แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจ แล้วเป็นผู้หญิงเก่งทำธุรกิจหลายอย่าง กิจการแต่ละอย่างเป็นกิจการใหญ่ เธอเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก และจะควบคุมงานทุกอย่างเลย มีลูกก็ไม่วางใจลูก ลูกรับคำสั่งอย่างเดียว ลูกน้องก็มากแต่ลูกน้องมีหน้าที่รับคำสั่ง เธอคิดเอง ตัดสินใจเอง เพราะเชื่อมั่นในความเก่งของตัว และชีวิตเธอค่อนข้างยุ่งเหยิงวุ่นวายเพราะว่าทำงานหลายอย่าง แล้ววันหนึ่งงานโครงการชิ้นหนึ่งเกิดผิดพลาดขึ้นมา กิจการขาดทุนไปหลายสิบล้าน เธอผิดหวังมาก แล้วก็ถึงกับเสียศูนย์เลยเพราะเป็นงานใหญ่โครงการใหญ่ ทำให้เกิดความรู้สึกย่ำแย่ขึ้นมา สุดท้ายกลุ้มอกกลุ้มใจมาก คนบางคนประสบความสำเร็จมามากมาย ไม่รู้จักคำว่าล้มเหลว พอเจอเข้าไปทีเดียวเสียศูนย์ มีบางช่วงที่กลุ้มใจมากๆ นึกถึงการฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่คิดถึงขนาดนั้น ไม่ตัดสินใจขนาดนั้น พอเสียศูนย์เข้าก็เริ่มกลับหันมาไตร่ตรองชีวิต
บังเอิญได้ข่าวว่ามีโครงการหนึ่งเขาเรียกว่ามหาวิทยาลัยชีวิต ชื่อมหาวิทยาลัยชีวิตแต่ไม่ต้องไปสอบเข้า ใครสนใจก็ไปเข้าเรียนได้ เพื่อนอาตมาเป็นวิทยากร เป็นวิชาที่ชวนให้ผู้คนหันมาไตร่ตรองมองชีวิต ส่วนใหญ่คนที่มาเข้าคอร์สนี้เพราะล้วนแล้วแต่มีปัญหาชีวิตทั้งนั้นเลย เขาให้มาดูว่าชีวิตเรามีจุดอ่อนตรงไหน มีข้อบกพร่องอะไรบ้าง เขาเห็นว่าเรามีข้อบกพร่องหลายอย่าง เช่น ใจร้อน เจ้าอารมณ์ แล้วก็ไม่ค่อยได้มีการรู้จักยั้งคิดเท่าไร คอร์สนี้เขาไม่เพียงแต่ให้คนมาไตร่ตรองว่ามีความผิดพลาด มีความบกพร่องอย่างไร แต่เขาให้ทำโครงงานด้วย โครงงานคือทำอะไรก็ได้ที่จะช่วยปรับเปลี่ยนนิสัยพฤติกรรมของตัวที่เป็นปัญหา เอาแค่เรื่องเดียวพอ
ปรากฏว่าเธอพบว่าเธอมีนิสัยไม่ดีอย่างหนึ่ง คือกินข้าวเร็ว โครงงานของเธอคือเคี้ยวข้าวให้ช้าลง ปกติเธอกินข้าวมื้อหนึ่งไม่ถึง 5 นาที โดยเฉพาะข้าวเช้า ทำไมกินเร็ว รีบกินเพราะว่ามีงานรออยู่ มีงานมากมายเลย เดี๋ยวประชุมบ้าง เดี๋ยวติดต่อลูกค้าบ้าง สารพัด ก็เลยมักจะกินเร็วมาก คราวนี้เธอรู้ว่านี่คือปัญหาของเธอ ก็เลยเอาโครงงานนี้เสนออาจารย์ แล้วก็มาเสนอหน้าชั้นทุกวันอาทิตย์ เคี้ยวข้าวให้ช้าลง ก็ดูน่าขำเคี้ยวข้าวให้ช้าลงกลายเป็นโครงงานของนักศึกษา แต่ทำยาก เพราะว่าทุกมื้อเธอก็จะเผลอกินเร็วอยู่เรื่อย แต่ก็เตือนใจว่าเคี้ยวข้าวให้ช้าลง แล้วเธอพบว่าพอเริ่มเคี้ยวข้าวให้ช้าลงมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้น
อย่างแรกคือ เริ่มรู้สึกว่าข้าวมีรสชาติ ข้าวเปล่าเคือมันหวาน แต่ก่อนไม่รู้รสเลย เพราะอะไร เพราะใจลอย ใจคิดถึงงาน แล้วพอเคี้ยวข้าวช้าลงสักอาทิตย์สองอาทิตย์ ปรากฏว่าโรคที่เธอเป็นอยู่เป็นประจำ เป็นมา 10 ปีแล้วไม่หายเลย รักษาอย่างไรก็ไม่หายคือปวดท้องแล้วก็หายใจไม่เต็มอิ่ม ปรากฏว่าหายไปเลย หายไปเป็นปลิดทิ้งเลย เป็นเพราะแสดงว่าใจเธอไปคิดเรื่องงานเรื่องการ พอคิดเรื่องงานเรื่องการก็เครียด พอเครียดก็เลยหายใจก็มีปัญหา คนเราพอเครียดแล้วการหายใจก็ตื้น ลมหายใจตื้นแล้วก็ถี่ พอเคี้ยวข้าวให้ช้าลง พยายามวางเรื่องการเรื่องงาน หันมาสนใจอยู่กับการเคี้ยวข้าว รับปากกับอาจารย์แล้วว่าจะทำให้ จะเคี้ยวข้าวให้ช้าลง ก็ต้องใส่ใจมีสติอยู่กับการเคี้ยว โรคหายใจไม่เต็มอิ่ม เครียด ปวดท้องก็หายไปเลย
