แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีเด็กชาวอินเดียคนหนึ่งอายุ ๕ ขวบ วันหนึ่งพี่ชายไปทำงานเด็กจึงขอตามไปด้วย ทั้งสองนั่งรถไฟแล้วลงที่สถานีแห่งหนึ่ง วันนั้นเด็กชายเหนื่อยมากจึงขอกลับบ้านแต่พี่ไม่ให้กลับ พี่ชายบอกว่าให้รอก่อนเดี๋ยวพี่จะกลับมา เด็กจึงรอพักใหญ่แล้วก็งีบหลับไป ตื่นขึ้นมาไม่เห็นพี่ชายมาสักทีจึงเข้าใจว่าพี่ชายกลับไปแล้ว เผอิญมีรถไฟแล่นมาจอดที่สถานี เด็กก็เลยขึ้นรถไฟขบวนนี้หมายจะกลับบ้าน พอขึ้นไปสักพักก็งีบหลับอีก ตื่นขึ้นมาอีกทีปรากฏว่าถึงเมืองกัลกัตตา แล้วไม่รู้จะทำอย่างไร หลงเลยคราวนี้ พลัดหลงกับพี่ชาย บ้านตัวเองอยู่ไหนก็ไม่รู้ สถานีชื่ออะไรก็ไม่รู้ เลยกลายเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่แถวๆนั้น คุ้ยเขี่ยหาขยะหาของกินจากขยะ
ตอนหลังมีคนไปส่งบ้านสถานเด็กกำพร้า สถานเด็กกำพร้าถ่ายรูปเสร็จแล้วก็ออกประกาศโฆษณาตามหนังสือพิมพ์ แต่ไม่มีประโยชน์เพราะพ่อแม่เขาอ่านหนังสือไม่ออกเขียนไม่ได้ คนอินเดียไม่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่แล้ว จึงไม่มีใครมารับตัว สุดท้ายมีชาวออสเตรเลียมารับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ออสเตรเลียแล้วใช้ชีวิตเหมือนคนออสเตรเลีย ชีวิตน่าจะสุขสบายดี แต่ตลอดเวลาเขานึกถึงบ้านนึกถึงพ่อแม่ของเขา พอเขาอายุสักยี่สิบกว่าเรียนจบแล้ว เขาพยายามที่จะสืบหาให้ได้ว่าบ้านเขาอยู่ไหน แล้วเขารู้ว่าถ้าเขาบินไปอินเดีย ไปกัลกัตตาแล้วเริ่มต้นตรงนั้นคงหายากมากเลย เพราะว่ารถไฟที่มากัลกัตตามีมาก
ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ไหนดีก็ใช้วิธีที่ลัดกว่านั้นคือใช้เทคโนโลยีซึ่งเพิ่งมี สมัยนี้คือกูเกิ้ลเอิร์ธและเว็บไซต์ เปิดดูกูเกิ้ลเอิร์ธเริ่มตั้งแต่กัลกัตตาแล้วก็ไล่ไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางรถไฟ ซึ่งหายากมากเหมือนกับงมเข็มในกองฟางเลย ยังดีหน่อยดีกว่างมเข็มในมหาสมุทร งมเข็มในกองฟางเพราะว่าหมู่บ้านในอินเดีย แค่เฉพาะรอบๆกัลกัตตารัศมี 100 กิโลเมตร 200 กิโลเมตรหรือ 300 กิโลเมตร มีมากมายเป็นพันเป็นหมื่นเลย แต่สุดท้ายเขาก็เริ่มเห็นทางแล้ว เพราะเขาจำได้ว่าสถานีที่บ้านเขาหน้าตาเป็นอย่างไร ใช้เบาะแสเท่านี้คือยังจำได้ว่าหน้าตาสถานีรถไฟที่บ้านหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วเขาใช้กูเกิ้ลเอิร์ธหาจนกระทั่งเริ่มเห็นอะไรที่คลับคล้ายคลับคลา ที่อินเดียโชคดีอย่างหนึ่งคือ 20 ปีก็ยังไม่พัฒนา เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นประเทศอื่นหรือแม้แต่เมืองไทย 20 ปีคงจะเปลี่ยนไปมาก ขนาดที่สุคะโตคนมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว พอมาถึงตอนนี้ก็เปลี่ยนไปมากเลย แต่ที่โน่นสถานีรถไฟ 20 ปีผ่านไปอย่างไรก็เหมือนเดิม
