แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อสองอาทิตย์ก่อนได้มีโอกาสไปประเทศจีนกับท่านตงหมิง เขานิมนต์ให้ไปสอนกรรมฐานให้กับคนจีน การอบรมนี้จัดโดยกลุ่มลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนชาวจีน มีกลุ่มที่ศรัทธาในการเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียน และนิมนต์พระจากเมืองไทยไปสอน มีครั้งหนึ่งเชิญอาจารย์กำพลไปด้วย ไปสอนกรรมฐาน มีการจัดค่อนข้างถี่ ปีหนึ่ง 4-5 ครั้ง ครั้งหนึ่ง 8 คืน 7 วัน เรียกว่าเป็นการปฏิบัติที่เข้มข้นพอสมควร คือปฏิบัติตั้งแต่เช้ามืด แต่เขาตื่นเช้าไม่เหมือนเรา เขาตื่นประมาณตี 5 และเริ่มปฏิบัติจน 2 ทุ่มครึ่งถึง 3 ทุ่ม ไม่มีสวดมนต์ ไม่มีพิธีรีตองอะไร ปฏิบัติอย่างเดียวและคนที่นั่นก็ปฏิบัติกันจริงจังมาก คนเยอะ คราวที่แล้วก็มา 130 คน มีแม่ชีจากเมืองไทยไปด้วย แม่ชีอูฐ แม่ชีนิ ไปปฏิบัติกับเขาด้วย คนเยอะเป็นร้อยแต่ไม่ค่อยมีเสียงพูดคุยอะไรกันเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่มีจำนวนไม่น้อยเพราะมากันเป็นคณะ ยกทีมกันมาจากเซี่ยงไฮ้ก็มีเป็น 10 คน บางคนก็พาสามีภรรยา พาพี่เขยน้องสะใภ้มาปฏิบัติ ดูตั้งใจจริงกันดี บางคนมาเข้าคอร์สแบบนี้หลายครั้งแล้ว 4-5 ครั้งแล้ว และสุดท้ายก็เปิดโอกาสให้ผู้คนได้แสดงความคิดเห็น
มีหลายคนพูดคล้ายๆ กันว่า ช่วง 2-3 วันแรกทรมานมาก บางคนแค่วันแรกก็ตั้งคำถามในใจว่ามาทำไม เพราะดูแล้วว่ามันไม่มีอะไรเลย มีแต่ยกมือสร้างจังหวะ และก็เดิน ความเครียด ความเบื่อ ความง่วงรุมเร้า แต่พอปฏิบัติไปวันที่ 3-4 รู้สึกตัวเบา ใจเบา มีคนหนึ่งบอกว่าวันแรกก็อยากกลับแล้ว ไม่รู้ทำทำไมกัน แต่ว่าเสียดายโทรศัพท์มือถือ เพราะคนจัดเขายึดหมด โทรศัพท์มือถือทุกเครื่องเขาเก็บไว้ นักปฏิบัติธรรมผู้หญิงคนนี้มาขอคืน เขาก็ไม่คืนให้ บอกว่าจะคืนก็ต่อเมื่อวันสุดท้าย นักปฏิบัติคนนี้เสียดาย เสียดายโทรศัพท์ ก็เลยต้องปฏิบัติต่อ พอปฏิบัติต่อวันที่ 2-3 เริ่มจับทางได้ เห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตใจ เกิดความสงบ เกิดความปีติขึ้นมา แต่มีหลายคนแค่วันแรกเขาก็รู้สึกสบาย รู้สึกว่าใจนี้เบา รู้สึกผ่อนคลาย และเริ่มคลำได้ว่าความรู้สึกตัวหรือสติมันเป็นอย่างไร
มีคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเขาเคยไปเข้าคอร์สเมื่อปีที่แล้ว เสร็จจากคอร์สก็จะกลับบ้าน ที่บ้านเขามีการนัดหมายว่าจะขึ้นศาลกับสามี เพื่อหย่ากัน อยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่บังเอิญน้ำท่วม ทำให้การขึ้นศาลต้องเลื่อนไป การที่ต้องเลื่อนไปหลายวันก็ทำให้มีโอกาสได้เอาวิชาสติมาใช้ คือทำให้เขาได้รู้จักดูใจของตัว แต่ก่อนนี้คิดแต่จะโทษสามีว่าเป็นต้นเหตุแห่งความวิวาทบาดหมาง แต่พอมาดูใจของตนเองก็เห็นว่าใจตัวเองก็มีส่วนด้วย ทำให้อดทนมากขึ้น