แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาได้อ่านจะเรียกว่าเป็นข่าวหรือผลการวิจัยของอเมริกา เขาบอกว่าเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรสหรัฐอ่านหนังสือไม่ค่อยคล่อง อ่านหนังสือไม่ค่อยคล่องก็หมายความว่าถ้าจะอ่านฉลากยา หรือจะอ่านอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราวไม่ค่อยสะดวกเกือบครึ่งแล้ว คงประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ได้ ในจำนวนนี้ 20 เปอร์เซ็นต์ มีความรู้ความสามารถในการอ่านต่ำกว่าเด็กประถม 5 ในอังกฤษก็มีปัญหาคล้ายๆกัน คือคนเดี๋ยวนี้ความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ลดน้อยถอยลงไปมากเลย นี่ขนาดอเมริกา ไม่ต้องพูดถึงเมืองไทยซึ่งการศึกษากำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ ย่ำแย่
สาเหตุที่ความสามารถในการอ่านหนังสือตกต่ำไปมากเลย ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราอ่านหนังสือกันน้อยลง เพราะเหตุว่ามีคอมพิวเตอร์ มีโซเชียลมีเดีย เดี๋ยวนี้เราดูกันมากกว่าอ่าน ความรู้มากมายอยู่ในรูปของคลิปวีดีโอ เช่น YouTube เดี๋ยวนี้อยากจะรู้เรื่องอะไร ไม่ต้องอ่านหนังสือก็ได้ ไปเปิดดูคลิปมีแทบทุกเรื่อง มีกระทั่งวิธีการทำระเบิดปรมาณู และวิธีการทำระเบิดนานาชนิดก็หาได้จาก YouTube ความรู้ไปปรากฏอยู่ในรูปของคลิปวีดีโอก็มาก แล้วก็ความจำเป็นในการอ่านมีน้อยลง รวมทั้งความอยากอ่านก็มีน้อย เพราะว่าเคยใช้เวลาจำนวนมากไปกับการอยู่หน้าจอ จะทำอะไรก็แค่คลิก แค่ลูบ หรือแค่ปาด ก็เห็นภาพ ข้อความก็มีข้อความสั้นๆ ข้อความยาวๆ 2-3 หน้าคนไม่อ่านแล้ว ก็จะอ่านแค่ 2-3 บรรทัด หรือ 2-3 ย่อหน้า ฉันทะในการอ่านมีน้อยลง เดี๋ยวนี้หลายเพจหรือหลายเวป เวลาจะรายงานข่าวเขาก็จะมีการเขียนข้อมูลกำกับว่า บทความชิ้นนี้หรือข้อความเช่นนี้ใช้เวลากี่นาที 2 นาที 3 นาที ถ้าเขาบอกว่า 5 นาทีคนก็ผ่านแล้ว ยุคนี้ความจำเป็นในการอ่านดูเหมือนมีน้อยลง และเวลาที่จะให้กับการอ่านก็มีน้อยลง ความสามารถในการอ่านก็เลยลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ
ยังไม่ได้พูดถึงการเขียน การเขียนยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ แล้วสมัยนี้จะติดต่อสื่อสารกับใครไม่ต้องใช้การเขียนแล้ว ใช้การพูด พูดทางโทรศัพท์ พูดผ่านโทรศัพท์มือถือ ผ่านโปรแกรม Social Media, Facebook, Line และเดี๋ยวนี้มีแอปฯ (Application) ที่สามารถจะสั่งได้ด้วยเสียง ใน Facebook ใน Line ถ้าเราไม่มีเวลาเขียน หรือเราไม่สะดวกที่จะเขียน เราก็พูด จะมีโปรแกรมที่เปลี่ยนคำพูดเราให้เป็นข้อความ มันก็ฉลาด เราพูดภาษาไทยอักษรไทยก็ปรากฎ เราพูดภาษาฝรั่งอักษรฝรั่งก็ปรากฎ เช่นใช้คำว่า คนเดี๋ยวนี้อีโก้สูง คำว่าอีโก้จะเป็นภาษาอังกฤษ ที่เหลือเป็นภาษาไทย มันแยกได้ แต่มันยังงงๆ เวลาบอกว่าวัดป่าสุคะโต หรือปฏิจจสมุปบาท ยังงงเลยว่าอะไร หรืออริยสัจสี่อาจจะคล่องแคล่วขึ้นมาเพราะคนใช้มาก ถ้าโปรแกรมทำงานได้ดีขึ้นไวขึ้นคนจะเขียนหนังสือไปทำไม ต่อไปจะเขียนบทความก็พูดใส่แอปฯ จะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือเลย อย่างนี้ก็ดูเหมือนว่าสะดวกสบายดี เร็ว แต่ว่าข้อเสียคือ ทำให้ทักษะในการอ่านออกเขียนได้ของเราลดน้อยถอยลง
