แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่ออาทิตย์ก่อนได้อ่านข่าว เป็นข่าวที่ให้แรงบันดาลใจมาก เป็นเรื่องเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นชาวอเมริกัน อายุ ๙ ขวบ เป็นเด็กที่ใจงามใจประเสริฐมาก ไปเจอคนไร้บ้าน ขออาหาร ขอทาน ซึ่งตอนนี้มีในอเมริกาเยอะ แต่ก่อนเธอก็สงสารและก็ขอเงินแม่ ตอนนั้นอายุ ๕ ขวบก็ขอเงินแม่ซื้อขนมปัง ซื้ออาหารเพื่อแจกให้กับคนไร้บ้านที่เห็นอยู่หน้าร้าน แม่ก็ให้แต่แม่ก็บอกว่าเราไม่สามารถจะช่วยคนได้ทุกคน เธอทำแบบนี้ ๒-๓ ครั้ง ก็คงได้คิดได้ว่า ถ้าเราไปขอเงินแม่อยู่เรื่อยๆ คงไม่ดี เธอก็เลยเกิดความคิดว่าเราปลูกผักดีกว่า แล้วเอาผักไปให้คนคนยากคนจน หรือคนไร้บ้าน
เธอก็ไม่ใช่แค่คิด แต่ลงมือทำด้วยตอนอายุ ๙ ขวบ ลงมือทำแปลงผัก ฝรั่งนี่เขาก็มีพื้นที่สวนหน้าบ้านบ้าง สวนหลังบ้านบ้าง และก็ทำแปลงผัก เด็กไม่ค่อยรู้เรื่องปลูกผัก ก็ไปถามคนนั้นคนนี้หรือค้นคว้าจากตำรา ในอเมริกามีตำราทุกอย่าง แกก็อ่านตำราเกี่ยวกับเรื่องการปลูกผัก ก็ปลูกหลายชนิด บล็อคโคลี่ แครอท ปลูกไปได้สัก ๒-๓ อาทิตย์ก็ออกผลผลิตแล้วจึงรวบรวมไปให้คนยากคนจน ซึ่งคงไม่ได้มากนักหรอก แต่ตอนหลังมีเพื่อนบ้านรู้ก็มาช่วยปลูกผัก ทำสวนหลังบ้านร่วมกับเธอ ผู้ใหญ่ก็มา เด็กก็มา จึงได้ผลผลิตและนำไปแจกมากขึ้น ก็คงจะแจกไม่ทั่วถึง แต่มันทำให้เกิดกำลังใจเพราะคนที่ได้รับเขาก็มีความสุข ตอนหลังเธอได้ข้อมูลว่าคนเหล่านี้ไม่มีบ้านอยู่เพราะบ้านมันมีราคาแพง เธอก็คิดตามประสาเด็กว่าถ้าเช่นนั้นเราช่วยสร้างบ้านให้เขาเหล่านั้นดีกว่า
ก็ไม่ทราบว่าจะที่ทางจากไหน อันนี้ในข่าวไม่ได้บอก แต่เอาเป็นว่าก็ลงมือสร้างบ้านหลังเล็กๆ เด็ก ๙ ขวบ ๑๐ ขวบก็ไม่รู้ว่าว่าทำอย่างไร ก็เปิดตำรา ถามผู้รู้ และไปซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างมา เริ่มต้นจากศูนย์ ทำไปได้ยังไม่ครบหลัง คนรู้เขาก็มาช่วย ตอนหลังบริษัทก่อสร้างพอรู้ก็บอกว่า ยินดีจะขายวัสดุก่อสร้างราคาถูกๆให้ ก็เลยทำอย่างต่อเนื่อง เด็กก็ต้องเรียนหนังสือไปด้วย แต่ไม่รู้ว่าจะมีเวลาไปเที่ยวหรือเปล่า ปลูกผักก็ยังทำอยู่และก็สร้างบ้านหลังที่พอจะอยู่ได้ แม้จะไม่ค่อยแข็งแรงแต่ยังพอจะเป็นเพิงให้พักอาศัยอยู่ได้ เด็กคนนี้ชื่อเฮลี่ย์ ฟอร์ด ผ่านมา ๔ ปีแล้วตอนนี้ก็ ๑๒-๑๓ ขวบ สร้างบ้านมาให้คนยากคนจนมาแล้ว ๑๑ หลัง ปลูกผักมานี่เท่าไหร่ก็ไม่รู้นะที่เธอได้ปลูกตลอด ๔ ปี ก็เป็นข่าวที่มันสร้างความประทับใจให้กับคน ว่าจริงๆแล้วคนเราสามารถจะทำอะไรเพื่อช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ได้ทั้งนั้น แม้เป็นเด็กก็ยังทำได้ ถ้าหากไม่เพียงแต่คิด แต่ลงมือทำ
เมื่อก่อนหน้านี้ ๒ – ๓ ปีอันนี้ก็น่าทึ่งมาก เด็กคนหนึ่งอายุ ๕ ขวบเป็นอเมริกันเหมือนกัน ชื่อ แคทเธอรีน คอมเมล วันหนึ่งก็ดูโทรทัศน์กับแม่ เขามีรายการสารคดีว่าในแอฟริกามีคนตายไม่เว้นแม้นแต่เด็ก โดยเฉพาะเด็กมีเยอะมาก ตายเพราะโรคมาลาเรีย ๑ คนทุก ๓๐ วินาที ข้อมูลแบบนี้ผู้ใหญ่ฟังก็ผ่านๆ เพราะได้ฟังมาเยอะแล้ว แต่แคทเธอรีนฟังแล้ว มันเป็นเช่นนั้นเชียวเหรอ ครึ่งนาทีตาย ๑ คน ๑ นาทีก็ตาย ๒ คนแล้ว เธอก็เลยถามแม่ทำไมเขาตาย แม่บอกว่าเป็นมาลาเรีย แล้วทำไมถึงเป็นมาลาเรีย ก็เพราะยุง แต่ถ้ามีมุ้งมันก็จะทำให้ไม่มียุงมากัดหรือแพร่เชื้อ แล้วเธอก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า ค่าขนมที่เธอได้มาในวันรุ่งขึ้น เธอจะไม่ไปซื้อขนม ครูก็แปลกใจก็เลยถามแม่ว่าวันนี้ไม่เห็นแคทเธอรีน มาซื้อขนมเลย เธอไม่มีเงินเหรอ แม่ก็เลยไปถามแคทเธอรีน เธอตอบว่าเงินค่าขนมจะเก็บไว้ซื้อมุ้ง มุ้งมันราคา ๑๐ เหรียญ เธอก็เก็บจนครบ ๑๐ เหรียญ แม่ก็สมทบด้วย และไปบริจาคให้องค์กรการกุศลองค์กรหนึ่งชื่อว่า Nothing But Nets ไม่เอาอะไรนอกจากมุ้ง
องค์กรนั้นก็ส่งจดหมายมาขอบคุณ ยิ่งรู้ว่าเป็นเด็ก ๕ ขวบมาบริจาคเงิน และองค์กรก็บอกว่าถ้าหากบริจาคมุ้ง ๑๐ หลังจะได้ใบประกาศเกียรติคุณ เธอก็เกิดกำลังใจ พยายามที่จะหาเงินมาซื้อมุ้ง ทำยังไง ไม่มีปัญญา ก็เอาของเล่นมาเปิดท้ายขายของ ชวนแม่มาเปิดท้ายขายของ แต่ก็ขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เงินก็ยังได้ไม่พอ ก็เกิดความคิดว่า มูลนิธินี้เขาให้ใบประกาศเกียรติคุณแก่คนที่บริจาคมุ้ง ๑๐ หลัง ดังนั้นถ้าเกิดใครซื้อของให้เรา ๑๐ เหรียญเราก็ทำใบประกาศเกียรติคุณให้เขาบ้าง เขียนข้อความว่าในนามของคุณ ฉันซื้อมุ้งให้กับเด็กยากจนที่แอฟริกา เธอทำใบประกาศเกียรติคุณด้วยมือและก็วาดรูปด้วยตัวเอง เซ็นชื่อด้วยตัวเอง แคทเธอรีน คอมเมล มอบใบประกาศเกียรติคุณให้กับผู้ที่บริจาคเงินซื้อมุ้ง เพื่อช่วยชีวิตคนเอาไว้ เมื่อเพื่อนบ้านเห็นก็มาช่วยเขียน ทำใบประกาศเกียรติคุณ ก็สามารถเก็บเงินจะซื้อมุ้งได้ ๑๐ หลัง ๑๐๐ เหรียญ แจกใบประกาศเกียรติคุณ ๑๐ ใบ เงินนี้ก็ส่งไปที่มูลนิธิ มูลนิธิก็ตื่นเต้นดีใจมาก เขาก็เลยส่งใบประกาศเกียรติคุณมาให้ แคทเธอรีน ก็เลยทำใหญ่เลย
ตอนหลังนี้ไม่ต้องเปิดท้ายขายของแล้ว เพราะว่าแค่บริจาคเงินมาเธอก็เขียนใบประกาศเกียรติคุณให้ คนก็ส่งเงินมาใหญ่เลย บางทีเธอก็ทำมากกว่านั้น ไปพูดตามโบสถ์ ปีแรกได้เงินมา ๖,๐๐๐ กว่าเหรียญ ซื้อมุ้งได้ ๖๐๐ กว่าหลัง ตอนหลังเธอก็ทำใบประกาศเกียรติคุณส่งไปที่แบ็คแฮม เธอเห็นแบ็คแฮมที่เป็นนักฟุตบอล ไปโฆษณาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับมูลนิธินี้ ก็เลยเขียนใบประกาศเกียรติคุณให้ แบ็คแฮมก็เลยเอาใบประกาศเกียรติคุณของเธอไปโฆษณา ประชาสัมพันธ์ คนก็เลยบริจาคเงินกันมาใหญ่ ตอนหลังเธอเกิดความคิดว่าทำใบประกาศเกียรติคุณให้คนรวยๆ ดีกว่า ฉบับหนึ่งก็ส่งไปที่ บิล เกตส์ บอกไปว่ามีคนกำลังจะตายเพราะว่าไม่มีเงินซื้อมุ้ง แต่คุณสามารถช่วยได้ บิล เกตส์ ก็บริจาคช่วยเงินเป็นล้าน ก็เป็นอันว่าเธอสามารถรวบรวมเงินได้เป็นล้านเลย ซื้อมุ้งได้เยอะมาก เขาก็ประเมินว่าเธอก็สามารถช่วยเด็กได้ถึง ๒๐,๐๐๐ คนจากมุ้งที่เธอส่งไปให้
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก เด็ก ๕ ขวบและทำจนกระทั่ง ๗ ขวบกระมัง คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เด็ก ๒ คนนี้เป็นผู้หญิง อาจจะเป็นเพราะว่าผู้หญิงนี่มีจิตใจเมตตา อ่อนไหวง่าย แล้วก็คงไม่ใช่บังเอิญที่เป็นเด็ก คือเป็นผู้ใหญ่ก็อาจจะมีความเมตตาเหมือนกัน แต่คงคิดว่ามันคงไม่ได้ผลหรอก หรือว่าทำไปก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก อย่างแม่ก็บอกเด็กที่ชื่อเฮลี่ย์ ฟอร์ด เราช่วยไม่ได้ทุกคน