แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมะหรือสิ่งที่สอนใจเราไม่ได้มีแต่อยู่ในคัมภีร์ อยู่ในคำสอนของครูบาอาจารย์ หรืออยู่ในพระไตรปิฎกแต่เพียงเท่านั้น แต่สามารถจะเห็นได้จากทุกหนทุกแห่ง รวมทั้งจากเรื่องราวของผู้คน ได้ฟังเรื่องราวของคนๆหนึ่ง ก็รู้สึกว่าให้แง่คิดที่ดี
เรื่องนี้ถ่ายทอดมาโดยคนที่ชื่อ เปี๊ยก โปสเตอร์ พวกเราที่เคยดูหนังเมื่อสัก 30–40 ปีก่อน ก็คงจะคุ้นเคยกับชื่อนี้ เขาเป็นผู้หนังสร้างหนังที่มีชื่อมาก ตอนนี้อายุ 80 ปีกว่า ก่อนที่เขาจะมาสร้างหนังเขาเป็นนักวาดภาพโฆษณาหนังที่เรียกว่าโปสเตอร์ โปสเตอร์หนังที่เขาวาดแล้วโรงหนังก็เอาไปพิมพ์เผยแพร่เป็นการโฆษณาหนัง เขาเล่าว่าตอนที่เขายังหนุ่มเขามีเพื่อนที่ร่วมงาน 2 คนที่ช่วยวาดภาพโปสเตอร์ คนหนึ่งชื่อเกษียณ วันหนึ่งทั้งสามคนไปกินอาหารในร้านภัตตาคารแห่งหนึ่ง เกษียณเห็นคนเมาอยู่ตรงโต๊ะข้างๆ เขาพูดขึ้นมาว่า โง่ชิบหายเลยกินเหล้าแล้วก็โดนเหล้ากิน แล้วหลังจากนั้นไม่นานเพื่อนเขามีการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ พอพระไปแล้วก็มีการเลี้ยงกัน โต๊ะอาหารมีเบียร์อยู่ทุกโต๊ะเลย ทั้งสามคนยังหนุ่มอยู่อยากจะรู้ว่าทำไมคนถึงติดเหล้ากันนัก ลองชิมเบียร์ก็รู้สึกว่าเปรี้ยวๆ ฝืดๆ เปี๊ยก โปสเตอร์รู้สึกว่าไม่น่ากินเลย
หลังจากนั้นไม่นานขณะที่ทั้งสามคนกำลังวาดภาพกำลังทำงานอยู่ คนที่ชื่อเกษียณไปเรียกลูกน้องให้ไปซื้อเบียร์มา เปี๊ยกเลยพูดขึ้นมาว่า อ้าว! ว่าเขาแล้วทำไมกินเอง เกษียณก็ตอบว่า นายไม่รู้อะไรเหล้าเป็นของคนสถุลพวกเราต้องกินเบียร์ของคนชั้นสูง เปี๊ยกก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ต่อมาเขาบอกว่าคนที่ชื่อเกษียณก็ติดเบียร์ในที่สุด วันหนึ่งกิน 4–5 ขวดทีเดียว ถ้าวันไหนไม่กินก็ทำงานไม่ได้ แล้ววันหนึ่งเขาไปเรียกลูกน้องให้ไปซื้อเหล้ามา เปี๊ยกเลยพูดว่า ไหนว่าเหล้าเป็นของคนสถุนแล้วทำไมไปซื้อเหล้า เกษียณบอกว่านายต้องมีเหตุผลหน่อย ทุกวันเรากินเบียร์วันละ 4-5 ขวดต้องใช้จ่ายมาก นายก็รู้ว่ารายได้พวกเรามีไม่เท่าไรเอง ขืนกินเบียร์มากๆแบบนี้รายได้ก็ไม่เหลือ เสร็จแล้วพูดขี้นมาว่าเหล้านี่เป๊กเดียวเอาอยู่เลย ทีแรกบอกว่าเหล้าเป็นของคนสถุลแต่ตอนนี้บอกว่าถ้าไม่กินเหล้าทำงานไม่ได้ พูดถึงว่าเหล้าดีกว่าเบียร์ 4-5 ขวดด้วย สุดท้ายเรื่องนี้จบตรงที่ว่าเกษียณก็ติดเหล้าอย่างหนัก แล้วเป็นอัมพาตแล้วก็ตายเพราะเหล้า เรื่องก็หักมุมดี จากคนที่ด่าว่าคนกินเหล้าว่าโง่ สุดท้ายตัวเองก็กลับมาติดเหล้าและก็ตายเพราะเหล้า คนที่ตัวเองด่าว่าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ แต่ว่าคนชื่อเกษียณตายไปนานแล้วตายเพราะว่าเหล้า
