอนนั่นเป็นเรื่องอนาคต อยู่บ้านแต่บอกว่าปฏิบัติธรรมที่วัดดีที่สุดก็ทำให้มีข้ออ้างว่าต้องไปวัดก่อนถึงจะปฏิบัติธรรมได้ เวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการปฏิบัติก็คือตอนนี้ สถานที่ที่ปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดก็คือตรงนี้ ทำเดี๋ยวนี้ ทำตอนนี้ ทำตรงนี้เลย
อย่างเช่นขณะนี้ปฏิบัติธรรมด้วยการฟังธรรม ฟังธรรมอย่างมีสติ ระหว่างที่ฟังธรรมใจอาจจะหลุดลอยไป รู้ตัวเมื่อไรดึงกลับมาอยู่กับการฟังธรรม หรือจะไม่ฟังธรรมก็ได้ เช่นอาจจะกำลังยกมือสร้างจังหวะก็ให้มีสติรู้อยู่กับการยกมือ อาจจะต้องเริ่มต้นจากการทำทีละอย่าง ฟังก็ฟัง ยกมือก็ยกมือ สิ่งนี้เรียกว่าทำให้ใจอยู่กับปัจจุบัน อยู่ในครัวก็ควรใช้เวลาที่อยู่ในครัวตรงนั้นปฏิบัติธรรม คือมีสติจริงๆ แล้วไม่ว่าเราทำอะไรก็ตาม จะเป็นเวลาไหน ก็เป็นการปฏิบัติธรรมได้ทั้งนั้น ตั้งแต่ตื่นนอนสลัดความง่วงออกไป ทำความรู้สึกตัวขณะที่ลุกขึ้นเก็บที่นอน เดินไปล้างหน้าถูฟันก็ให้มีความรู้สึกตัวมีสติ ไม่ว่าปัจจุบันทำอะไรก็ให้มีสติกับสิ่งนั้น เป็นการปฏิบัติธรรมแล้ว
ยิ่งพวกเราได้ฝึกให้รู้กาย เวลากายทำอะไรก็ให้รู้ เวลายกมือไม่ว่ายกมือทำอะไรไม่ใช่แค่ยกมือสร้างจังหวะ ยกมือล้างหน้า ยกมือตักอาหาร หรือว่ายกมือตักขันน้ำเพื่ออาบน้ำ ระหว่างกายทำอะไรใจก็รับรู้ ที่เรียกว่ารู้กายเคลื่อนไหว แม้แต่เวลาเรานั่งนิ่งๆ จะมีบางช่วงที่เราจะนั่งนิ่งๆ เช่นกำลังอุจจาระเราก็อาจขยับมือคลึงนิ้วหรือว่าตามลมหายใจ มีการเคลื่อนไหวของกาย ลมเคลื่อนเข้าเคลื่อนออก หรือนิ้วที่ขยับไปมา นั่นก็ปฏิบัติได้แล้ว แม้จะนั่งแต่ก็ไม่ได้นั่งเฉยๆ เราจะเรียกว่ากำหนดก็ได้ หรือมารับรู้ส่วนใดส่วนหนึ่งของกายที่เคลื่อนไหว หรือสร้าง จงใจสร้างอิริยาบทน้อยๆขึ้นมา เช่น คลึงนิ้ว กระดิกนิ้ว เวลาทำอะไรใจก็รับรู้
ไม่ใช่ว่ากายทำแต่ว่าใจไปไหนก็ไม่รู้ กายยกมือ กายกำลังอาบน้ำแต่ใจไปอยู่ที่บ้านไปอยู่ที่ทำงานแบบนั้นก็ไม่ใช่แล้ว เวลาวางของก็ให้วางด้วยความรู้สึกตัว สังเกตไหมเวลาเราวางของ บ่อยครั้งเราทำไปตามความเคยชิน หรือทำไปโดยไม่รู้ตัว อาจจะกำลังนึกถึงลูก นึกถึงพ่อแม่ นึกถึงรถที่ยังไม่ได้ล้าง ตอนที่วางแล้วนึกโน่นนึกนี่กลายเป็นปัญหาขึ้นมา เพราะว่าเวลาจะใช้ของนั้น เช่น ปากกา แว่นตา โทรศัพท์ กระเป๋าเงิน หรือกุญแจ หาไม่เจอ จำไม่ได้ว่าวางไว้ตรงไหน อย่างนี้เรียกว่าวางของโดยไม่รู้ตัว ไม่มีสติ ตรงนั้นแหละที่ไม่ปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่ว่าหยิบจับอะไรหรือวางของอะไรก็ปฏิบัติธรรมได้แล้ว คือมีสติ ทำอะไรแม้จะเล็กน้อยก็ทำด้วยความรู้สึกตัว
