แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเรามาวัดด้วยสาเหตุต่างๆกัน บางคนมาทำบุญ บางคนมาสะเดาะเคราะห์ บางคนมาวัดเพื่อแก้กรรม บางคนมาวัดเพื่อรักษาศีล แต่พวกเรามาวัดเพื่อภาวนาทำกรรมฐาน ซึ่งส่วนใหญ่คงปรารถนาความสงบ ความสงบที่ว่าคือความสงบใจ พวกเราควรจะเข้าใจเรื่องความสงบ ความสงบใจมีอย่างน้อย 2 แบบ อย่างแรก สงบเพราะตัดการรับรู้ คือพอไม่ได้ยินไม่ได้เห็นหรือไม่มีอะไรมากระทบก็เกิดความสงบใจได้ คนส่วนใหญ่จะรู้จักความสงบแบบนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อต้องการได้ความสงบแบบนี้จะพยายามปลีกตัวหลีกเล้น เช่นถ้าอยู่ที่บ้านก็อาจจะไปอยู่ในห้องพระคนเดียวเพื่อจะได้ไม่มีเสียงมารบกวน หรือถ้าในบ้านมีเสียงรบกวนมากก็อาจจะมาอยู่ที่ไกลๆ เช่นมาอยู่ป่า ไม่เจอผู้คนไม่มีเสียงมารบกวน แบบนี้ทำให้เกิดความสงบใจขึ้นได้ หรืออาจจะมาอาศัยรูปแบบการภาวนาบางอย่างช่วย เช่นหลับตา
นอกจากจะพาตัวมาในที่ที่ไม่มีผู้คนไม่มีเสียงรบกวนแล้ว พอหลับตาเพื่อจะได้ไม่ต้องไปเห็นอะไร อาจจะมีการทำอย่างอื่นด้วย เช่นปิดเสียงโทรศัพท์ บางคนปิดไม่เป็นคือใจอยากจะเปิดเครื่องโทรศัพท์ตลอดเวลาก็เลยได้รับข้อมูลข่าวสาร แม้อยู่คนเดียวอยู่ในที่ไกลๆ อยู่ในป่า ยังมีข้อมูลข่าวสาร SMS ต่างๆส่งมา รวมทั้งมีคนโทรศัพท์มา จะปิดแต่ใจไม่อยากปิดยังอยากจะรับรู้ แต่รู้แล้วจิตใจว้าวุ่นก็เลยพยายามไปในที่ที่ไม่มีสัญญาณ ที่ไหนที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณที่ใช้ในการสื่อสารโทรคมนาคมก็ไปตรงนั้น ฝรั่งคนที่มีเงินมีทองเขาแสวงหาสถานที่แบบนี้ ไปสถานที่ที่ไม่มีสัญญาณ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ยากอะไรถึงแม้จะมีสัญญาณก็แค่ปิดเครื่องโทรศัพท์ แต่ปิดไม่เป็นใจไม่อยากปิด เลยต้องไปที่ที่ไม่มีสัญญาณ ซึ่งบางแห่งเป็นที่ที่คิดแพงมากเรื่องค่าที่พัก เดี๋ยวนี้เราไปที่ไหนแต่ละที่อวดว่าเขามี WiFi มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต แต่ในประเทศอย่างอเมริกาหลายแห่งเขาจะอวดว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณ WiFi ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เนท คิดค่าที่พักแพงมากเป็นประเภทรีสอร์ทอย่างหรูเลย โทรทัศน์ก็ไม่มี ได้รับความนิยมจากคนที่ร่ำรวย เพราะพวกนี้จิตใจเขาว้าวุ่นมากจากการทำงาน