เขาเริ่มบินไปอินเดียแล้วก็ไปกัลกัตตา แล้วค่อยๆไปตามสถานีที่เขาคิดว่าใช่ พอไปถึงคล้ายกับที่เขาเคยจำได้ เขาเริ่มหาบ้าน เอารูปของเขาที่ติดในพาสปอร์ตสมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้วมาให้คนแถวนั้นดู คนพอจำได้ แล้วในที่สุดพาเขาไปพบแม่ ถึงแม้คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะเขาลืมภาษาไปแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเขานามสกุลอะไร เขารู้แต่ชื่อ เป็นธรรมดาของเด็กรู้แต่ชื่อแต่ไม่รู้นามสกุล แล้วพอโตขึ้นไม่รู้จักภาษาฮินดีรู้จักแต่ภาษาอังกฤษ เลยคุยกันไม่รู้เรื่องกับแม่ แต่มีความสุขมากที่ได้กลับมาสู่บ้านเก่า กลับมาพบแม่ ใช้เวลาถึง 20 ปี แต่นับว่าโชคดีเพราะถ้าเป็นสมัยก่อนนี้คงตามหายากมาก เพราะว่าไม่มีเทคโนโลยีอย่างเว็บไซต์หรือกูเกิ้ลเอิร์ธ เรื่องนี้เขาใช้เวลา 20 ปีในการที่กลับไปตามพบบ้านเกิด แล้วก็พ่อแม่ ดูเหมือนนานแต่เป็นไปได้สำหรับคนยุคนี้
เดี๋ยวนี้การค้นหาใครต่อใครง่ายมาก เร็วกว่าเดิมมาก เมื่ออาทิตย์สองอาทิตย์ที่แล้วเราคงได้ข่าววัยรุ่นชาวอังกฤษตามหาผู้มีพระคุณที่เคยช่วยเขาตอนเกิดสึนามิที่ภูเก็ต เหตุการณ์ตอนนั้นเขาสองคนนี้อายุแค่ 12 กับ 16 ปี แล้วโดนคลื่นสึนามิเล่นงาน เขาพลัดหลงกับแม่เลยไปอาศัยความช่วยเหลือของคนไทยสองคนเป็นสามีภรรยา ตอนนั้นพ่อก็ไปอยู่ด้วย ตอนหลังพอแม่ตายก็พาศพแม่กลับบ้าน ช่วงนั้นชุลมุนมาก สามีภรรยาคู่นี้ช่วยเหลือทุกอย่างรวมทั้งขับรถพาไปขึ้นเครื่องบินที่สุวรรณภูมิ เพราะว่าที่ภูเก็ตเครื่องบินการจราจรคับคั่งมาก แล้วนับจากนั้นเขาไม่ได้เห็นหน้าผู้มีพระคุณสองคนนี้เลย จำได้แต่ชื่อแล้วก็รู้ว่าอยู่ที่ภูเก็ต แล้วทำอย่างไรถึงจะค้นหาเจอ เขาก็ใช้วิธีเขียนข้อความลงเฟชบุ๊คตามหาประกาศ แค่นี้มีแค่รู้ชื่อ นามสกุลก็ไม่รู้ แล้วก็รู้ว่าอยู่ที่ภูเก็ต มีคนแปลเป็นภาษาไทยแล้วเผยแพร่ต่อๆกันไป แค่วันสองวันเท่านั้นเจอแล้วรู้แล้วเป็นใคร แล้วก็เลยบินมาเพื่อมาขอบคุณ ครบ 10 ปีพอดีปีนี้ ตามหาคนไม่รู้จัก รู้แต่ชื่อ เดี๋ยวนี้เจอได้ไวมากแค่วันสองวัน สิ่งนี้เป็นเพราะอำนาจของเทคโนโลยี
