แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เป็นวันที่สามของการเข้าพรรษา เหลืออีกเกือบเก้าสิบวันกว่าจะออกพรรษา หลายคนอาจจะรู้สึกว่าอีกตั้งนานกว่าจะได้ออกพรรษา ขนาดแค่สามวันก็รู้สึกว่ามันเนิ่นนานเหลือเกิน คนที่รู้สึกแบบนี้คงจะเป็นพระบวชใหม่หรือนักปฏิบัติที่พึ่งมาที่นี่ จะเหลือเวลาอีกเท่าไรอีกกี่สิบวันก็อย่าพึ่งไปสนใจ เป็นเรื่องอนาคต ถ้าเรายิ่งอยากให้ออกพรรษาไวๆ หรือแต่ละวันๆเอาแต่นับถอยหลัง เราจะเป็นทุกข์มากเลย เพราะว่าจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้ามาก พยายามอยู่กับปัจจุบันไม่ต้องคิดอะไรถึงวันข้างหน้า วางเรื่องวันออกพรรษาลงชั่วคราว แล้วพยายามที่จะอยู่กับแต่ละวันให้ดีที่สุด ถ้าเราอยู่กับแต่ละวันๆด้วยความตั้งใจที่จะทำให้แต่ละวันนั้นมีคุณค่า หรือทำให้แต่ละชั่วโมงนั้นมีความหมาย นอกจากจะเราจะมีความสุขได้ง่ายขึ้นกับชีวิตที่นี่แล้ว เราจะรู้สึกในเวลาต่อมาว่าเวลาผ่านไปเร็ว ช้าหรือเร็วมันอยู่ที่ใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่จำนวนวันหรือระยะเวลา
สิ่งที่ผู้ที่ใหม่ทั้งพระก็ดีหรือนักปฏิบัติก็ดีควรให้ความใส่ใจคือ การพยายามปรับตัวให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม ทั้งที่เป็นสิ่งแวดล้อมธรรมชาติทางกายภาพ เช่นป่าเขา หรือวัดวาอาราม กุฏิที่เราอาศัย รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมที่เป็นบุคคล ที่ผ่านมาเราอาจจะไปเรียกร้องให้สิ่งต่างๆปรับให้ถูกใจเรา โดยเฉพาะเวลาเราอยู่บ้านเราเป็นศูนย์กลางของบ้าน ทุกอย่างต้องถูกปรับให้ถูกใจเรา แดดร้อนก็ติดพัดลมหรือติดเครื่องปรับอากาศ ถ้าเสียงดังก็พยายามจะให้เสียงสงบลง อาหารไม่อร่อยก็ไปหาซื้อที่ใหม่หรือเปลี่ยนแม่ครัว เวลาเราอยู่บ้านเราไม่ได้เรียนรู้วิธีที่จะปรับตัวปรับใจ ซึ่งทำให้กิเลสในใจเฟื่องฟูได้ง่าย แล้วก็ทำให้เราเป็นคนอ่อนแอ อ่อนแอในทางจิตใจ เจออะไรนิดอะไรหน่อยก็ทุกข์แล้ว ไม่พอใจแล้ว หงุดหงิดแล้ว อะไรต่ออะไรก็เลยกลายเป็นปัญหาหมด
มาที่นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้เรียนรู้การปรับตัวปรับใจให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ให้เข้ากับข้อวัตรและกฎเกณฑ์ อยู่ที่บ้านเราจะตื่นเมื่อไรก็ได้เราจะนอนเมื่อไรก็ได้ แต่ว่าที่นี่เราต้องเรียนรู้ที่จะนอนให้เป็นเวลาแล้วก็ตื่นแต่เช้ามืด เรียนรู้ที่จะมีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่าย อาหารไม่ว่าจะใครทำก็ตามเราก็สามารถที่จะกินได้และกินได้อร่อยด้วย อยู่ที่บ้านใครทำอะไรไม่ถูกใจเราก็อาจจะโวยวาย แต่อยู่ที่นี่เราต้องเรียนรู้ที่จะอดกลั้น รวมทั้งปรับใจของเราเพื่อที่จะอยู่กับความแตกต่างทางด้านอุปนิสัยของผู้คน รวมทั้งรสนิยมได้ด้วย ให้ถือว่าข้อวัตรและกฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือในการฝึกให้เรารู้จักปรับตัวปรับใจ หรือฝึกการทำใจ