เรื่องนี้ถ้าจะมองในแง่ที่มีคำพูดที่ว่า อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา ใครก็ตามที่ไปว่าคนเมาแล้วสุดท้ายก็ย้อนกลับมาที่ตัวเอง จะมองแบบนี้ก็ได้ แต่ที่จริงไม่ใช่เพราะว่าไปว่าคนเมา สาเหตุที่แท้มีมากกว่านั้น อะไรคือสาเหตุที่แท้ คือความประมาท เกษียณคิดว่าเหล้าทำอะไรเขาไม่ได้ เหล้าเล่นงานได้แต่เฉพาะคนโง่ เขารู้สึกมั่นใจว่าเหล้าทำอะไรเขาไม่ได้ เขาถึงพูดเช่นนั้นขึ้นมาว่าคนที่กินเหล้านี่โง่ ความมั่นใจตัวเองแน่จึงทำให้เขาประมาท แล้วเขาก็เริ่มต้นจากกินเบียร์ แล้วก็มีเหตุผลในการที่จะกินเบียร์ว่าเบียร์ดีกว่าเหล้า เหล้าของคนสถุล แต่เบียร์ของคนชั้นสูงกินเพื่อผ่อนคลาย ที่แรกให้เหตุผลว่ากินให้ผ่อนคลาย แต่ตอนหลังกินเพราะว่าต้องทำงานถ้าไม่กินแล้วทำงานไม่ได้ และตอนหลังหันมาอ้างว่าต้องกินเหล้าเพราะว่ามันถูกกว่าเบียร์ คือเหตุผลค่อยๆออกมาทีละนิดทีละนิด และสุดท้ายโดยเหล้ากินหมดแล้วก็ตายเพราะเหล้า เป็นเพราะความประมาท เรื่องแบบนี้มีมากมาย คนที่ประมาทว่าเหล้าทำอะไรตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็เสร็จเพราะเหล้า
เคยรู้จักพระรูปหนึ่งซึ่งท่านรณรงค์ต่อต้านอบายมุขเต็มที่เลย เขียนหนังสือวาดการ์ตูนเขียนกลอนพิมพ์หนังสือ เป็นพระที่มีชื่อมาก โจมตีเรื่องอบายมุขต่อว่าตำหนิคนกินเหล้า บวชได้ 10 กว่าพรรษา สุดท้ายก็สึก ไม่ทราบเหตุผลว่าสึกเพราะอะไร แต่มารู้อีกทีผ่านไป 4–5 ปี พบว่าทิดคนนี้ก็ติดเหล้าไปแล้ว ถ้าไม่กินเหล้าทำงานไม่ได้ จากคนที่เป็นพระปฏิบัติที่ต่อต้านอบายมุขกลายเป็นติดเหล้าไปแล้ว และไม่ค่อยชอบพระที่ต่อต้านอบายมุข สวิงกลับไปเลยและตอนหลังกินเหล้าหนัก และสุดท้ายไม่ทราบเป็นเพราะอะไรก็ฆ่าตัวตาย เอาปืนกรอกปากตัวเองตาย แบบนี้เรียกว่าเป็นเรื่องที่เป็นอุทาหรณ์สอนใจได้ ว่าความมั่นใจในตัวเองทำให้เกิดความประมาท และไม่ใช่เฉพาะเรื่องเหล้าอาจจะเป็นเรื่องอื่นก็ได้ เรื่องผู้หญิง เรื่องเซ็กส์ หรือเรื่องเงิน หลายคนที่โจมตีด่านักการเมืองว่าคอรัปชั่นเป็นคนเลวขายชาติ สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการเป็นนักการเมืองคอรัปชั่นเสียเอง หรือถึงไม่ใช่นักการเมืองก็จะเป็นข้าราชการที่คอรัปชั่น อาจจะเป็นผู้อำนวยการ อาจจะเป็นอธิบดีแล้วคอรัปชั่น
เรื่องแบบนี้เราคงได้ยินบ่อย คนที่ด่าคนนู้นว่าเลวอย่างนั้นอย่างนี้สุดท้ายตัวเองก็เป็นเอง แบบนี้มีสำนวนว่า ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง สำนวนแบบนี้เป็นสำนวนเก่า ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เขายังใช้กันอยู่หรือไม่ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดเพราะความประมาท เพราะความหลงตัวว่าตัวเองไม่มีอะไรจะมาทำให้คลอนแคลนได้ อันที่จริงคนฉลาดถ้าหากว่าเจอเหตุการณ์แบบนี้หรือเจอคนแบบนี้ เช่นเจอคนกินเหล้า