แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนพระสาวก โดยการยกเอาเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งมาประกอบหรือนำสู่ข้อคิดในทางธรรมะ เป็นเรื่องของนักกายกรรม คนหนึ่งเป็นอาจารย์อีกคนหนึ่งเป็นศิษย์ วันหนึ่งอาจารย์ยกไม้ไผ่ตั้งขึ้นมาแล้วบอกให้ลูกศิษย์ไต่ไม้ไผ่ขึ้นไป แล้วก็เลี้ยงตัวอยู่บนปลายไม้ไผ่หรือยอดไม้ไผ่นั้น ส่วนอีกด้านหนึ่งของไม้ไผ่ตั้งอยู่บนคอของอาจารย์ อาจารย์พูดกับลูกศิษย์ว่า ถ้าเธอดูแลฉัน ฉันก็จะดูแลเธอ เมื่อทำเช่นนี้ได้งานศิลปะของเราจะสำเร็จ เราจะได้เงิน แล้วก็สามารถที่จะกลับมาได้อย่างปลอดภัยคือลงมาได้อย่างปลอดภัย ส่วนลูกศิษย์เป็นคนฉลาดพูดว่า อย่างนั้นไม่ดีหรอกอาจารย์ อย่างนี้ดีกว่าคือผมจะดูแลรักษาตัวผม ส่วนอาจารย์ก็ดูแลรักษาตัวอาจารย์ ถ้าทำเช่นนี้งานศิลปะของเราจะทำสำเร็จ คือศิลปะกายกรรม แล้วก็จะได้เงิน และทุกคนก็จะปลอดภัยด้วย
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องนี้เสร็จ พระองค์กล่าวเป็นคติธรรมว่า เมื่อรักษาตนก็ได้ชื่อว่ารักษาผู้อื่นด้วย เมื่อรักษาผู้อื่นก็ขึ้นชื่อว่ารักษาตนด้วย รักษาตนได้อย่างไร รักษาตนด้วยการทำให้มากเจริญให้มากซึ่งกุศลธรรม ส่วนรักษาผู้อื่นทำได้ด้วยการมีขันติ มีอหิงสา มีเมตตาจิต แล้วก็มีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล จิตใจเอ็นดู เรื่องนี้เป็นข้อธรรมที่พระพุทธเจ้าได้นำมาสอนพระสาวก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการรักษาตนกับการรักษาผู้อื่น หรือการดูแลตัวเองกับการดูแลผู้อื่น สองอย่างนี้ไม่ใช่เป็นคนละขั้วคนละปลาย แต่เป็นเรื่องเดียวกันหรือเป็นเรื่องที่สอดคล้องเกื้อกูลกัน บางคนมองว่าการทำเพื่อผู้อื่นจะเป็นประโยชน์กับผู้อื่น แต่จะเป็นประโยชน์กับตัวเองได้อย่างไร ข้อนี้พระพุทธเจ้าชี้ให้เห็นว่า การทำเพื่อผู้อื่นก็มีประโยชน์กับตัวเองด้วย
เราเคยได้ยินหรือเคยมีความคิดมาว่าการที่เรารักษาตัวให้ดี เช่นมีศีลมีธรรมก็เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นแล้ว อย่างเราจะเคยได้ยินว่าถ้าเราทุกคนทำตัวให้ดีสังคมก็จะดีไปด้วย แบบนี้เป็นข้อความที่เราได้ยินบ่อยๆ ซึ่งบางครั้งทำให้เกิดข้ออ้างว่าฉันดูแลตัวฉันก็พอแล้ว ฉันไม่ต้องทำอะไรให้กับผู้อื่นหรอกเดี๋ยวสังคมก็ดีขึ้นมาเอง ซึ่งก็มีส่วนจริงแต่จริงไม่หมด อีกด้านหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม คือการที่เราจะดูแลหรือพัฒนาตัวเองก็แยกไม่ออกจากการที่เราไปช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าเรารักษาหรือช่วยเหลือผู้อื่นให้ดีก็ส่งผลย้อนกลับมาที่ตัวเองเราเองด้วย จะส่งผลดีอย่างไรบ้าง ข้อดีอย่างแรกที่เกิดขึ้นทันทีคือ ช่วยลดความเห็นแก่ตัวเมื่อเราเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น แม้ว่าทีแรกใจของเราจะยังไม่ได้มีจิตใจที่อยากจะช่วยเหลือเขา แต่ทำไปเพราะพ่อแม่แนะนำพ่อแม่สั่งสอน หรือทำไปเพราะครูบาอาจารย์แนะนำ หรือทำไปเพราะว่าเพื่อนๆชวน ทีแรกใจก็ไม่ได้เต็มใจ แต่พอทำไปทำไปกลับช่วยทำให้เรามีความเห็นแก่ตัวน้อยลง แล้วมีเมตตากรุณามากขึ้น ความเห็นแก่ตัวที่ลดน้อยถอยลงทำให้เรามีความสุขได้ง่าย
คนเราถ้าเกิดว่าตัวตนใหญ่ อัตตากว้าง อัตตาใหญ่ จะทุกข์ง่าย มีอะไรมากระทบก็จะไม่พอใจง่าย จะกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขี้หงุดหงิด เพราะว่าอะไรๆก็ไม่เป็นไปดั่งใจ อะไรแล้วก็ไม่ถูกใจเพราะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ความรู้สึกตรงนี้จะแรงมาก ขณะเดียวกันเมื่อเอาตัวเองศูนย์กลางหรือมีความเห็นแก่ตัว ความอยากก็จะมาก อยากได้ทุกอย่างเอาเข้าตัว และไม่ว่าจะได้เท่าไรก็ไม่เคยพอใจไม่เคยเต็มอิ่มสักที แล้วก็อยากได้อีก เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะได้มาเท่าไรจะร่ำรวยเพียงใดก็ยังไม่มีความสุขอยู่ ยังรู้สึกพร่อง ยังรู้สึกขาดอยู่เสมอ แบบนี้เป็นลักษณะจิตใจของผู้ที่มีความแก่ตัวมาก หรือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ความโลภจะมาก แล้วความโกรธก็จะง่าย สุดท้ายจะเป็นคนที่สุขภาพไม่ดี ล้มป่วยด้วยโรคความดันหรือมีความเครียด
ในทางตรงข้ามคนที่คิดถึงผู้อื่น แล้วก็ไม่ได้แค่คิดถึงอย่างเดียวแต่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลด้วย ความเห็นแก่ตัวลดลง นึกถึงตัวเองน้อยลง นึกถึงคนอื่นมากขึ้น ทำให้เป็นสุขง่าย มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องจริงเรื่องจัง ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ ปล่อยวางได้ง่าย ทำให้เป็นคนที่มีอารมณ์ดี ได้เท่าไรก็พอใจได้ง่าย มีความสันโดษได้ง่าย จะทำให้สุขภาพดีทั้งกายและใจ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพกายมีส่วนมากเลย การที่คิดถึงแต่คนอื่นให้มากๆ
มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอเป็นผู้หญิงเหนือชาวเชียงใหม่ แล้ววันหนึ่งพบว่าตัวเองติดเชื้อเอดส์จากสามี ติดเชื้อ HIV จากสามี ตอนนั้นเธอยังสาวมาก สามีคงไปเที่ยวผู้หญิงแล้วก็ติดเชื้อมาแล้วไม่รู้ แล้วก็มาส่งเชื้อให้เธอ เธอไม่โกรธสามีที่เอาเชื้อมาให้เธอ เมื่อสามีล้มป่วยเพราะโรคเอดส์เธอดูแลสามีอย่างดีจนสามีเสียชีวิต เธอคิดถึงคนอื่นที่ประสบชะตากรรมเดียวกับเธอ ก็เลยเริ่มไปช่วยเหลือผู้หญิงติดเชื้อ ทีแรกในหมู่บ้านอำเภอของเธอ ต่อมาขยายไปถึงจังหวัด ไปแนะนำเรื่องการรักษาตัวให้ปลอดภัย เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่เสี่ยง