แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อน มีข่าวที่ประเทศออสเตรเลีย หญิงสาวอายุ 18 ปี ลักเล็กขโมยน้อย ก็เลยถูกจับ ถูกจับก็ไม่ได้อยู่ในคุก แต่ให้ไปอยู่สถานควบคุมพฤติกรรม ถ้าเรียกแบบภาษาบ้านเรา ก็เรียกว่าที่ดัดสันดาน สถานคุมประพฤตินี้ เขาไม่ค่อยได้เข้มงวดกวดขันเหมือนคุกหรือเรือนจำ เด็กคนนี้ก็สามารถจะเล็ดลอดหนีออกไปได้ สถานีตำรวจก็เลยออกหมายจับ ก็เอาภาพที่ถ่ายตอนเธอถูกจับได้ คล้ายๆ เป็นภาพถ่ายแบบบัตรประชาชนไปติดไว้ที่หมายจับ แล้วก็เผยแพร่ไป ไม่รู้ว่าทั่วหรือกว้างขวางแค่ไหน พวกสถานีโทรทัศน์ก็ให้ความร่วมมือ เผยแพร่หมายจับนั้นด้วย ก็คงจะแชร์ไปอย่างกว้างขวาง
ผู้หญิงคนนั้นชื่อ“เอมมี่” เธอไปเห็นหมายจับ แล้วก็ภาพของเธอที่เผยแพร่ตามสถานีโทรทัศน์ ก็รู้สึกว่าไม่พอใจ เพราะว่าเป็นภาพที่เธอไม่ได้สะสวยอะไรเลย ไม่ได้แต่งหน้าและก็หน้าบึ้ง ผมเผ้าก็ไม่ได้จัดให้สวย เธอก็ไม่มีความสบายใจ ก็เลยแจ้งไปทางสถานีตำรวจ แล้วก็สถานีโทรทัศน์ว่าให้เปลี่ยนภาพหน้าเธอ เอาภาพจากเฟสบุ๊ก ที่เขาเรียกว่าภาพโปรไฟล์ที่ขึ้นเฟสบุ๊กเอาไปแทน เพราะว่าเป็นภาพที่เธอถ่ายอย่างสวยงาม แต่งหน้าแต่งตา ทำผม ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้กว่าจะคัดเลือกเอาขึ้นเฟสบุ๊ก ใช้เวลานานเท่าไร ปรากฏว่า วันรุ่งขึ้นตำรวจก็จับตัวเธอได้เลย เพราะว่ารู้เบาะแสจากการที่เธอแจ้งไปทางสถานีโทรทัศน์ แจ้งไปทางสถานีตำรวจ คือเดี๋ยวนี้เขาเช็คได้ว่า คนส่งข้อความจากทางไหน อยู่ที่ไหน อันนี้ก็เป็นอุทาหรณ์ว่า ถ้าหากว่าเธอไม่ไปยึดติดกับหน้าตาของตัว ก็คงจะไปกบดานได้ ตำรวจก็หาตัวเธอไม่ได้ แต่พอเธอโผล่มาประกาศให้สถานีตำรวจ สถานีโทรทัศน์เปลี่ยนรูปภาพหน้าของเธอ เขาก็เลยรู้ว่าเธออยู่ไหน
อันนี้ก็เรียกว่าเป็นเพราะความหวงแหนหรือว่าห่วงภาพลักษณ์ของตัวเอง อยากให้ตัวเองหน้าตาดูสะสวย ลืมไปว่าทำแบบนี้แล้ว ตำรวจก็จะจับได้ อันนี้เขาเรียกว่าลืมตัว ลืมคิดไป ที่ลืมคิดก็เพราะว่ามันทนไม่ได้ ที่เห็นหน้าตาของตัวเองเผยแพร่ไปตามที่ต่างๆ มันไม่สวย ซึ่งคนที่ฉลาด เขาจะรักอิสรภาพตัวเองมากกว่า เขาจะไม่กระโตกกระตากไปเปิดตัว หรือว่าไม่ไปติดต่ออะไรกับตำรวจ เพราะรู้ว่าพอติดต่อ เดี๋ยวตำรวจก็จะรู้เบาะแสที่มาได้ อันนี้ก็เป็นปัญหาของคนสมัยนี้ คือว่าไปยึดติดกับหน้าตาตัวเองมาก อยากให้หน้าตาตัวเองดูสวย ถ้าเป็นผู้ชายก็ให้ดูหล่อ ถ้าเห็นคนอื่นเอาภาพของตัวเองที่ไม่สวยไปเผยแพร่ก็ทนไม่ได้ แทนที่จะอยู่เฉย ก็ต้องลุกขึ้นมาโวยวาย ก็เลยเสร็จตำรวจไป