ถ้าคนที่ฉลาดเขาจะไม่ต่อว่าคนกินเหล้าแต่เขาจะย้อนกลับมามองตัวเองว่าเราต้องระวัง เราอย่างเป็นอย่างเขา แบบนี้เป็นวิสัยของคนฉลาดของผู้มีปัญญาหรือผู้ที่เป็นบันฑิต เมื่อเห็นคนทำในสิ่งที่ไม่สมควรแทนที่จะไปต่อว่าด่าเขา ก็จะมองกลับมาที่ตัวเองว่าเราอย่าเป็นอย่างเขา นำสิ่งที่เห็นนำคนเหล่านี้มาเป็นบทเรียนสอนใจ เพื่อที่จะให้เราไม่ไปหลงอย่างเขา เห็นนักการเมืองคอรัปชั่น แทนที่เราจะด่าเขาเรากลับมามองว่าเราต้องระวังอย่าเป็นอย่างเขา ถ้าเป็นอย่างเขาชีวิตถึงแม้จะร่ำรวยแต่จิตใจไม่มีทางเจริญได้ แล้วก็มีแต่จะไปสู่อบาย
วิสัยของบันฑิตหรือวิสัยของนักปฏิบัติคือ เมื่อเห็นใครทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง จะไม่ไปเพ่งจิตกล่าวหาต่อว่าเขาเพราะไม่ได้มีประโยชน์อะไร ถ้าจะมีประโยชน์ก็ตรงที่ว่าเอาเขามาเป็นบทเรียนเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่าเราจะต้องระมัดระวังอย่าเป็นอย่างนั้น ถ้ามองแบบนี้สิ่งที่เราเห็นคนที่เขากระทำอย่างนั้นก็กลายเป็นอุปกรณ์สอนธรรมะให้กับเราได้ วิสัยของบันฑิตวิสัยของนักปฏิบัติคือ ย้อนกลับมามองที่ตัวเอง สิ่งนี้เป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรมเลย จะว่าไปแล้วคุณสมบัติของธรรมะคือข้อนี้ “โอปะนะยิโก” คือเป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เมื่อเราเห็นอะไรก็ตามเราน้อมเข้ามาใส่ตัว เห็นคนเมาเราน้อมเข้ามาใส่ตัว เราอย่าเป็นอย่างเขา เห็นคนที่ลุ่มหลงในกามในความสนุกสนาน เราก็น้อมเข้ามาใส่ตัวว่าอย่าเป็นอย่างเขา เห็นคนขี้โกรธมักโกรธ เราก็ไม่ดูถูกเขาแต่เรามองว่าเราอย่าเป็นอย่างเขา เพราะว่าถ้าเราเป็นคนโกรธอย่างเขาหน้าตาดูไม่ได้เลยกลายเป็นยักษ์เป็นมาร
แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมองตนเท่าไร เคยมีคนตั้งคำถามประเด็นว่าเวลาคนคุกดูละครไทย และในละครไทยก็มีพระเอกและผู้ร้าย เขาถามว่าคนในคุกผู้ต้องหาหรือคนที่ถูกตัดสินจำคุก แล้วคนเหล่านี้เวลาดูละครไทยเขาเชียร์ใคร เขาเชียร์พระเอกหรือผู้ร้าย ร้อยทั้งร้อยเชียร์พระเอกแล้วก็ด่าผู้ร้าย ร้อยทั้งร้อยเลย ทั้งๆที่ผู้ร้ายที่เขารังเกียจก็มีพฤติกรรมไม่ได้ต่างจากเขาเลย ผู้ร้ายในละครแต่อาจจะมีพฤติกรรมดีกว่าตัวเขาอีก เพราะบางคนเป็นฆาตกรบางคนเป็นพวกข่มขืน แต่เวลาดูหนังไทยดูละครไทยจะเชียร์แต่พระเอกไม่เคยเชียร์ผู้ร้ายเลย ไม่เชียร์ผู้ร้ายไม่พอกลับรังเกียจผู้ร้ายด้วย เพราะอะไร เราอาจจะมองว่าเป็นเพราะว่าเขามีความใฝ่ดีอยู่ก็ได้ ในตัวผู้ต้องหาผู้ร้ายมีความใฝ่ดีเขาก็เชียร์คนดี แต่อีกส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่รู้จักตัวเองเพราะเขาไม่มองตัวเอง เวลาเขาดูละครเขาไม่มองตัวเองว่าผู้ร้ายในละครนั้นที่จริงก็ไม่ได้ต่างจากตัวเขาเอง