ซึ่งเรื่องนี้ชาวบ้านอาจจะไม่ค่อยรู้จัก เธอไปเป็นจิตอาสา ต่อมาไปเป็นวิทยากร แล้วก็ขยายกิจการของเธอไปถึงคนทั่วไป ไปช่วยแนะนำพวกเด็กเยาวชนให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องโรคเอดส์ แล้วตอนหลังไปส่งเสริมการศึกษา พัฒนาการศึกษาของเยาวชน กลายเป็น NGO ไปทำกิจกรรมแบบ NGO เพื่อช่วยเหลือการศึกษาของเยาวชน เพราะว่าถ้าเยาวชนมีการศึกษาดีก็จะมีรายได้ดี จะไม่เข้าไปสู่วงจรอุบาทว์ของโรคเอดส์ คือไปเป็นโสเภณีเข้าสู่ธุรกิจบริการทางเพศ หรือถ้าเป็นผู้ชายก็ไปเป็นกรรมกร เสร็จแล้วก็ไปติดเชื้อมาเวลาไปเที่ยวผู้หญิง กลับมาก็เผยแพร่
ตอนหลังเธอไปทำงานพัฒนาชุมชนขยายกิจการกว้างขวางขึ้น ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรตามที่ต่างๆ รวมทั้งออกรายการโทรทัศน์เพื่อแนะนำให้คนได้เข้าใจเรื่องการรักษาตัว ผ่านไป 20 ปีแล้วเธอยังมีชิวิตอยู่ สุขภาพเธอก็ยังใช้ได้ แล้วไม่ได้กินยาต้านเชื้อด้วย นั้นเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากว่าผ่านมา 20 ปีแล้วเธอก็ยังไม่ตายเพราะเอดส์ สุขภาพก็ยังดี ยาต้านเชื้อก็ไม่ได้กิน มีคนถามเธอว่าเธอทำงานมากๆแบบนี้เธอไม่กลัวป่วย ไม่กลัวตายเร็วหรือ เธอตอบได้น่าสนใจมาก เธอบอกว่าถ้าพี่คิดถึงแต่ตัวเองพี่ป่วยไปนานแล้ว หรืออาจจะตายไปแล้วก็ได้ การที่เธอคิดถึงคนอื่น มีจิตเมตตากรุณา แล้วก็ลงมือช่วยเหลือเขาตามกำลัง หรือทำอย่างเต็มที่ ทำไมเธอมีความสุข เริ่มแรกเป็นความสุขใจ ความสุขใจทำให้ความสุขกายเกิดขึ้นมาได้ พอมีความสุขใจแล้วก็คงช่วยทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายของเธอดีขึ้น พอภูมิตานทานในร่างกายดีขึ้นช่วยจำกัดควบคุมเชื้อ HIV ไม่ให้อาละวาดหรือระบาด
มีคนหลายคนที่สุขภาพเขาดีขึ้นเวลาได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นไมเกรนต้องกินยาเป็นประจำ ตอนหลังก็ได้ข่าวว่าศูนย์ปากเกร็ด บ้านปากเกร็ด ต้องการจิตอาสาไปช่วยดูแลเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ไปอุ้มเด็กไปเล่นกับเด็กตั้งแต่เด็ก 3, 4, 5 เดือนที่ถูกทิ้ง ไปจนถึงเด็กโต แล้วเธอไปอาทิตย์ละสองครั้ง ไปได้ไม่กี่ครั้งเอง เธอฉุกใจคิดว่าตัวเองลืมกินยา เพราะตอนที่เธอเป็นไมเกรนเธอกินยาเป็นประจำทุกวัน แต่พอไปช่วยเหลือเด็กลืมกินยา เธอถามตัวว่าทำไมถึงลืมกินยา เพราะว่าไม่ปวด พอไปทำความช่วยเหลือก็ไม่มีความรู้สึกปวดเลย พอไม่ปวดก็ไม่ได้กินยา ลืมกินยาไปเลย เธอก็เลยพบว่าที่เราคิดว่าเราจะไปช่วยเด็ก ที่จริงเด็กกลับช่วยเรามากกว่า