อย่างที่บอกไว้แล้วว่า คนสมัยนี้ไม่ค่อยรู้จักการทำใจเท่าไรเพราะว่ามุ่งจัดการกับสิ่งแวดล้อมภายนอก หรือแม้กระทั่งเวลาตัวเองเริ่มมีผมหงอก เริ่มเหี่ยวย่น แทนที่จะทำใจก็ไปจัดการกับร่างกายของตัว ให้ผมมันดำขลับ ให้หนังตึง หรือแม้กระทั่งเวลาน้ำหนักมากแทนที่จะควบคุมอาหารก็ไปจัดการผ่าโน่นผ่านี่ บางทีถึงขั้นทำอะไรแปลกๆก็มี ที่อเมริกามีหลายคนหาทางลดความอ้วน ลดน้ำหนักด้วยการกินพยาธิตัวตืดเข้าไป เพราะเขาเห็นว่าคนมีพยาธิร่างกายหรือรูปร่างทรวดทรงผอมเพรียวดี ตัวเองไม่อยากจะหักห้ามหรือควบคุมการกินก็เลยใช้วิธีอาศัยตัวช่วย แบบนี้เป็นวิธีคิดวิธีการของคนสมัยนี้ เมื่อมีปัญหาแทนที่จะจัดการกับตัวเองด้วยการควบคุมความอยาก หรือควบคุมจิตใจ กลับไปใช้วิธีการจัดการกับสิ่งภายนอก หรือกับร่างกายของตัว ขอให้กินได้ต่อไปขอให้เสพสุขได้ต่อไป แต่ให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามใจตัว ดังนั้นชีวิตแบบนี้ก็จะหาความสุขได้ยาก
เมื่อพวกเราตัดสินใจที่จะมาใช้ชีวิตที่วัดในฐานะนักบวช และนักปฏิบัติแล้ว ก็ต้องพยายามที่จะบังคับควบคุม หรือเกลี้ยกล่อมใจของตัวเองเพื่อที่จะได้อยู่แบบกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมที่นี่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเราพยายามปรับตัวปรับใจให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมกับวิถีชีวิต รวมทั้งกับผู้คนที่ต่างมีจุดหมายเดียวกัน จะมีผลในการพัฒนาจิตใจของเราให้เข้มแข็ง ให้รู้จักให้มีความยืดหยุ่นอ่อนโยน คนที่ไม่รู้จักปรับใจตัวเองเลยจิตใจจะแข็งกระด้าง เพราะฉะนั้นพอมีอะไรไม่ถูกใจ หรือพอมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็จะมีความทุกข์ได้ง่ายฉุนเฉียวได้ง่าย จิตใจที่อ่อนโยนสามารถที่จะปรับให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมต่างๆ จะเป็นจิตใจที่เข้มแข็ง เวลามีเสียงดังแทนที่จะไปเรียกร้องให้เสียงหยุด ลองปรับใจของตัวเองดูบ้างว่าเราจะอยู่กับเสียงที่ดังได้อย่างไร เราจะเป็นมิตรกับมันได้อย่างไร ทำอย่างไรใจของเราจะไม่ผลักไสไม่ปฏิเสธ อยู่ที่ใจเรา และถ้าเกิดว่าเราเริ่มต้นด้วยการพยายามที่จะทำตัวให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม กับวิถีชีวิตของที่นี่ทีละน้อยทีละน้อย นอกจากจิตใจเราจะอ่อนโยนหรือยืดหยุ่นได้ง่ายแล้ว เราจะพบกับความสงบได้ไม่ยาก