คนที่ขี้อิจฉา ในชีวิตจริงเวลาดูละครไทยก็จะเกลียดตัวอิจฉามากเลย เกลียดตัวอิจฉาจนกระทั่งว่าดาราที่เป็นตัวอิจฉานั้นเวลาเขาเห็นในท้องถนนบ้างทีเขาก็อาจจะด่าก็ได้ ด่าดาราที่เป็นตัวอิจฉาทั้งๆที่นอกเวทีนอกบทนอกจอไปแล้ว แต่ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอินไปกับตัวดาราที่เป็นตัวอิจฉา คนเหล่านี้ทำอย่างนั้นได้อย่างไร แต่เขาไม่ได้มองตัวเอง เขาไม่ได้มองตัวเองว่าเขาเองก็มีพฤติกรรมไม่ต่างจากตัวผู้ร้ายหรือตัวอิจฉาในละคร และก็กลับมาดูตัวเองว่าเขามีพฤติกรรมไม่ต่างกัน เขาจะไม่กล้าด่าผู้ร้ายในละคร เพราะเขาจะรู้สึกว่าด่าผู้ร้ายในละครด่าตัวอิจฉาในละครก็เหมือนกับด่าตัวเอง เขาไม่กล้าแต่เพราะเขาไม่เห็น ทำไมถึงไม่เห็น เพราะเขาไม่มองตัวเอง อย่างนี้เรียกว่าส่งจิตออกนอก แล้วคนเราก็เป็นอย่างนี้กันส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นเราก็เลยมองไม่เห็นตัวเอง เราทำอะไรไปก็มองเห็นแต่คนอื่นแต่ไม่เห็นตัวเอง แล้วเวลาเพ่งโทษก็เพ่งโทษคนอื่น จนกระทั่งไม่รู้เท่าทันไม่เห็นพฤติกรรมของตัวเอง
การที่ไม่มองตัวเองทำให้เราไปโทษคนอื่น หรือมองคนอื่นเป็นตัวปัญหาได้ง่ายมากเลย มีเรื่องเล่าว่าผู้ชายคนหนึ่งโทรศัพท์ไปหาหมอ เป็นหมอที่คุ้นเคยกัน บอกหมอว่า หมอภรรยาผมไม่ทราบเป็นอะไรสงสัยจะหูตึง ช่วยมาตรวจหน่อย หมอบอกว่านี่เป็นเสาร์อาทิตย์ เอาไว้พาภรรยาไปตรวจที่คลินิกผมก็แล้วกัน แต่ตัวสามีไม่ยอม อยากให้หมอมาตรวจเพราะว่าภรรยาหูตึงมาก พูดอะไรไปไม่ตอบสนองเลย หมอบอกว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน ตรวจเช็คกันทางโทรศัพท์ก็แล้วกันจะได้ตรวจว่าหูตึงแค่ไหน ตอนนี้คุณอยู่ไหน เขาตอบว่าผมอยู่ในห้องนอนครับ หมอบอกว่าคุณเดินไปที่ประตูหน้าห้องนอนแล้วเรียกชื่อภรรยา เขาก็ทำตาม เรียกสมทรง..สมทรง..สมทรง เสร็จแล้วก็พูดกับหมอว่าภรรยาไม่ตอบเลย ถ้าเช่นนั้นคุณเดินเข้าไปใกล้ๆ ตอนนี้ภรรยาคุณอยู่ไหน เขาตอบว่าภรรยาอยู่ในห้องครัว หมอบอกว่าคุณเดินไปใกล้ๆ เขาเดินตรงไประเบียงแล้วตะโกน สมทรง..สมทรง ตัวสามีบอกว่าไม่มีเสียงตอบเลย หมอจึงบอกว่าให้เข้าไปใกล้ๆ ไปที่หน้าห้องครัวเลย เขาตะโกนเรียกชื่อดังๆ เรียกชื่อสมทรง..สมทรง ปรากฏว่าสามีบอกว่าไม่มีเสียงตอบเลยจากภรรยา
แล้วตอนนี้เขาทำอะไรอยู่หมอถาม เขาตอบว่ากำลังหันหลังให้ผมสงสัยกำลังล้างจาน หมอบอกว่าให้คุณลองไปที่ข้างหลังเขาเลยแล้วก็เรียกชื่อ เขาเรียกสมทรง..สมทรง..สมทรง คราวนี้ภรรยาหันมาเลย ถามว่ามีอะไรหรือ มีอะไร คุณเรียกฉันมาสิบกว่าครั้งแล้ว ฉันก็ตอบทุกครั้งว่ามีอะไรมีอะไร แล้วทำไมคุณก็ยังเรียกฉันอยู่เรื่อยๆ คุณไม่ได้ยินหรืออย่างไร สงสัยคุณหูตึงแล้ว ต้องไปหาหมอแล้ว อ้าว! ตกลงใครหูตึงกันแน่ สามีหรือภรรยา สามีหูตึงแต่ไม่รู้ตัวก็ไปโทษว่าภรรยาหูตึง ที่จริงภรรยาก็ตอบแต่ตัวเองไม่ได้ยินต่างหาก แล้วเราเคยเป็นอย่างนี้บ้างหรือไม่ หรือเรากำลังเป็นอย่างนี้ คือเราก็คิดว่าคนอื่นเป็นปัญหา ที่จริงเราคือผู้เป็นปัญหา หรือเราอาจจะเป็นปัญหาก็ได้ แต่เราไม่ได้กลับมามองตัวเรา