การยึดติดในความสวยงาม หน้าตาของตัวเองนี่ มันทำให้คนพลั้งเผลอ หรือว่าหลงลืม หลงตัวไปมากมาย บางคนก็ไม่สนใจ อะไรก็ตามที่ทำให้ตัวเอง หน้าตาของตัวเองสะสวยก็เอาทั้งนั้น มียาอะไรที่จะทำให้ดูผอมเพรียวบาง ก็ไปหาซื้อมา ไม่ว่าแพงแค่ไหน และบางทีก็ไม่สนใจว่ามันอันตรายหรือเปล่า คนที่ตายเพราะว่ากินยาลดความอ้วนที่หมอก็ไม่ได้อนุญาตนหรือว่าไม่ผ่านการรับรอง นี่ก็มีมาก ขายกันตามอินเตอร์เน็ต เดี๋ยวนี้ก็แพร่หลายทั่วไป แล้วเดี๋ยวนี้ทางอินเตอร์เน็ตก็มีเว็บไซต์ต่างๆ มากมายที่เชิญชวนให้ผู้คนหันไปปรุงแต่งหน้าตาของตัว รูปร่างของตัว ที่จริงไม่ใช่เฉพาะแต่ในเว็บไซต์อินเตอร์เน็ตนะ สื่อมวลชน โฆษณาในโทรทัศน์ต่างๆ ก็เป็นกันไปทั่ว เป็นความนิยมของผู้คนไปแล้ว ผู้คนก็เลยไม่มีความสุขเท่าไร เพราะว่ารู้สึกว่าตัวเองอ้วนไปบ้าง หน้าตาไม่ขาวหมดจดบ้าง รักแร้ไม่ขาวบ้าง มันคล้ำไปบ้าง อยู่ไม่มีความสุข อะไรที่ทำให้ตัวเองมั่นใจว่าหน้าตาจะดี ก็ไปเอาไปหามากิน
เมื่อปี สองปีก่อน ก็เคยมีข่าวว่าวัยรุ่นหนุ่มสาวในอเมริกาไปแห่กันไปซื้อ ก็ไม่ถึงกับแห่ แต่ทำกันหลายคน คือ ไปซื้อไข่พยาธิมา ไข่พยาธิตัวแบน ซื้อมาทำอะไร ซื้อมากิน เพราะว่าอยากจะผอม อยากจะเพรียว อยากจะบาง ไปเห็นคนที่เขามีพยาธิแล้วเขาร่างกายผ่ายผอม ไม่อ้วน อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เลยไปซื้อมา มีขายนะ ไข่พยาธินี่เขาใส่เป็นแคปซูล กินเข้าไปแล้วเดี๋ยวไข่พยาธิก็ออกมาเป็นตัว อันนี้เรียกว่าเห็นแก่ความสวยงามจนลืมสุขภาพไป พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้สละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต ที่จริงท่านบอกว่า “สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต” แต่เดี๋ยวนี้ผู้คนยอมสละชีวิตเพื่อให้อวัยวะมันดูดี ให้รูปร่างหน้าตามันดูดี ยอมไปผ่า บางทีไปผ่าตามที่ที่ราคาถูกๆ เพราะไม่ค่อยมีเงิน หน้าตาก็พังไป เสริมทรงโดยเอาซิลิโคนยัดใส่เข้าไป มันก็แตกหรือว่าเป็นมะเร็ง อันนี้เรียกว่ายอมสละชีวิตเพื่อรักษาอวัยวะ มันสวนทางกันแล้ว
การหลงติดในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง ก็เป็นส่วนหนึ่งของการหลงติดในตัวตน บางคนอาจจะไม่ได้ติดในเรื่องหน้าตา แต่ว่าอาจจะหลงตัวว่า ฉันเป็นคนดี คนเก่ง อันนี้เป็นเรื่องของอัตตา ภาษาพระนี่เรียกว่า“มานะ” หรือความอยากนี้ก็เรียกว่าเป็นตัณหาชนิดหนึ่งก็ได้ เรียกว่า“ภวตัณหา” ภวตัณหานี่ก็เป็นกันมาก บางคนก็มีมากบ้างน้อยบ้าง เป็นกันคนละแบบ คนเก่งก็หลงตัวว่าฉันเก่ง อยากจะให้คนยกย่องนับถือ พอหลงตัวลืมตนเข้าบางทีมันก็ทำความโง่ แสดงความโง่ออกมา อาจจะไม่ได้แสดงความโง่อย่างผู้หญิงคนที่ชื่อเอมมี่ แต่ว่าอาจจะแสดงความโง่อีกแบบหนึ่ง
มีนักเขียนชาวอินเดียคนหนึ่ง ก็เพิ่งตายไปซัก 10-20 ปี ที่ผ่านมา แกเป็นนักเขียนเรื่องสั้นที่มีชื่อมาก ผลงานก็มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งชื่นชมกันมาก พอชื่นชมไปชื่นชมมา แกก็คิดว่าฉันเป็นนักเขียนที่เก่งที่สุดในอินเดีย บางทีก็ไปเปรียบเทียบตัวเองกับนักเขียนชาวอเมริกันที่ได้รางวัลโนเบล นักเขียนคนนี้ คือ ร.ก.นารายัน เป็นนักเขียนเรื่องสั้น ก็มีแปลเป็นไทยอยู่หลายเล่ม เวลาคุยกับแก สองต่อสอง แกก็ดูปกติธรรมดา แต่พอเวลาเจอนักเขียนด้วยกัน แกจะรู้สึกว่าฉันต้องได้รับการปฏิบัติดีกว่าคนอื่น เพราะว่าฉันเป็นนักเขียนที่มีชื่อที่ดังที่สุดในอินเดีย มีคราวหนึ่งได้รับเชิญไปอภิปรายที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ของอินเดียระดับชาติ ก็เชิญนักเขียนไปหลายคน พออภิปรายจบทางสถานีก็จะให้ค่าตอบแทน ก็ให้ค่าตอบแทนเท่ากันทุกคนเพราะว่าพูดใช้เวลาพอๆ กัน ใช้เวลาเท่าๆกัน แกไม่ยอม แกบอกว่าฉันเป็นนักเขียนที่ดัง ดังที่สุดในอินเดีย ฉันต้องได้มากกว่า เจ้าหน้าที่ของสถานีโทรทัศน์บอกว่าทำไม่ได้ เพราะว่าระเบียบมีมาอย่างนี้ มีระเบียบอัตราการให้ค่าตอบแทน ต้องให้เท่ากัน แกก็ไม่ยอม หัวฟัดหัวเหวี่ยง จะให้เท่าคนอื่นไม่ยอม จะให้ฉันเหมือนกับคนอื่นไม่ได้ ต่อรองไปต่อรองมา แกบอกว่าให้ฉันมากกว่าคนอื่น 1 รูปี ขอให้ได้ชื่อว่ามากกว่าคนอื่นก็แล้วกัน ให้มากกว่า 1 รูปี ก็แค่ 50 สตางค์ก็เอา อันนี้เป็นการแสดงความโง่ออกมา ก็คือว่าไปยึดติด ไปหลงในความเก่งของตัว จึงเรียกร้องให้คนอื่นปฏิบัติต่อตนเองสูงกว่าคนอื่น