เคยมีผู้ชายคนหนึ่งอายุสักสามสิบกว่า หนีหนี้มาอยู่วัดที่นี่ เขาไม่ได้ตั้งใจหนีหนี้ แต่มีความจำเป็นเกิดความผิดพลาดบางประการแล้วเจรจาไม่ได้ ไม่มีทางออกไม่มีที่ไปก็เลยขอมาลี้ภัยอยู่ที่นี่ เขามาโดยที่ไม่ได้มีความเต็มใจเลยแต่สถานการณ์บีบบังคับ วันแรกๆเขาก็ร้องไห้เพราะว่าเป็นที่ที่เขาไม่คุ้นเคย ต้องไปนอนหอไตร หอไตรแต่ก่อนนี้ไม่ได้อยู่ตรงนี้ หอไตรแต่ก่อนอยู่บนเขาแล้วก็มีเขาคนเดียว นี่คือเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เขาร้องไห้เพราะคิดถึงลูก สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์ทางไกลก็อยู่ที่ท่ามะไฟ ต้องทำใจลูกเดียว อาหารการกินก็ไม่คุ้น ข้าวเหนียวกับแจ่ว ไม่มีไฟฟ้าไม่มีโทรทัศน์ เขาเป็นคนเมืองแท้ๆเลยมาจากสำเพ็ง เรียกว่ามีความทุกข์มาก ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ แล้วพออยู่ไปอยู่ไป ผ่านไปอาทิตย์แรกก็ยังทุกข์อยู่ อาทิตย์ที่สองก็เริ่มปรับตัวปรับใจได้ พออาทิตย์ที่สามก็เริ่มจะพบกับความสงบ แล้วมีความสุขมากขึ้นกับการอยู่ที่นี่ วันๆเขาก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เขาไม่ได้เดินจงกรมไม่ได้สร้างจังหวะ แต่เขาพยายามหางานทำ เช่นทำความสะอาดรอบหอไตร แล้วก็เช็ดถูศาลาทุกวัน ทำคนเดียวทีละน้อยทีละน้อย ใจเขาเริ่มสงบ แล้วสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจขอบวช ไม่มีใครเรียกร้องแต่เขารู้สึกว่าเขาพบกับความสุข กับความสงบที่นี่
เพราฉะนั้นจึงบอกว่าธรรมชาติที่นี่เป็นมิตรกับพวกเราทุกคน ถ้าหากว่าเราใช้ชีวิตหรือปรับตัวปรับใจให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมที่นี่ เราก็จะสามารถพบกับความสงบ แต่ใหม่ๆสำหรับคนพึ่งมาจากในเมือง หรือพึ่งทิ้งชีวิตฆราวาสมา ใหม่ๆก็จะรู้สึกเบื่อ รู้สึกเหงา รู้สึกลำบาก รู้สึกคับข้องใจ เพราะว่าจะทำอะไรอย่างที่ตั้งใจอย่างที่เคยทำก็ไม่ได้ จะเรียกร้องให้สิ่งต่างๆมาปรับตัวให้เข้ากับตัวเองก็ทำไม่ได้ ครั้นจะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งภายนอกก็ไม่คุ้น มีความอึกอัด แถมไม่มีสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้นที่คุ้นเคย เวลาอยู่ในเมืองมีสิ่งเร้ามันมีแสงสีคอยเร้าจิตกระตุ้นใจเราให้ตื่นอยู่เสมอ มีสิ่งเสพสิ่งใหม่ๆ มีอารมณ์ใหม่ๆให้รับรู้ ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางสัมผัสกาย แม้แต่รูปก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างเวลาเราดูโทรทัศน์ภาพจะเปลี่ยนไปทุกสองสามวินาที ไม่เคยแช่นานเกินห้าวินาที สิ่งเหล่านี้กระตุ้นประสาทเราให้เกิดอาการเสพติด เสพติดอะไร เสพติดความแปลกใหม่อยู่เสมอ