แต่พวกเราไม่ยาก ถึงแม้ที่ไหนจะมีสัญญาณ แต่ถ้าเราต้องการความสงบก็แค่ปิดเครื่องโทรศัพท์ ปิดคอมพิวเตอร์ ก็ไม่มีข้อมูลข่าวสารใดๆมารบกวน ยิ่งที่วัดโทรทัศน์ก็ไม่มี ใจสงบได้ไม่ยาก แบบนี้เรียกว่าสงบเพราะไม่รู้ หรือเพราะตัดการรับรู้ หรือรับรู้ให้น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางกาย ทางสัมผัส หลายคนใช้วิธีหลับตาแล้วเอาจิตมาอยู่กับลมหายใจ บังคับจิตให้รับรู้อยู่กับลมหายใจไม่ต้องออกไปที่อื่น ถ้าออกไปที่อื่นแล้วจะไปรับรู้นั่นรับรู้นี่ทำให้จิตใจว้าวุ่นไม่สงบ สิ่งนี้เขาเรียกว่าเป็นการสร้างความสงบเกิดขึ้นเพราะไม่รู้ หรือเพราะตัดการรับรู้ หรือรับรู้ให้น้อยที่สุด แต่การสงบแบบนี้มีข้อเสียข้อจำกัด เพราะว่าพอเปิดตาออกไปสู่โลกภายนอก ไปเจอผู้คน เจอเสียงกระทบ เห็นหน้าคนที่ไม่ชอบ หรือเห็นภาพเห็นการกระทำที่ไม่ถูกใจ ความสงบก็หายไป มีความโกรธความหงุดหงิดความไม่พอใจมาแทนที่ จิตใจก็รุ่มร้อน
มีคนหนึ่งไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ไม่ได้ยาวเท่าไรแค่หนึ่งวัน ไปทำกรรมฐานในห้องแอร์สงบ คนปฏิบัติแต่ละคนอยู่ในความสงบ เดินจงกรมอย่างเชื่องช้า เวลานั่งภาวนาไม่มีเสียงรบกวน อากาศเย็นสบาย พอจบวันออกมาจากห้องปฏิบัติธรรมจะขับรถกลับบ้าน พอพบว่ารถของตัวออกไม่ได้เพราะมีรถอีกคันหนึ่งจอดซ้อน พอเห็นภาพนี้ก็โกรธไม่พอใจถึงกับด่าว่า ว่าใครเอารถมาจอดแบบนี้ ความสงบหายไปทันที แล้วยังไปก่อความไม่สงบแก่ผู้อื่นด้วยคือไปตะโกนด่า หลายคนเป็นอย่างนี้ คือสงบเพราะไม่มีอะไรมากระทบ หรือสงบเพราะตัดการรับรู้ แต่พอรับรู้ขึ้นมาโดยเฉพาะอารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์หรืออารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ว้าวุ่นขึ้นมาทันที ถ้าเราแสวงหาหรือรู้จักแต่ความสงบแบบนี้ ก็หาความสงบได้ยากถ้าออกไปเจอผู้เจอคนหรือกลับไปบ้าน ถ้าคนรู้จักแต่ความสงบประเภทนี้ก็จะคอยหลบหลีกความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา อยู่บ้านไม่ไหวต้องมาวัด หรือมาวัดแล้วยังไม่อยากเจอผู้คนต้องเก็บตัว มีการงานต่างๆก็ไม่อยากทำเพราะว่าทำงานแล้วจิตใจจะวุ่นวาย เพราะว่าทำงานแล้วต้องไปเจอต้องไปรับรู้อะไรหลายๆอย่างก็ไม่อยากทำงาน กลายเป็นคนที่เรียกว่าหนีโลกไปเลย อยู่กับโลกไม่ได้ทั้งๆที่ยังจะต้องเกี่ยวข้องกับโลก
มีความสงบอีกแบบ คือสงบทั้งๆที่รู้ คือตาเห็น หูได้ยิน กายมีสิ่งมากระทบ แต่ใจยังสงบได้ สงบได้เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อมีอะไรมากระทบแล้วใจกระเพื่อมก็รู้ทัน เจอรถมาจอดซ้อนคันเกิดความไม่พอใจขึ้นมาก็รู้ทันความไม่พอใจนั้นว่าเกิดขึ้นในใจ รู้ใจได้เพราะเรามีสติมาช่วยทำให้รู้ทันอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับกายและใจ ไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ ไม่ว่าจะเป็นฟูหรือแฟบ เมื่อรู้แล้ววางได้ คือพอรู้ว่าความหงุดหงิดเกิดขึ้นก็ไม่ปล่อยให้มันลุกลามเผาไหม้ใจ สามารถจะดึงจิตกลับมาสู่ภาวะปกติ หรือกลับมาสู่ความรู้สึกตัว พอรู้สึกตัวหรือมีสติอาการเหล่านั้นก็เข้ามาในจิตใจไม่ได้ เวลามีคนมาตำหนิต่อว่าเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาในใจ หรือเกิดความโกรธขึ้นมา ก็รู้ทัน รู้แล้วก็วาง แบบนี้เรียกว่า สงบเพราะรู้ หรือสงบทั้งๆที่รู้