แล้วความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่ตามมาคือ พอเธอเคี้ยวข้าวให้ช้าลงก็มีเวลาอยู่บนโต๊ะนานขึ้น สนใจคนที่กินอาหารร่วมโต๊ะ แต่ก่อนไม่สนใจเลย เคี้ยว กินอาหารไปใจก็ลอยคิดถึงงาน ลูกอยู่บนโต๊ะด้วยก็ไม่สนใจ แต่พอเคี้ยวข้าวให้ช้าลง ต้องเริ่มสนใจผู้คนบนโต๊ะ ซึ่งคนนั้นก็คือลูก ก็เริ่มมีการทักทาย มีการไต่ถาม วันนี้เป็นอย่างไร จะไปทำอะไร สุขสบายดีไหม ปรากฏว่าความสัมพันธ์กับลูกเริ่มดีขึ้น เริ่มดีขึ้นเพราะว่าได้พูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร และสิ่งที่ตามมาคือเริ่มไว้วางใจลูก ตอนหลังพอทำงานก็เริ่มกระจายงานให้ลูก เพราะเริ่มมีความไว้วางใจลูก พอกระจายงานให้ลูกบ้าง ตัวเองก็มีเวลาว่างมากขึ้น เครียดน้อยลง
อีกอย่างหนึ่ง พอพยายามมีสติอยู่กับการกินการเคี้ยว ใจไม่คิดเรื่องงานเรื่องการ เธอก็เริ่มใจเย็นขึ้น การพูดคุยกับลูกน้องก็เริ่มดีขึ้น ฟังลูกน้องมากขึ้น แต่ก่อนมันคิดข้ามช็อตไปแล้ว บางทีใจไม่ได้อยู่กับลูกน้องเลย ใจคิดถึงเรื่องงานเรื่องการ อย่างนี้เรียกว่าไม่อยู่กับปัจจุบัน อยู่ไม่เป็น อยู่ตรงนี้แต่ใจไปคิดถึงข้างหน้า แต่พอเริ่มเคี้ยวข้าวให้ช้าลง นิสัยก็เริ่มเปลี่ยน อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น มีเวลาฟังลูกน้องมากขึ้น ใจเย็นมากขึ้น ความสัมพันธ์กับลูกน้องดีขึ้น เริ่มไว้วางใจลูกน้อง งานก็กระจายให้ลูกน้องทำ ตัวเองก็มีเวลามากขึ้น
พอมีเวลามากขึ้นก็นึกถึงพ่อนึกถึงแม่ แต่ก่อนนี้พ่อแม่ก็ถามว่าเมื่อไรจะมาเยี่ยม เธอก็ตอบว่า ไม่มีเวลาๆ นัดไว้แล้วบางทีก็เลื่อนหรือเลิก เพราะว่างาน อ้างงาน แต่ตอนนี้มีเวลามากขึ้นก็เลยไปเยี่ยมพ่อแม่บ้าง พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัด ตอนหลังไม่ได้แค่เยี่ยมเฉยๆ พาไปเที่ยวด้วยเพราะมีเวลามากขึ้น ปรากฏว่าความสัมพันธ์กับพ่อแม่ก็ดีขึ้น ความสัมพันธ์กับลูกก็ดีขึ้น งานก็เบาลง ความเครียดก็น้อยลง เธอพบแล้วว่าความสุขไม่ได้หายากเลย จริงๆมันก็อยู่ใกล้ๆเรานี่แหล่ะ แล้วก็ทำได้ไม่ยาก แค่เคี้ยวข้าวให้ช้าลง ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงดีๆ หลายอย่างในชีวิตของเธอ เรื่องนี้ต้องขอบคุณการที่เธอเลือกทำโครงการนี้ เพราะว่าปกติคนเราอยากจะทำอะไร แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องไปเสนอหน้าชั้นก็ทำได้ไม่นาน แต่เนื่องจากเธอต้องเขียนบันทึกแต่ละวันแต่ละอาทิตย์ ว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง แล้วต้องเอาไปเสนอหน้าชั้นทุกอาทิตย์ ทำให้ต้องพยายามทำให้ได้อย่างที่รับปากเอาไว้ สิ่งนี้เป็นตัวบังคับแล้วก็เป็นตัวช่วยในเวลาเดียวกัน