ขณะเดียวกัน เราเจออะไร ไม่ว่าจะได้ยินเสียง เจอผู้คน หรือเจอเหตุการณ์ต่างๆ ได้ฟังได้ยินเรื่องราวข้อมูลข่าวสารก็ปฏิบัติธรรมได้ด้วยการมีสติ เพราะว่าตอนที่เจอ ไม่ว่าตากระทบรูป หูได้ยินเสียง จะเกิดการกระเพื่อมของใจ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น เช่น ดีใจเสียใจ ยินดียินร้าย พอใจไม่พอใจ หรือสุขทุกข์ จะมีอาการที่เกิดขึ้นอยู่กับใจอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เราเจออะไรก็ตามซึ่งภาษาพระเรียกว่าเกิดผัสสะ ไม่ว่าเราเจออะไร ตรงนั้นตอนนั้นคือการปฏิบัติธรรมแล้ว เป็นโอกาสการปฏิบัติธรรมแล้ว สิ่งที่เราเจอก็จะเป็นการบ้านเพื่อมาให้เราได้ฝึกปฏิบัติ
ปฏิบัติอย่างแรกคือการเจริญสติ คือรู้ใจที่มันกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง รู้ใจที่ยินดียินร้าย รวมทั้งรู้เวทนาสุขหรือทุกข์ ร้อนหนาว หรือเมื่อยผ่อนคลาย เคยใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นแบบฝึกหัดในการปฏิบัติธรรมหรือไม่ เป็นการบ้านในการเจริญสติหรือไม่ หรือปล่อยให้มันมากำหนด มาปรุงแต่ง หรือมาครอบงำจิตใจเรา เจอเสียงดังก็ทุกข์ เจอรถติดก็ทุกข์ เจอใครนินทาก็ทุกข์ โกรธโมโห เป็นเพราะเราไม่ปฏิบัติในขณะที่เกิดผัสสะ เราก็เลยตกเป็นทาสของสิ่งแวดล้อม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รวมทั้งธรรมอารมณ์ หรือความคิดในใจด้วย คนพวกนี้ตกเป็นทาสอารมณ์ของสิ่งแวดล้อมภายนอก ขึ้นลงสุขทุกข์ไปตามอำนาจของมันก็เพราะว่าการที่เราไม่ปฏิบัติในขณะที่เกิดผัสสะ หรือขณะที่เราเจอนั่นเจอนี่ คนเราตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับ จริงๆแล้วมีแค่ 2 อย่างเกิดขึ้น คือ หนึ่งทำ สองเจอ
ทำก็คือเป็นเรื่องที่เราเจตนาเช่น อาบน้ำ กินข้าว หรือพูดคุย อิริยาบถน้อยใหญ่ก็เป็นเรื่องทำทั้งนั้น อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เดินไปข้างหน้า ถอยไปข้างหลัง คู้ขา เหยียดขา เหลียวซ้าย แลขวา กินดื่มเคี้ยวลิ้ม ใส่เสื้อผ้าครองจีวร สะพายบาตร อุจจาระ ปัสสาวะ ยืน เดิน นั่ง หลับตา ลืมตา พูด นิ่ง เรียกว่าทำทั้งนั้น เราทำสิ่งเหล่านี้วันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้ง แล้วก็ทำอย่างอื่นด้วย ขับรถ ตักน้ำ ใช้กายในการทำ ก็เจริญสติไปคือมีสติรู้ มีความรู้สึกตัวเรียกง่ายๆว่า รู้กายเคลื่อนไหวเมื่อทำกิจ กิจในที่นี้คือกิจการงาน อิริยาบถน้อยใหญ่ อย่างนี้พบเจออะไรใจกระเพื่อมใจฟุ้งปรุงแต่งก็รู้ ใจยินดียินร้ายก็รู้
