แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โลกของเรานี้ลอยอยู่กลางอวกาศที่กว้างใหญ่มาก กว้างแบบมหาศาลเลย ขนาดแสงเดินทางไม่ใช่ล้านปี เป็นพันๆ หรือหมื่นล้านปีกว่าจะถึงขอบจักรวาลหรือขอบเอกภพ อะไรต่ออะไรก็เกิดขึ้นหรือมีขึ้นมากมายในจักรวาลนี้ มีดวงดาวเป็นล้านๆดวงหรืออาจจะมากกว่านั้น เพราะว่าในอากาศมีสิ่งที่เรียกว่าหลุมดำ หลุมดำเป็นสิ่งที่คนเรานึกไม่ถึง แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบจนได้ เรียกว่าเป็นหลุมดำเพราะว่ามันสามารถที่จะดูดสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เข้ามาอยู่ใกล้มันไม่ว่าใหญ่โตแค่ไหน เพราะแม้กระทั่งแสงก็ยังดูดแสงเข้าไปได้ เพราะมันมีแรงดึงดูดสูงมากขนาดเท่ากับดวงอาทิตย์ 4 ล้านดวง ดวงอาทิตย์ที่ว่าใหญ่แล้วและแรงดึงดูดก็มาก 4 ล้านดวงหรืออาจจะ 4, 5, 6 ล้านดวงก็ได้
นักวิทยาศาสตร์ก็เก่ง สามารถที่จะค้นพบได้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่าหลุมดำอยู่ในจักรวาลของเราแล้วมีมากด้วย และที่เขาประหลาดใจคือ แรงดึงดูดมหาศาลของมันนอกจากจะดึงดูดดาวหรือกาแล็กซีที่อยู่ใกล้ๆ ให้สูญหายไปแล้ว มันยังสามารถที่จะทำให้ดวงดาวที่อยู่ใกล้ถูกเหวี่ยงออกไปไกลมากด้วยความเร็วสูง สิ่งนี้นึกจินตนาการตามแล้วกัน ก็น่าแปลกสิ่งที่ดึงดูดมีแรงดึงดูดสูงเข้าหาตัวมัน สามารถที่จะทำให้สิ่งบางสิ่งถูกเหวี่ยงออกไปไกลจากตัวมันได้ แรงดึงดูดจะดูดเข้าหาตัว แต่แรงเหวี่ยงยจะเหวี่ยงออกไปไกลตัว แต่มันก็อยู่ด้วยกัน ยิ่งมีแรงดึงดูดสูงก็สามารถที่จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยงที่ทำให้สิ่งต่างๆ กระเด็นกระดอนออกไปก็ได้
อย่างโลกของเราก็มีแรงดึงดูด ดึงดูดพระจันทร์ให้หมุนรอบโลก แต่ทำไมมนุษย์เราสามารถที่จะส่งยานอวกาศไปสู่ดวงจันทร์ได้ ทำอย่างนี้ต้องอาศัยแรงสูงมากที่จะผลักให้ยานอวกาศหลุดจากแรงดึงดูดของโลก คนเราก็ฉลาด วิธีที่จะทำให้มีแรงส่งให้ยานอวกาศหลุดจากแรงดึงดูดของโลก เขาใช้แรงดึงดูดของโลกมาเป็นเครื่องมือ คือใช้วิธีขับยานอวกาศให้หมุนรอบโลก หมุนด้วยความเร็วสัก 2-3 รอบ จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าแรงเหวี่ยง เอาแรงดึงดูดมาเปลี่ยนเป็นแรงเหวี่ยง แล้วใช้แรงเหวี่ยงนี้ขับเคลื่อนหรือผลักให้ยานอวกาศหลุดออกไปจากวงโคจรของโลก หลุดจากแรงโน้มถ่วงของโลกไปสู่ดวงจันทร์ได้ คล้ายๆกับเรามีลวดสลิง สมัยก่อนมีอาวุธแบบหนึ่งที่เรียกว่าลวดสลิง เป็นหนังก็ได้ แล้วเอาหินใส่เข้าไปแล้วเหวี่ยงๆๆๆ พอเหวี่ยงได้ที่ก็ปล่อยเชือก ก้อนหินก็จะหลุดลอยไปสู่เป้าหมายด้วยความเร็วสูง เวลาเราเหวี่ยงๆ คือการเปลี่ยนแรงดึงดูดให้กลายเป็นแรงผลัก สิ่งที่เป็นแรงดึงดูดของโลกมีคุณสมบัติผลักให้สิ่งเดียวกันนั้นกระเด็นกระดอนไปได้เหมือนกัน