เงิน 1 รูปีสำหรับแกนั้น มันไม่มีความหมายหรอก แต่มันเป็นเรื่องของหน้าตา เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีก็ว่าได้ ซึ่งถ้าคนเราเอาเรื่องศักดิ์ศรีไปวัดกันที่จำนวนเงิน มันก็โง่ทั้งนั้นแหละ ไปอึดอัดขัดเคืองอยู่ที่ว่าฉันต้องได้เงินตอบแทนมากกว่าคนอื่น ขอให้มากกว่า จะหนึ่งสลึงหรือห้าสิบสตางค์ ฉันก็เอา แต่ถ้าได้เท่ากับคนอื่นฉันไม่ยอม หัวฟัดหัวเหวี่ยง เสียอารมณ์ รักศักดิ์ศรีแต่ว่าเสียภาพลักษณ์เลย ทีนี้คนเขาก็เอามาพูดกันเป็นที่อับอายขายหน้าของเจ้าตัวไปว่า บ้ายศบ้าตำแหน่ง หรือว่าไปยึดไปหลงในภาพลักษณ์ของตนเอง จนกระทั่งไม่รู้จักที่จะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองไว้ บางทีคนเก่งหรือว่าคนที่มีอะไรดี ถ้าไม่ระมัดระวังจะหลงติด หลงติดในความเก่ง หลงติดในความหล่อ หลงติดในสถานะตำแหน่งของตัว แล้วเวลามีอะไรที่ไม่ถูกใจ ไม่ตรงกับความคาดหวัง ก็จะมีความโมโห หรือว่าเกิดอาการหลงตัวลืมตนขึ้นมา
เดี๋ยวนี้คนเราก็เอาความสุข เอาศักดิ์ศรีของตัวเองไปผูกติดกับสิ่งที่ไม่ค่อยเป็นสาระเท่าไร แทนที่จะเอาความสุขไปผูกติดกับการทำความดี ทำความดีแล้วมีความสุข หรือว่าปฏิบัติธรรมแล้วมีความสุข หรือว่ามีความมั่นใจเพราะว่าตัวเองได้ทำความดี เดี๋ยวนี้ก็เอาไปผูกติดกับอย่างอื่น ล่าสุดนี่ก็มีการโฆษณากางเกงชั้นในของผู้ชาย ยี่ห้อ CR7 ก็คือ คริสเตียโน โรนัลโด เบอร์ 7 ก็คือหมายเลขเสื้อของเขา พยายามโฆษณาว่าใส่แล้วมั่นใจ คือถ้าใครใส่กางเกงชั้นในยี่ห้อนี้จะมีความมั่นใจในตนเอง ก็ขายได้ เพราะว่าอยากจะเป็นอย่างโรนัลโด ถ้าใส่กางเกงในยี่ห้อนี้แล้วจะรู้สึกว่าจะสมาร์ท จะหล่อ จะเก่งเหมือนโรนัลโด ทำให้มีความมั่นใจตนเอง อันนี้ก็น่าขัน ที่ความมั่นใจไปผูกติดอยู่กับการใส่กางเกงใน แทนที่จะมั่นใจเพราะเราเป็นคนดีหรือว่าเราทำความดี หรือเรามีวิชาความรู้ ความมั่นใจแบบนี้มันฉาบฉวยประเดี๋ยวประด๋าวมาก เพราะว่าทำให้ตัวเองตกเป็นทาสของบริษัทโฆษณาหรือพวกบริษัทผลิตกางเกงใน หรือพวกพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลาย ก็จ่ายเงินเพิ่มเพียงเพราะได้ความมั่นใจฉาบฉวยชั่วครู่ชั่วยาม