ถึงแม้โลกจะพัฒนามามาก เราจะใช้เสียงสั่งโปรแกรมต่างๆ แต่การอ่านออกเขียนได้ก็ยังสำคัญ เพราะว่าความรู้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปหนังสือ หนังสือที่เราจะถอดความรู้มาได้ต้องอ่านเป็นก่อน หนังสือที่บรรจุความรู้ที่ลุ่มลึกยังมีอยู่มากที่ยังถ่ายทอดออกมาเป็นคลิปวีดีโอไม่ได้ ฉะนั้นคนเราถ้าไม่มีความสามารถในการอ่าน หรืออ่านไม่คล่อง การที่จะมีความรู้งอกเงยก็ยาก รู้แต่เรื่องพื้นๆ คนสมัย 2-300 ปีก่อน เขาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เขายังอยู่ได้ทำมาหากินได้ แต่จะให้เขาปรับตัวเข้ากับโลกสมัยใหม่ก็ยาก สมัยนี้ถึงแม้เขาบอกว่าเมืองไทยจะอยู่ในยุค 4.0 หรือว่าคลื่นลูกที่ 3 การอ่านออกเขียนได้ยังเป็นเรื่องสำคัญ เรานึกอะไรได้จะอัดใส่เครื่องบันทึกเสียงก็ไม่ดีเท่ากับเราเขียน เพราะการเขียนทำให้เราได้ครุ่นคิดไปด้วย
ตอนนี้เป็นปัญหามากสำหรับนักเรียนในเมืองไทย การอ่านออกเขียนได้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ จบป. 6 แล้วอ่านไม่ได้เลยก็มีมาก เขียนก็เขียนได้แต่ชื่อของตัวเอง แล้วก็จะเป็นอย่างนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปจะลามไปถึงเด็กในเมือง แล้วก็จะค่อยๆไต่ระดับ จากตั้งแต่ป. 6 ไปถึงเด็กม. 1 ม. 2 อ่านออกก็ไม่ค่อยคล่อง เขียนก็ไม่ค่อยได้ แล้วจะไปทำมาหากินอย่างไร เพราะว่ายุคนี้ก็ยังต้องใช้การอ่านออกเขียนได้เป็นเครื่องมือในการทั้งหาความรู้ และการประกอบวิชาชีพ ฉะนั้นเดี๋ยวนี้ต้องกลับมาสู่เรื่องพื้นฐานเลย ยิ่งจำเป็นมาก เขาเรียกว่า Back to basic จะต้องอ่านหนังสือกันให้คล่องขึ้น เขียนให้ไวขึ้น สะดวกขึ้น หรือคล่อง
แต่แค่เรื่องเดียวอ่านออกเขียนได้ยังไม่พอ ต้องคิดเป็นด้วย คิดเป็นคิดเก่ง ไม่ใช่ท่องเอา เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาของเด็กไทยเหมือนกัน รวมทั้งผู้ใหญ่ไทยด้วย เดี๋ยวนี้จะให้เขาตั้งคำถาม แค่ตั้งคำถามยังถามกันไม่ค่อยเป็นเลย นึกไม่ออกว่าจะถามอะไร ฟังมาเป็นชั่วโมง ไม่ว่าจะฟังธรรมะ หรือฟังคำบรรยาย พอบอกว่าลองตั้งคำถาม แม้แต่คิดคำถามขึ้นมาก็ยังคิดไม่ออก หรือไม่สามารถประกอบเรียงคำเป็นประโยคคำถามได้ แค่นี้ก็แสดงว่าแย่แล้ว สะท้อนว่าคิดไม่เป็น รวมทั้งการเรียบเรียงถ้อยคำก็ทำไม่ค่อยได้ เพราะว่าขาดความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ นี้สำคัญมาก