แต่แปลกที่การตามหาคนอื่นนี้ง่าย แต่สิ่งที่ยากก็คือตามหาตามค้นเพื่อจะพบตัวเอง การตามหาตัวเองจะว่าไปแล้วน่าจะง่ายเพราะว่าอยู่กับตัวเอง 24 ชั่วโมง แต่คนจำนวนไม่น้อยเลยเผ่านไปปีแล้วปีเล่า ยังไม่พบตัวเองเลย แต่สามารถที่จะตามหาใครต่อใครเจอได้โดยใช้เวลาไม่นาน ทั้งๆที่การตามหาคนหรือการตามหาบ้านเก่าน่าจะยากกว่า อย่างเรื่องที่เล่านี้น่าจะยากมากเลย แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีช่วยทำให้เราตามหาอะไรต่ออะไรได้เจอ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพระคุณ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเก่า ไม่ว่าจะเป็นบ้านเกิดหรือพ่อแม่ แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมคือการตามหาหรือการค้นพบตัวเอง อาจจะยากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งก็เพราะเทคโนโลยี อย่างเฟชบุ๊คทำให้คนหลงตัวลืมตนได้มากเลย ในแง่หนึ่งช่วยทำให้ตามหาใครต่อใครได้ง่ายมาก เพื่อนเก่า บ้านเก่า แต่กลับทำให้ห่างไกลเหินห่างจากตัวเองมากขึ้นทุกทีๆ
เทคโนโลยีไม่ใช่แค่เฉพาะเฟชบุ๊ค อย่างอื่นก็เหมือนกันพาผู้คนเหินห่างจากตัวเอง ที่จริงไม่ใช่แต่ตัวเองเท่านั้น บางทีคนที่อยู่ใกล้ตัวก็เหินห่างกันเพราะเทคโนโลยี เดี๋ยวนี้คนที่ใช้เฟชบุ๊คเขาไม่ค่อยได้คุยกันกับคนใกล้ตัวเท่าไร เขารู้จักผู้คนที่อยู่ไกลออกไป ข้ามประเทศข้ามทวีปก็รู้จักติดต่อกันดี แต่คนในบ้านไม่คุยกัน โทรศัพท์มือถือก็เหมือนกันเชื่อมให้ผู้คนได้รู้จักกันกว้างขวาง แบบประเภทว่าโลกไม่มีพรมแดนแล้ว แต่คนในบ้าน พี่น้องพ่อแม่ไม่คุยกัน แล้วก็เหินห่างกัน ขนาดคนใกล้บ้านก็ยังเหินห่าง นับประสาอะไรกับตัวเองก็ยิ่งเหินห่างเข้าไปใหญ่ เพราะว่าถูกดึงให้หลงออกไปนอกตัว
การค้นหาอะไรก็ตามก็สำคัญ แต่การค้นพบตัวเองสำคัญยิ่งกว่า เจออะไรก็ตามแต่ไม่เจอตัวเองค้นไม่พบตัวเอง เหมือนกับว่าเราปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ก็ว่าได้ มีของดีแล้วไม่ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ก็เสียของ เกิดมาทั้งทีอย่างน้อยน่าจะได้รู้จักตัวเอง ได้ค้นพบตัวเอง เดี๋ยวนี้ผู้คนลืมตัวเองเหมือนกับลืมของเลย ลืมของแล้วก็หาไม่เจอ ผู้คนสมัยนี้จำนวนมากลืมตัวเองแล้วก็หาตัวเองไม่พบ แล้วพอหาตัวเองไม่พบแล้ว การใช้ชีวิตก็เหมือนกับสวะที่ล่องลอยไปตามกระแส สุดแท้แต่ว่าจะมีสิ่งเร้าอะไร ปล่อยชีวิตไปตามกระแส วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยเดี๋ยวนี้เป็นทุกข์เพียงแค่ว่าเพื่อนไม่กดไลค์ให้ อัพโหลดหรือเขียนสเตตัสในเฟชบุ๊คแล้วไม่มีใครกดไลค์ ทุกข์มากเลย ไม่กดไลค์ก็หนักแล้วดันมาเขียนคอมเม้นต์อีก ยิ่งแย่เลย