สรุปว่าเห็นใจคิดนึกเมื่อเจอเมื่อเกิดผัสสะ เห็นกายเคลื่อนไหวเมื่อทำกิจ รู้ใจคิดนึกเมื่อเกิดผัสสะ หรือรู้ใจคิดถึงนึกเมื่อเจอนั้นเจอนี่ อันนี้เป็นพื้นฐานอย่างแรกเลยที่เราควรจะทำ จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติธรรมถ้าเราเข้าใจว่าทำได้ตั้งแต่ตรงนี้ แล้วก็ตอนนี้ ไม่ว่าเราทำอะไรเราเจออะไรปฏิบัติธรรมได้ทั้งนั้น ปฏิบัติธรรมตอนที่ทำโน้นทำนี่อาจไม่ยากเท่ากับเจอนั่นเจอนี่ เพราะเวลาทำเราเจตนาทำ แต่เจอบางทีเราไม่อยากเจอแต่ต้องเจอ เจอในสิ่งที่เราไม่ชอบ เวลาทำเรามักจะทำในสิ่งที่ชอบ ทำในสิ่งที่เราคุ้น แต่เวลาเจอเราเลือกไม่ได้ เจอสิ่งที่ไม่ชอบก็มาก ตรงนั้นแหละที่เป็นเวลาสำหรับการปฏิบัติธรรม
นอกจากการเจริญสติรู้เวลาใจคิดนึกอะไรแล้ว ก็รวมถึงว่าการรู้จักวางใจเวลาเกิดอะไรขึ้นด้วย เช่น เวลาเราเจอคนแก่ เจอคนเจ็บคนป่วย หรือเจอคนที่เป็นมะเร็ง เราก็ใช้โอกาสนี้เป็นการเตือนใจเรา ในด้านหนึ่งก็บอกเราว่าเราโชคดีที่เรายังไม่เป็นอย่างเขา เราโชคดีที่เราไม่เจ็บไม่ป่วยไม่เป็นมะเร็งเหมือนอย่างเขา แบบนี้มีประโยชน์สำหรับคนที่รู้สึกว่าชีวิตเรามีเคราะห์กรรมมากเหลือเกิน ทำไมชีวิตเราลำบากแบบนี้ ทำไมชีวิตเรามันยุ่งยากมีอุปสรรคมากมาย มีความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิต การที่เราตระหนักว่าเราโชคดีที่เราไม่เป็นเหมือนอย่างเขา ไม่ว่าจะพิการหรือเป็นมะเร็ง ทำให้เรากลับมามองในชีวิตเราว่าเรายังมีโชคอีกมากมาย แต่เท่านั้นยังไม่พอเราต้องเตือนใจว่า วันนี้เราไม่เป็นก็จริงแต่วันหน้าอาจจะถึงคราวเรา คนเหล่านี้เขามาเตือนว่าสักวันหนึ่งเราก็อาจจะเป็นมะเร็ง สักวันหนึ่งเราก็อาจจะเป็นโรคร้ายพิกลพิการเหมือนเขา
เมื่อเตือนใจแบบนี้ก็ถามต่อไปว่าแล้วเราพร้อมแล้วหรือยัง เราเตรียมอะไรมาบ้างหรือไม่ หากเราต้องเจอหรือเป็นแบบเขา คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดแบบนี้ ไม่ได้คิดว่าคนเหล่านี้มาเป็นครูเตือนเราว่าสักวันหนึ่งเราก็อาจจะเป็นอย่างเขา ถ้าเราคิดแบบนี้บ้างอย่างนี้เรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม คืออาศัยคนที่เราเจอเป็นครูเตือนให้เราไม่ประมาทในความสุข ในสุขภาพที่มีอยู่ เตือนว่าสักวันหนึ่งมันก็อาจจะหายไปแปรเปลี่ยนไป สุขภาพกลายเป็นความเจ็บป่วย แล้วจะกระตุ้นให้เราเกิดความไม่ประมาท ถ้าเราคิดว่าเรายังไม่พร้อมที่จะป่วยหรือทำใจอย่างเขา เราจะได้ฝึกจิตฝึกใจไว้ ถึงเวลาป่วยถึงเวลาเจ็บ เราฝึกมาแล้วเรื่องการเจริญสติ เรารู้จักทำใจให้เป็นปกติ เรารู้จักวางเวทนาไม่ไปยึดติดในเวทนานั้น ทุกขเวทนาความเจ็บป่วยไม่มีใครชอบ แต่พอเกิดขึ้นทีไรไปยึดมันทุกที ไปจดจ่อมันทุกที ไปแบกไปยึดว่ามันเป็นเราของเรา เป็นกูของกู ไม่ชอบแล้วทำไมถึงยึด เพราะไม่ได้ฝึกสติ แต่เราจะเห็นความสำคัญของการฝึกสติได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักคิด เมื่อเราเจอใครเราก็ใช้คนที่เจอเป็นครูสอนเราว่าอย่าประมาท เตือนเราว่าเวลาเราเหลือน้อยลงไปทุกที
เพราะฉะนั้นต้องรีบทำความดี ต้องฝึกจิตฝึกใจ เป็นการปฏิบัติธรรมเพราะว่าเป็นการเตือนให้เราไม่ประมาท เวลาเจอคนกินเหล้าเมายา หรือได้ข่าวว่าคนฆ่าตัวตาย ก็อย่าไปต่อว่าเขาว่าพวกนี้แย่ จิตใจอ่อนแอหรือลุ่มหลง เตือนใจเราว่าสักวันหนึ่งเราอาจจะเป็นอย่างเขาก็ได้ อาจจะเป็นคนขี้เหล้าเมายาอย่างเขาก็ได้ อาตมาเจอมามาก พระที่ตอนบวชก็ด่าผู้ที่ติดเหล้าหาว่าโง่ยิ่งกว่าหมา หมานี่ระหว่างเหล้ากับขี้มันกินขี้มันไม่กินเหล้า เทศน์โจมตีคนกินเหล้า แต่พอสึกไปบางทีขายเหล้า หรือหนักกว่านั้นบางทีติดเหล้า ติดเหล้าเมามายจนไม่เป็นอันทำมาหากินเลย จนกระทั่งถูกคนรังเกียจเหยียดหยามจากที่เคยยกย่องว่าเป็นพระ ต่อมาเขารังเกียจแล้วก็ตายอย่างคนอนาถาก็มี หรือบางทีฆ่าตัวตายก็มี ตอนเป็นพระอาจหาญร่าเริงในธรรมหรือสอนคนได้มากมาย แต่สุดท้ายพอเจอปัญหาชีวิตซัดกระหน่ำมากมาย ฆ่าตัวตาย อย่างนี้เราอย่าไปมองว่าเขาอ่อนแอ แต่ให้เรามองว่าสักวันหนึ่งเราอาจเป็นอย่างเขาก็ได้ อย่าไปประมาท อย่าไปดูถูกเขาแบบนี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรม
รวมทั้งเวลาเราได้ฟังข้อมูลข่าวสารต่างๆ ถ้าเราไม่เชื่อทันทีเราเตือนสติหรือเราเตือนใจตัวเอง โดยใช้หลักกาลามสูตร อย่าปลงใจเชื่อเพียงเพราะมันเข้าได้กับทฤษฎี หรือความเห็นของเรา คนสมัยนี้ที่จริงทุกยุคทุกสมัยจะเลือกรับแต่สิ่งที่ถูกใจ ข่าวลืออะไรที่ถูกใจเราหรือเป็นการตอกย้ำอคติของเรา เราจะเชื่อง่าย เราไม่ชอบใครถ้าเราได้ยินข่าวลือในทางลบเกี่ยวกับคนๆนั้น เราจะเชื่อทันที เพราะมันไปยืนยันอคติของเรา ทั้งที่ข่าวนั้นอาจจะเป็นข่าวเท็จก็ได้ ข่าวลือก็ได้ หลายคนไม่ชอบพวกมุสลิมอิสลาม พอมีข่าวลือทางไลน์ว่ามุสลิมเขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้เชื่อทันทีเลย ไม่มีการตรวจสอบ แล้วคนที่เชื่อหลายคนเป็นชาวพุทธ แบบนี้ก็แสดงว่าไม่ได้ใช้หลักกาลามสูตร ทั้งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ 2,600 ปีแล้ว ต้องใช้กาลามสูตร ทันทีที่เราใช้กาลามสูตรแสดงว่าเราปฏิบัติธรรมแล้ว ที่สำคัญมากเลยการรับฟังข้อมูลข่าวสารอย่าเชื่อเพียงเพราะว่ามันเข้าได้กับความเห็นของเรา รวมถึงมันเข้าได้หรือสอดคล้องกับอคติของเรา เราเกลียดใครถ้ามีข่าวดีๆ เกี่ยวกับคนนั้นเราไม่ฟังเลย เราจะฟังแต่เราจะเชื่อข่าวไม่ดีเกี่ยวกับเขา