การที่เราจะไปให้ความสุขกับเด็ก เด็กกลับให้ความสุขกับเรา คือพอเธอไปดูแลเด็กเธอก็มีความสุข ทีแรกก็สุขใจแล้วพอสุขใจก็มีผลต่อสารเคมีในร่างกาย ทำให้มีสารบางอย่าง เช่นโดพามีนบ้าง เอนโดฟีนบ้าง หลั่งออกมา คงมีส่วนช่วยทำให้ไมเกรนสงบระงับไปแม้ว่าจะชั่วคราวก็ตาม ทีนี้ก็เห็นแล้วว่าโอกาสที่ไปช่วยเหลือคนอื่นกลับเป็นประโยชน์กับตัวเอง บางทีตัวเองได้มากกว่าคนที่ตัวเองไปช่วยเสียอีก ทีนี้เห็นได้ชัดว่าการไปการรักษาผู้อื่นหรือการช่วยเหลือผู้อื่น มีผลแม้แต่เรื่องจริงใจและร่างกายด้วย นอกจากทำให้จิตใจเป็นสุข ร่างกายมีสุขภาพดีแล้ว ยังมีผลช่วยเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอ
หลายคนที่เป็นจิตอาสาบ้านปากเกร็ดเขาพบว่าจิตใจเขาเย็นขึ้น มีนักธุรกิจคนหนึ่งอายุ 30 ปีกว่า ใจร้อน ชอบตวาดใส่ลูกน้อง พูดดีๆกับลูกน้องไม่เป็น แต่ตอนหลังไปเป็นจิตอาสา แฟนชวนไปที่จริงไม่ได้อยากจะไปหรอก ว่างช่วงเสาร์อาทิตย์ก็ไป พอไปแล้วพบว่า การกระโชกโหกหากการระบายอารมณ์ใส่ลูกน้องน้อยลง พูดจากับลูกน้องนุ่มนวลขึ้น เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จากอะไร เกิดจากการที่จะไปดูแลเด็กก็ต้องควบคุมอารมณ์ของตัว จะต้องใจเย็นอดทนเพราะเด็กบางคนงอแง เด็กบางคนก็เรียกร้อง คนที่ดูแลต้องพยายามควบคุมอารมณ์ของตัว การที่พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเพื่อนึกถึงผลประโยชน์ของเด็ก ก็มีผลในการกล่อมเกลานิสัยของตัวทำให้ใจเย็น เวลาเจอลูกน้องก็ไม่อารมณ์เสียใส่ลูกน้อง
เด็กอายุ 14 ปีคนหนึ่งพบความเปลี่ยนแปลงคล้ายกัน แม่ก็แปลกใจชมด้วยว่าลูกพอไปเป็นจิตอาสาแล้วลูกนิ่งขึ้น สุขุมขึ้น ใช้เหตุผลมากขึ้น แต่ก่อนใช้อารมณ์มากโดยเฉพาะกับแม่ เถียงแม่บ่อย ตอนหลังแทนที่จะเถียงแม่เป็นประจำก็หยุดคิดบ้างแล้วก็ใคร่ครวญ แล้วเธอบอกว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่ไปดูแลเด็กเหมือนกัน ดูแลเด็กต้องใจเย็น ช่วยกล่อมเกลาจิตใจตัวเองโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวต่อเมื่อผ่านไปสักพักแล้วก็พบเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ แบบนี้ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “รักษาผู้อื่นก็เท่ากับรักษาตัวเอง” คือเกิดประโยชน์ นอกจากเกิดประโยชน์ท่านแล้วก็เกิดประโยชน์ตนด้วย การขัดเกลาจิตใจให้สุขุมให้สงบเย็น ให้รู้จักยับยั้งชั่งใจ ดีกับตัวเองไม่ได้ดีกับใคร เพราะคนเราเวลาโกรธแล้ว ความโกรธไม่ได้เล่นงานใครก่อนมันเล่นงานเราเป็นคนแรก ส่วนคนที่เหลือก็ตามมาทีหลัง แล้วพอใจสงบเย็นรู้จักยับยั้งช่างใจ ก็ได้อานิสงส์ของความสงบเย็นกับตัวเอง