สงบทั้งๆที่รู้ คือตาเห็น หูได้ยิน แต่ใจยังเป็นปกติได้ หรือสงบเพราะรู้ รู้ในที่นี้คือรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น รู้ทันความคิดที่เกิดขึ้นเพราะว่าใจว้าวุ่น บางทีไม่ใช่เพราะว่ามีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมากระทบ แต่เพราะความคิดออกไป ออกไปคิดถึงลูกเกิดความห่วง นึกถึงเพื่อนที่เขาแกล้งเราเขาต่อว่าเราก็ไม่พอใจ หรือปล่อยใจนึกไปถึงงานการที่ค้างคาที่รออยู่ก็เกิดความหนักใจ พวกนี้เป็นศัตรูความสงบทั้งสิ้น แต่ถ้าเกิดว่ารู้ทันความคิดไม่ปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่าน พาจิตกลับมาอยู่กับกายที่กำลังเดินจงกรมที่กำลังสร้างจังหวะ หรือที่กำลังทำอิริยาบถต่างๆอยู่ ความสงบก็เกิดขึ้น ความสงบก็กลับมา สิ่งนี้เรียกว่าสงบเพราะรู้ รู้ทันอารมณ์รู้ทันความคิดที่เผลอปรุงแต่งไป เราควรรู้จักความสงบแบบนี้ให้มากๆ อาการเจริญสติอย่างที่เราทำอยู่ที่นี่เป็นการเจริญสติที่ช่วยให้เราเข้าถึงความสงบชนิดได้ คือสงบเพราะรู้ รู้ทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ จะไม่มีการบังคับจิตให้แน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหมือนกับเป็นการขังมันเอาไว้
ความสงบประเภทแรกบางครั้งต้องอาศัยการบังคับจิตหรือขังจิตเอาไว้ไม่ให้ออกไปวุ่นวาย ออกไปข้างนอกเมื่อไรจะวุ่นวายเมื่อนั้น แต่การปฏิบัติแบบที่หลวงพ่อเทียนท่านสอน จะไม่บังคับจิต อนุญาตให้จิตมีอิสระ แต่ถ้าจิตออกไปเผลอไปปรุงแต่งก็รู้ทันแล้วพามันกลับมา กลับมาอยู่กับกายแบบสบายๆ ไม่ใช่เป็นการบังคับหรือกดให้จิตแนบแน่นอยู่กับกาย เราควรรู้จักความสงบแบบนี้ แล้วก็รู้วิธีที่จะเข้าถึงด้วย เพราะจะช่วยทำให้เราออกไปเจอโลกภายนอกได้โดยที่ยังสงบได้ ไปทำงานแต่ใจยังสงบได้ อยู่บนถนนเสียงดังวุ่นวายมีภาพที่ว้าวุ่นเสียงที่อึกทึกครึกโครม ใจยังสงบได้ เพราะว่ารู้ทันเมื่อใจกระเพื่อม ใจวุ่นหรือร้อนรุ่มก็รู้ มีความหนักใจก็รู้ รู้แล้ววางมันลงได้ แบบนี้เรียกว่าสงบด้วยสติ เพราะสติทำให้รู้ทันความคิดและอารมณ์ที่มาทำให้ใจว้าวุ่น รู้แล้วก็วางได้ ความสงบก็กลับมา