แต่พอมาอยู่นี่ ทั้งๆที่ตั้งใจมาเพราะรู้สึกว่าชีวิตในเมืองหรือชีวิตฆราวาสวุ่นวาย ตั้งใจจะมาอยู่ที่นี่เพราะเห็นแล้วว่าสงบ แต่พอมาจริงๆ ใหม่ๆก็จะเป็นทุกข์ เบื่อ ง่วง เซ็ง แล้วก็จะเริ่มนับวัน เริ่มนับวันถอยหลังว่าเมื่อไรมันจะออกพรรษาสักที แบบนี้ให้รู้ว่ามันธรรมดา อย่าไปต่อต้านขัดขืนกับอาการแบบนี้ ให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ อยู่กับความเบื่อ อยู่กับความเนิบช้า อยู่กับความจำเจ แม้ว่าใหม่ๆจะรู้สึกอึดอัด หรือกระวนกระวายกระสับกระส่าย อาการแบบนี้เกิดขึ้นกับทุกคนเวลาจากในเมืองมาอยู่ในป่าแบบนี้ อย่างน้อยก็สองสามวันแรก เป็นอาการที่อาตมาว่าเกิดจากการเสพติด เสพติดผัสสะใหม่ๆ
การเสพติดคนเรามีหลายแบบ ไม่ใช่เสพติดเหล้า เสพติดการพนัน เสพติดบุหรี่ แต่ยังมีการเสพติดเกมออนไลน์ เสพติดผัสสะใหม่ สิ่งเร้า เสพติดข้อมูลข่าวสาร บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสพติด แต่พอมาอยู่ที่นี่จะเริ่มอาการกระวนกระวาย อยากจะรู้ข้อมูลข่าวสาร อยากจะได้สัมผัสอะไรแปลกๆใหม่ๆ ให้รู้ว่าอาการเช่นนี้เป็นอาการที่เรียกว่าลงแดงชนิดหนึ่ง เมื่อเราเสพติดอะไรก็ตามแล้วเราเลิกสิ่งนั้นอย่างฉับพลัน สิ่งที่ตามมาคืออาการลงแดง คนที่ติดเหล้าพอจะเลิกฉับพลันนี่ลงแดงเลย กระสังกระส่าย รู้สึกว้าวุ่น รู้สึกว่าอยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องทำอะไร จิตดิ้น บางทีกายก็เกิดพยศขึ้นมา นอนไม่หลับก็มี ให้รู้ว่านี่ธรรมดา และถ้าเกิดขึ้นแสดงว่าเราเสพติดผัสสะโดยไม่รู้ตัว แต่ว่าถอนได้ไม่ยาก พอมาอยู่ที่นี่อยู่ไปสักสามสี่วันก็เริ่มปรับตัวปรับใจได้ แล้วพอผ่านไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์จะเริ่มชอบ รู้สึกสบาย
หลายคนมาบวชแค่สองอาทิตย์พอถึงวันสึกก็เสียดาย เสียดายที่จะต้องสึกเพื่อกลับไปสู่ชีวิตเดิมๆที่วุ่นวายและว้าวุ่น ทั้งๆที่วันแรกๆโหยหาอยากจะกลับไป คนเราก็แปลกตอนอยู่ที่ในเมืองก็อยากจะมาอยู่ใช้ชีวิตแบบป่าๆอย่างที่นี่ แต่พอได้มาอยู่จริงๆวันแรกสองสามวันแรกโหยหาสิ่งที่จากมา อยากจะกลับไปเหมือนเดิม ใจของเราเป็นอย่างนี้โดยเฉพาะใจที่ไม่ได้รับการฝึกจะไม่เคยพอใจในสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ ไม่เคยพอใจในปัจจุบันสักที แม้ว่าจะโหยหาและก็ได้อย่างที่โหยหาแต่สักพักก็จะรู้สึกว่ามันแค่นั้นแหละ รู้สึกเฉยๆขึ้นมา อยากจะเปลี่ยนอีก ไม่ยอมอยู่นิ่งมีอาการกระสับกระส่าย ให้เรารู้ว่านี่เป็นธรรมดา อย่าไปปฏิเสธอย่าไปผลักไสมัน เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ แล้วก็เห็นมันค่อยๆดับไป ข้อสำคัญคือว่าอย่าไปหลงเชื่อคล้อยตามมัน อยากจะเสพอยากจะทำอย่างที่คุ้นเคยก็อย่าไปอยู่ในอำนาจของมัน ดูมันไปแต่ไม่ใช่คล้อยตามมัน แล้วก็ไม่ต้องผลักไสมันด้วยความเบื่อ ความเซ็ง ความรู้สึกกระสับกระส่าย