คิดเป็นก็ยังไม่พอ ต้องรู้จักรู้ทันความคิดด้วย เพราะว่าความคิดของเราที่คิดๆกันมา อาจจะเป็นการปรุงแต่งของกิเลสก็ได้ กิเลสก็หาเหตุผล แล้วก็ชักชวนให้เราเผลอให้เราหลง คนที่ทำชั่ว ผิดศีล ล้วนแล้วแต่มีเหตุผล ดูเหมือนว่าเขาทำด้วยความอยาก ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ คือความกลัว แต่จะมีเหตุผลมารองรับสนับสนุนความอยากหรือกิเลสนั้นด้วย เช่นคอรัปชั่นเพื่อจะเอาเงินไปช่วยเหลือประเทศชาติ จะได้ไปสร้างพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง มีฐานประชาชนที่กว้างขวาง ก็ว่าไป นักการเมืองอ้างเหตุผลแบบนี้ในการคอรัปชั่นเพื่อชาติ หรือไม่ก็คอรัปชั่น โกงเพื่อจะได้เอาเงินไปเลี้ยงครอบครัว บางคนบอกด้วยจะได้หายจน ความจนน่ากลัวมาก แต่ที่จริงตัวเองไม่ได้กลัวจน แต่กลัวไม่รวยมากกว่า ที่ชีวิตความเป็นอยู่เรียกพ้นจากความจนไปนานแล้ว แต่ยังรวยไม่พอต่างหาก ที่บอกว่ากลัวจนแต่ที่จริงไม่ใช่แล้ว กลัวไม่รวยมากกว่า หรือกลัวว่าจะรวยน้อยกว่าคนอื่นมากกว่า กลัวว่าจะรวยน้อยกว่าเพื่อนบ้านหรือคนร่วมรุ่น
กิเลสหาเหตุผล หาข้ออ้างที่สวยหรูมาเพื่อให้เราทำชั่ว ผิดศีล เพราะฉะนั้นคิดเป็นยังไม่พอสำหรับคนที่คิดเป็น แต่ที่คิดก็คิดเพื่อไปเพื่อสนองกิเลส ต้องรู้ทันกิเลสด้วย รู้ทันความคิด รู้ทันกิเลสที่ปรุงแต่งความคิด คิดเก่งไม่พอต้องวางความคิดได้ด้วย เพราะคนที่คิดเก่ง คิดจนหัวแตกคิดจนบ้าก็มี เพราะว่าไม่รู้จักวางความคิด หรือหยุดคิดไม่เป็น เรื่องนี้เป็นพื้นฐานเหมือนกันที่มักจะถูกมองข้ามไป เราสอนแต่ให้คิดเก่งคิดเป็นแต่ไม่รู้ทันความคิด แล้วก็วางความคิดไม่เป็น แบบนี้เรียกว่าเอาตัวไม่รอดถ้าเป็นอย่างนั้น
อย่างมีคำพูดเป็นสำนวนว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ที่เอาตัวไม่รอดก็เพราะว่าโดนความคิดหลอก ไปเชื่อความคิดทุกอย่าง ทั้งๆที่เป็นความคิดที่ถูกชักใยด้วยกิเลส ด้วยอวิชา หรือด้วยความหลง ด้วยอารมณ์ที่เป็นอกุศล เรื่องนี้ก็เป็นทักษะพื้นฐานที่เราต้องมี ต้องสอนตั้งแต่เด็กเลยว่าอ่านออกเขียนได้ดีแล้ว คิดเป็นดีแล้ว แต่ต้องรู้ทันความคิดด้วย คิดเก่งดีแล้วแต่ต้องรู้จักวางความคิดด้วย สิ่งนี้เป็นพื้นฐานของการที่จะอยู่ในโลกนี้ แล้วก็อยู่ท่ามกลางผู้คนอย่างมีความสุข รวมทั้งอยู่กับตัวเองก็มีความสุขด้วย
แต่ที่พูดมานี้จะหวังเกินไปไหม เพราะว่าแม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานง่ายๆ อ่านออกเขียนได้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอดในโลกนี้ เดี๋ยวนี้ขาดแคลนกันมากแล้ว มีสถิติพบว่า คนที่ในอเมริกา 2 ใน 3 ของคนที่ความรู้ต่ำกว่าระดับต่ำป. 4 หรือความรู้แค่ระดับประถมจำนวน 2 ใน 3 ติดคุก หรือไม่ก็ต้องอยู่ได้ด้วยสวัสดิการของรัฐ แปลว่าอะไร แปลว่าความสามารถในการอ่านออกเขียนได้สำคัญมากในการที่จะทำมาหากินได้ หรือเลี้ยงตัวให้อยู่รอดได้ ถ้าความรู้หรือทักษะในการอ่านออกเขียนได้ตกต่ำมาก ทำมาหากินไม่ได้ก็ต้องเป็นโจรเลย ไปลักขโมยก็ต้องติดคุก หรือไม่ก็ต้องแบมือขอเงินจากรัฐสวัสดิการ นั่นเป็นเมืองนอก เมืองไทยกำลังจะไปสู่จุดนั้น คือถ้าอ่านไม่คล่องเขียนไม่ได้ ก็ยาก สุดท้ายเข้าสู่วังวนของอบายมุข เช่น เล่นการพนัน ค้ายา หรือไม่ก็ลักขโมย หรือมิฉะนั้นก็โกง คอรัปชั่น