แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้หลายคนจะได้กลับบ้านแล้ว หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แม้ว่าฟ้าจะหม่นมัวแต่จิตใจก็เบิกบานเหมือนดอกไม้ ดีใจที่จะได้กลับบ้าน อาจจะเป็นเพราะว่าที่บ้านมีคนรอเราอยู่ มีลูก มีหลาน มีคนรัก มีพ่อมีแม่ แต่บางคนแม้อยู่คนเดียวเพราะเป็นโสดก็ยังดีใจที่ได้กลับบ้าน แม้ไม่มีใครรอเราอยู่ที่บ้านก็ตาม แต่อยากให้คิดสักหน่อย บ้านที่รอเราอยู่นั้นเป็นบ้านของกาย เป็นบ้านของกายคือเป็นที่ที่เราได้อาศัยหลับนอน เป็นที่ที่ช่วยทำให้เราอยู่อย่างสะดวกสบาย ในยามที่ข้างนอกร้อนเราก็ได้อาศัยบ้านช่วยให้ร่มเงา ในยามที่ข้างนอกหนาวเราอาศัยบ้านนี้ให้ความอบอุ่น แต่สิ่งนี้เป็นแค่ความสุขกาย สิ่งที่เราควรจะมีด้วยคือบ้านของใจ คนส่วนใหญ่นึกถึงแต่บ้านของกาย แล้วก็หาเงินหาทองเพื่อจะได้มีบ้านของกายที่มั่นคงแน่นหนา บางคนยังไม่พอใจกับบ้านที่มีอยู่ว่าเล็กไปบ้างเก่าไปบ้าง จะหาบ้านของกายหลังใหม่ก็ดี หรือจะพยายามดูแลรักษาบ้านที่มีอยู่เอาไว้ก็เป็นหน้าที่ แต่บ้านของใจก็สำคัญ
คนส่วนใหญ่มีบ้านของกายแต่ไม่มีบ้านของใจ เพราะฉะนั้นบางทีใจยังรุ่มร้อนเมื่อเจอสิ่งกระทบ ไม่ว่าจะเห็นทางตา ได้ยินทางหู หรือเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ หลายคนเวลาอยู่ไกลบ้านจะเหงา มาอยู่วัดก็รู้สึกเหงา หรือบางที่ไปเที่ยวด้วยซ้ำก็ยังรู้สึกเหงา แบบนี้เป็นเพราะว่าใจยังไม่มีบ้าน เพราะถ้าใจมีบ้านจะรู้สึกอบอุ่น บ้านของใจถ้าเราหาได้อยู่ที่ไหนก็จะรู้สึกอบอุ่น ไม่รู้สึกเบื่อ เพราะบ้านของใจจะตามเราไปทุกที่ บ้านของกายอยู่เป็นที่แล้วเราไม่สามารถจะอยู่กับบ้านชนิดนั้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง เดี๋ยวนี้เราอยู่บ้านชนิดนั้นซึ่งก่อด้วยอิฐทำด้วยปูนวันหนึ่งไม่กี่ชั่วโมง ต้องไปทำงานตั้งแต่เช้ากว่าจะกลับบ้านก็ค่ำหรือดึก แล้วเดี่ยวนี้เราต้องเดินทางกันมากด้วย เราก็ต้องทิ้งบ้านไว้ข้างหลัง เพราะฉะนั้นใจก็เลยเหงาเพราะไม่มีบ้านให้ใจ บ้านของใจประเสริฐหลายอย่าง คือสามารถจะตามเราไปทุกที่ ทำให้อยู่ที่ไหนก็มีความอบอุ่น มีจิตใจที่มั่นคง ไม่เหมือนบ้านของกายที่ไม่ว่าจะมีอยู่กี่หลังๆก็เคลื่อนย้ายตามเราไปไม่ได้ แถมยังเป็นภาระให้กับเราด้วย
บ้านของกายที่ทำด้วยอิฐก่อด้วยปูน ยิ่งราคาแพงหลายสิบล้านยิ่งสร้างความกังวลสร้างความหนักใจให้กับเรา เพราะว่าไหนจะต้องคอยดูแลทำนุบำรุงรักษาให้ดี วันดีคืนดีหลังคารั่วท่อน้ำแตกหรือผนังร้าว ยังไม่ต้องพูดถึงปลวกอีก เดี๋ยวนี้หลายบ้านมีปัญหาเรื่องปลวกแม้ว่าจะเป็นบ้านปูนก็ตาม บางคนยังทุกข์เพราะว่ายังผ่อนไม่หมด ต้องผ่อนถึง10 ปี 20 ปี สิ่งนี้เรียกว่าเป็นภาระทำให้เกิดความทุกข์ได้ด้วยซ้ำ อาจจะให้ความสะดวกสบายทางกายกันร้อนกันหนาว แต่ทำให้เกิดความกังวลกับจิตใจ แบบนี้เรียกว่าทุกข์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าวันดีคืนดีบ้านอาจถูกยึดไป บางคนทำใจไม่ได้บ้านถูกยึดต้องไปอยู่บ้านเช่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีคนหนึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะทำธุรกิจผิดพลาดหรืออย่างไร หรือเกิดปัญหาเรื่องการเงิน บ้านถูกยึดรถก็ถูกยึด ทำใจไม่ได้ฆ่าตัวตาย อาจจะเป็นเพราะเสียหน้าว่าไปอยู่บ้านเช่าต้องเสียหน้า ถ้าไปนั่งแท็กซี่หรือนั่งรถเมล์ก็เสียหน้า แบบนี้เรียกว่าบ้านของกายบ่อยครั้งก็สร้างความทุกข์ให้กับเราเอง แต่ถ้าเรามีบ้านของใจไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านของกาย จิตใจของเราก็ยังเป็นปกติได้