การที่มีข้อวัตรที่ต้องทำร่วมกัน จะช่วยทำให้เราไม่สามารถทำตามใจทำอย่างที่ต้องการได้ ซึ่งตรงนี้จะช่วยขัดเกลาแล้วก็ปรับใจของเราให้กลับมาเป็นปกติ ใหม่ๆปรับตัวปรับใจยาก ก็ต้องอาศัยการปรับตัวก่อน ปรับตัวหมายถึงการปรับที่กายที่วาจา การปรับที่พฤติกรรม ศีลหรือวินัยมีหน้าที่เรื่องนี้คือปรับ แล้วก็คือกำกับการกระทำพฤติกรรมของเรา ภายนอกคือกายและวาจา เช่นการตื่น การนอน การกิน การใช้เสียง หรือการเสพสิ่งต่างๆ การสัมพันธ์กับผู้คน พวกนี้เป็นเรื่องของศีลหรือวินัยซึ่งพระมีมากกว่าฆราวาส มองในแง่หนึ่งก็เป็นตัวจำกัดเสรีภาพของเรา มองในอีกแง่หนึ่งคือสิ่งที่ค่อยๆปรับเปลี่ยน เริ่มจากภายนอกสู่ภายใน
เมื่อพฤติกรรมของเรา เมื่อกายวาจาของเราได้รับการฝึกฝน มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สงบ เรียบง่ายมากขึ้น จะทำให้ใจของเราค่อยๆเริ่มเปลี่ยนตามไปด้วย เช่นมีความอดทนมากขึ้น หรือจิตใจยืดหยุ่นได้ง่าย เวลาเราได้อะไรมา แม่ครัวทำอะไรมา ทำอาหารอะไรมาเราก็ต้องฉันอย่างนั้น หรือถ้าเป็นนักปฏิบัติก็ต้องกินอย่างนั้ ค่อยๆฝึกใจของเราให้ปรับ ไม่เอาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วก็สามารถที่จะเรียนรู้ที่จะพึงพอใจกับทุกอย่างที่ได้รับ ตรงนี้การปรับเปลี่ยนจิตใจ หรือการฝึกให้รู้จักทำใจก็ค่อยๆเพิ่มพูนมากขึ้น
อย่างที่บอกไว้แล้วว่าเวลามีปัญหา ถ้าเราคิดจะไปแก้สิ่งภายนอกอย่างเดียว เราจะเจอแต่ปัญหาร้อยแปดเพราะไม่เคยหมดสักที สิ่งที่จะไม่ตรงกับความต้องการของเรา ไม่ตรงกับใจของเรา แต่พอเรารู้จักปรับใจ รู้จักมาแก้ที่ใจ เราสามารถจะอยู่กับสิ่งต่างๆได้อย่างไม่ยาก แดดร้อนก็อยู่ได้ เสียงดังก็อยู่ได้ และอยู่ได้อย่างปกติด้วย อย่างมีความสุขด้วย เพราะว่าเรารู้จักปรับใจ เช่นทำใจให้เป็นกลางกับทุกสิ่ง หรือทำใจให้ยอมรับกับทุกสิ่งทั้งภายนอกและภายใน สิ่งภายนอกเช่นอากาศ สถานที่ อาหาร แมลง สิ่งภายในคืออารมณ์ที่มเกิดขึ้น ใหม่ๆ กาย วินัย ข้อวัตรช่วยทำให้เราปรับตัวให้ยอมรับสิ่งต่างๆภายนอกได้
จากตอนนี้พอใจเราเริ่มมีการปรับหรือเริ่มรู้จักทำใจแล้ว ตอนนี้พอมีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นในใจเราก็สามารถจะอยู่กับอารมณ์นั้นได้ มีความไม่พอใจเวลาเสียงดังก็สามารถที่จะอยู่กับความไม่พอใจนั้นได้ ไม่ใช่ทำตามมัน มันสั่งให้ว่าสั่งให้ด่าคนที่ทำเสียงดังก็ทำตามมัน แบบนี้อาจจะเคยทำเมื่อก่อน แต่พอเรามาฝึกแบบนี้เราจะไม่ทำอย่างนั้น เราจะมาดูใจของเราเห็นความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นแล้วก็อยู่กับมัน เพราะว่าได้เรียนรู้ที่จะฝึกใจให้อดทน อดทนที่ว่านี้คือขันติ แต่ต่อไปถ้าเรารู้จักเจริญสติด้วย สติจะช่วยทำให้เราอยู่กับอารมณ์ต่างๆได้ไม่ยาก คือดูมันไป หรือวางใจเป็นกลางกับมัน