ความคิดแบบนี้มันก็ทำให้ไม่ค่อยอยากกระตือรือร้นเท่าไหร่ ผู้ใหญ่มีประสบการณ์เยอะ ก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทำชั่วชีวิตก็คงจะแก้ปัญหาไม่หมด แต่พอคิดแบบนี้เข้าก็เลยไม่ได้ทำอะไร ส่วนเด็กนี่ใหม่มาก ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ พอคิดอยากจะช่วยก็ลงมือทำเลย แล้วก็ไม่ได้คิดละเอียด คือไม่ได้คิดว่าช่วยแล้วปัญหามันจะหมดไปจากโลกหรือไม่ ก็ทำเท่าที่ทำได้ แต่มันก็เป็นกำลังใจที่ช่วยทำให้ผู้ใหญ่รู้ว่าเราจะนิ่งดูดายไม่ได้ ขนาดเด็กยังทำเลย เพราะเขาคิดว่าถึงแม้จะแก้ปัญหาไม่หมด แต่ยังน้อยก็ได้ทำอะไรสักอย่าง
เมืองไทยก็คงจะเด็กแบบนี้ เด็กที่มีน้ำใจ แต่ว่าอาจจะไม่ได้รับโอกาส หรือว่าพ่อแม่อาจจะไม่ส่งเสริม เด็กทำไปแล้วพ่อแม่จะพูดกับลูกเหมือนแม่แคททรีน ทำนองที่ว่าปัญหาแบบนี้มันแก้ไม่หมดหรอก เด็กก็อาจจะท้อ แต่ว่าอันนี้แม่เขาคงจะส่งเสริมในระดับหนึ่งด้วย ก็ทำให้สามารถเอาเวลาพักผ่อนไปปลูกผัก เอาเวลาที่ควรจะเรียนหนังสือหรือทำการบ้านไปสร้างบ้านได้ อันนี้ก็ได้รับความสนับสนุนจากพ่อแม่ เมืองนอกเขามีการส่งเสริมเยอะ แต่เมืองไทยเด็กมีความตั้งใจดี แต่อาจจะไม่ได้รับการส่งเสริมก็ได้ หรือว่าทำไปแล้วถูกเพื่อนว่าก็เป็นได้ เคยมีเด็กที่บ้านตาดรินทองเดินตามพระไปบิณฑบาต สะพายบาตร เด็กอายุ ๑๐ ขวบ ตื่นเช้าตามพระไปบิณฑบาต เพราะว่าของใส่บาตรเยอะ ทำไปได้แค่ ๒-๓ วันก็บอกหลวงพ่อ วันนี้ผมไม่ไป หลวงพ่อเลยถามว่าทำไมล่ะ ก็บอกว่าเพื่อนมาล้อที่ตามบาตรพระ เดี๋ยวนี้ใครทำดีก็อาจจะถูกล้อ มันก็เลยเกิดความรู้สึกว่าไม่กล้าทำดี แต่กล้าทำชั่ว เรียกว่า “กล้าทำชั่ว กลัวทำดี” อันนี้เป็นกันเยอะ ใครทำดีบางทีถูกล้อ บางทีถูกหยามเหยียด ก็เลยไม่ทำ ทำไปได้สักพัก ก็เลิกทำแล้ว เพราะว่าถูกล้อ
แต่เมืองนอกมันจะมีค่านิยมอีกแบบหนึ่ง ใครทำดีเขาก็จะส่งเสริม ช่วยกันคนละไม้คนละมือ มันก็เลยเกิดเด็กแบบ แคทเธอรีน หรือเฮลี่ย์ได้ ในเมืองไทยถ้าเด็กได้รับความส่งเสริม พ่อ แม่ก็ดี หรือเพื่อนๆ เขาทำดีเราก็ช่วยสนับสนุน สรรเสริญ หรือว่าทำตาม มันก็จะทำให้เกิดคนดีแบบนี้เยอะมากขึ้นเรื่อยๆ