เพราะความขัดแย้งหลายครั้งในครอบครัว ในที่ทำงาน ในชุมชน เกิดจากการที่ผู้คนต่างมองออกนอกตัว หรือจากการแพ่งโทษคนอื่น ต่างมองคนอื่นเป็นปัญหา แล้วก็ไม่ได้เห็นไม่ได้รู้จักหรือรับรู้พฤติกรรมของตัวเองเท่าไรว่าตัวเองนั้นคือปัญหา ดังนั้นถ้าเกิดว่าคนเราหันมามองตัวเอง แล้วไม่เพ่งโทษคนอื่นเราจะพบว่าที่จริงเราคือปัญหา หรือไม่เราก็จะระมัดระวังตัวเราเองให้ดีขึ้น การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนานอกจากการทำความดี เช่นการให้ทาน การรักษาศีลแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ การที่กลับมามองดูตัวเอง กลับมารับรู้ สังเกตสังการณ์พฤติกรรมของตัวเอง ซึ่งถ้าหากว่าเราหันมาหรือย้อนมองตัวเราเองอยู่เสมอ การที่เราจะมีพฤติกรรมที่ก่อปัญหากับคนอื่นหรือสร้างปัญหากับตัวเองก็จะน้อยลง
แต่ที่จริงแล้วการมองกลับมาที่ตัวเองไม่ใช่แค่ดู รับรู้ ในระดับพฤติกรรมเท่านั้นว่าเราทำอะไรไปเราพูดอะไรไป แต่ที่จริงต้องกลับมาดูให้ลึกกว่านั้นให้ละเอียด ว่านั่นคือกลับมารู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ไม่ใช่แค่รู้ทันพฤติกรรมของตัวเรา ว่าเราพูดอะไรไปเราทำอะไรไป ต้องกลับมาเห็นหรือรู้ใจของตัวเอง ก็แปลกที่ว่าเวลามีความคิดเวลามีอารมณ์ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับใคร ก็เกิดขึ้นกับเราเกิดขึ้นกับใจของเรา แต่คนจำนวนมากมองไม่เห็นหรือไม่รับรู้ เช่นเวลาโกรธก็ไม่รู้ว่าตัวเองโกรธ เวลาโมโหก็ไม่รู้ว่าตัวเองโมโห เวลาเศร้าบางทีก็ไม่รู้ว่าตัวเองเศร้า และทั้งๆที่ความโกรธความโมโหความเศร้าทำให้ทุกข์ มันเผาล้นจิตใจบีบคั้นจิตใจทิ่มแทงจิตใจ แต่ไม่รู้ เมื่อไม่รู้มันก็เลยเล่นงานหรือรั้งควานจิตใจเรา
ความทุกข์ของผู้คนสมัยนี้ไม่ได้ทุกข์จากคนอื่น ทุกข์จากอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเรา กรณีนี้พูดถึงความทุกข์ใจ สำหรับความทุกข์กายอาจจะเกิดจากเหตุปัจจัยภายนอก อาจจะเกิดจากดินฟ้าอากาศ อาจจะเกิดจากอาหาร อาจจะเกิดจากเชื้อโรค หนามมาทิ่ม หรือก้อนหินมากระทบ สิ่งนั้นเรื่องทุกข์กาย แต่เรื่องทุกข์ใจเป็นผลมาจากอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจของเรา เพียงแค่เกิดความอยากขึ้นมาก็ทุกข์แล้ว เมื่อใดก็ตามที่เราเกิดความโลภขึ้นมาเราก็รู้สึกทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร เพราะอยากได้อยากมี ทุกข์เพราะรู้สึกว่าเรายังไม่มีสิ่งที่อยาก เพียงแค่อยากก็ทุกข์แล้ว แล้วถ้าความอยากนั้นผลักให้เราไปแสวงหาก็ยิ่งทุกข์ไปใหญ่ เพราะว่าในขณะที่ยังไม่ได้มาก็จะรู้สึกว่ายังไม่เต็มอิ่ม ยังขาด ยังพร่อง
ความโกรธก็เหมือนกัน เมื่อเกิดขึ้นกับใจก็เผารนจิตใจของเรา แล้วเราคิดว่าที่เราทุกข์ใจเป็นเพราะคนอื่น เป็นเพราะคนพูดไม่ดีกับเรา เพราะเขาต่อว่าด่าทอเรา เพราะเขาทำไม่ดีกับเรา แต่ที่จริงแล้วไม่ว่าใครเขาจะทำอะไรเรา ถ้าเพียงแต่เราไม่ได้คิดถึงสิ่งที่เขาทำ เราก็ไม่ทุกข์ ตอนนั้นเราอาจจะกำลังกินข้าวอยู่กำลังคุยกับเพื่อนอยู่ ตอนที่กินข้าวกำลังคุยกับเพื่อนคุยกับลูก ใจเราไม่ได้นึกถึงคนที่เขาต่อว่าด่าทอเรา เราก็เลยไม่ทุกข์เรากลับเพลิดเพลินเสียอีก แต่พอเราเริ่มนึกถึงสิ่งที่เขาพูดสิ่งที่เขาทำกับเรา พอคิดถึงเท่านั้นก็ปรี๊ดเลย ทั้งที่เราเคยปรี๊ดมาแล้วแต่ก็ยังปรี๊ดอีก เราทุกข์เพราะความคิด คือคิดสิ่งที่เขาทำกับเรา แต่พอไม่คิดก็ไม่ทุกข์ แบบนี้หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
แม้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเฉพาะหน้าก็ตาม เราได้ยินแต่เราไม่สนใจเราก็ไม่ทุกข์ ได้ยินเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเราก็ไม่ทุกข์ แต่พอเราเก็บเอามาคิดหรือจิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น ทุกข์ทันที เช่นเสียงโทรศัพท์ดังในศาลา ถ้าเราไม่สนใจ เรามาสนใจเสียงบรรยายที่อาตมากำลังพูด เสียงนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ แต่พอเอาใจไปจดจ่อกับเสียงนั้น ถึงแม้จะเป็นเสียงที่ไพเราะเป็นเสียงริงโทนที่ไพเราะ แต่ยิ่งเราจดจ่ออยู่กับมันเท่าไรเราก็ยิ่งทุกข์ เพราะว่าใจผลักไสใจไม่ชอบเสียงนั้น มีความคิดขึ้นมาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สมควรไม่ถูกต้องไม่น่าจะเกิดขึ้น เวลาเรานึกขึ้นมาทันทีว่าไม่น่าเกิดขึ้น เสียงไม่น่าดัง เจ้าของโทรศัพท์ไม่น่าเปิดเครื่องเอาไว้ พอคิดถึงคำว่าไม่น่า ทุกข์เลย เกิดความผลักไสขึ้นมาทันที
คนเราทุกข์เพราะคำว่า ไม่น่าจะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ขับรถ รถติด พอคิดขึ้นมาว่า ไม่น่าจะติดตอนนี้ ไม่น่าจะติดยาวอย่างนี้ ทุกข์เลย เครียดเลย หงุดหงิดเลย แล้วเราปล่อยให้คำว่า ไม่น่าจะ มาเล่นงานจิตใจเรา คำว่า น่าจะ ก็เหมือนกัน คนทำงานมีความทุกข์เพราะคิดว่าเจ้านายน่าจะเห็นความดีของเรา น่าจะขึ้นเงินเดือนให้เรา หรือในครอบครัวแฟนน่าจะเห็นใจเรา แฟนน่าจะรู้ใจเรา แต่เขาไม่เห็นใจเราเลยเขาไม่รู้ใจเราเลย เขาน่าจะพูดดีกับเรา พอมีคำว่าน่าจะเกิดขึ้น ในตัวอย่างที่ว่ามาก็มีความน้อยใจเสียใจ รู้สึกว่าเจ้านายไม่ยุติธรรมเจ้านายไม่เห็นคุณค่าของเรา ไปกันใหญ่เลย เราทุกข์เพราะความคิด แล้วเราก็คิดแบบนี้ ปล่อยให้ความคิดแบบนี้เล่นงานเราจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะว่าเราไม่รู้ทันความคิดที่เกิดขึ้น ทำไมถึงไม่รู้ทัน เพราะว่าเราส่งจิตออกนอก เราไม่ค่อยกลับมาตามดู รู้ทันใจของเรา
