แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้นอกจากเป็นวันพระแล้ว ยังเป็นวันสำคัญสำหรับลูกศิษย์ของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เพราะว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของท่าน ถ้าท่านมียังชีวิตจนถึงวันนี้ก็จะอายุ ๑๐๖ ปี แต่ท่านมรณภาพไปแล้วเมื่อ ๒๙ ปีที่แล้ว ๑๓ กันยายน ๒๕๓๑ หลวงพ่อเทียนเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อคำเขียน ซึ่งได้อยู่ครองวัดและพัฒนาวัดนี้มาเกือบๆ ๓๐ ปี หลวงพ่อคำเขียนไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเทียนตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อคำเขียนยังเป็นฆราวาสอายุ ๓๐ ปี ปฏิบัติธรรมแล้วเดือนหนึ่งก็ได้ผล ก็ทำให้ท่านตัดสินใจออกบวชตั้งแต่ปี ๒๕๑๐ หลวงพ่อคำเขียนก็มรณภาพไปเมื่อ ๓ ปีที่แล้ว
หลวงพ่อเทียนเป็นผู้ที่คิดค้นวิธีการเจริญสติด้วยการสร้างจังหวะ ยกมือเป็นจังหวะ เพื่อสร้างความรู้สึกตัว ท่านเน้นเรื่องการเจริญสติมาก ชนิดที่เรียกว่าเป็นทางลัด ก็คือไม่ติดอยู่กับความสงบ เพราะความสงบนี้คนมักจะติดได้ง่าย และพอสงบแล้วก็เพลินเคลิ้มจนกลายเป็นหลงไป เพราะฉะนั้นในวิธีการที่หลวงพ่อเทียนสอนก็คือการเปิดตาปฏิบัติ และก็ยกมือ รวมทั้งเดินก็เดินแบบไม่ช้าและก็ไม่เร็ว หลวงพ่อเทียนเน้นเรื่องความรู้สึกตัว เพราะว่าความรู้สึกตัวนี้มันจะเป็นพื้นฐานไปสู่การรู้หรือการเห็นความจริง คือสัจธรรม คนเราถ้าไม่รู้ตัว การที่จะรู้ความจริงที่มันละเอียดลึกซึ้ง แม้จะเป็นความจริงของกายและใจก็ตาม ก็ยาก สิ่งที่จะทำให้ความรู้ตัวของคนเรามันหายไป ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความหลง การปฏิบัติที่เราทำ ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ความหลงมันหมดไป
หลงนี้มันมีอยู่สองอย่าง หลงคือไม่รู้ตัว กับ หลงเพราะไม่รู้ความจริง หลงอย่างหลังนี้เรียกว่าอวิชชา ความรู้ตัวมันเกิดขึ้นได้ยากถ้าคนเหล่านี้ถูกครอบงำหรือหลุดเข้าไปในโลกแห่งความคิด หรือว่าส่งจิตออกนอก ความคิดมันครอบงำจิตเมื่อไหร่เราก็จะไม่รู้ตัว และยิ่งถ้าความคิดนั้นปรุงเป็นอารมณ์ขึ้นมา เช่น ความโกรธ ความโมโห ความเศร้า ความหงุดหงิด ก็ยิ่งลืมตัวเข้าไปใหญ่ และพอลืมตัวแล้ว ก็อาจจะลืมผิดชอบชั่วดี ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อาจจะลักขโมย อาจจะไปกระทำชำเราผู้อื่น อาจจะด่าว่าบุพการี อาจจะทำร้ายคนใกล้ตัว นี้เรียกว่าลืมตัว ก็เลยลืมผิดชอบชั่วดี