อาตมาอ่านศึกษาเรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงความทุกข์ ความทุกข์ดูดให้เราจมเข้าไปเหมือนกับหลุมดำ คนเราเวลามีความทุกข์เหมือนกับจมอยู่ในความทุกข์ ดึงดูดจิตให้อยู่ในความหลง แต่ความทุกข์ก็มีแรงที่จะผลักให้คนเราออกจากทุกข์ได้เหมือนกัน ความทุกข์มีประโยชน์สามารถที่จะทำให้คนพ้นทุกข์ได้ มันมีแรงผลัก ไม่ใช่แค่ดูดให้จิตใจคนจมเข้าไปในความหลง มันสามารถที่จะเกิดแรงผลักให้จิตใจเราออกจากความทุกข์ เข้าถึงความสว่างได้ ในสมัยพุทธกาลมีพระอรหันต์หลายรูปที่ท่านบรรลุธรรมเห็นแจ้ง เพราะว่าท่านมีความทุกข์มาก ทุกข์เพราะเจ็บป่วย หรือเพราะทุกข์เพราะกำลังจะตาย
อย่างพระติสสะท่านเป็นโรคที่สังคมรังเกียจ แผลพุพองเต็มตัว แล้วเป็นน้ำเหลืองส่งกลิ่นเหม็นจนกระทั่งพระท่านดูแลไม่ไหว พระพุทธเจ้าเสด็จมาดูแล เช็ดเนื้อเช็ดตัว เอาจีวรที่เปื้อนหนองไปซักไปตาก ทุกขเวทนาของพระติสสะก็ไม่ได้น้อยลง แต่ท่านสบายใจ มีพระพุทธเจ้ามาดูแล ระหว่างที่มีทุกขเวทนาใกล้ตาย พระพุทธเจ้าตรัสให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของสังขารว่า “ร่างกายนี้เมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้วก็มีคนละทิ้ง ก็จะนอนทับซึ่งแผ่นดินเหมือนท่อนไม้หาประโยชน์มิได้” ท่านก็พิจารณาตาม ก็เห็นจริงว่าสังขารนี้ไม่งาม ไม่น่ารัก ไม่น่ายึดถือเลย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับท่านก็ทำให้ท่านได้เห็น เข้าใจในพระไตรลักษณ์ชัดเจน คนเราจะเข้าใจอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บางทีก็ต้องเจอความทุกข์ถึงจะเข้าใจชัด พระติสสะท่านทุกข์มาก พอพระพุทธเจ้าตรัส ท่านได้สติแล้วก็พิจารณาเห็นว่าสังขารร่างกายนี้ไม่น่ายึดถือเลย ปัญญาเกิด จิตหลุดพ้น เป็นพระอรหันต์ตอนที่กำลังจะสิ้นลมพอดี