อาการวางใจเป็นกลางกับอารมณ์ต่างๆในใจ ต้องเริ่มต้นจากการที่เราสามารถวางใจเป็นกลาง หรือทำใจเป็นกลางกับอารมณ์ภายนอกที่มากระทบ อย่างที่บอกเช่นแดดร้อน เสียงดัง สัมผัสที่หยาบ หรือแมลงที่รบกวน พอเราวางใจเป็นกลางกับมันได้ เราไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาแล้ว ใจของเราก็จะเชี่ยวชาญในการที่จะปรับให้เป็นกลางกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ มีความเหงาเกิดขึ้นก็ไม่ได้ทุกข์ร้อน รู้ว่าเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ผลักไสมัน ถ้าผลักไสเมื่อไรจะยิ่งทุกข์เพราะมัน ความเบื่อก็ดี ความเครียดก็ดี ความฟุ้งซ่านก็ดี ความโกรธความหงุดหงิดก็ดี ตัวมันเองอาจจะทำให้เกิดทุกขเวทนาอยู่แล้ว เราคงจะรับรู้ดีเวลาอารมณ์พวกนี้เกิดขึ้นจะเกิดทุกขเวทนาทางใจ แต่ทันทีที่เราผลักไสเพราะรู้สึกเป็นลบกับมัน ทันทีที่เราไม่ยอมรับก็จะเป็นทุกข์เพราะมันมากขึ้น
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราไม่เป็นปัญหามากเท่ากับใจที่ต่อต้าน อย่างนี้ลองพิจารณาดีๆ สิ่งที่มากระทบกับเราไม่เป็นปัญหามากเท่าใจที่ต่อต้านหรือผลักไส ถ้าเกิดขึ้นแต่ใจเราเป็นกลางความทุกข์ก็จะบรรเทาเบาบางลงมา และนี่คือสิ่งที่เราต้องฝึก เริ่มจากการที่ปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตที่นี่ ปรับตัวให้เข้ากับข้อวัตร ข้อปฏิบัติของการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน หรือเป็นสังฆะ แม้ว่าอาจจะไม่ถูกใจ แม้ว่าจะรู้สึกยากลำบาก แม้ว่าจะรู้สึกเบื่อ แต่พอทำไปเรื่อยๆ ใจเราก็จะอ่อนโยนมากขึ้น แล้วเราจะสามารถอดทนต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ และถ้าเราปฏิบัติด้วยเจริญสติด้วยจะไม่ต้องอดทน แต่สามารถจะอยู่ร่วมกันกับอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นได้เ พราะรู้วิธีที่จะวางใจเป็นกลางกับสิ่งนั้น แล้วก็เห็นมันตั้งอยู่แล้วก็ดับไปเอง
อย่างที่พูดไปแล้วเมื่อวานนี้ เพียงแค่รู้ก็ละก็วางได้ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าสำหรับผู้ใหม่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ไม่ว่าพระหรือนักปฏิบัติหรือแม้แต่แม่ชี จะมีความอึดอัด มีความไม่คุ้นเคย หรือมีความเบื่อหน่ายอย่างไรก็ให้รู้ว่ามันเป็นธรรมดา อย่าไปให้ความสำคัญกับมันมาก แล้วพอเวลาผ่านไปผ่านไปไม่นานเราจะอยู่ได้อย่างสบาย แล้วเราจะสามารถเรียนรู้ใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เพื่อทำให้เราวางใจเป็นกลางกับทุกอย่างได้ สามารถจะอยู่กับอารมณ์ภายนอกและอารมณ์ภายในที่ไม่น่าพอใจได้ และอยู่ได้อย่างเป็นปกติ