สิ่งที่ทำให้คนเราหลงก็คือความงมงาย หลวงพ่อเทียนตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านก็ปลุกคนให้ตื่น ทั้งตื่นมารู้ตัวและตื่นมาจากความงมงายด้วย ความงมงายสำหรับชาวพุทธ มันก็มักจะหนีไม่พ้นความงมงายในพิธีกรรม ไปติดยึดกับพิธีกรรมจนลืมสาระที่แท้ ลืมแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นคุณธรรม หลวงพ่อเทียนเล่าว่า ท่านเคยได้รับนิมนต์ไปงานต่ออายุของโยมซึ่งเป็นแม่ของเจ้าภาพที่ประเทศลาว หลวงพ่อเทียนท่านเป็นคนเมืองเลยบ้านบุฮม ท่านก็ข้ามฝั่งไปเมืองลาวตั้งแต่เป็นฆราวาสอยู่เป็นประจำ เพราะท่านเป็นพ่อค้า ก็คงมีคนรู้จักและเครือข่ายญาติมิตรอยู่ที่เมืองเลย พอท่านบวชคนก็นิมนต์ท่านไปงานพิธีต่ออายุ มีการสวด พระหลายรูปก็สวดเสียงดัง แต่หลวงพ่อเทียนท่านนิ่งเลย ไม่สวด พอสวดจบพิธีเสร็จโยมก็ถวายปัจจัย ก็ถวายพระทุกรูปแต่ไม่ถวายท่าน เพราะว่าเห็นว่าไม่สวด หลวงพ่อเทียนท่านก็ไม่สนใจ
พอพระรูปอื่นท่านไปแล้วก็เลยคุยกับโยมซึ่งเป็นเจ้าภาพ บอกว่าการทำดีกับพ่อแม่ การต่ออายุพ่อแม่ที่ดีที่สุดก็คือ การทำความดีให้กับท่าน เคารพเชื่อฟังท่าน ปฏิบัติดีกับท่าน ไม่ใช่มาทำพิธีกรรมให้กับท่าน แต่ว่าไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น และความกตัญญูก็ต้องเริ่มจากการที่มีความเคารพพ่อแม่ และหลวงพ่อเทียนก็เลยชวนญาติโยมที่เป็นเจ้าภาพให้กราบแม่ โดยท่านเป็นคนพากราบ กราบโยมซึ่งเป็นแม่เจ้าภาพ ชาวบ้านถึงกับตกใจว่าพระกราบโยมได้อย่างไร หลวงพ่อเทียนท่านก็บอกว่า เปล่า อาตมาไม่ได้กราบโยม อาตมากราบตัวเองที่สามารถสอนโยมให้เข้าใจในเรื่องของการต่ออายุที่ถูกต้องให้กับพ่อแม่ คือการทำความดีกับท่าน เคารพท่าน มีสัมมาคารวะกับท่าน ไม่ใช่ทำพิธีต่ออายุ นานๆปีจะทำสักครั้ง เสร็จแล้วที่เหลือก็ไม่ได้สนใจ ไม่ได้ทำความดีกับท่าน
นอกจากเรื่องพิธีกรรมที่ทำให้คนงมงายแล้ว บางทีสิ่งที่เป็นวัตถุมงคลก็เหมือนกัน คนก็งมงายกับวัตถุมงคล มีหมอท่านหนึ่ง เป็นคนที่ดูแลหลวงพ่อเทียนตอนที่ท่านเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร บั้นปลายชีวิตท่านท่านเป็นมะเร็ง หมอท่านนี้ก็เป็นหมอที่เก่ง ก็ดูแลท่านอย่างดี วันหนึ่งหมอท่านนี้ก็เอาพระนางพญาพิษณุโลกมาอวดหลวงพ่อเทียน แล้วก็บอกว่าองค์นี้เก่ามากเลย อายุตั้งประมาณ ๗๐๐ ปีแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย หลวงพ่อเทียนท่านก็ไม่ค่อยสนใจ แต่ท่านถามว่า พระนางพญานี้ทำจากอะไร หมอก็ตอบว่าทำจากเนื้อดินแล้วก็มาเผาให้แกร่ง และข้างในก็มีแร่ธาตุหลายอย่าง หลวงพ่อเทียนท่านก็เลยพูดว่า ดินนี้มันเกิดมาตั้งแต่มีโลกนี้ขึ้นมาแล้ว แล้วก็ดินที่ใช้ทำพระนางพญานี้ก็ไม่ได้เก่าแก่ไปกว่าดินที่โยมหรืออาตมาเหยียบก่อนเข้าบ้านหรอก พอพูดเท่านี้หมอท่านก็ตาสว่างเลย ไปคิดว่าพระนางพญานี้เก่าแก่ แต่ที่จริงมันก็ไม่ได้เก่าแก่ไปกว่าดินที่เราเหยียบตามพื้นดินเท่าไหร่หรอก