ฟังสามีมากขึ้นก็ปรากฏว่าทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น สุดท้ายตกลงว่าไม่หย่าร้างกัน เขาบอกดีใจมากเพราะนอกจากจะได้สามีกลับมาแล้ว ยังทำให้ลูกไม่ขาดพ่อ เขาได้อานิสงส์จากการเจริญสติ เห็นประโยชน์ว่ามันทำให้ชีวิตหรือว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวมันเปลี่ยนแปลงไป ดีขึ้น ก็เลยมาปฏิบัติอีก มีเรื่องราวแบบนี้ของหลายคนที่เขาได้ใช้ประโยชน์ ก็เลยชวนกันมา ชวนญาติ ชวนสามี ชวนครอบครัวมา
คนจีนตอนนี้ความสนใจเรื่องสมาธิภาวนามีเยอะมาก รวมทั้งการเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียน ตอนนี้จะว่าไปคนจีนเขามีความกระหายความสงบ ความสุขที่มันมากไปกว่าวัตถุ แต่ก่อนคนจีน 30 ปีก่อนอาจจะนึกถึงเรื่องของอาหารการกิน เรื่องความอยู่รอด เพราะ 30 กว่าปีก่อน คนจีนนั้นจนมาก ข้าวดีๆ อย่างที่บ้านเรากินกัน คนเหล่านั้นแทบจะไม่ได้รู้จักเลย ข้าวหักผสมกรวดมีทรายปนอันนี้เป็นธรรมดาที่ต้องเจอ ไม่ต้องพูดถึงข้าวหอมมะลิ ทุกวันนี้ข้าวของเขาก็ยังไม่ดีเท่าข้าวของเมืองไทย แต่คนจีนตอนนี้เขาข้ามพ้นจุดนั้นไปแล้ว ข้ามพ้นจุดที่ต้องกระเสือกกระสนหาอาหารการกิน ต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ตอนนี้ประเทศจีนเขามีความเจริญ ต้องเรียกว่ารุดหน้าเมืองไทยไปเยอะทีเดียว ญาติพี่น้องที่เคยรับเงินจากเมืองไทย คนไทยสมัยก่อนนั้นลูกจีนที่มาอยู่เมืองไทยเขาจะส่งเงินไปให้กับญาติพี่น้องที่อยู่ในประเทศจีน เรียกโพยก๊วน แต่ก่อนส่งไปปีละ 3-4 พันก็ถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับเขา แต่เดี๋ยวนี้ 3-4 พันมันไม่มีความหมายแล้ว เพราะว่าเขาร่ำรวย คนจีนที่เขาเคยรับเงินจากเมืองไทย ตอนนี้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีกันเยอะแยะ
ความร่ำรวย ความเจริญ การพัฒนาของประเทศเขานั้น เห็นได้ชัดมากถ้าเราไปโดยเฉพาะทางเมืองด้านตะวันออก กวางโจว เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง หรือ ฟูเจิ้น เซี่ยเหมิน พวกนี้เมืองเขาใหญ่ๆ ประชากรมี 10 กว่าล้านคน รถไฟความเร็วสูงตอนนี้กำลังแพร่ขยายกันอย่างรวดเร็วมาก เมืองไทยซึ่งเคยเจริญล้ำหน้าเขาไปหลาย 10 ปี เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เราก้าวล้ำกว่าเขา 50 ปีก็ว่าได้ รถของเราใช้กันเยอะแยะจนรถติด แต่เขาไม่รู้จักรถ รู้จักแต่รถจักรยาน แต่ตอนนี้เขาไปไกลแล้ว ไปไกลกว่าเรามาก คนจีนที่เซี่ยเหมินหรือกวางโจว เขามาเมืองไทย เขาบอกว่าเมืองไทยเราเหมือนของเขาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในกรุงเทพฯ เหมือนของเขาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