แล้วเด็กเดี๋ยวนี้อาจจะรวมทั้งผู้ใหญ่ด้วยก็ได้ ชอบมากในการที่จะรวบรวมปริมาณการกดไลค์แต่ไม่เอาคอมเม้นต์ ขอได้ไหมกดไลค์อย่างเดียวไม่เอาคอมเม้นต์ เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าพอขึ้นเฟชบุ๊คแล้วเป็นที่สาธารณะแล้วก็ต้องมีทั้งไลค์คือถูกใจ แล้วก็คอมเม้นต์ซึ่งส่วนใหญ่แสดงความเห็นวิจารณ์ เอาไลค์แต่ไม่เอาคอมเม้นต์ เหมือนกับเล่นกีฬาจะเอาแต่ชนะไม่ยอมแพ้เป็นไปไม่ได้ หรืออยากจะได้แต่ไม่ยอมเสียเป็นไปไม่ได้ สรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน จะเอาแต่คำสรรเสริญแต่ไม่เอานินทาหรือไม่เอาคำตำหนิเป็นไปไม่ได้ ไม่ต่างจากเอาหลังมือแต่ไม่เอาหน้ามือ หลังมือกับหน้ามือของคู่กัน อยากได้หน้ามือไม่เอาหลังมือเป็นไปไม่ได้ อยากได้หลังมือแต่ไม่เอาหน้ามือก็เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นถ้าอยากได้ไลค์ต้องยอมที่จะต้องเจอคอมเม้นต์บ้าง
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเครื่องสร้างความทุกข์ให้แก่ผู้คนจำนวนมาก เพราะไปหลงอยู่กับสิ่งนอกตัวแบบนี้ ไปหลงอยู่กับความรู้สึกของผู้คนว่าเขามองเราอย่างไร แบบนี้เป็นอาการของคนที่ไม่พบตัวเองไม่รู้จักตัวเอง เพราะถ้ารู้จักตัวเองแล้วสิ่งเหล่านี้จะมีความสำคัญน้อยมาก คำพูดหรือปฏิกิริยาไม่ว่าจะเป็นไลค์หรือคอมเม้นต์ ไม่ว่าจะเป็นสรรเสริญหรือนินทา จะสร้างความทุกข์ให้กับเราน้อยมาก แต่เดี๋ยวนี้คนเราเอาความสุขความทุกข์ไปผูกติดกับภายนอก ไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาของผู้คน หรือจะเป็นข้าวของ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง ทั้งๆที่สุขที่จริงอยู่ที่ใจ ถ้าค้นพบตัวเองจะไม่มีความรู้สึกทุกข์ทรมานแบบนี้
ค้นพบตัวเองมีหลายระดับ การค้นพบตัวเองหรือการรู้จักตัวเองความหมายแรกง่ายๆสุดคือ เห็นหน้าตัวเองเห็นเงาตัวเองในกระจกแล้วก็รู้ว่านี่ใช่เราไม่ใช่คนอื่น สิ่งนี้เป็นความสามารถพื้นฐานของมนุษย์แล้วก็สัตว์บางชนิด เช่น ลิง โลมา ถ้าเอากระจกส่องหน้ามันรู้ว่าเงาในกระจกนี่คือมัน คนเราเป็นอย่างนั้น ทารกใหม่ๆยังทำไม่ได้ แต่พอโตขึ้นสักพักอายุไม่กี่เดือนพอจะรู้แล้วที่เห็นในกระจกนั่นคือฉัน แต่ถ้าเป็นหมาเป็นแมวอาจจะไม่รู้ว่านั่นคือตัวมัน ที่เห็นในกระจกคือตัวมัน แบบนี้เราไม่รู้จักตัวเองในความหมายที่หยาบที่สุด
รู้จักตัวเองในความหมายต่อมาคือ รู้ว่าตัวเองถนัดอะไร ชอบอะไร แบบนี้ก็เป็นปัญหามาก หลายคนเรียนมหาวิทยาลัยโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรเลย ที่เรียนคณะนี้เพราะพ่อแม่แนะนำ หรือเพราะว่าตกกระไดพลอยโจน เพื่อนเรียนคณะนี้เราก็เรียนบ้าง เพื่อนแห่ไปเรียนวิศวะเราก็ไปเรียนบ้าง แต่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบ จบมาแล้วยังไม่รู้ว่าจะมีอาชีพอะไรเลย พ่อแม่ก็ปวดหัว เคยมีพ่อแม่มาถามว่ามีปัญหาว่าลูกจบมาแล้วไม่รู้จะทำอาชีพอะไร เพราะว่าไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองถนัดอะไร สองอย่างนี้เป็นเรื่องพื้นฐานเลย ชอบอะไรและถนัดอะไร แต่คนจำนวนมากทีเดียวไม่น่าเชื่อว่าไม่รู้ขนาดเรียนจบแล้ว แสดงว่าไม่รู้จักตัวเองแม้กระทั่งในเรื่องที่พื้นฐานมาก