การเปลี่ยนนิสัยใจคอก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่มีพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก มีหลายคนที่เป็นพวกวัยรุ่นที่ชอบก่อกวน เป็นแก๊งเป็นอันธพาล พอได้ทำอะไรดีๆ ทำประโยชน์กับผู้อื่น ทำให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้มากขึ้น เมื่อสัก 3-4 ปีก่อน มีวัยรุ่นอยู่กลุ่มหนึ่งเป็นพวกแก็งมอเตอร์ไซค์ ชอบยกพวกตีกันแล้วก็ชอบก่อกวนชาวบ้าน วันหนึ่งได้รับคำชวนจากลูกพี่ซึ่งกลับตัวกลับใจแล้ว ลูกพี่ชวนมาเข้าค่าย ค่ายนี้ชื่อค่ายสุขแท้ด้วยปัญญา เครือข่ายพุทธิกาเคยจัดเมื่อสัก 3-4 ปีที่แล้ว สุขแท้ด้วยปัญญาหมายความว่าความสุขที่แท้เกิดจากปัญญา เกิดจากการมีความเห็นที่ถูก มีความคิดที่แยบคาย คิดถูกคิดเป็น เห็นชอบ ทำให้คนเรามีความสุขได้
ค่ายนี้มีไม่กี่วัน 3-4 วัน วัยรุ่นกลุ่มนี้ก็ไม่อยากไป เพราะว่าค่ายนี้ห้ามสูบบุหรี่ แล้วก็ห้ามกินเหล้า แต่จำต้องไปเพราะว่าลูกพี่ชวน ขอร้อง แต่พอได้ยินว่าแก๊งตรงข้ามก็ไปด้วยเข้าค่ายด้วย เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาก็เลยเตรียมอาวุธกันใหญ่เลย เตรียมมีดเตรียมสนับเตรียมปืนไปด้วย กะว่าถ้าเกิดมีเรื่องไม่ถูกใจหรือเรื่องปะทะกันก็พร้อมจะลุยกันกลางค่ายเลย เพราะว่าไม่แน่ใจว่าศัตรูคู่อริจะมาไม้ไหน จะมาเล่นทีเผลอหรือไม่ พอเข้าค่ายก็เกือบจะปะทะกันหลายครั้งแล้วแต่ลูกพี่คุมเอาไว้ได้ ชาวบ้านที่อยู่รอบๆค่ายนั้นทีแรกวิตกมากว่าวัยรุ่นสองแก็งนี้จะมาตีกัน แต่พอผ่านไปจนจบค่ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชาวบ้านก็ชมคนกลุ่มนี้ ชมวัยรุ่นให้ได้ยินเลยว่า วัยรุ่นพวกนี้ดีน่าอนุโมทนาด้วย หลายคนในกลุ่มนี้รู้สึกไม่เคยได้รับคำชมก่อน พอได้รับคำชมก็รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น เพราะแต่ก่อนมีแต่โดนคนด่ามีแต่คนตั้งข้อรังเกียจข้อระแวง ไม่ค่อยมีใครพูดดีกับพวกตัวเองเท่าไร แต่พอชาวบ้านมาชมเพราะว่าได้ทำความดีในค่ายนี้ เพียงแค่ไม่ตีกันเขาก็ชมแล้ว พวกเขาก็เริ่มรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น
และค่ายนี้มีเงื่อนไขว่าจบค่ายนี้ก็ต้องไปทำจิตอาสา ทางค่ายตกลงกันว่าจะไปเป็นจิตอาสาช่วยตำรวจตั้งด่านในช่วงปีใหม่ เพราะปีใหม่นี้มีพวกคนเมามาก ขับรถเกิดอุบัติเหตุเพราะเมาเหล้า จำเป็นต้องมีการตั้งด่าน ตำรวจตั้งด่านอยู่แล้วแต่อาจจะไม่พอ วัยรุ่นกลุ่มนี้ไปเป็นจิตอาสาช่วยตำรวจ จากเดิมซึ่งคนก็แปลกใจมากเพราะพวกนี้เดิมเป็นอริกับตำรวจ แต่ตอนนี้มาเป็นลูกน้องตำรวจ ตำรวจก็รู้สึกดี พวกนี้ก็ทำงานอย่างแข็งขัน จนชาวบ้านชมวัยรุ่นพวกนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แต่ก่อนไม่รู้สึกว่าตัวเองจะสามารถทำความดีอะไรได้ เห็นว่าตัวเองนี้เป็นแต่พวกไม่มีดีอะไร ความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีดีอะไรทำให้ไปเด่นเอาเรื่องทางชั่ว เด่นทางดีไม่ได้ก็ไปเด่นทางชั่วก็แล้วกัน ก็ไปเข้าพวกไปเข้าแก๊งก่อกวนชาวบ้านแล้วก็ตีกันเอง พอได้รับคำชมจากชาวบ้านความรู้สึกดีกลับตัวเองก็มากขึ้น แล้วก็หลายคนปรากฏว่าเลิกเป็นอันธพาลเลย เพราะรู้สึกว่าตัวเองทำดีได้