ความสงบเพราะรู้ นอกจากรู้ได้ด้วยสติแล้วยังสามารถจะรู้ได้ด้วยปัญญา สติรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น รู้ทันเมื่อมีอาการกระเพื่อมของใจ แต่ปัญญาในที่นี้หมายถึงความรู้ความเข้าใจในความจริง ความจริงของกายและใจ ความจริงของโลกที่อยู่รอบตัว สิ่งนี้สำคัญมาก เช่นเวลาได้ยินเสียงตำหนิ เสียงต่อว่า ใจก็หงุดหงิดขึ้นมา เป็นเพราะอะไร เพราะเรายังมีความยึดติดถือมั่นในหน้าตาของตัวเอง ในภาพลักษณ์ของตัวเอง เขามาพูดให้เราเสียภาพลักษณ์หรือเขามาทำให้เราเสียหน้า เราก็โกรธแล้วก็ไม่พอใจ การยึดติดที่เกิดขึ้นได้เพราะเรายังขาดปัญญา ที่จริงปัญญาที่ทำให้เราเห็นชัดถึงความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ แค่นี้ก็ช่วยให้ใจสงบได้ เช่นเวลาเงินหายหรือโทรศัพท์ถูกขโมยไปทำไมบางคนใจสงบได้ เพราะไม่ได้กดข่มความรู้สึก แต่เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นธรรมดา ความพลัดพรากสูญเสียเป็นธรรมดา มาแล้วก็ไป มีแล้วก็หมด สิ่งนี้เป็นธรรมดา ความเข้าใจในความจริงแบบนี้ทำให้ใจสงบได้
แม้ต้องเจอเหตุการณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา หรือถูกตำหนิถูกต่อว่าด่าทอ ใจก็สงบได้เพราะเห็นว่าเป็นธรรมดา ลาภยศสุขสรรเสริญ คู่กับ เสื่อมลาภเสื่อมยศทุกข์และนินทา นินทาก็เป็นธรรมดา จะปรารถนาให้คนมาชื่นชมสรรเสริญทั้งโลกเป็นไปไม่ได้ นินทาอยู่คู่ประจำโลกประจำชีวิต การที่เห็นการที่เข้าใจแบบนี้เรียกว่าเป็นปัญญา เป็นปัญญาคือการเข้าใจในเรื่องโลกธรรม หรือเวลาของหายเมื่อตระหนักว่าไม่มีอะไรที่เที่ยง ไม่มีการยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา พอไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา การปล่อยวางก็ทำได้ง่ายๆ พอปล่อยวางได้ใจก็จะสงบ การที่เห็นว่ามันไม่ใช่ของเรา ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย แบบนี้ก็เรียกว่าเป็นปัญญาเหมือนกัน
ปัญญาในพุทธศาสนา ไม่ได้หมายถึงการคิดเก่งคิดได้ซับซ้อนพิสดารอย่างนักวิทยาศาสตร์หรือนักคณิตศาสตร์ แต่หมายถึงการเห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้ง และความจริงที่ช่วยให้ใจสงบได้มีไม่กี่อย่าง เช่นการเห็นว่าไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน คืออนิจจัง การเห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเจือไปด้วยทุกข์ หรือแก่นแกนของมันคือความทุกข์ความเสื่อม ไม่สามารถจะให้ความสุขที่แท้ได้ พูดง่ายๆ คือเจือไปด้วยโทษ หรือการที่เห็นความจริงว่าไม่มีอะไรที่เป็นตัวเราของเราเลย คืออนัตตา อย่างนี้เป็นความจริงพื้นฐานที่ปรากฏหรือเกิดกับทุกสิ่ง รวมทั้งตัวเรารวมทั้งกายกับใจของเรา การเห็นความจริงแบบนี้ช่วยทำให้ใจปล่อยวางได้ ปล่อยวางตั้งแต่เริ่มต้นเลย คือมีอะไรก็สักแต่ว่ามี แต่ไม่ได้ยึดติดว่าเป็นตัวเราของเรา พอมันหายไปเสื่อมไปก็รู้ทัน