เงินของเขานั้นใหญ่มาก เงินหยวน มีไกด์ที่เป็นคนไทยที่คุ้นเคยและช่ำชองเรื่องเมืองจีนมาก เขาพูดให้ฟังว่า เดี๋ยวนี้การให้สินบนของตำรวจจีนนั้นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ทีเดียว ไม่เหมือนให้สินบนตำรวจไทย ไม่กี่บาทก็ผ่านได้ ญาติของเขาคนจีนมาเมืองไทยตอนที่ศุลกากรจะตรวจกระเป๋า ไม่รู้ข้างในมีอะไรแต่คงมีของที่ต้องหนีภาษี ไม่อยากให้ตำรวจตรวจ ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยตรวจก็เลยยื่นเห็ดให้ 2 ห่อ เจ้าหน้าที่ไทยก็รับเลยแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป คนจีนเขามาเล่าว่าแค่เห็ด 2 ห่อ เจ้าหน้าที่ไทยก็ให้ผ่านแล้ว ถ้าเป็นเมืองจีนนั้นไม่ได้เลย มันต้องมากกว่านั้นหลายเท่า จะให้สินบนนี้ก็ให้ได้แต่ต้องเยอะ ถ้าให้เห็ด 2 ห่อนี่ถือว่าดูถูกกันมาก เรื่องการให้สินบนในเมืองจีนถึงแม้จะทำได้ แต่มันต้องใช้เงินก้อนใหญ่ เพราะตอนนี้เงินในเมืองจีนมันใหญ่กว่าในเมืองไทยเยอะ
อันนี้เป็นเกร็ดที่เห็นความเจริญทางวัตถุของประเทศจีนไปไกลมาก ไปที่ไหนก็เห็นแต่เมืองใหญ่ๆ ตึกสูงๆ ซึ่งหลายเมืองนี้เป็นเมืองที่เหมือนกับร้างผู้คน คือคนไม่ค่อยเยอะ แต่สร้างเอาไว้ก่อน อาจจะสร้างเพื่อเรียกว่าเพื่อเก็งกำไรก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องตึกนั้นที่ดินมันหายาก เก็งกำไรสร้างกันไว้ เหมือนเมืองไทยเมื่อก่อนปี 40 ก็สร้างตึก สร้างอาคารกันมากมาย รวมทั้งห้องแถว คอนโด เพื่อเก็งกำไร แต่พอเศรษฐกิจวิกฤต ไม่มีคนซื้อ กำลังซื้อตก ตึกพวกนี้ก็เลยร้าง แต่ของเมืองจีนนั้นเขามีความหวังว่า มันจะเจริญรุ่งเรืองไปได้เรื่อยๆ
เพราะเหตุนี้เลยทำให้คนจีนจำนวนหนึ่งรู้สึกว่าชีวิตมันเร่งรีบเกินไป ชีวิตมันเครียด หลังจากที่ได้ประสบความสำเร็จทางด้านวัตถุ และพบว่ามันยังไม่มีความสุข ยังมีความเครียดอยู่ เขาเลยหันมาเข้าหาธรรมะ เข้าหาสมาธิภาวนา จริงอยู่มีคนนิยมทำบุญกันเยอะเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนเฒ่า คนแก่ ที่เคยรู้จักพุทธศาสนามานานตามวัดในชนบท คำว่าชนบทก็ไม่ใช่หมู่บ้าน แต่เป็นเมือง ขอเรียกเมืองต่างจังหวัดดีกว่า ยังเห็นคนเฒ่า คนแก่ไปทำบุญกัน
ได้มีโอกาสไปที่วัดของท่านเว่ยหล่าง เที่ยวนี้พอเสร็จกรรมฐานแล้วก็เดินตามรอยท่านเว่ยหล่างไปยังหมู่บ้านที่ท่านเกิด ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของกวางโจว ไปวัดที่ท่านอุปสมบท ไปวัดที่ท่านแสดงธรรมจนมรณภาพ วัดที่ท่านมรณภาพชื่อว่าวัดกั๋วเอิน เป็นวัดใหญ่แต่อยู่ในต่างจังหวัด บังเอิญไปเป็นช่วงวันวิสาขบูชาของเขาพอดี ทีแรกก็ไม่รู้หรอก กำลังเดินชมสถานที่ เดินพูดคุยกัน คุยกับไกด์อยู่ คุยกับมัคคุเทศก์ ก็มีอาม่ามากวักมือเรียกให้ขึ้นไปที่ศาลา คนล้นออกมาข้างนอก ไม่รู้ว่าอะไร แต่เขาอยากให้เราเข้าไป เปิดช่อง เปิดทางให้เข้าไปในตัววิหาร เป็นวิหารหลักของเขา เมืองจีนจะมีวิหารหลักอยู่ที่มีพระพุทธรูปอยู่ 3 องค์ จะหมายถึงพระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบันและอนาคตก็ได้ หรือจะหมายถึงพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า สัมโภคกาย นิรมาณกาย หรือธรรมกายก็ได้ มันมีหลายคติ เข้าไปก็เห็นเขากำลังสรงน้ำพระพุทธรูป เป็นพระพุทธเจ้าองค์น้อยๆ เขาให้เราได้สรงน้ำด้วย เลยได้รู้ว่าเป็นวันวิสาขบูชา วันที่ 6 พฤษภา ก่อนบ้านเรา 1 อาทิตย์ ส่วนใหญ่เป็นคนแก่ 90-99 เปอร์เซนต์ การแต่งกายก็เหมือนกับคนแก่ตามชนบท