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของคนซึ่งชีวิตเปลี่ยนแปลงได้เพียงเพราะว่าเคี้ยวข้าวให้ช้าลง หรือพูดอย่างหนึ่งคือ กินอาหารอย่างมีสติมากขึ้น ที่เธอเคี้ยวข้าวเร็วๆ เพราะใจเธอไม่มีสติ ปากเคี้ยวแต่ใจนึกถึงงาน นึกข้ามช็อตไปแล้ว คนเราแค่ทำอะไรทีละอย่างๆ แล้วก็ทำด้วยความรู้สึกตัว ทำอย่างมีสติ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราได้มากทีเดียว ผลพวงแห่งการมีสติจะค่อยๆกระจายขยายไป จากการที่กินอาหารแล้วมีสุขภาพดีขึ้น อาหารย่อยได้ดีขึ้น ไม่ท้องอืด เพราะมีสติ ไม่เครียด ไม่ฟุ้ง เพราะใจลอยคิดถึงงาน ทีแรกก็มีสติกับการกินข้าวสุขภาพก็ดีขึ้นแล้ว สติหรือความรู้ตัวก็กระจายไปสู่เรื่องอื่น ไปสู่ความสัมพันธ์ของคนในบ้าน ไปสู่ความสัมพันธ์กับลูกน้อง ไปสู่เวลาทำงานทำการก็มีสติมากขึ้น ความรู้ตัวก็กระจายมากขึ้น
เมื่อเช้าพูดไปแล้วว่า ชีวิตคนเราเป็นการต่อสู้ระหว่าง รู้กับหลง ส่วนใหญ่เราปล่อยให้หลงมากินแดน กินพื้นที่ในชีวิตของเรา ในจิตใจของเรา แต่เราสามารถที่จะเปลี่ยนใหม่ ให้ตัวรู้กระจายออกไปสู่พื้นที่ชีวิตของเราเรื่องอื่นๆ จากเดิมรู้ตัวเวลาทำวัตรสวดมนต์ รู้ตัวเฉพาะเวลานั่งสมาธิเจริญสติ ก็ขยายไปสู่การรู้ตัวในกิจวัตรอื่นๆ ของชีวิต เช่น กินข้าวก็รู้ตัว เวลาจะเผลอเคี้ยวข้าวเร็วๆ กินข้าวไวๆ เพราะว่าเป็นนิสัย หรือคิดถึงงานอยากจะให้รีบไปทำงานเร็วๆ มีสติคอยเบรค สติทำหน้าที่เป็นตัวเบรคตัวชะลอเหมือนกัน มีความรู้สึกตัวมากขึ้น และพอมีความรู้สึกตัวจนเป็นนิสัยในการกินอาหาร มันก็จะกระจายขยายไปสู่ความรู้สึกตัวเวลาทำเรื่องอื่นๆในชีวิต
เพราะฉะนั้นพยายามส่งเสริมให้ความรู้ตัวของเราแพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ มีฐานที่มั่น มีชัยภูมิ คือเวลาเราทำวัตรสวดมนต์ เวลาเราเจริญสติ นี่แหล่ะคือชัยภูมิเป็นฐานที่มั่น อย่างน้อยต้องมีสักจุดหนึ่งก่อน แล้วก็จะค่อยๆ ขยายกระจายไป รู้ก็จะชนะหลง ที่ผ่านมาเราปล่อยให้หลงเล่นงานตัวรู้จนกระทั่งสะบักสะบอม เสร็จแล้วชีวิตก็ย่ำแย่ จากคนเก่งผู้หญิงเก่งก็กลายเป็นคนที่แทบจะเสียศูนย์ ไม่อยากจะมีชีวิตเลย เพราะว่าเป็นความยึดติดถือมั่น ความรู้สึกขาดความมั่นใจในตัวเอง แต่พอเริ่มทำความรู้ตัวให้เกิดขึ้น เริ่มจากการกินอาหาร จาก 5 นาที ก็เป็น 10 นาที ให้มีสติให้มีความรู้ตัว แล้วความรู้ตัวก็จะกระจายขยายไปเรื่อยๆ อย่าประมาทความรู้ตัว แม้ทำเพียงเล็กน้อยแต่ทำทุกวัน ทำบ่อยๆ ทำถี่ๆ ก็จะเกิดผลความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นการกินอาหาร เราอย่าไปคิดว่าเป็นเพียงแค่การกินหาอะไรมาใส่ท้องเท่านั้น ยังอาจจะเป็นการเติมสติเข้ามาในใจ เติมความสงบเข้าไปในชีวิตของเราได้ด้วย แล้วก็ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงดีๆ ที่จะตามมา