มีคนหนึ่งก็เอาพระมาอวดท่าน แต่ก็มีความสงสัยว่าจริงไหมที่เขาว่าพระองค์นี้มีอานุภาพ ยิงฟันไม่เข้า แล้วก็ปัดจัญไร ทำให้ไม่ประสบเคราะห์ แทนที่หลวงพ่อท่านจะพูดว่าอานุภาพที่เขาเล่าลือกันจริงไหม ท่านกลับถามว่า คนสร้างพระ สร้างวัตถุมงคลนี้ตายไปหรือยัง เขาก็บอกว่าตายแล้วครับเพราะว่าพระองค์นี้ก็เป็นมรดกตกทอดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว หลวงพ่อเทียนท่านก็เลยพูดว่า นี้ขนาดคนที่ทำพระองค์นี้ยังตายเลย แล้วคนอื่นจะไม่ตายได้อย่างไร ไม่ว่าเครื่องรางของขลัง หรือวัตถุมงคล พระเครื่องนี้ จะดีอย่างไร มันก็ป้องกันไม่ให้คนเป็นอมตะไม่ได้ ยังไงก็ต้องตายกันทุกคนนั้นแหละ เพราะฉะนั้นมันจะดีตรงไหน ถึงแม้ว่าจะมีอานุภาพอย่างไรก็ตาม สุดท้ายก็ต้องตายกันทุกคน มีคนหนึ่งมาถามหลวงพ่อว่า แขวนพระเครื่องนี้ดีไหม ท่านก็บอกว่าดี แต่ว่าสิ่งที่ดีกว่าพระเครื่องมีจะเอาไหม สิ่งนั้นคืออะไร ก็คือความรู้สึกตัวนั่นแหละ เพราะสิ่งนี้จะทำให้คนเราพ้นทุกข์ได้ มีพระเครื่องก็ทำให้อุ่นใจ แต่ว่าก็ไม่สามารถที่จะป้องกันความทุกข์ได้ สุดท้ายก็ต้องแก่ ต้องป่วย ต้องตาย
อย่างที่เราสวดกันเมื่อวานนี้ เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ คำว่าล่วงพ้นนี้ความหมายคือหลีกเลี่ยงไม่พ้น อย่างไรเสียก็ต้องเจอ และแม้จะเอาชนะความเจ็บไข้บางโรค บางอาการได้ แต่สุดท้ายมันก็ต้องตายเพราะความป่วยความไข้ หรือว่าสุดท้ายมันก็ต้องตายไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม พูดถึงพิธีกรรมอันหนึ่งที่คนนิยมกันก็คือการสวดมนต์ทำบุญบ้าน คราวหนึ่งก็มีโยมนิมนต์ท่านไปสวดมนต์ทำบุญบ้าน เวลาสวดมนต์ก็ต้องมีการทำน้ำมนต์ ปกติก็ต้องมีขันใส่น้ำมนต์ หรือมีบาตรใส่น้ำมนต์ แต่หลวงพ่อท่านบอกว่าไปเอากะละมังใบใหญ่มา และก็ใส่น้ำให้เต็ม พอสวดเสร็จท่านก็บอกว่าไม่ต้องพรมน้ำมนต์หรอก เอาน้ำในกะละมังนี้เทเข้าไปในบ้านเลย แล้วก็บอกให้โยมไปถูไปทำความสะอาดบ้านให้มันสะอาดเสีย อย่างนี้แหละจึงจะเป็นมงคล บางทีถ้าเอาน้ำมนต์ในบาตรมารดตัวนี้อาจจะคันก็ได้ เพราะหญ้าหรือดอกไม้ที่ใส่ไว้ในบาตรอาจจะเป็นพิษ อาจจะทำให้แพ้ให้เป็นผื่นคันก็ได้ แล้วถ้าเป็นมันจะเป็นมงคลได้อย่างไร
สมัยก่อนหลวงพ่อเทียน ท่านก็ไม่ค่อยจะคล้อยตามญาติโยมหรือทำตามประเพณีเท่าไหร่ เพราะท่านเห็นว่าคนไปหลงงมงายกับประเพณีมากจนกระทั่งลืมสาระที่แท้ เพราะฉะนั้นท่านก็เลยทำให้สิ่งที่ท้าทายหรือกระแทกความรู้สึกนึกคิดของคน เพื่อทำให้ตาสว่าง เพื่อทำให้หันมาเกิดปัญญาขึ้น อันนี้ท่านก็สอนและก็ทำมากพอๆกับการที่ชวนโยมมาปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญสติ วันนี้ก็คล้ายวันมรณภาพของท่าน อาตมาก็เล่าเพื่อให้ระลึกถึงคำสอนและข้อวัตรปฏิบัติของท่าน เพื่อจะได้นำไปใช้หรือเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิต