แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวานได้ข้อความที่อาจารย์ท่านหนึ่งส่งมา เมื่อวานนี้เขาอยู่แถวชานเมืองแล้วเรียกแท็กซี่ นั่งแท็กซี่แล้วจึงรู้ว่าแท็กซี่คันนี้เขียนป้ายติดไว้ที่หน้ากระจกว่า บริการฟรีผู้ที่จะไปสนามหลวง ก็คงจะหมายถึงใครที่จะไปเคารพพระบรมศพ เขาก็จะส่งฟรี ผู้โดยสารก็เลยถามแท็กซี่ว่า ที่จะไปส่งฟรีเฉพาะกรณีที่ผู้โดยสารอยู่ในเมืองหรืออยู่แถวตัวเมืองหรือเปล่า แท็กซี่บอกว่า ที่ไหนก็ได้ พร้อมจะขับไปส่งฟรีโดยไม่คิดเงิน เพื่อนเลยถามว่า แถวชานเมืองก็ได้หรือ อย่างหนูถ้าจะไปสนามหลวง ลุงก็ไม่คิดเงินหรือ แท็กซี่บอกว่า ไม่คิดหรอก ที่ไหนก็ได้ ถ้าจะไปงานสนามหลวง ส่งพรี
แล้วแกก็เล่าว่า เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ว่าจะมีรถฟรีได้ทุกที่ บางครั้งผมเห็นคนแต่งชุดดำดูเรียบร้อยหน่อย ก็จะจอดแล้วไปถามว่าจะไปสนามหลวงหรือไม่ เพื่อนถามต่อไปว่า แล้วลุงทำอย่างนี้นานมาเท่าไร แกนั่งคิดดูแล้วก็บอกว่า 8-9 เดือนแล้ว คือตั้งแต่ที่เริ่มเปิดให้มีการเคารพพระบรมศพ เพื่อนเลยถามต่อไปว่า ตั้ง 8-9 เดือนเชียวหรือ ตอนนี้แท็กซี่ที่เขาส่งฟรีมีน้อยลงแล้ว ลุงยังทำแบบนี้อยู่หรือ แกตอบว่าก็เพราะแท็กซี่มีน้อยนั่นแหล่ะก็เลยยิ่งต้องรีบทำใหญ่หรือยิ่งต้องทำใหญ่ เพราะว่าคนที่จะช่วยพาคนซึ่งบางทีเป็นคนต่างจังหวัดให้ขึ้นแท็กซี่แบบนี้มีน้อยแล้ว บางคนไม่รู้จะไปอย่างไร ถ้าลุงเห็นว่าเขากำลังรอรถอยู่ก็จะไปจอดถามเลย เพื่อนถามต่อไปว่า ถ้าขับจากที่นี่ไปสนามหลวงหลายร้อยนะลุงเพราะอยู่ชานเมือง แกก็ตอบว่าไม่เป็นไรหรอก แก๊สก็ไม่แพงเท่าไร ผมพอมีลูกค้าอยู่บ้าง บางทีไปส่งที่สนามหลวงก็ได้ลูกค้าติดรถมา
และแกก็เล่าว่า ในหลวงทำให้กับเรามากมายเลย แค่ขับรถฟรี 8-9 เดือนนี่ไม่เท่าไรหรอก แล้วแกก็ถามผู้โดยสารว่าหนูไปสนามหลวงบ้างหรือยัง ตอนนี้ได้ข่าวว่าเขาจะปิดการเคารพพระบรมศพเดือนกันยายนนี้แล้ว ผู้โดยสารบอกว่าหนูไปแทบทุกเดือนเลย แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไป ลุงก็บอกเลยว่าถ้าจะไปเมื่อไรโทรบอกลุงได้เลย เดี๋ยวให้เบอร์โทรศัพท์ไป เพื่อนเลยบอกว่าไม่ต้องหรอกเพราะว่าหนูรู้ทางดี ไปคล่องแล้ว บริการคนที่เขาไม่ค่อยรู้ทางดีกว่า แล้วเพื่อนก็ขอถ่ายรูปแท๊กซี่คนนี้ เพื่อที่จะได้บอกต่อๆกันไป เป็นการชื่นชมอนุโมทนาความดี แท๊กซี่คนนี้ชื่อ เสมอ นามสกุล สาลี เป็นคนจังหวัดสุรินทร์
พื้นเพก็คงเป็นคนชนบท และอาจจะเป็นชาวนาชาวไร่ด้วยซ้ำ คนชนบทหลายคน พอถึงเวลาทำนาทำไร่บางทีไม่ได้ค่อยได้เงินเท่าไรก็มาเป็นแท๊กซี่ เรื่องนี้ก็เป็นเป็นตัวอย่างคนทำดี ซึ่งน่าอนุโมทนามาก อย่างนี้ที่เรียกว่าเป็นการทำบุญ การทำบุญไม่ได้จำเป็นว่าต้องมาวัด เป็นการทำบุญที่ไม่ได้ใช้เงินเลยก็ได้ แต่ว่าต้องเสียสละทั้งเวลา เสียสละทั้งค่าแก๊ส และเป็นการทำบุญที่ไม่คิดจะไปโฆษณา หรือไปประกาศว่าฉันทำอย่างนั้นอย่างนี้