แต่พอไปอีกวัดหนึ่ง วัดกวงเสี้ยว ซึ่งอยู่ในกลางเมืองกวางโจว วัดนี้ท่านเว่ยหล่างมาอุปสมบท และมีการอนุรักษ์ต้นไม้คือต้นโพธิ์ ซึ่งสำคัญที่สุดในประเทศจีน สำคัญที่สุดเพราะเป็นต้นที่เชื่อว่าท่านเว่ยหล่าง ปลงผมใต้ต้นไม้นี้ เสร็จแล้วใกล้ๆ กันมีเจดีย์ 7 ชั้นเล็กๆ เล็กๆ นี้ก็ประมาณ 5 เมตร สูงประมาณ 5 เมตร เชื่อว่าเป็นที่เก็บเส้นผมที่ท่านเว่ยหล่างได้ปลงเอาไว้ วัดนี้เป็นวัดสำคัญ เพราะมีชื่อในตำนาน พวกเราถ้าได้ศึกษาประวัติของท่านเว่ยหล่างจะได้ฟังเรื่องราวตอนหนึ่ง คือตอนที่ท่านเข้าไปในเมืองกวางโจวและไปที่วัดนี้ ตอนนั้นกำลังมีการแสดงธรรม ขณะที่ครูบาอาจารย์กำลังแสดงธรรม ลูกศิษย์ซึ่งคงมีมากมาย ลูกศิษย์ที่ยืนอออยู่ข้างหลัง บังเอิญไปเห็นธงทิวพลิ้วสะบัด คนหนึ่งก็บอกว่าธงไหว อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่ใช่ธงไหว ลมไหวต่างหาก ทีแรกก็เถียงอยู่ 2 คน ตอนหลัง 2 คนก็กลายเป็น 2 กลุ่ม โต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนว่าธงไหวหรือว่าลมไหวกันแน่ ท่านเว่ยหล่างซึ่งตอนนั้นพึ่งมาถึงใหม่ๆ ได้พูดสวนขึ้นมาเลยว่าจิตของท่านต่างหากที่ไหว คนที่ได้ฟังก็อึ้งและเงียบเลย เพราะว่าทำให้ได้สติขึ้นมา คือเอาแต่เถียงกันว่าธงไหวหรือลมไหวจนลืมดูใจตนเอง เขาเรียกว่าส่งจิตออกนอก ลืมดูใจของตัว อันนี้เป็นตอนที่มีชื่อมาก เป็นตอนสำคัญตอนหนึ่งในประวัติของท่านเว่ยหล่าง ที่วัดกวงเสี้ยวนี่แหละอยู่กลางกรุงกวางโจว นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 1,300 ปีที่แล้ว
วัดนี้ยังมีคนหนุ่มคนสาวมาทำบุญ ไม่ได้ทำบุญให้วัดเปล่าๆ แต่ทำบุญให้กับพระไทยด้วย เห็นพระไทยมาก็ถวายปัจจัยเป็นอั่งเปา ได้มาเห็นว่าเดี๋ยวนี้คนหนุ่มสาว เขาสนใจธรรมะหรือสนใจศาสนา ไม่ใช่ที่วัดกวงเสี้ยวเท่านั้น วัดของท่านโพธิธรรมหรือตั๊กม้อ ท่านพระโพธิธรรมคือพระชาวอินเดียที่นำเอาลัทธิ เอาพุทธศาสนาแบบเซนหรือภาษาจีนเรียกว่าฉาน เซนเป็นคำของญี่ปุ่น ฉานเป็นคำจีน มาจาก ฌาน ภาษาบาลี ท่านโพธิธรรมมาแตะพื้น แผ่นดินจีนเป็นครั้งแรกที่วัดนี้ เขาสร้างวัดนี้เพื่อระลึกถึงท่านโพธิธรรมได้มาเหยียบแผ่นดินจีนเป็นครั้งแรก นั่นคือเหตุการณ์เมื่อ 1,400 ปีก่อน คือประมาณ160 ปีก่อนท่านเว่ยหล่าง ของเมืองจีนนั้นโบราณสถานเขาเป็นพันๆ ปีทั้งนั้น ประเภทแค่ 200 ปีถือว่าสั้นมากสำหรับเขา ที่วัดนี้มีหนุ่มสาวชาวจีนมาสวดมนต์มาทำบุญเหมือนกัน ตรงวิหารอรหันต์ 500 อรหันต์ทองคำ 500 รูป เป็นวิหารที่เขาทำอย่างพิเศษ มีคนหนุ่มสาวมาสวดมนต์ มาทำบุญ