ระลึกได้ก็ทำให้ใจไม่หงุดหงิดไม่โกรธกับคนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น หรือแม้แต่เพียงเห็นความไม่เที่ยงของโลกธรรมว่า มีลาภก็ต้องเสื่อมลาภ มียศก็ต้องเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็ต้องมีนินทาเป็นของคู่กัน ในการเห็นความไม่จีรังของโลกธรรมของสังขารทั้งปวง ทำให้ปล่อยวางได้ง่าย และทำให้ความสงบกลับคืนมาสู่จิตใจ เวลามีอะไรมากระทบใจแรงๆ ใจก็สงบได้
ในสมัยพุทธกาลมีหญิงคนหนึ่งชื่อมัลลิกา เป็นภรรยาของเสนาบดีคู่ใจของพระเจ้าปเสนทิโกศล เสนาบดีคนนั้นชื่อพันธุรัต เป็นคนที่มีความสามารถในการรบมาก เป็นสหายสนิทของพระเจ้าปเสนทิโกศลตั้งแต่ตอนไปเรียนที่ตักสิลาด้วยกัน แต่ตอนหลังพระเจ้าปเสนทิโกศลหูเบา ระแวงว่าพันธุรัตเสนาบดีและลูกชายซึ่งมีตั้ง 32 คน จะก่อการกบฏยึดอำนาจ เลยลวงให้ไปชายแดนแล้วซุ่มโจมตีลอบฆ่า ทำได้สำเร็จตายหมดเลยทั้ง 33 คน ทั้งพันธุรัตและลูกชาย ข่าวการเสียชีวิตของทั้งหมดนี้มาถึงนางมัลลิกาตอนเช้า ขณะที่กำลังถวายอาหารเช้าซึ่งนิมนต์พระมาเพื่อทำบุญ มีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมาเป็นประธานด้วย ระหว่างที่กำลังจะประเคนอาหาร ได้จดหมายน้อยแล้วทราบว่าสามีและลูกตายหมดแล้ว อ่านจดหมายเสร็จก็เก็บจดหมายไว้ที่ชายพกแล้วถวายอาหารประเคนอาหารต่อ ระหว่างที่กำลังประเคนอาหารอยู่ นางทาสีหรือนางรับใช้ของนางมัลลิกาเกิดทำจานใส่เนยตกแตกเสียงดังเลย พระสารีบุตรอยู่ข้างหน้าพูดทำนองปลอบนางมัลลิกาว่า ของที่แตกได้ก็แตกไปแล้วอย่าเสียใจไปเลย นางมัลลิกาเลยตอบว่าเมื่อเช้านางเพิ่งได้ทราบว่าสามีแล้วลูกตายหมดดิฉันยังไม่เสียใจเลย นับประสาอะไรกับจานใส่เนยที่แตก ในขณะที่มัลลิกาเจอข่าวร้ายสูญเสียคนรักทั้งสามีและลูกแต่ใจก็สงบได้ อาจจะมีอาการกระเพื่อมเล็กน้อยแล้วสงบได้ ทำไมถึงทำเช่นนั้นได้ เพราะมีปัญญา ปัญญาคือความเข้าใจในเรื่องของความไม่จีรังของชีวิตของสังขาร
เมื่อมีปัญญาเช่นนี้แม้เจออะไรมากระทบแรงๆ หรือแม้มีเหตุเกิดเหตุร้ายขึ้นกับตัวก็ยังทรงใจให้เป็นปกติ คือสงบได้ สิ่งนี้คือความสงบที่เราต้องรู้จักด้วย คือความสงบเพราะรู้ แต่รู้ในที่นี้มี 2 อย่าง คือ รู้ด้วยสติ และ รู้ด้วยปัญญา แต่การรู้ด้วยปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยสติเป็นกุญแจสำคัญ ที่เรามาเจริญสติเพื่อให้เรารู้จักปล่อยวางความคิดและอารมณ์ ให้เรารู้ทันความคิดที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นปุ๊บก็รู้ปั๊บเลย ถ้ารู้ช้าปล่อยให้มันเกิดขึ้นแล้วก็ลุกลามจะปล่อยวางยาก แต่ทันทีที่ใจกระเพื่อมหรือใจเกิดเผลอฟุ้งปรุงแต่งไป ก็ให้รู้ รู้แล้วก็วาง รู้ตรงนี้ รู้ด้วยสติ สติทำให้รู้ทันอารมณ์ และอาการของใจที่เกิดขึ้น รวมทั้งอะไรที่มากระทบกายที่ทำให้เกิดเวทนา ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนาต่างๆก็ตาม ก็รู้ รู้ว่ามันมีอยู่ รู้ว่ามันเกิดขึ้น การรู้แค่นี้ก็ทำให้วางได้ และรู้เช่นนี้แล้วทำให้เห็นธรรมชาติของใจ เห็นธรรมชาติของกาย คือเห็นความเป็นไตรลักษณ์ ตรงนี้ปัญญาจะเกิดขึ้น