การที่กลับมาตามดูรู้ทันใจของเราสำคัญมาก ทำให้ความคิดความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ ทำร้ายจิตใจเราน้อยลง คนเราทุกวันนี้เราไม่ค่อยรู้ทันในสิ่งที่พุทธเจ้าเรียกว่า อันตรายที่ปกปิด อันตรายมี 2 อย่าง คือ อันตรายภายนอก และ อันตรายที่ปกปิด อันตรายภายนอก เช่น งูเงี้ยว เขี้ยวขอ ผู้ร้าย หรือภัยธรรมชาติ ส่วนอันตรายที่ปกปิด คือ กิเลส หรืออารมณ์อกุศลที่เกิดขึ้นในใจ รวมทั้งความคิดต่างๆที่คอยซ้ำเติมจิตใจของเราอย่างที่พูดมา รวมทั้งการคิดในแง่ลบ การชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ความคิดแบบนี้ทำร้ายจิตใจคนโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ก็มาก คนที่ชอบมองแง่ลบจะเห็นอะไรแต่ในแง่ลบ แล้วเขาก็มีความทุกข์ แล้วเขาไม่เคยรู้เท่าทัน ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเป็นเพราะเขาคิดแบบนี้ เขาถึงมีความทุกข์ เห็นแง่ลบของคนอื่น เห็นแง่ลบของตัวเอง การคิดในแง่ลบยังรวมถึงว่าการเห็นและจดจ่ออยู่แต่สิ่งที่ตัวเองไม่มี สิ่งที่ตัวเองมีไม่สนใจไม่ชื่นชม ไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตัวเองไม่มี
บางคนได้โชคได้ลาภมาแทนที่จะมีความสุขแทนที่จะพอใจ กลับมีความทุกข์เพราะรู้สึกว่าฉันน่าจะได้มากกว่านี้ สิ่งที่ฉันมีคือเสีย ไม่ใช่ได้ มีเรื่องเล่าว่ามีพ่อค้าคนหนึ่งอายุก็มากแล้ว ตอนหลังมาสนใจเรื่องการปฏิบัติธรรม เห็นคุณค่าของการทำสมาธิภาวนา ตั้งใจว่าเย็นวันศุกร์และวันเสาร์วันอาทิตย์จะตั้งใจปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ แต่ปรากฏว่าทำได้ไม่เท่าไรเกิดปัญหา เพราะว่าถนนหน้าบ้านพอถึงวันเสาร์อาทิตย์จะมีเด็กมาเล่นฟุตบอล เด็กมาเล่นฟุตบอลแล้วเสียงของเด็กมารบกวนทำให้เขานั่งสมาธิไม่ได้ เขารู้สึกหงุดหงิด แล้วเขาก็รู้สึกว่าทำอย่างไรให้เด็กเลิกเล่น ที่แรกก็คิดว่าจะไปไล่ตะเพิดเด็ก แต่เขารู้ว่าขืนทำแบบนั้นเด็กก็คงมาแกล้งเขาอีก หรือมาแกล้งเขาหนักขึ้น การไล่ตะเพิดเด็กนั้นไม่ได้ผล
เขาทำอย่างไร เขาก็ลงไปหาเด็กแล้วบอกเด็กว่า พวกเธอเล่นฟุตบอลทำให้ลุงรู้สึกว่ามีชีวิตชีวามากเลย จิตใจเบิกบานรู้สึกถึงความสดชื่นของเด็กๆ ลุงขอให้เงินพวกเธอเป็นรางวัลร้อยบาท เด็กก็ดีใจ อาทิตย์ต่อมาเด็กมาอีก คราวนี้พ่อค้าคนนี้ก็ลงไปหาเด็กแล้วบอกว่า ขอบคุณนะที่มาเล่นกีฬาให้ลุงรู้สึกสบายใจ แต่ตอนนี้เงินไม่ค่อยมีเงินเอาไป 50 บาท เด็กก็ยังดีใจอยู่ เล่นเสร็จก็ไป อาทิตย์ต่อมาเด็กมาอีก คราวนี้ลุงก็บอกว่าช่วงนี้ลุงไม่ค่อยมีเงินเลยเอาไป 10 บาทก็แล้วกัน ตอนนี้เด็นไม่ชอบแล้ว รับเงินอย่างเสียไม่ได้ และอาทิตย์ต่อมาเด็กก็ไม่มาอีกเลย ทำไมเด็กไม่มา เด็กเขาบอกว่าไม่คุ้ม ก่อนหน้านี้ได้ร้อยหนึ่งแต่คราวนี้ได้สิบบาท ไม่คุ้มค่าเหนื่อย เด็กไม่มา