บ้านของใจคืออะไร เราฝึกมาแล้ว เราเรียนมาให้รู้จักการเอากายเป็นบ้าน เวลาตัวอยู่ไหนใจก็อยู่ตรงนั้น เรียกว่ามีกายเป็นบ้านของใจ กายเมื่อเป็นบ้านของใจ ใจก็ไม่เร่ร่อนไม่ระหกระเหิน ก่อนหน้านี้คือก่อนปฏิบัติ ใจอาจจะหมือนกับคนไร้บ้านระหกระเหิน บางครั้งอาจจะเที่ยวเตร่ไปยังอดีตที่น่าสนุกสนานน่าภาคภูมิใจ แต่บางทีก็พลัดตกไปสู่ปลักจมแห่งความทุกข์ความโศกที่ยังค้างคาใจ บางทีก็ไปคว้าเอาความหนักอกหนักใจมาใส่ตัว อย่างนี้เรียกว่าเป็นใจที่ระหกระเหินเหมือนคนไร้บ้าน แล้วบางทีก็กระเซอะกระเซิงไปไหนก็ไม่รู้ เวลาจะนอนใจก็กระเซอะกระเซิงไปไหนไม่รู้จนนอนไม่หลับ จะเรียกให้มันกลับมาก็ไม่ยอมกลับ มันจะเที่ยวเตร่ บางคนคิดจนคลุ้มคลั่ง หรือถ้าถึงไม่คลุ้มคลั่งแต่ก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า แบบนี้เรียกว่าเป็นอาการเหมือนคนที่ใจไร้บ้าน ใจที่เหมือนกับคนที่ไร้บ้าน ระหกระเหินกระเซอะกระเซิง
แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักเอากายเป็นบ้าน เวลาทำอะไรใจก็อยู่กับกาย เพราะปกติเราทำด้วยกาย อาบน้ำ ถูฟัน กินข้าว ซักผ้า กวาดบ้าน ใจไม่ได้ไปไหน ใจอยู่กับกาย เวลาจะนอนใจไม่ได้เที่ยวเตร่ไปไหน ไม่ระหกระเหินไม่กระเซอะกระเซิง แต่มาอยู่กับกายสักพักก็หลับไปเลย เอากายเป็นบ้าน คือตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น กายทำอะไรก็รู้ และต่อไปจะคิดนึกอะไรก็รู้ทันแล้วก็ปล่อยวางได้ ถ้าเราเริ่มจากการเอากายเป็นบ้านของใจ ใจเราจะนิ่งขึ้น ใจเราจะมีที่พักพิงได้พักผ่อน ประเภทกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลุ้มอกกลุ้มใจเพราะเรื่องราวในอดีต หรือหนักใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่แต่ปรุงแต่งไป ก็น้อยลง
ต่อไปก็เอาปัจจุบันเป็นบ้านของใจ ปัจจุบันคือสิ่งที่กำลังทำอยู่ เอาปัจจุบันเป็นบ้านของใจ ใจไม่ไหลไปอดีตไม่ลอยไปอนาคต อยู่กับปัจจุบัน พอจะอยู่กับปัจจุบันก็มีความสุขง่าย เพราะว่าความสุขที่จริงก็อยู่รอบตัวเราอยู่ใกล้ตัวเรา เพียงแต่ใจไม่ค่อยได้อยู่กับปัจจุบัน เลยไม่สามารถได้เก็บเกี่ยวความสุขหรือสิ่งดีๆที่อยู่รอบตัว เช่น เสียงนกร้อง ธรรมชาติที่งดงาม ฟ้าที่โปร่ง ดอกไม้ที่บานอยู่ข้างทาง หรือผู้คนน่ารักที่อยู่รอบตัวเรา แม้กระทั่งความสงบก็สามารถจะเก็บเกี่ยวได้จากการที่อยู่กับปัจจุบัน และถ้าใจอยู่กับปัจจุบันเอาปัจจุบันเป็นบ้าน ใจก็สงบได้ง่ายแม้รอบตัวมันจะอึกทึก ปัจจุบันจะพาความสงบให้พบได้ที่ใจเรา แต่คนเราถ้าเอากายเป็นบ้านก็ดี เอาปัจจุบันขณะเป็นบ้านก็ดี จะมีความสุขมีความสงบมีความโปร่งเบา แล้วปัจจุบันสามารถที่จะนำสิ่งดีๆ มาให้กับเราได้มากมาย
เคยไปเยี่ยมท่านติช นัท ฮันห์ ที่หมู่บ้านพลัมเมื่อ 5-6 ปีก่อน ก่อนจะกลับท่านมอบภาพที่เขียนด้วยภู่กันเป็นตัวอักษรเป็นข้อความว่า “ปัจจุบันขณะ หรือชั่วขณะนี้เต็มไปด้วยสิ่งอัศจรรย์ This moment is full of wonders” ทุกขณะหรือขณะจิตนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่มหัศจรรย์ ถ้าใจเราอยู่กับปัจจุบัน ไม่ว่าอยู่ตรงไหนทำอะไรก็สามารถจะเปิดเผย ไม่ใช่ความสงบที่เราเห็น บางทีเป็นความจริงหรือเป็นสัจธรรมด้วย เพราะฉะนั้นกลับไปบ้านแล้วอย่าลืมหาบ้านให้ใจด้วย เอาสิ่งที่เราทำเอาสติที่เราได้ฟูมฟักไปใช้ เพื่อร่วมกันก่อสร้างบ้านให้กับใจ ใช้สติที่จะพาใจกลับมาอยู่กับกาย กายทำอะไรใจก็รับรู้ อยู่กับปัจจุบันได้อย่างดีที่สุด