เวลาของเราหายเราปักใจเชื่อว่าคนทำความสะอาดในบ้านนี้หรือในรีสอร์ทนี้เอาไป พอเราปักใจเชื่ออย่างนี้เวลาเราเห็นเขาไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็ตาม มีพิรุธไปหมดเลย แต่พอทีหลังเราพบว่าของนั้นไม่ได้หายมันแค่ตกอยู่หลังตู้ เขาไม่ได้เอาไป สิ่งที่เราเห็นเกี่ยวกับตัวเขาจะเปลี่ยนไป คำพูดคำจากิริยาท่าทางจะไม่มีพิรุธ เป็นอาการคนปกติคนธรรมดาที่ไม่มีลับลมคมใน ที่จริงเขายังไม่เปลี่ยนท่าที เขายังเหมือนเดิม แต่การมองของเราเปลี่ยนไป ตอนที่เราคิดว่าเขาเป็นขโมยเราก็เห็นเขาทำอะไรมีพิรุธไปหมด แต่พอเรารู้ว่าเขาไม่ใช่ขโมย สิ่งที่เรารับรู้ก็เปลี่ยนไป ไม่ได้เปลี่ยนที่ตัวเขา เขายังทำเหมือนเดิม แต่ใจเราต่างหากที่เปลี่ยน อย่างนี้เพราะเรามีอคติมีความคิดบางอย่าง อย่าเชื่อเพียงเพราะว่ามันมีลักษณะอาการที่น่าจะเป็นไปได้ หรือมีรูปลักษณะน่าเชื่อถือ
เราเคยได้ยินไหม มีผู้ชายคนหนึ่งเลี้ยงลูกพังพอนมาจนโตแล้วมันก็เชื่องมากเลย ต่อมาผู้ชายคนนี้แกก็มีลูก ลูกตัวเล็กๆ ยังแบเบาะอยู่เลย มีวันหนึ่งพ่อแม่ก็บังเอิญต้องออกไปข้างนอกประเดี๋ยวเดียว ให้พี่เลี้ยงดูแล พี่เลี้ยงก็ออกไปรีดผ้า ปล่อยให้เด็กตัวเล็กๆ นอนอยู่คนเดียวบนพื้น มันร้อนเลยให้นอนบนพื้นก็มีเบาะวางอยู่ พอดีมีงูเข้ามาเป็นงูเห่า งูเห่าเข้ามาในห้องที่เด็กนอนอยู่ พังพอนเห็นมันก็สู้กับงูทันที มันเชื่องมันรู้ว่าเป็นอันตรายต่อเด็กทารกของเจ้านาย มันก็สู้กัดงูเลือดสาดเลือดกระเซ็นไปโดนเด็ก แต่สุดท้ายพังพอนชนะก็คาบงูไปทิ้ง เสร็จแล้วก็มานอนอยู่ข้างๆเด็ก พ่อกลับมาเห็นเลือดเต็มตัวเด็ก แล้วในปากพังพอนก็มีเลือด สรุปทันทีว่าพังพอนกัดลูกของตัว กัดจนตายเพราะเด็กนิ่งๆไป สรุปทันที เลยโกรธลากพังพอนไปฆ่าจนตายคามือ พอฆ่าตายสักพักก็พบว่าเด็กตื่น แถมไปเจอซากงูด้วย ประติดประต่อเรื่องได้ เลยสรุปได้ว่าพังพอนช่วยกัดงูเพื่อรักษาชีวิตของลูกเอาไว้
แต่ตัวเองฆ่าพังพอนที่ซื่อสัตย์ไปแล้ว เสียใจ ตอนนั้นสรุปไปแล้วพังพอนทำร้ายหรือฆ่าลูกของตัว เพราะลักษณะอาการชวนให้สรุปแบบนั้น เลือดเต็มเบาะกระเซ็นไปถูกตัวเด็ก พังพอนก็มีเลือดที่ปาก อย่างนี้เพราะไม่ใช้หลักกาลามสูตร ก็เลยสรุปว่าพังพอนฆ่าลูกของเรา แบบนี้เรียกว่าไม่มีสติ ถ้ามีสติ ถ้าปฏิบัติธรรมเจอแบบนี้จะไม่รีบด่วนสรุป อย่างน้อยก็ต้องเช็คก่อนว่าลูกเราตายจริงหรือไม่ ลูกเรามีแผลไหม ถ้ามาสำรวจดูไม่มีแผลอะไรเลยมีแต่เลือดกระเซ็นไปถูกแค่นั้นเอง นี่เรียกว่าไม่มีสติ เรียกว่าไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ได้ใช้หลักกาลามสูตร เวลาเห็นอะไร ท่านบอกอย่าปลงใจเชื่อเพียงเพราะอนุมาน หรือเพียงเพราะเหตุผล เหตุผลช่วยเราแต่บางทีก็ผิด