ทีแรกเด็กมาเล่นเพื่อความสนุก แต่พอได้เงินร้อยหนึ่งเด็กก็ความรู้สึกเปลี่ยนไป พอได้สิบบาทเด็กไม่พอใจแล้ว เด็กรู้สึกว่าเขาน่าจะได้ร้อยแต่ได้สิบ เด็กเขารู้สึกว่าเขาเสียไปเก้าสิบ เขาไม่ได้คิดว่าเขาได้สิบ เด็กคิดว่าเขาเสียไปเก้าสิบ เขาเลยไม่มาเล่น สมปรารถนาของพ่อค้าคนนี้ที่สามารถจะนั่งสมาธิได้อย่างสงบสุข เรื่องนี้เราไม่พูดว่าลุงคนนี้แกโกหกเด็กอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเด็กทำไมแต่ก่อนเล่นฟรีๆมาเล่น แต่พอได้สิบบาทไม่เล่น เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่ใช่ได้สิบบาทแต่เขาเสียไปเก้าสิบ เด็กคิดแบบนี้ฉลาดหรือโง่ แต่บางทีเราก็เป็นเหมือนเด็กกลุ่มนี้เหมือนกัน เรารู้สึกว่าเราได้น้อย
เพื่อนอาตมาคนหนึ่งเป็นนักเล่นหุ้น เล่นหุ้นเป็นประจำ แต่เดี๋ยวนี้เขาเลิกแล้วเพราะเขารู้สึกว่าการเล่นหุ้นได้เงินก็จริงแต่ว่าไม่ค่อยมีความสุข เขายอมแลกความสุขเพื่อได้เงิน แต่ตอนนี้เขาได้เงินมากแล้วเขาขอเอาความสุข ไม่เอาเงินแล้วขอเอาความสุขแทนก็เลยเลิกเล่นหุ้น ตอนที่ยังเล่นหุ้นเจอคุณป้าคนหนึ่ง คุณป้าคนนี้คุยไปคุยมาแกบอกว่าแกเล่นหุ้นเหมือนกัน แกเล่นหุ้นแทบทุกวันเลย คุยไปคุยมาคุณป้าบอกว่าแกเพิ่งขายหุ้นไปเมื่อสองสามวันก่อนได้กำไร เฉพาะกำไรสิบล้านบาท เพื่อนอาตมาบอกว่ายินดีด้วยครับคุณป้า คุณป้าบอกว่ายินดีอะไรกัน ถ้าฉันขายหุ้นวันนี้ฉันได้กำไรยี่สิบล้าน คุณป้าไม่มีความสุข ได้สิบล้านแต่ไม่มีความสุข วันรุ่งขึ้นคุณป้าก็หายไปจากตลาดหุ้น เพื่อนอาตมาก็เลยไปถามมาเก็ตติ้งว่าคุณป้าหายไปไหน ได้คำตอบคุณป้าเข้าโรงพยาบาล คงเดาออกใช่ไหมว่าเข้าโรงพยาบาลเพราะอะไร เพราะเครียดที่ได้สิบล้าน คุณป้าแกเครียดเพราะแกไม่คิดว่าแกได้สิบล้าน แกคิดว่าแกเสียสิบล้าน เพราะแกคิดว่าแกน่าจะได้ยี่สิบล้าน คำว่าน่าจะ น่าจะได้ยี่สิบล้านทำให้แกทรุด แกเสียสิบล้านแกก็เลยเครียดเข้าโรงพยาบาล
นี่คือวีธีคิดของคนเราที่ทำให้เป็นทุกข์ แล้วถ้าเราไม่รู้ทันความคิดแบบก็จะทุกข์เรื่อยไป คุณได้ร้อยล้านคุณก็ทุกข์เพราะคุณคิดว่าน่าจะได้สองร้อยล้าน แทนที่จะคิดว่าได้ร้อยล้านกลับคิดว่าเสียไปร้อยล้าน เหมือนกับเด็กที่เล่นบอลแล้วคิดว่าได้สิบบาท แทนที่จะคิดว่าได้สิบบาทแต่กลับคิดว่าตัวเองเสียไปเก้าสิบ คนเราทุกข์เพราะเหตุนี้มาก แล้วถ้าไม่รู้เท่าทันตัวเองก็จะทุกข์แบบนี้เรื่อยไป แต่ถ้าเรารู้เท่าทันเราก็จะรู้ว่าความคิดแบบนี้เป็นปัญหา เราจะไม่ให้มันมาครอบงำใจเรา ค่อยๆปรับใจ ปรับความคิด ไปในทางบวกได้