รู้จักตัวเองอีกความหมายหนึ่งหรือที่ลึกลงไปคือ รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร บางคนเป็นผู้ใหญ่แล้วยังไม่รู้เลยตัวเองต้องการอะไรอย่างแท้จริง คิดอย่างง่ายๆ คือ เช่นบางคนคิดว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่ใช่ แล้วก็แต่งงานด้วย พอแต่งงานอยู่กันไปสักพักก็บอกว่าไม่ใช่แล้ว อีกคนหนึ่งใช่กว่า ยอมทิ้งผู้หญิงคนเดิมเพื่อไปหาผู้หญิงคนใหม่คนนี้ใช่แน่ แต่คบกันไปมีความสุขกันไปสักพักไม่ถึงปีทิ้งเขาไปแล้ว บางทีไม่ใช่ทิ้งเฉยๆ ถีบเขาไปเลย ไม่ใช่แล้ว ผู้หญิงไม่ยอมก็สู้กัน บางทีตบตีกัน ที่เคยรักดูดดื่มถึงขนาดที่ว่ายอมทิ้งคนแรกเพื่อมาเอาคนนี้ใช่แน่นอน ตอนนี้ทะเลาะกันตบตีกันแล้วเพราะมีคนใหม่มา
อย่างที่เป็นข่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ใช่เฉพาะดารา ไม่ใช่เฉพาะคนรวย คนจำนวนมากก็เป็นเพียงแต่อาจจะไม่มีทางเลือกที่ง่าย อย่างพวกคนรวยที่เขาทำอะไรเขาดูไม่ผิด ดูดีไปหมด ก็น่าแปลก รักคิดว่าใช่แล้วคนนี้แน่นอนเสร็จแล้วก็ทิ้งไปเพื่อมีคนใหม่ ผ่านไป 5-6 เดือนไม่ใช่แล้ว ทิ้งไปหาคนใหม่ เป็นอย่างนี้ 5-6 ครั้ง 7-8 ครั้ง ก็ยังไม่เคยถามตัวเองเลยว่า จริงๆเราผิดปกติหรือไม่ที่ยังวนเวียนอยู่กับวัฏจักรแบบนี้ แล้วถามว่ามีความสุขไหม ก็ไม่มีความสุข ตกเป็นข่าวให้ผู้คนวิจารณ์นินทา แต่ไม่เคยเฉลียวใจเลยว่ามีความผิดปกติอะไรในใจเราไหมที่ทำให้เราทำอย่างนี้ ถ้าเขาเฉลียวใจเขาจะพบว่า ลึกๆเราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร วัยรุ่นก็เป็นอย่างนี้มาก
เรื่องนี้เป็นปัญหาของคนยุคนี้เลยก็ว่าได้ คือไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร สิ่งที่ต้องการเป็นเพียงความฉาบฉวยชั่วคราว เป็นความต้องการทางกายมากกว่า กายมีปฏิกิริยาทางเคมีกับคนนี้คนนั้น กับผู้หญิงคนนี้กับผู้ชายคนนั้น พอเสพสมกันไปสักพักเบื่อ ปฏิกิริยาเคมีเปลี่ยน ออกซิโทซิน (oxytocin) เริ่มเสื่อมไปแล้ว ออกซิโทซินคือฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความผูกพันกัน พอเริ่มเจือจางไป ไปหาคนใหม่ดีกว่า ใช้ชีวิตไปตามอำนาจของฮอร์โมนหรือปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีปล่อยชีวิตไปตามกระแส ตามอำนาจของฮอร์โมน หรือตามอำนาจของสิ่งเร้า ก็ไม่ต่างจากจอกแหนที่ไหลไปตามกระแสแม่น้ำ
ฉะนั้นถ้าเรารู้จักตัวเองอย่างแท้จริงจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ไม่ใช่สิ่งเร้าภายนอกที่ให้ความสุขเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ใช่คนนั้นคนนี้ที่ปรนเปรอกิเลสเรา ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่ชื่อเสียงเกียรติยศ แต่มีอะไรบางอย่างที่เป็นความสงบภายใน ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเต็มอิ่ม ไม่รู้สึกพร่อง สิ่งต่างๆที่เราแสวงหาล้วนแต่พร่อง ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถเติมเต็มความสุขให้กับเราได้อย่างแท้จริง เพราะตัวมันเองก็คงอยู่ไม่ได้นาน ตัวมันเองก็พร่อง พร่องเป็นชื่อหนึ่งหรือเป็นลักษณะหนึ่งของความทุกข์ คือมันพร่องไม่สามารถที่จะทำให้เกิดความสมบูรณ์ได้ ไม่มีอะไรที่ครบถ้วนร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยๆ ต้องเสื่อมไปตามกาลเวลา ไม่ช้าก็เร็ว
รู้จักตัวเองหรือค้นพบตัวเองในระดับที่ลึกลงไปคือ การที่รู้ว่าตัวเองทุกข์เพราะอะไร ไม่ใช่แค่รู้ว่าต้องการอะไรเท่านั้น แต่รู้ว่าทุกข์เพราะอะไร โดยเฉพาะความทุกข์ใจ เห็นรากเหง้าของมันว่าอยู่ที่ใจเรา อยู่ที่ความรู้สึกผลักไส ความรู้สึกปฏิเสธ ซึ่งเชื่อมโยงไปกับความรู้สึกยึดติดถือมั่น ความยึดติดถือมั่นกับการผลักไสดูเหมือนตรงข้ามแต่สิ่งเดียวกันเลย คู่กันเหมือนกับหน้ามือกับหลังมือ เราเกลียดอะไร เราไม่ชอบอะไร เราอยากผลักไสอะไร ใจเราก็จะนึกถึงสิ่งนั้น นึกแล้วนึกอีก แล้วก็มีรสชาติกับมันด้วย หลายคนบอกว่าไม่ชอบความทุกข์ แต่พอจมอยู่ในความทุกข์แล้วไม่อยากสลัดออกไป บางทีรู้สึกว่ามีรสมีชาติด้วยซ้ำ
มีเพื่อนคนหนึ่งเป็นผู้หญิง เขาได้จดหมายจากผู้ชายที่เขาแอบชอบอยู่ สมัยนั้นไม่มีอีเมล์ก็มีแต่จดหมาย แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ได้มีใจให้เธออย่างที่เธอต้องการ เธอก็เศร้าซึม ระหว่างที่เศร้าซึมอยู่นั้นมีเพื่อนมาหา มาตะโกนเรียกที่บ้าน กดกริ่งด้วย ชวนไปเที่ยว ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นในใจของเธอคือ ไม่ชอบไม่พอใจ เธอนึกขึ้นมาในใจว่าเวลาจะสุขก็ไม่สมหวัง เวลาจะทุกข์ก็ยังมีคนมารังควานอีก เวลาทุกข์ยังมีคนมารบกวนอีก คืออยากจะทุกข์อยากจะเศร้าซึมไม่อยากให้ใครมารบกวน เพราะว่ามันมีรสมีชาติ ไม่ชอบทุกข์ไม่ชอบความเศร้าแต่บางทีก็ยังยึดยังหวงแหนความเศร้า อยากจะจมอยู่ในความเศร้านั้น เวลาคนเศร้าๆ เขาอยากฟังเพลงอะไร เขาอยากฟังเพลงสนุกสนานหรือไม่ เขาอยากฟังเพลงคืนความสุขให้ประชาชนไหม เขาอยากฟังเพลงเศร้า อยากฟังเพลงเศร้าๆเพราะมันมีรสมีชาติ ทั้งที่ไม่ชอบความเศร้าแต่ก็ยังรู้สึกอยากจะจมอยู่ในความเศร้านั้น นี่เรียกว่า ยิ่งผลักไสยิ่งยึดติด
ฉะนั้นอย่าไปโทษใคร ต้องกลับมาดูใจของเรา เรื่องนี้พูดไปแล้วว่า อารมณ์ความรู้สึกความคิดต่างๆในใจเราต่างหากที่ทำให้เราทุกข์ ถ้าเป็นทุกข์กายอาจเป็นเพราะปัจจัยภายนอก แต่ถ้าทุกข์ใจแล้วเป็นเพราะความรู้สึกนึกคิดในใจที่ปรุงแต่งขึ้นมาแล้วเราไม่รู้ทัน ถ้ารู้จักตัวเองจะรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ แล้วก็ไม่ปล่อยให้มันมาครอบงำใจ การค้นพบตัวเองได้จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีสติ มีความรู้ตัว จิตอยู่กับเนื้อกับตัว จึงจะรู้จักตัวเองได้ ถ้าลืมตัวแล้วก็ยากที่จะรู้จักตัวเองได้ ลืมของยังมีโอกาสเจอได้ในเร็ววัน แต่ถ้าลืมตัวบางทีช้ามาก บางคนอยู่ทั้งชีวิตยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
ได้ฟังเรื่องราวราชาของอินเดียคนหนึ่ง ยิ่งใหญ่มากแต่ยิ่งใหญ่ในทางร้าย คือออรังเซบ (Aurangzeb) ออรังเซบผ่านมาประมาณสัก 200-300 ปีที่แล้ว พวกเราอาจจะไม่คุ้นชื่อนี้ แต่ถ้าพูดถึงพ่อเขา ชาห์ จาฮาน (Shah Jahan) อาจจะพอนึกออก ชาห์ จาฮาน เป็นคนที่สร้างทัชมาฮาล ทัชมาฮาลยิ่งใหญ่มากสร้างโดยชาห์ จาฮาน เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับเมียที่เขารักคือ มุมตัส (Mumtaz) แต่ ชาห์ จาฮาน ไม่ชอบออรังเซบซึ่งเป็นลูกชาย ไม่ยกสมบัติให้ ออรังเซบก็เลยยึดอำนาจจากพ่อ จับพ่อไปขัง เหมือนกับพระเจ้าอชาตศัตรูจับพระเจ้าพิมพิสารไปขัง แล้วต่อมาก็ฆ่าพ่อ อชาตศัตรูฆ่าพระเจ้าพิมพิสาร ออรังเซบก็ฆ่าชาห์ จาฮาน เป็นกษัตริย์แล้วเป็นคนที่บ้าอำนาจมาก แล้วก็เป็นคนที่คลั่งศาสนา ทำลายโบราณสถาน ศาสนสถานของศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู เพราะตนเป็นมุสลิม แล้วก็ขยายอาณาเขตมาก สร้างสงคราม ขยายดินแดนไปอย่างกว้างขวางเกือบถึงลังกา ดินแดนอินเดียใต้ เรียกว่าพรั่งพร้อมด้วยอำนาจด้วยความยิ่งใหญ่ แล้วก็อายุยืนด้วย เป็นคนที่เรียกว่าประสบความสำเร็จในชีวิตก็ว่าได้ถ้าในแง่ของทรัพย์อำนาจสุขภาพอายุ พูดตามมาตรฐานของชาวโลก แต่ไม่มีความสุข
วันสุดท้ายตอนใกล้ๆตาย เขาพูดกับลูกชายเขาว่า ฉันมาแล้วก็ฉันไป เหมือนคนแปลกหน้า ฉันไม่รู้ว่าฉันคือใคร และกำลังทำอะไรอยู่ ขนาดอายุ 88 ปี ยังถามคำถามนี้เลยว่า ฉันไม่รู้ว่าฉันคือใคร และกำลังทำอะไรอยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่เรียกว่าประสบความสำเร็จมาอย่างมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความสำเร็จในทางร้าย ฆ่าฟันผู้คนมาก สร้างความฉิบหายให้กับผู้คนมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองคือใครและกำลังทำอะไร เพราะหลงจมอยู่ในโลกธรรม พอหลงจมอยู่ในโลกธรรมแล้วก็ลืมตัว เมื่อลืมตัวแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร คนเราถ้าลืมตัวก็ลืมอะไรอีกมากมาย แม้จะลืมชั่วคราวก็อาจจะหมายถึงการลืมสิ่งสำคัญได้
ระยะหลังพวกเราคงได้ข่าวพวกคนขับรถที่ลืมเด็กไว้ในรถ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็มีคนขับรถโรงเรียนรับเด็กนักเรียนมาแล้วไปส่งที่โรงเรียน แต่ลืมเด็กคนหนึ่งไว้ในรถเพราะเด็กหลับ บางทีหลับหลังแค็บนั่นเอง แล้วตัวเองก็ลืม ที่ลืมเด็กก็เพราะว่าใจลอยไปนึกเรื่องโน้นเรื่องนี้ พอลงจากรถก็ไม่ตรวจดูรถให้ถี่ถ้วนว่าในแค็บมีเด็กหรือไม่ ปล่อยให้เด็กอยู่ในรถ รถตากแดดถูกแดดเผา 3-4 ชั่วโมงเด็กก็ตายแล้ว เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก
เมื่อหลายปีก่อนมีนายกเทศมนตรีคนหนึ่ง ทุกวันจะมีเพื่อนบ้านพาลูกน้อยไปส่งที่โรงเรียนอนุบาลซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่ทำการเทศบาล แล้ววันหนึ่งแม่ของเด็กไม่ว่าง บอกให้นายกเทศมนตรีช่วยพาลูกไปส่งด้วยที่โรงเรียนอนุบาล นายกเทศมนตรีก็รับปาก แต่ในขณะที่ขับรถใจก็นึกถึงการประชุม แล้วก็วันนั้นรถก็ติด เพราะฉะนั้นพอถึงเทศบาลก็สายแล้ว ใจที่นึกถึงแต่การประชุมทำให้ลืมเด็ก พอถึงเทศบาลรีบลงจากรถวิ่งขึ้นไปที่ทำการเพื่อประชุม ประชุมถึงเที่ยงทำงานต่อถึงเย็น แล้วกลับลงมาที่รถเพื่อกลับบ้าน กลางทางขณะที่ยังไม่ถึงบ้านก็มองกระจกหลัง เห็นเด็กที่เพื่อนบ้านฝากลูกเอาไว้ ลืมเอาไปส่ง รีบลงจากรถไปดูว่าเด็กเป็นอย่างไร ปรากฏว่าเด็กตายแล้ว แม่บางคนก็เอาลูกใส่รถเพราะว่าไม่มีใครดูแลลูก แล้วตัวเองก็ต้องไปซื้อของก็เอาลูกใส่รถเบาะหลังแล้วตัวเองไปห้างสรรพสินค้า ไปจอดเอาไว้ตรงลานโล่งแล้วก็รีบลงไปเพื่อที่จะไปซื้อของ มีเมนูมีรายจ่ายมีสิ่งที่ต้องซื้อมาก ใจหมกมุ่นอยู่กับการซื้อของ ลืมลูกเอาไว้ข้างหลังรถเบาะหลัง มาเจอลูกอีกทีตอนกลับมาจากการซื้อของแล้ว ลูกอยู่ในรถถูกแดดเผา ตายเหมือนกัน
เรื่องโศกนาฏกรรมแบบนี้เกิดขึ้นได้เพราะอะไร เพราะลืมตัว พอลืมตัวแล้วการลืมโน่นลืมนี่ ไม่ใช่แค่ลืมกุญแจรถ ไม่ใช่แค่ลืมกระเป๋า บางทีลืมลูกเอาไว้ลืมเด็กเอาไว้ก็เกิดขึ้นได้ นับเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดจากความพลั้งเผลอ ฉะนั้นการลืมตัวน่ากลัวมากเลย ถ้าลืมตัวแล้วไม่ใช่ตัวเองเดือดร้อนอย่างเดียว บางทีคนอื่นเดือดร้อนด้วย ฉะนั้นกลับมารู้จักตัวเอง กลับมารู้ตัว กลับมารู้สึกตัวสำคัญมาก และช่วยทำให้ชีวิตของเรามีความพลั้งเผลอพลั้งพลาดน้อยลง และสามารถจะใช้ชีวิตของเราให้เกิดประโยชน์ ทำให้พบความสุข ทำให้เราสามารถที่จะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้มากมาย