หรือถ้าเราใช้สติในการใคร่ครวญสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา เราจะพบว่าไม่มีอะไรที่เที่ยงเลย โลกธรรมไม่ว่าบวกหรือลบ ที่เป็นนิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ ของพวกนี้เป็นของที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีใครหนีพ้น มีลาภเสื่อมก็เสื่อมลาภเป็นของคู่กัน มียศก็เสื่อมยศเป็นของคู่กัน มีสรรเสริญก็มีนินทาเป็นของคู่กัน การเห็นความจริงแบบนี้ด้วยการใคร่ครวญอย่างมีสติ ทำให้เกิดปัญญาขึ้นได้ คือถ้าใช้สติดูกายดูใจก็ตาม ใช้สติพิจารณารับรู้โลกภายนอกก็ตาม จะนำไปสู่ปัญญาได้ เมื่อมีปัญญาแบบนี้แล้ว การรู้ความจริงแบบนี้จะทำให้การสงบของใจในเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง เป็นความสงบที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางโลก แม้ตัวจะอยู่ในโลกในแต่ใจอยู่เหนือโลก ความทุกข์ไม่มาทำให้ใจกระเทือนได้ หรือพระพุทธเจ้าบางทีก็เปรียบเหมือนกับดอกบัว ซึ่งแม้ว่าจะเกิดในโคลนตมที่ไม่สะอาดแต่สามารถที่จะชูกิ่งชูก้านจนอยู่เหนือน้ำได้ ทีแรกเกิดในน้ำแต่ต่อมาอยู่เหนือน้ำ และน้ำไม่ทำให้เปื้อนแปดได้ แบบนี้คือสภาพจิตของผู้ที่มีปัญญา
ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติในการที่จะเห็นความจริง เห็นแล้วเห็นอีก เห็นจนใจยอมรับความจริง อวิชาไม่สามารถที่จะปกคลุมครอบงำจิตใจได้ต่อไป และจะเห็นความจริงที่ว่าได้อย่างไร ก็อาศัยสติ คือการที่ทำให้ช่วยให้เราได้เห็นความจริงของกายและใจ ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ปรุงแต่ง ไม่ได้คิดเอา แต่เห็นกายและใจอย่างที่เป็น ที่เราเดินจงกรมที่เราสร้างจังหวะ คือการที่ให้ใจได้เห็นความจริงที่เกิดขึ้นโดยอาศัยสติเป็นตาใน เพราะฉะนั้นเมื่อเราปรารถนาความสงบแล้ว อย่านึกถึงแต่ความสงบเพราะไม่รู้ หรือคิดแต่จะจำกัดการรับรู้เพื่อให้ความสงบเกิดขึ้นกับใจ แต่ต้องรู้จักแล้วทำให้คุ้นเคยกับความสงบเพราะรู้ หรือสงบทั้งๆที่รู้ ทั้งๆที่รู้รูปรสกลิ่นเสียงแต่ก็สงบได้ เพราะใจรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดการกระทบเมื่อเกิดผัสสะ และต่อไปจะรู้ลึกไปถึงขั้นไตรลักษณ์ เห็นความไม่จีรังของโลกธรรมว่า ไม่มีอะไรที่จะยึดมั่นถือมั่นได้ และตรงนี้ที่ทำให้เกิดความสงบอย่างแท้จริง