อาตมารู้จักคนๆ หนึ่ง แกชื่ออ้วน วันหนึ่งเดินขึ้นสะพานลอยข้ามถนนแถววงเวียนใหญ่ ไปกับเพื่อน พอเดินไปถึงกลางสะพานเห็นแบงค์พันวางอยู่บนพื้นสามใบ อ้วนชี้ให้เพื่อนดูว่ามีแบงค์วางอยู่ข้างหน้า ตกอยู่ข้างหน้าสามใบ แกก็ว่าไม่ใช่แบงค์จริงเพราะถ้าเป็นแบงค์จริงคนต้องหยิบไปแล้ว หน้าวงเวียนใหญ่ต้องมีคนผ่านไปผ่านมาบนสะพาน ถ้าเป็นแบงค์จริงคนต้องหยิบไปแล้ว แต่เพื่อนไม่เชื่อเพื่อนเดินสาวเท้าไปที่แบงค์นั้นแล้วก็หยิบมาพบว่าเป็นแบงค์จริง เพื่อนได้ไปสามพัน อ้วนเห็นคนแรกอด แต่เพื่อนก็ดีมีน้ำใจแบ่งให้อ้วนพันห้า อ้วนเชื่อเหตุผล เหตุผลของอ้วนคือถ้าแบงค์จริงต้องมีคนหยิบไปแล้ว เหตุผลฟังดูดี แต่เราก็คงรู้ใช่ไหมว่าบางครั้งคนก็เดินผ่านไปผ่านมา คนไม่เห็นแบงค์เหมือนกัน คนไม่เห็นแบงค์อาจคุยกันเพลินคงไม่เห็นแบงค์ข้างล่าง อย่าปลงใจเชื่อทันทีเพราะว่ามีเหตุผล หรือปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน
ดังนั้นเวลาเราเจออะไร ไม่ว่าจะเจอแบงค์ เจอคนป่วย เจอเหตุร้าย ปฏิบัติธรรมได้ทั้งนั้น อย่างน้อยๆ ไม่ด่วนสรุป ใช้หลักกาลามสูตร อย่างน้อยๆ มีสติดูใจเราไปด้วย ดูนอกแล้วก็ดูใน ดูนอกก็ไม่ด่วนสรุปเรียกว่าเพราะใช้หลักกาลามสูตร หรือรู้จักใช้เพื่อเตือนใจให้ไม่ประมาทเรียกว่าดูนอก ส่วนดูในก็เห็นใจที่มันกระเพื่อม ไม่ว่าจะดูนอกดูในถ้าเราดูถูกหมายถึงดูอย่างถูกต้องคือการปฏิบัติธรรม เพราะต้องใช้สติ ต้องใช้ปัญญา ต้องใช้โยนิโสมนสิการ ยังไม่นับถึงการที่ลงไปช่วย ลงไปทำอะไรต้องใช้ธรรมะ เช่นทำมาหากินต้องมีความชื่อสัตย์สุจริต ต้องประกอบสัมมาอาชีวะ จะพูดจะจาอะไรก็ต้องพูดอย่างมีปิยวาจาไม่โกหก พวกนี้ก็เป็นธรรมะเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นสรุปคือ ปฏิบัติธรรม เวลาที่ดีที่สุดคือตรงนี้ ตอนนี้ ไม่ว่าทำอะไรก็ตาม หรือไม่ว่าเจออะไรก็ตาม ปฏิบัติธรรมได้เลย และสถานที่ดีที่สุดคือตรงนี้ ไม่ว่าตรงนี้จะเป็นวัด เป็นบ้าน กลางถนน โรงพยาบาล หรือศาลาสวดศพ ก็ปฏิบัติธรรมได้ สรุปคือปฏิบัติธรรมทำได้ทุกเวลาทำได้ทุกที่ ขอให้ทำก็แล้วกัน แล้วก็เอาที่ปัจจุบันนั่นแหละ ไม่ต้องไปรอถึงวันข้างหน้า ไม่ต้องไปรอถึงสถานที่ข้างหน้า อยู่ตรงไหนทำตรงนั้น อยู่ที่ไหนทำที่นั่นเลย