การทำจิตอาสาทำให้ตัวเองได้รับคำชื่นชม แล้วทำให้ตัวเองรู้สึกดีกับตัวเอง แรงจูงใจในการทำความดีก็เกิดขึ้น พอแรงจูงใจหรือความใฝ่ดีมีมากขึ้นก็สามารถจะเอาชนะความชั่วได้ ความชั่วความเห็นแก่ตัวต้องการก่อกวนคนอื่น ไม่นึกถึงใครนอกจากตัวเอง ก็ถูกความใฝ่ดีครอบงำกำกับได้ หลายคนก็เลิก ออกจากแก๊งมาเป็นคนดี กลับมาเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เจริญรอยตามหัวหน้าซึ่งกลับมาเป็นคนดี แบบนี้เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า การทำความดีเพื่อผู้อื่นสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอของคนได้ แม้กระทั่งเป็นพวกเหลือขอ พวกที่เราคิดว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้
มีหลายกลุ่มหลายคนที่พอชักชวนให้ทำความดีแล้วเขารู้สึกดีกับตัวเอง มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งเป็นนักเรียนมัธยม ค่ายนี้มีหลายค่าย ปีหนึ่งประมาณ 30 ค่าย บางค่ายเป็นพวกนักเรียนมัธยมมาขอทุนจากเครือข่ายพุทธิกา นักเรียนมัธยมกลุ่มนี้ต้องอยากจะไปช่วยเหลือโรงเรียนที่ยากจนในชนบทที่ภาคเหนือ เรื่องที่เล่าเมื่อสักกครู่นี้ภาคอีสาน แต่เรื่องนี้ภาคเหนือ จะไปช่วยเหลือเด็กชนบทที่อยู่บนเขาทุรกันดาร ตั้งใจว่าวันเด็กจะไปทำกิจกรรมให้กับเด็กเหล่านี้ แล้วเด็กนักเรียนกลุ่มนี้เขาก็ไม่มีเงิน เขาไปหาเงินด้วยการเล่นดนตรีเปิดหมวกในงานเทศกาลประจำปีของจังหวัด เล่นอยู่หลายวันได้เงินประมาณ 30,000 บาท เสร็จแล้วก็ซื้อของกันเพื่อที่จะไปแจกเด็กบนเขาแล้วก็ไปเล่นดนตรีให้ฟัง
แต่ปรากฎว่าวันก่อนวันที่จะไปจัดงานนี้ ฝนตกหนักมากทางเละเลย ทางเละก็ไม่รู้จะไปอย่างไร เพราะว่าจะเหมารถไปก็ไม่ไหวค่าใช้จ่ายแพง เลยต้องไปพึ่งพาพวกนักเรียนอีกกลุ่มที่เรียกว่าเป็นพวกเด็กแว๊น พวกเด็กแว๊นพวกนี้ชอบขี่มอเตอร์ไซค์ก่อกวนชาวบ้าน เป็นที่อิดหนาระอาใจของชาวบ้านและนักเรียนรวมทั้งครูด้วย แล้วเขาไปขอร้องน้องเด็กแว๊นนี้ให้ช่วยขี่จักรยานพาเขาขึ้นเขาไปทำกิจกรรมวันเด็กให้หน่อย เด็กแว๊นก็ช่วยเต็มที่เลย ทั้งกลุ่มมีกี่คนก็ช่วยกันพาเพื่อนๆ ขนของขึ้นไปทุลักทุเลมาก แต่ก็สำเร็จ ได้รับคำชมจากเพื่อนๆ ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อนที่ไปเป็นนักเรียนนักเรียนที่สุภาพเรียบร้อยเป็นนักเรียนดี ซึ่งปกติส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ค่อยได้สังสรรค์พบปะกันเท่าไรพวกเด็กแว๊นกับพวกเด็กดีพวกนี้ แต่พอได้มาทำความดีร่วมกันแล้วความรู้สึกดีก็เกิดขึ้น
