แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทำวัตรเช้าที่นี่ต้องตื่นแต่เช้า เช้ามากๆเลย คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ใหม่เพราะต้องต่อสู้กับความง่วง ออกจากกุฏิก็ต้องเจอความมืด บางคราวต้องเดินฝ่าฝนมาทำวัตร เพียงแค่ตื่นให้เช้าผู้ใหม่หลายคนก็จะรู้สึกอิดออด ฝืนกับความเคยชินเดิมๆ ถ้าใครที่รู้สึกแบบนั้นก็อยากจะให้นึกถึงคำของหลวงพ่อพยอม ท่านพูดไว้ดีมากว่า เราจะสวดมนต์เองหรือจะรอให้คนอื่นสวดให้เรา เมื่อใดก็ตามที่คนอื่นสวดให้เราแปลว่าเราอยู่ในโลงแล้ว เราจะมาวัดเองหรือจะให้คนอื่นหามเรามาวัด มาวัดเองดีกว่าตั้งมากมาย ถ้าให้คนอื่นหามมาแสดงว่าตอนนั้นเป็นศพไปแล้ว อยู่ในโลงแล้ว หรือมิเช่นนั้นก็เพียบหนัก เราจะพนมมือเองหรือจะให้คนอื่นพนมมือให้ เพราะฉะนั้นถ้าพิจารณาแบบนี้ก็จะเกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีเลย
พวกเราถือว่าเป็นผู้ที่ฉลาด เราเลือกที่จะมาวัดด้วยตัวเองแทนที่จะให้คนอื่นหามเรามาวัด เราเลือกที่จะสวดมนต์เองแทนที่จะให้คนอื่นสวดให้เรา ถึงตอนนั้นก็อาจจะไม่มีประโยชน์แล้วถึงแม้ว่าผู้ที่สวดให้เราเป็นพระ อาจจะเป็นครูบาอาจารย์ด้วยซ้ำ แต่กระนั้นคงจะไม่มีประโยชน์แล้ว แต่ถ้าหากว่าเรามาสวดมนต์ด้วยตัวเองจะช่วยให้ธรรมะซึมซับในจิตใจของเรา และถ้าเราไม่เพียงแต่เรามาสวดมนต์เฉยๆ แต่เรามาปฏิบัติด้วย ไม่ใช่แค่สวดไม่ใช่แค่เอ่ยหรือสาธยายพระพุทธวจนะ แต่ลงมือปฏิบัติฝึกจิตฝึกใจด้วย แบบนี้จะเป็นการเตรียมจิตเตรียมใจของเราในขณะที่ยังมีกำลังวังชายังมีสุขภาพดีอยู่ เรามาเตรียมจิตเตรียมใจเอาไว้
ที่จริงรวมถึงการเตรียมตัวเตรียมกายด้วย เตรียมเพื่ออะไร เตรียมเพื่อที่จะรับมือกับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้น บางคนอาจจะมาเพราะความทุกข์อยู่แล้ว ความทุกข์ผลักให้มาวัด คนส่วนใหญ่ถ้าไม่มีความทุกข์ก็คงไม่มาวัด เพราะว่าวัดไม่ใช่สิ่งที่สะดวกสบายไม่ใช่สิ่งที่กิเลสต้องการเท่าไร อยู่ที่บ้านก็สบายดีอยู่แล้วจะมาที่วัดทำไม แต่จำเป็นต้องมาเพราะความทุกข์ผลักไสบีบบังคับ น้อยคนที่จะมาโดยที่ไม่มีความทุกข์ผลักมาเลย แต่มาเพราะเห็นว่าวันข้างหน้าจะต้องเจอกับความทุกข์ ก็เลยมาเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้สำหรับการเผชิญกับความทุกข์ เผชิญหน้ากับความทุกข์ดีกว่าให้ความทุกข์ผลัก เพราะว่าเวลาความทุกข์ผลัก มันเข้ามาข้างหลังแล้วผลักเรา ไม่รู้ว่าเราจะกระเด็นกระดอนไปท่าไหน ถ้ากระเด็นเข้าวัดหรือถลาเข้าวัดก็ดีไป แต่ถ้าถลาไปทางอื่นก็อันตราย เช่นเวลาบางคนทุกข์แล้วก็ถลาเข้าหาเหล้า กินเหล้าเพื่อย้อมใจ เพื่อคลายเครียด เพื่อจะได้ลืมทุกข์ แบบนี้อันตราย