อันนี้แสดงถึงความสนใจของคนจีนที่เห็นว่าศาสนามันเป็นที่พึ่งทางใจได้หรือสามารถจะเป็นคำตอบของชีวิตได้ เป็นปรากฏการณ์ที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เมืองจีนปฏิเสธศาสนามาในช่วงคอมมิวนิสต์ สมัยที่เขาปฏิวัติใหม่ๆ ตั้งแต่ปี 2492 ที่เขาปฏิวัติคอมมิวนิสต์ได้และเขาเริ่มปฏิเสธศาสนาเป็นเวลายาวนานถึง 30 ปี 40 ปี ปฏิเสธแบบทำลายเลยไม่ใช่ปฏิเสธแบบไม่สนใจอย่างเดียวแต่ทำลายด้วย ทำลายวัดวาอารามต่างๆ โดยเฉพาะในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมคือประมาณ 2509-2510 40 ปีที่แล้วเขาทำลายมาก รวมทั้งทำลายของเก่าของแก่ คัมภีร์โบราณ ทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวกับลัทธิขงจื้อ เพราะเขาต้องการสร้างประเทศให้เป็นประเทศใหม่ โดยการปฏิเสธของเก่า อันนี้เป็นความเชื่อของ เหมา เจ๋อ ตง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ คือว่ามนุษย์เราถึงที่สุดแล้วก็ต้องการศาสนา แม้ว่าจะหิวโหย ยากจน กระเสือกกระสนจนมีกินมีใช้แล้วถึงขั้นร่ำรวย แต่สุดท้ายพบว่าวัตถุนั้นไม่ใช่คำตอบ หันมาสนใจศาสนา แต่ความสนใจศาสนาก็มีหลายแบบ ที่สนใจเอาศาสนาเป็นที่พึ่งด้วยการทำบุญสักการะ หวังอำนาจดลบันดาลของศักดิ์สิทธิ์ หวังการดลบันดาลของพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ คือเขาเชื่อว่าจะอำนวยความสุขสวัสดีให้อย่างนี้ก็มี คนแก่ๆ ก็หวังพึ่งศาสนาในแง่นี้เยอะ คนหนุ่มก็เช่นเดียวกัน มันจำเป็นสำหรับคนที่ชีวิตขาดความมั่นคงพึ่งพาอะไรไม่ได้ เศรษฐกิจก็ผันผวน อนาคตก็ไม่แน่นอนหรือเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นก็ต้องหันมาพึ่งศาสนา หันมาทำบุญ
มีวันหนึ่งช่วงที่อยู่กวางโจว กำลังจะขึ้นเรือไปล่องแม่น้ำไข่มุก ตอนนั้นก็เย็นแล้ว ขณะที่กำลังรอเรืออยู่ ไปเหลือบเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังสวดมนต์ ส่วนผู้ชายอีกคนหนึ่งท่าทางจะเป็นน้องชายกำลังตักปลาปล่อยลงแม่น้ำ จะเรียกว่าปล่อยปลาก็ไม่ได้ เพราะปลามันเยอะมาก ปลานั้นใส่เข่งประมาณ 30-40 กิโลได้ ปลาดุกทั้งนั้นหลายร้อยตัวทีเดียว ผู้หญิงก็สวดมนต์ไป ผู้ชายก็ปล่อยปลา ตักปลา ตักกันอย่างจริงจังมาก เห็นเราก็ชวนให้มาร่วมทำบุญด้วย ร่วมตักปลากับเขา ไม่เคยเห็นใครปล่อยปลามากขนาดนี้เลย คือเป็นร้อยๆ ตัว 30-40 กิโล ถ้าเป็นอย่างนี้คงจะร้อยพันหรือเป็นหมื่นก็ได้ เพราะปลามันก็แพงเหมือนกัน คนจีนนั้นเวลาทำอะไรทำจริงจังมาก ปล่อยปลา 40-50 ตัว เขาไม่ทำกัน เขาปล่อยกันเป็นร้อยๆ ตัวเป็นสิบๆ กิโล อันนี้เป็นบุญตาที่ได้เห็นความศรัทธาในบุญกุศลหรือความเชื่อมั่นในบุญกุศลนั้นกำลังกลับคืนมาสู่ชาวจีนแม้กระทั่งคนหนุ่มสาว ทั้งสองคนอายุไม่มาก อายุสักประมาณ 20 กว่า 30 ต้นๆ
แต่มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ทำแค่เพียงทำบุญ ปล่อยนกปล่อยปลา แต่หันมาทำสมาธิภาวนาและทำกันจริงจัง ไม่ใช่แค่เพียงให้จิตใจสงบหายรุ่มร้อน เพียงเพื่อกลับไปดำเนินชีวิตได้เท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังความหลุดพ้นด้วย มีจำนวนไม่น้อยที่เชื่อเรื่องนิพพาน เชื่อเรื่องความหลุดพ้น และเชื่อว่าสมาธิภาวนาหรือการเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียนจะช่วยได้ หลายคนได้อานิสงส์จากการเจริญสติ อานิสงส์หลายอย่างเป็นอานิสงส์ในทางโลก เช่น ช่วยทำให้คลายเครียด ช่วยทำให้ทำงานได้ดี อ่านหนังสือหรือศึกษาหาความรู้ได้อย่างมีสติไม่วอกแวก ช่วยทำให้อยู่กับครอบครัวได้อย่างมีความสุข ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน อันนี้เรียกว่าประโยชน์ทางโลก ประโยชน์ทางโลกคือประโยชน์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ ครอบครัว การงาน และการทำมาหากิน แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้มีประโยชน์แค่นั้น แต่มีประโยชน์สูงกว่านั้นด้วย คือเพื่อมุ่งไปสู่ความหลุดพ้น มันอยู่ที่ว่าจะเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือแม้แต่การเจริญสติไปใช้อย่างไร
ในสมัยพุทธกาลเคยมีตัวอย่าง อย่างพระเจ้าปเสนทิโกศล วันหนึ่งได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่จะกราบจะก้มนั้นรู้สึกอึดอัดมากเพราะว่าอ้วน กินอาหารเยอะ ก็ปรารภเรื่องนี้กับพระพุทธเจ้าว่าตนเป็นคนที่เจริญอาหารมาก พระพุทธเจ้าเลยกล่าวเป็นคาถาว่า บุคคลผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้ประมาณในการบริโภคนั้น จะมีอายุยืน แก่ช้า เวทนาจะเบาบาง พระเจ้าปเสนทิโกศลฟังก็ชอบใจมากเลยให้มหาดเล็กจำเอาไว้และท่องคาถานี้เวลาตัวเองกินอาหาร เพื่อเตือนสติไม่ให้กินมาก คาถาสั้นๆ เท่านั้นเอง ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อย่อมรู้ประมาณในการบริโภค เวทนาย่อมเบาบาง แก่ช้า อายุยืน พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทำตาม ทุกมื้อมีคนมาเตือนสติให้ฉันแต่พอดี ไม่นานสุขภาพก็ดีขึ้น น้ำหนักลดลง เดินเหินก็สะดวก เห็นชัดเจนว่า เออจริง เวทนาเบาบาง อายุยืนนี้ไม่รู้ แต่รู้สึกว่าสุขภาพดีขึ้น เลยไปทูลพระพุทธเจ้า สรรเสริญพระพุทธเจ้าว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นประโยชน์ทั้งในปัจจุบันและประโยชน์เบื้องหน้า ประโยชน์เบื้องหน้านี้รวมถึงทางการพ้นทุกข์ด้วย
การเจริญสตินี้มันใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย เรื่องพื้นๆ ในการดำเนินชีวิต เช่น ถ้าขับรถมีสติ ทำงานมีสติ ความผิดพลาด อุบัติเหตุมันก็ไม่มี ถ้ากินอาหารอย่างมีสติ ก็จะไม่มีโรคไม่มีภัย อันนี้เป็นประโยชน์ทางโลก เป็นประโยชน์ปัจจุบัน ใช้คำว่า ทิฏฐธัมมิกัตถ แต่ถ้ามองว่าการเจริญสติมีประโยชน์เพียงเท่านี้เรียกว่ามองแคบไปหรือแม้จะมองว่าการเจริญสติไว้เพื่อช่วยลดความเครียด แก้ความเครียดทำให้จิตใจหายฟุ้งซ่าน อันนี้ก็ยังถือว่าเป็นประโยชน์เบื้องต้นเท่านั้นของการเจริญสติหรือสติปัฏฐาน แท้จริงแล้วสติสามารถมีคุณค่าถึงขั้นทำให้จิตหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ด้วย อันนี้เรียกว่าเป็นสัมปรายิกัตถ หรือปรมัตถ คือประโยชน์สูงสุด
อันนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสย้ำ ตอนที่พระพุทธเจ้าได้ปลงอายุสังขาร ท่านปลง 3 เดือนก่อนปรินิพพาน ตอนที่ปลงเริ่มมีอาการอาพาธ มีความป่วยไข้ให้เห็น ร่างกายก็ชรา ผิวหนังก็เหี่ยวย่น พอปลงอายุสังขาร พระที่รับรู้ก็เสียใจ มีบางท่านร้องไห้คร่ำครวญ มีส่วนน้อยที่ตั้งจิตอยู่ในความไม่ประมาท พระพุทธเจ้าเมื่อเห็นพระจำนวนไม่น้อยเศร้าโศกเสียใจก็เตือนให้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของสังขาร และท่านตรัสว่าจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง พระองค์ขยายความว่า มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่งคือ มีธรรมะเป็นเกาะ มีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นเกาะ มีธรรมะเป็นที่พึ่งอย่างไร พระองค์ก็อธิบายต่อว่าคือการหมั่นเจริญสติปัฏฐาน 4 ทั้งกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา และพระองค์ย้ำว่าถ้าภิกษุหมั่นเจริญสติปัฏฐาน 4 ละความพอใจ ความไม่พอใจในโลกได้ก็จะถึงที่สุดแห่งทุกข์
อันนี้เป็นสิ่งที่พระองค์ย้ำในช่วงที่ทรงปลงอายุสังขาร และเป็นการเตือนสติให้พระทั้งหลายได้เห็นคุณค่าของสติปัฏฐาน พวกเรามาเจริญสตินั้นพยายามมองให้เห็นถึงอานิสงส์ที่สูงส่งของการเจริญสติ อย่าคิดแค่ว่าการเจริญสติช่วยทำให้ทำงานได้ดี ความเครียดลดลง ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น อันนั้นยังเป็นประโยชน์ชั้นต้น เป็นประโยชน์ชั้นเรียกว่าพื้นฐาน ถ้าเราหวังประโยชน์เพียงแค่นี้หรือมองเห็นประโยชน์เพียงเท่านี้ยังถือว่าใช้ประโยชน์จากสติปัฏฐานได้น้อยมาก จะต้องมองไปถึงขั้นว่าใช้ สติปัฏฐาน 4 เพื่อช่วยยกจิตให้เกิดปัญญาที่ทำให้เห็นความจริง เห็นสัจธรรม จนจิตหลุดพ้นจากความทุกข์ได้
ถ้าเรามองเห็นประโยชน์การเจริญสติแบบนี้มันจะทำให้เราได้เห็นคุณค่าของ สติปัฏฐาน 4 ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงมากขึ้น เมื่อเห็นแล้ว เราก็ทำความเพียรให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา การมาเข้าคอร์สอันนี้เป็นการเพิ่มความเข้มข้นให้กับการปฏิบัติหรือเพื่อรู้จักการปฏิบัติให้ถูกหลัก เสร็จแล้วก็นำไปใช้กับการดำเนินชีวิต ให้มันกลมกลืนไปกับชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพื่อให้การดำเนินชีวิตประจำวันมีความสุขเท่านั้น แต่เพื่อทำให้เกิดปัญญา สามารถที่จะเห็นความจริงของชีวิตถึงขั้นปรมัตถ และได้รับประโยชน์สูงสุดจากการได้มาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยและได้พบพระพุทธศาสนา