เดี๋ยวนี้หลายคนเวลาจะทำบุญ ต้องถ่ายรูปหรืออัพขึ้นเฟส เป็นการประกาศว่าฉันทำบุญแล้ว เพื่อนๆช่วยกด Like ให้หน่อย แต่ก็มีหลายคนที่ทำบุญแบบปิดทองหลังพระ เป็นการทำบุญที่คนไม่ค่อยนึกถึงเท่าไร แต่ควรทำกันมากๆ และก็น่าคิดว่าแท๊กซี่คนนี้ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเท่าไร ที่จริงอาจจะพออยู่พอกิน หรืออาจจะถึงขั้นยากจนก็ได้ แต่ก็มีน้ำใจ ได้ทราบว่าแท๊กซี่ที่บริการส่งฟรีก็มีมาก ผ่านมา 8-9 เดือนแล้วก็ยังมีคนมีน้ำใจแบบนี้อยู่ คนยิ่งจนยิ่งมีน้ำใจ
อาจจะเคยได้ข่าวว่า กระเป๋ารถเมลล์ก็ดี หรือพนักงานรักษาความปลอดภัยก็ดี เจอกระเป๋าในนั้นมีเงินเป็นแสนเป็นล้าน ยังอุตส่าห์หาคืนส่งเจ้าของ ขณะที่คนรวยยิ่งรวยมากเท่าไรบางทีน้ำใจก็ยิ่งน้อยลง จะว่าไปแล้วเป็นเพราะมีน้ำใจน้อยนั้นถึงรวย เพราะว่าถ้าคนมีน้ำใจเขาจะมีการสละ มีการให้ทาน แบ่งปันอยู่เนืองๆ จึงไม่ค่อยร่ำรวยเท่าไร แบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรเป็นแรงบันดาลใจ หรือเป็นแบบอย่างให้กับพวกเรา ว่าเวลาทำความดีนั้น ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนเราก็สามารถทำดี หรือทำบุญได้ทั้งนั้น
เมื่อวานนี้มีคนส่งเรื่องราวของอีกคนหนึ่งมาให้ เรื่องนี้เรียกว่าน่าประทับใจมาก แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสัก 70-80 ปีที่แล้ว สมัยประมาณปี ค.ศ. 1940 คือสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณ 75 ปีได้ เป็นเรื่องของชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อ ชิอุเนะ ซึกิฮาร่า เรื่องราวของเขาน่าประทับใจมาก เขาเป็นกงศุลใหญ่ที่ลิทัวเนีย ลิทัวเนียตอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ตอนนั้นรัสเซียกำลังทำสงครามกับเยอรมัน ที่จริงเยอรมันทำสงครามกับรัสเซียมากกว่า บุกเข้ามาจะยึดครองรัสเซีย แล้วรัสเซียก็สู้แต่ทำท่าจะแพ้ คนที่ลิทัวเนียจำนวนมากเป็นชาวยิว และคนยิวรู้ว่าเยอรมันรังเกียจชาวยิวมาก และถ้าเยอรมันยึดครองรัสเซียเมื่อไร ชาวยิวในลิทัวเนียรวมทั้งในรัสเซียก็ตายแน่ เขาไม่รู้จะทำอย่างไร เลยต้องหาทางลี้ภัย
ชิอุเนะ เล่าว่า ตื่นขึ้นมาเช้าวันหนึ่งพบว่ามีคนลิทัวเนียเชื้อสายยิวประมาณ 200 คน รุมล้อมอยู่หน้าออหยวน ที่หน้าบ้านเขา ถามว่ามาทำอะไร พวกเขาบอกว่ามาขอวีซ่า (Visa) เพราะว่าหากอยู่ในลิทัวเนีย มีโอกาสตายแน่ถ้าเยอรมันครองรัสเซียได้ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีพาสปอร์ต (Passport) ไม่มีเอกสารอะไรเลย ชิอุเนะ จึงโทรศัพท์ติดต่อไปถามทางรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ ว่าจะทำอย่างไรดี กระทรวงการต่างประเทศก็ไม่ยอม ถ้าไม่มีเอกสารให้วีซ่าไม่ได้ แต่ชิอุเนะรู้ว่าหากไม่ให้วีซ่าคนพวกนี้ตายแน่ เขาก็เลยยอมทำผิดกฏระเบียบให้วีซ่าทุกคนเลย จะมีพาสปอร์ตหรือไม่มีพาสปอร์ต ก็ให้วีซ่า