หรือพระเจ้าสุทโธทนะ ท่านเป็นพระโสดาบันมาก่อนแล้ว แต่ตอนบั้นปลายชีวิตเจ็บปวดมาก มีทุกขเวทนามาก พระพุทธเจ้าเสด็จมาดูแล แล้วก็คงจะพูดแนะนำให้วางใจให้เป็น ปรากฏว่าพอท่านสิ้นลมก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ด้วย บางท่านก็ถูกเสือกัด เป็นพระป่าธุดงค์ เสือกัดก็ตายคาปากเสือ แต่ก่อนที่จะมรณภาพท่านอาศัยทุกขเวทนาความเจ็บปวด พิจารณาจนกระทั่งเห็นแจ้งในไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปัญญาเกิด จิตก็หลุดพ้น เป็นพระอรหันต์คาปากเสือเลย คือถ้าไม่โดนเสือกัดคงยังจะไม่บรรลุธรรม เหมือนกับพระติสสะถ้ายังไม่ป่วยคงจะไม่บรรลุธรรม ความเจ็บป่วยหรือความทุกขเวทนาก็มีประโยชน์ เพราะสามารถจะกระตุกกระตุ้น หรือเปิดใจคนเราให้เห็นสัจธรรมในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้
ความทุกข์สำหรับบางคนทำให้ตกต่ำย่ำแย่เหมือนกับตกนรก แต่ถ้าใช้ความทุกข์ให้เป็น ความทุกข์สามารถจะผลักจิตให้เกิดปัญญาจะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ในความทุกข์ก็มีพลังมีแรงที่จะผลักให้จิตพ้นทุกข์ได้ หลวงพ่อคำเขียนพูดว่า “เห็นทุกข์ก็พ้นทุกข์” ทุกข์ถ้าไม่เห็นแต่เข้าไปเป็นก็มีแต่จมดิ่งเหมือนกับลงนรก ลงนรกทั้งเป็นถ้าหากว่าเข้าไปเป็นทุกข์ แต่ถ้าใช้ทุกข์ให้เป็น คือว่าเห็นมัน พิจารณามัน ก็สามารถจะพ้นทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นอริยสัจข้อแรก คือทุกข์ พระพุทธเจ้าจะบอกว่า “ทุกข์เป็นสิ่งที่จะต้องกำหนดรู้” รู้คือรู้ให้ทั่วถึง ท่านใช้คำว่า “ปริญญา” ทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่ดีแต่ก็มีด้านดีของมัน มันสามารถจะดูดใจเราให้จมอยู่ในความหลงได้ แต่มันก็มีแรงผลักที่ทำให้จิตใจเกิดปัญญา จนกระทั่งเกิดความรู้แจ้งได้
เพราะฉะนั้นเวลาเรามีทุกข์ หรือเจอทุกข์ก็รักษาใจให้ดี อย่าถลำเข้าไปในความทุกข์ ทุกข์มีแรงดึงดูดใจอยู่แล้ว เวลาเราเจ็บปวดตรงไหน จิตเราจะเข้าไปจ้องไปจ่ออยู่ตรงนั้น เหมือนกับว่าความปวดดึงจิตให้ไปจมอยู่กับความปวด เวลาโกรธจิตเราจะเหมือนกับถูกความโกรธครอบเอาไว้ หลุดออกจากความโกรธไม่ได้เลย แต่ถ้าเรารู้จักใช้ทุกข์ให้เป็น คือมีสติ แทนที่จะเป็นทุกข์ก็เห็นทุกข์ แทนที่จะจมอยู่ในความปวดในเวทนาก็เห็นความปวดเห็นเวทนา แบบนี้มีโอกาสที่จะเห็นธรรมได้ ฉะนั้นทุกข์จึงมีประโยชน์ สามารถจะผลักจิตเราให้ออกจากความทุกข์ได้ ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์ถึงบอกคนเราเวลาจะตายเป็นนาทีทอง เพราะตอนจะตายทุกขเวทนาจะมาก แต่ทุกขเวทนานั้นสามารถจะใช้เป็นแรงเหวี่ยงแรงผลักจิตให้ออกจากความทุกข์ได้ เหมือนกับที่มนุษย์เราใช้แรงดึงดูดของโลกเปลี่ยนแรงดึงดูดให้กลายเป็นแรงเหวี่ยง ทำให้ยานอวกาศหลุดออกจากแรงดึงดูดของโลก ทะยานสู่พุ่งไปสู่ดวงจันทร์ได้ หรือไปสู่ดาวอื่นๆในจักรวาลได้