อย่างที่พูดเคยไป ความทุกข์ผลักให้ไปทำร้ายคนอื่นเพื่อแก้แค้น อาจจะไม่ทำร้ายด้วยการกระทำแต่ทำร้ายด้วยคำพูด ซึ่งทำให้เกิดผลเสียตามมา พูดไปแล้วก็เสียใจภายหลัง แบบนั้นคงไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่ อย่ารอให้ความทุกข์ผลักเรา เราเผชิญหน้ากับมันดีกว่า และสิ่งที่เรามาทำที่นี่เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจจะไม่สูญเปล่า เพราะว่าอย่างไรแล้วก็ต้องเจอแน่กับความทุกข์ อย่างที่เราสวดไปสักครู่นี้ เราทั้งหลายเป็นผู้ที่มีความทุกข์เบื้องหน้าแล้ว ที่จริงความทุกข์ไม่ได้รออยู่เบื้องหน้าเท่านั้น มันตามติดเราตลอดเวลา เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว ความทุกข์ตามเราติดๆเลย แต่เราอาจจะมองไม่เห็นเพราะว่ายังไม่แสดงตัวออกมา ยังไม่แสดงพิษสงออกมา หรือแสดงแต่ว่าค่อยๆแสดง เช่นความแก่ ความแก่ค่อยปรากฏกับเรา หนึ่งอาทิตย์หนึ่งเดือนหนึ่งปีก็อาจจะไม่รู้สึกว่าแก่ แต่พอผ่านไป 4-5 ปี ความแก่จะเห็นชัด เรี่ยวแรงก็อ่อนลง หรือผิวหนังก็เหี่ยวย่น
แต่ความทุกข์บางอย่างก็มาเร็ว ไม่ต้องรอเป็นปี เช่นโรคภัยไข้เจ็บบางทีไม่ต้องรอเป็นปี ความปวดความเมื่อยก็ทุกข์เหมือนกัน ความปวดความเมื่อยแสดงให้เราเห็นเร็ว ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแค่สิบนาทีสิบห้านาทีความปวดความเมื่อยก็แสดงตัวออกมาแล้ว ไม่ได้มาจากไหนมันก็อยู่ในสังขารของเราเอง เป็นสิ่งที่ประจำสังขารของเรา เพียงแต่รอเวลาแสดงตัวออกมาเท่านั้น บางคนก็แสดงตัวออกมาเร็วหน่อยบางคนก็แสดงตัวออกมาช้า แบบนี้เรียกว่าทุกข์แต่เป็นทุกข์ที่เราพอจะจัดการได้ เราเพียงแค่ขยับเนื้อขยับตัวทุกข์ก็หายไป แต่จะว่ามันหายไปทีเดียวก็ไม่ใช่เพียงแต่ว่ามันหลบใน เช่นเรานั่งแล้วเมื่อยเราก็พิงเสา ความทุกข์ไม่ได้หายไปมันแค่หลบแล้วเดี๋ยวก็โผล่มาใหม่ พิงเสาสักพักก็เมื่อย พิงเสาไม่ดีแล้วเอนดีกว่านอนดีกว่า ทีแรกก็จะแค่ตะแคง นอนตะแคงก็สบายแต่แค่ชั่วคราวเดี๋ยวก็เมื่อยแล้ว จึงนอนหงายดีกว่า นอนหงายก็สบายแต่ความทุกข์ความเมื่อยไม่ได้ไปไหน เพียงแค่หลบสักพักแล้วมันก็โผล่มาใหม่ เมื่อยอีกแล้วต้องขยับเนื้อขยับตัว สิ่งนี้ทำให้เรารู้ว่าคือสัญญาณที่บอกเราว่าความทุกข์อยู่ประจำตัวเรา ตามติดเราไปตลอด
ถ้าเรามองอย่างนี้เราได้ประโยชน์ ความปวดความเมื่อยสอนธรรมให้กับเราว่า ความทุกข์ตามติดเราไปตลอดเวลา และเป็นแค่พิษสงเล็กๆน้อยๆของมัน ต่อไปจะมาหนักกว่านี้ จะมาในรูปของความเจ็บความป่วย ซึ่งบางอย่างรักษาได้แต่ว่าบางอย่างรักษาไม่ได้ ถ้าถึงตอนนั้นจะพึ่งยาจะพึ่งหมอก็ไม่พอ แม้แต่โรคที่จะรักษาได้ก็ไม่ใช่ว่าจะสบาย ถ้าหากว่าเราไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลย ถึงเวลาที่ความทุกข์ที่หนักหนาสาหัสกว่า เวลาความทุกข์มาเราจะรับมือมันไม่อยู่ ไม่ใช่แค่ความเจ็บความป่วย ถึงแม้ยังหนุ่มยังสาวยังมีกำลังวังชาแต่มันมาในรูปอื่น ความสูญเสีย สูญเสียคนรัก สูญเสียพ่อแม่ หรือสูญเสียของรัก ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงเกียรติยศ สถานภาพ งานการ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่รอเราอยู่ข้างหน้าทั้งนั้น
คนที่ฉลาดเมื่อรู้ว่ามีอะไรรออยู่ก็จะเห็นความสำคัญของการมาเตรียมตัวและเตรียมใจ ถึงแม้ว่าจะทำความดีแค่ไหน ให้ทานรักษาศีลเพียงใดก็ต้องเจอสิ่งที่พูดมานี้วันยังค่ำ ไม่ช้าก็เร็วเพราะว่าเป็นธรรมดาโลก เกิดขึ้นกับทุกคนไม่ว่าคนดีหรือคนชั่ว ไม่ว่าฆราวาสหรือพระ ไม่ว่าปุถุชนหรือพระอริยะเจ้า ความแตกต่างอยู่ที่ว่าเมื่อเจอแล้วใจจะเป็นทุกข์หรือไม่ ความแตกต่างอยู่ตรงนี้ ความแก่ ความเจ็บ ความป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย รวมทั้งความตาย เกิดขึ้นกับทุกคน พระพุทธเจ้าก็หนีไม่พ้น แต่ความแตกต่างอยู่ที่ว่าใจเป็นทุกข์หรือไม่ แก่เจ็บป่วยแต่ใจไม่ทุกข์ก็ทำได้ สูญเสียก็สูญเสียแต่ทรัพย์แต่ใจไม่เสียใจไม่ทุกข์ก็ทำได้ คนส่วนใหญ่ไปเข้าใจว่าทุกข์เพราะสูญเสีย ทุกข์เพราะเจ็บเพราะป่วย ทุกข์เพราะพลัดพราก คิดแบบนี้ยังไม่ถูกเพราะรวบรัดตัดตอนเกินไป หลายคนเจอความพลัดพรากเจอความสูญเสียเขาก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เงินหายของหายคนรักตายจากก็ไม่ได้ทุกข์อะไร
มีผู้หญิงคนหนึ่ง อยู่ๆได้ยินว่ามีคนตะโกนบอกว่าแม่ถูกรถชนตายอยู่หน้าบ้าน แล้วแกไปที่เกิดเหตุก็พบว่าเป็นแม่จริงๆ แล้วก็ตายคาที่เลย แต่เธอไม่ได้ร้องไห้อะไร ไม่ได้ฟูมฟาย ไม่ได้คร่ำครวญ คนก็แปลกใจ พอจัดการกับศพเรียบร้อยแล้วมีคนไปถามว่าทำไมเธอไม่ร้องไห้ ไม่รักแม่หรือ เธอบอกว่าเธอก็รักแม่ แต่ที่ไม่ร้องไห้เพราะเห็นว่าความตายเป็นธรรมดา เจริญมรณะสติอยู่เสมอว่าความพลัดพรากสูญเสีย ความตาย สามารถเกิดขึ้นกับเราและคนรักของเราได้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าแม่เป็นคนที่ชอบทำบุญชอบใส่บาตร เมื่อมาลงเอยแบบนี้ก็ไม่เสียใจ ไม่คร่ำครวญว่าทำไมทำบุญแล้วถึงต้องมาลงเอยแบบนี้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของคนที่แม้ว่าจะประสบกับการพลัดพรากสูญเสียแต่ก็ไม่ทุกข์ ความเจ็บความป่วยหลายคนก็เจอแต่ใจไม่ทุกข์ ทุกข์แต่กาย แต่ใจไม่ทุกข์
อย่างหลวงพ่อของเราตอนนี้ก็ป่วยมาก แต่ท่านก็ป่วยแต่กาย หมอถามว่าปวดไหม ท่านบอกว่าไม่มีที่ไหนที่ไม่รู้สึกปวด แต่ใจของท่านเป็นปกติ ไม่ได้เรียกร้องอยากจะให้เอายาระงับปวดมาจัดการกับความปวดเลย บางทีท่านก็ใช้คำว่า สนุกป่วย เตรียมตัวตายก็สนุกดี ความตายใกล้เข้ามาก็ไม่ได้ทุกข์ใจ ความทุกข์ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก ไม่ได้เกิดจากคำพูดหรือการกระทำของใครบางคน ไม่ได้เป็นเพราะว่ามีเหตุการณ์ใดมากระทบกระแทกกับเรา สิ่งนั้นเป็นปัจจัยภายนอก หรือแม้แต่ความเจ็บป่วยก็ดี ไม่ทำให้ใจเราทุกข์ได้ สิ่งที่ทำให้ใจทุกข์คือ ใจที่ไม่มีสติ ไม่มีธรรมมะคุ้มครอง
พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมที่มีอุปการมากมี 2 ประการ คือ สติ และ สัมปชัญญะ สติแปลง่ายๆว่าความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว แต่ที่จริงสติมีหน้าที่หรือมีคุณสมบัติมากกว่านั้น เวลาทุกข์ใจอย่าไปโทษสิ่งอื่น อย่าไปโทษรูปรสกลิ่นเสียงที่มากระทบ อย่าไปโทษเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา แต่ให้กลับมาดูใจของตัวว่าเปิดช่องให้ความทุกข์เข้ามาเล่นงาน เข้ามารังควาญจิตใจเราหรือไม่ คนส่วนใหญ่เวลาทุกข์ใจแทนที่จะมาดูใจของตัวกลับโทษสิ่งภายนอก นั้นเป็นส่วนประกอบแต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก พระพุทธเจ้าเคยเปรียบเทียบว่า มือที่ไม่มีแผลจับต้องยาพิษก็ไม่เป็นอันตราย แต่ที่เป็นอันตรายเพราะอะไร เพราะมือมีแผลเมื่อไปจับต้องยาพิษ พิษก็ซึมเข้าทำอันตรายต่อร่างกายจนถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นถ้ามีอันเป็นไปต้องอย่าไปโทษยาพิษ ต้องมาดูว่ามือมีแผลหรือไม่ ที่จริงถ้ามือมีแผลอย่าว่าแต่ยาพิษเลย แม้กระทั่งใบไม้ใบหญ้าไปทิ่มเอาก็เจ็บเหมือนกัน แบบนี้พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องมือที่มีแผล ก็อุปมาอุปไมยถึงใจของเรานี่เอง
เวลาเราทุกข์ ไม่ใช่เพราะคำพูดของใคร ไม่ใช่เพราะการกระทำของคนรอบตัว ไม่ใช่เพราะเขาเอาเงินเราไป ไม่ใช่เพราะดินฟ้าอากาศ เหตุการณ์บ้านเมืองหรือพฤติกรรมของนักการเมือง สิ่งเหล่านั้นแค่ส่วนประกอบ แต่สิ่งสำคัญคือ ใจเรามีแผล ใจเรามีช่องโหว่ให้ความทุกข์เข้ามาครอบงำ และส่วนใหญ่ที่ทุกข์เพราะใจไม่มีสติ พอใจไม่มีสติเป็นเครื่องรักษาก็ไปเปิดช่องให้ความทุกข์ ความโกรธ ความเกลียดต่างๆเข้ามาครอบงำ แต่ก่อนที่ความโกรธความเกลียดจะเกิดขึ้น มีความทุกข์เพราะคิด ทุกข์เพราะเอามาคิด สิ่งที่พูดเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ยังเก็บเอามาคิด พอคิดก็เอามาปรุงแต่งเป็นอารมณ์ เป็นความโกรธ เป็นความความเกลียด อารมณ์เกิดขึ้นแล้วก็ยังปล่อยให้มันลุกลามในใจ ก็เหมือนกับใจที่กำลังถูกเผา แต่ที่จริงเพียงแค่เรารู้ทันความคิด หรือไม่เก็บเอามาคิดก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมา ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ลมปากนั้นพูดเดี๋ยวนี้ก็หายไปเดี๋ยวนั้น
แต่ใจของเราไปเก็บเอามาคิดก็เลยเหมือนกับเปิดเทปกรอกหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนพูดบางทีเขาลืมไปแล้ว แต่เราไม่ลืม ไม่ใช่ไม่ลืมอย่างเดียวแต่พยามจำด้วย เอาคำพูดเอาการกระทำของเขามาคิด แล้วก็เลยเกิดความทุกข์ เกิดความไม่พอใจ เกิดความโกรธความเกลียดขึ้นมา เพียงแค่มีสติรู้ทันว่าใจกำลังเผลอคิดไปกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว พอรู้เท่านั้นก็จะวางได้ ที่ทุกข์เพราะใจไม่ยอมวาง ใจไปยึดไปแบกเอาไว้ ถ้าลองดูความทุกข์ใจที่เกิดขึ้น เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกทุกข์ใจขึ้นมาลองกลับมาดูใจ มาสำรวจดูว่าเป็นเพราะใจที่ไม่ยอมวางไม่ยอมปล่อย เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็เก็บเอามาคิด บางอย่างยังไม่เกิดขึ้นเลยแต่ก็ปรุงแต่งล่วงหน้า ใจที่ชอบจดจำหรือชอบปรุงแต่งเป็นที่มาของความทุกข์ เปิดช่องให้ความทุกข์เข้ามา ที่จริงถ้าจะคิดแต่รู้ทันก็ทำอะไรไม่ได้
ถึงแม้ว่าจะเผลอคิดไปจนกระทั่งเกิดอารมณ์ขึ้นมา เกิดความทุกข์ เกิดความโกรธ เกิดความเกลียดขึ้นมา แต่มีสติก็จะช่วยดึงจิตออกมาจากอารมณ์นั้น ถอนจิตออกมาจากอารมณ์นั้น ความโกรธยังมีอยู่ ความเกลียดยังมีอยู่ แต่ใจไม่ทุกข์แล้วเพราะว่าเห็นความโกรธ ความเกลียด เห็นความกลุ้มที่เกิดขึ้น และสักพักมันก็จะละลายหายไปเพราะว่าไม่มีที่ตั้ง เพราะว่าไม่มีเชื้อที่จะต่อเติมให้ลุกไหม้อยู่อย่างต่อเนื่อง ถ้าเราเผลอสติเมื่อไร ใจจะปรุงอารมณ์เหมือนกับเติมเชื้อเติมฟืนให้ไหม้ตลอดเวลา แล้วใครที่เดือดร้อน ก็ใจเราเอง แต่ถ้ามีสติเมื่อไรจิตจะออกมา มาเห็นความโกรธ มาเห็นความทุกข์ พอเห็นความทุกข์ใจเบาลงไปเลย
เห็นกับเป็น ต่างกันมาก แต่ส่วนใหญ่พอใจไม่มีสติก็เลยเข้าไปเป็น เป็นผู้โกรธ เป็นผู้เกลียด เป็นผู้ทุกข์ แต่ถ้าเรามีสติ ก็จะเห็นทุกข์แต่ไม่เป็นทุกข์ เป็นทุกข์นี่ขาดทุนมากเลย ทำให้ใจเศร้าหมอง จิตตกต่ำ แล้วก็อาจจะผลักชีวิตให้ไปในทางที่ตกต่ำยิ่งขึ้น ไปหาเหล้า ไปหาอบายมุข แต่ถ้าเห็นทุกข์ เห็นความโกรธความเกลียดนี่ได้กำไร เพราะว่าจะเห็นธรรมตามมาได้ไม่ยาก ความทุกข์ความโกรธความเกลียดจะสอนเราให้เห็นธรรม ให้เราเห็นความจริง เห็นความไม่จีรังของอารมณ์ต่างๆ เห็นความเกิดดับ เห็นความไม่เที่ยงของมัน แบบนี้คือธรรมมะ ถ้าเราเห็นเมื่อไร ได้กำไร อาจจะนึกขอบคุณคนที่ทำให้เราเคยทุกข์ คนที่ทำให้เราเสียอกเสียใจด้วยซ้ำ
มีผู้หญิงคนหนึ่งโดนผู้ชายเอาน้ำกรดสาดหน้าเพราะว่าผิดหวังที่เธอไม่รักตอบ ผู้หญิงคนนี้สวยมากอายุ 20 กว่า เธอเสียศูนย์ไปพักใหญ่ เกือบจะฆ่าตัวตายแต่ก็ไม่ทำเพราะว่านึกถึงแม่ แต่หลังจากนั้น 3-4 ปี เธอก็พลิกเปลี่ยนชีวิตเหมือนเป็นคนใหม่ มีคนถามเธอว่าโกรธผู้ชายคนนั้นหรือไม่ที่สาดน้ำกรดใส่เธอ เธอบอกไม่โกรธเลย เพราะเมื่อมาใคร่ครวญแล้วเหตุการณ์ครั้งนั้นมีประโยชน์กับเธอมาก ประโยชน์ข้อหนึ่งคือ ทำให้เธอคิดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น คือปล่อยวางได้เร็ว ทำให้เธอได้เห็นว่าสังขารร่างกายก็ต้องเสื่อมไปไม่ช้าก็เร็ว และการที่มันเกิดขึ้นกับเธอเร็วคือเธอหน้าตาเสียโฉม ตาบอด ทำให้เธอปล่อยวางได้เร็ว เจออะไรหลังจากนั้นเธอก็ปล่อยวางได้ง่าย สายตาของผู้คนคำพูดของผู้คนที่พูดถึงเธอ เดี๋ยวนี้เธอไม่รู้สึกอะไรแล้ว เพราะเธอปล่อยวางได้ เพราะขนาดที่หนักกว่านั้นคือรูปโฉมหน้าตาเธอ เธอยังปล่อยวางได้ เพราฉะนั้นเธอเห็นธรรม เห็นธรรมจากความทุกข์ที่เกิดขึ้น เวลาเราเจอทุกข์แล้วเราเห็นทุกข์ เราจะได้ธรรมะจากอารมณ์ที่เกิดขึ้น จากความทุกข์ที่เกิดขึ้น
แต่คนเราเกี่ยวข้องกับทุกข์ไม่เป็น เพราะใจไม่เป็นสติ ใจเลยเอาแต่คร่ำครวญ คร่ำครวญอยู่นั่น บางทีคร่ำครวญจนคิดสั้นทำร้ายตัวเอง แต่ถ้าเรามีสติก็ทำให้เราได้ใคร่ครวญ พอใคร่ครวญแล้วก็จะเห็นประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น รวมทั้งเห็นทางออกจากทุกข์ด้วย หลายคนเวลาเจอปัญหาในชีวิต ปัญหาในการทำงาน เอาแต่กลุ้ม เมื่อไรก็ตามที่เรากลุ้มให้รู้ว่าใจเราเผลอไปแล้ว ลองกลับมาตั้งสติให้ดีก็จะพบทางออกได้ หรืออย่างน้อยพอมีสติแล้วก็จะไม่เสียเวลากลุ้มแล้ว แต่จะหาทางแก้ เพราะปัญหาไม่ได้มีไว้กลุ้ม ปัญหามีไว้แก้ ถ้าไม่มีสติเมื่อไรปัญหาก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้กลุ้มอกกลุ้มใจ จมจ่อมอยู่ในความทุกข์ แต่ถ้ามีสติก็จะไม่เสียเวลาไม่เสียอารมณ์ไปกับการกลุ้มใจ แต่จะหันมาจะลุกขึ้นมาแก้ปัญหา
เจอปัญหาแล้วกลุ้มนี่โง่ แต่ถ้าเจอปัญหาแล้วแก้นี่ฉลาด ฉลาดทั้งในแง่ที่ว่าไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ฉลาดในแง่ที่ว่าไม่ปล่อยให้ปัญหามาเล่นงาน แต่เราจัดการกับปัญหาเลย และอาจจะฉลาดในแง่ที่ว่าได้ประโยชน์ได้เรียนรู้จากปัญหา ปัญหาทำให้คนฉลาด เด็กที่ทำการบ้านมากๆ ก็จะเป็นเด็กที่ฉลาดได้ง่าย คนที่เจอปัญหาในชีวิตสามารถจะเป็นคนฉลาดได้ถ้าไม่มัวแต่กลุ้ม แต่พยามหาทางแก้ ถ้าไม่แก้ที่ตัวปัญหาก็แก้ที่ใจก็ได้ แก้ได้ทั้งนั้น ปัญหาบางอย่างแก้ที่ตัวปัญหาไม่ได้เพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง
อย่างโรคบางโรค หรือความสูญเสียบางอย่าง เช่นความตายของคนรัก เราไม่สามารถจะให้เขาฟื้นกลับมาได้ โรคบางโรคเยียวยาให้หายไม่ได้ มีแต่ต้องปล่อยให้เป็นไปตามพัฒนาการของมัน แต่ก็ยังแก้ได้ คือแก้ที่ใจไม่ให้ทุกข์ไปกับมัน ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่น ทุกข์เพราะไปยึดมั่นในตัวตน ยึดมั่นอยากให้มันเที่ยง อยากให้เป็นสุข หรือยึดมั่นเพราะว่าหลงคิดว่าเป็นของเรา สิ่งเหล่านี้คือรากเหง้าของความทุกข์ คืออวิชชา คือความหลงนั่นเอง ไม่ใช่ทุกข์เพราะไม่มีสติทุกข์เพราะเผลอคิดฟุ้งซ่าน แต่เบื้องลึกคือความยึดมั่นถือมั่น แต่ถ้าเราเจอทุกข์แล้วเราใคร่ครวญ รู้ว่านี่คือสาเหตุเป็นปัญหาที่ต้องแก้ ต้องแก้ที่ใจ ปล่อยวาง ปล่อยวางทีแรกด้วยสติ ต่อมาก็ปล่อยวางเพราะมีปัญญาเห็นว่าไม่มีอะไรที่ยึดมั่นได้เลย
ที่จริงเพียงแค่มีสติก็ช่วยให้ปล่อยวางได้มาก เช่นเวลาปวด ปวดกายถ้าไม่มีสติก็ปวดใจไปด้วย แต่ถ้ามีสติเห็นความปวด ดึงจิตออกมา ถอดจิตออกมาจากความปวด ก็มีแต่กายเท่านั้นที่ปวดแต่ใจไม่ปวด ยิ่งถ้ามีปัญญาเห็นด้วยก็จะยิ่งเห็นว่า ไม่มีเรามีแต่รูปกับนาม ด้วยความรู้สึกที่เราปวด เราปวดก็จบหายไป มีแต่รูปที่ปวด มีแต่ความปวดที่อาศัยรูป แต่นามหรือใจไม่ปวดตามไปด้วย ทีนี้เรามีปัญญาเห็นแล้วเราก็วาง วางความปวดที่เคยยึดว่าเป็นเราเป็นตัวเราที่ปวด ถ้าเรามีสติมีปัญญารักษาใจ ความทุกข์ใจก็เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ความทุกข์กาย ความสูญเสีย เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นห้ามไม่ได้ ในความหมายที่ว่าสักวันหนึ่งก็ต้องเกิด
ถ้าเราได้รู้เห็นตรงนี้ แล้วเรามาเตรียมตัวเตรียมใจของเราเอาไว้ ฝึกเพื่อจะให้มีสติ เพื่อรักษาใจ มีความรู้สึกตัว มีปัญญา รวมทั้งอย่างน้อยๆ มีความอดทนมีขันติ อย่างที่ได้พูดไว้ก็ช่วยทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับความทุกข์ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ความทุกข์กระทำกับเราอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ผลักเราไปทางไหนก็ได้ แต่เราจะเผชิญหน้ารับมือ แล้วก็สามารถเปลี่ยนให้ร้ายกลายเป็นดี เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นธรรมได้