สมัยก่อนจดหมายให้วีซ่าต้องกรอกเอง ต้องเขียนเองด้วยมือ ไม่ใช่มีแบบฟอร์ม ชิอุเนะกับภรรยานั่งกรอกนั่งเขียนจดหมายให้วีซ่า เรียกว่าทั้งวันแล้วก็กลางคืนด้วย ประมาณ 18-20 ชั่วโมง วันหนึ่งได้แค่ 200 ใบ และปรากฎว่าคนที่มาขอวีซ่าเป็นยิวไม่ใช่มีแค่ 200 คน มาทุกวันๆ ตอนหลังมาเป็นพันคน แกก็พยายามเขียน พยายามทำเวลาเพราะว่าเวลาเหลือน้อยลง แถมรัสเซียยังประกาศปิดสถานฑูตอีก แกยังไม่ยอมปิดสถานฑูต ไม่ยอมปิดสถานกงศุลขอต่อรองขออีก 20 วัน ต่อรองทำไม เพื่อจะได้มีเวลาออกวีซ่าวันละ 200 วันละ 200 จนกระทั่งครบกำหนดว่าต้องปิดสถานฑูต และรัฐบาลก็เรียกให้กลับ สุดท้ายเขาก็ยังออกวีซ่าไม่เสร็จ คนที่มารอมีมารอเป็นร้อย เขาก็เขียนทำวีซ่าขณะที่นั่งรถไปสถานีรถไฟ พอไปถึงสถานีรถไฟก็มอบจดหมาย มอบวีซ่าให้ แต่คนยังมีอีกมาก แต่ทำอย่างไรดีขึ้นรถไฟไปแล้ว แกทำอย่างไรรู้ไหม แกเขียนเซ็นชื่อในกระดาษเปล่า แล้วก็โยนให้คนที่รอวีซ่าอยู่ไปเขียนเองไปกรอกเอง แล้วก็โยนตราเรียกว่าประทับตราของกงศุลให้ด้วย บอกไปปั๊มเองเลย คือแกช่วยจนนาทีสุดท้าย
และสุดท้ายปรากฎว่า สิ่งที่แกทำช่วยคนได้ประมาณ 6,000 คน ประมาณว่าคนที่สามารถลี้ภัย รอดพ้นเงื้อมมือของนาซีประมาณ 6,000 คน คือถ้าอยู่ลิทัวเนียคงจะตาย และเรื่องราวของเขาก็ไม่เป็นที่รู้จัก ตัวชิอุเนะตอนหลังต้องลาออกจากกระทรวงต่างประเทศ เพราะทำผิดกฎระเบียบร้ายแรงหลายข้อเหลือเกิน มีที่ไหนให้วีซ่ากับคนที่ไม่มีพาสปอร์ต แล้วแถมยังเซ็นกระดาษเปล่า และก็โยนตราประทับตรากงศุลไปให้ แบบนี้ผิดกฎระเบียบร้ายแรงมากเลย เพราะฉะนั้นเขาก็ถูกกดดันให้ลาออก แต่เขาก็ยินดี เพราะว่าลึกๆเขาคงได้ภูมิใจว่าได้ช่วยหลายคน และคนเหล่านี้เไม่รู้ว่าชะตากรรมเป็นอย่างไร จนกระทั่งภายหลังสงครามโลกสิ้นสุดลง เขาจึงได้รู้ว่าหลายคนที่เขาช่วยรอดชีวิตไปได้ คนอย่างนี้น่าประทับใจมากเพราะว่ายอมที่จะถูกไล่ออก คือรู้อยู่แล้วว่าถ้าทำแบบนี้จะต้องถูกไล่ออกหรือลงโทษแน่ แต่ก็ทำเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นเอาไว้
คนแบบนี้หายากโดยเฉพาะในญี่ปุ่น เพราะคนญี่ปุ่นมักจะเป็นคนที่เคร่งระเบียบมาก และที่ไหนๆก็เป็นอย่างนั้นคือการเคร่งระเบียบมาก ขอให้ถูกระเบียบไว้ก่อน ยิ่งข้าราชการไทยก็เหมือนกัน ยิ่งถ้าผิดระเบียบไม่ได้เลย ถึงแม้จะช่วยใครก็ตามขอให้ถูกระเบียบไว้ ใครจะเดือดร้อนไม่เป็นไร ถูกระเบียบไว้ก่อน วิสัยของข้าราชการเป็นแบบนั้น เพราะถ้าไม่ถูกระเบียบ เดี๋ยวเดือดร้อน
แต่ชิอุนะไม่สนใจ กระทรวงต่างประเทศสั่งว่าไม่ให้ทำ แกก็ทำ เพราะรู้ว่าเดิมพันมันสูงมาก คือช่วยชีวิตคน อย่างนี้คือเรียกว่าเป็นการทำบุญที่น่าประทับใจมาก ตอนหลังพอเขาตาย วีรกรรมของเขาจึงเป็นที่รู้จักว่าเขาได้ช่วยคนได้มากเลย มีการสร้างอนุเสาวรีย์ให้กับเขาที่อิสราเอล ที่ลิทัวเนีย และแม้กระทั่งที่ญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักตอนที่เขาตายไปแล้ว เรียกว่าเป็นวีรบุรุษนิรนาม คือทำความดีแต่ไม่มีใครรับรู้ ซึ่งไม่มีใครรับรู้แต่ตัวเองรับรู้เองว่า ได้ทำตามมโนธรรม ผิดระเบียบแต่ถูกมโนธรรม สิ่งนี้สำคัญกว่า