เด็กแว๊นพอได้รับคำชมก็รู้สึกตัวเองมีคุณค่า ตอนหลังก็ได้รับการชวนให้ไปทำโน้นทำนี่อีกหลายอย่าง นิสัยใจคอที่เคยก่อกวนชาวบ้าน ที่ชอบเกกมะเหรกเกเรก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเพราะอะไร เพราะว่าได้มีโอกาสทำความดี แล้วเลยรู้สึกดีกับตัวเอง ความดีเหล่านั้นก็ไม่ใช่อะไร เป็นความดีที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเอง คนเหล่านี้คิดว่าตัวเองทำความดีให้กับใครไม่ได้ แต่ที่จริงทำดีได้ถ้ามีกัลยาณมิตรชวน และความดีที่ทำทีแรกทำด้วยด้วยกายด้วยวาจา ก็ไปปลุกเอาความดีในใจออกมา ทุกคนมีความดีในใจทั้งนั้นพอมันออกมาแล้วก็สามารถที่จะกำราบความเห็นแก่ตัวไม่ให้ลุกลาม แต่ก่อนนี้ความดีซบเซาในใจ ความชั่วร้ายความเห็นแก่ตัวในใจก็อาละวาด แต่พอความดีได้รับกำลังหนุนส่งจากคนนั้นคนนี้ จากคำชม จากที่ได้ทำความดีด้วยตัวเอง เกิดกำลังที่จะกำราบนิสัยใฝ่ต่ำไม่ให้อาละวาดไม่ให้รังควานมารบกวนกำกับจิตใจ
มีตัวอย่างมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า การที่เราทำความดีเพื่อผู้อื่นก็ส่งผลย้อนกลับมาช่วยให้จิตใจของเราดีขึ้น หรือช่วยทำให้เรามีความสุขได้ง่ายขึ้น เรื่องนี้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม กฎแห่งกรรมพูดง่ายๆ คือกฎแห่งการสะท้อนกลับ เราทำดีอะไรไปความดีจะย้อนกลับมาที่ตัวเรา คนมักจะไม่ค่อยมองกฎแห่งกรรมในแง่นี้ ไปมองเรื่องอดีตชาติที่แล้วเป็นเรื่องของกรรมที่กลับมาตามทัน แต่ที่จริงกฎแห่งกรรมในปัจจุบันเป็นเรื่องของการทำดี และผลของความดีนั้นย้อนกลับมาที่ตัวเอง แต่ถ้าเราทำชั่วพูดชั่วกลับใคร ความชั่วนั้นก็ย้อนกลับมาที่ตัวเองเหมือนกัน จะต้องรับกรรมเต็มๆจากสิ่งที่ตัวเองทำไว้ ฉะนั้นถ้าเราอยากจะได้ความดีเกิดขึ้นกับเรา เราต้องทำความดี ความดีนั้นก็จะย้อนสะท้อนกลับมาที่ตัวเรา ถ้าเราทำหน้าบึ้งใส่คนอื่น คนอื่นก็จะทำหน้าบึ้งใส่เรา แล้วเราจะกลายเป็นคนที่น่าบึ้งยิ่งกว่าเดิม เพราะว่าใครต่อใครก็บึ้งกับเรา เราจะกลายเป็นคนที่เครียดมากขึ้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อรักษาผู้อื่นก็เท่ากันรักษาตัวเอง เป็นเรื่องที่จริงมากทีเดียว ชาวพุทธเราต้องไม่มองสองสิ่งนี้แยกขาดจากกันว่า การรักษาตัวเองกับการรักษาผู้อื่นคนละส่วนกัน ประโยชน์ตนกับประโยชน์ท่านแยกจากกันไม่ออก ยิ่งทำประโยชน์ท่านมากเท่าไรก็จะทำให้เกิดประโยชน์ตน และเมื่อประโยชน์ตนเจริญงอกงามจนกระทั่งไม่มีความเห็นแก่ตัวเลย ทั้งชีวิตนี้จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ท่านอย่างเดียว อย่างที่พระพุทธเจ้าเมื่อเสร็จกิจแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว สิ่งที่จะต้องทำเพื่อตัวเองไม่มีอีกแล้ว เหลือกิจประการเดียวที่เรียกว่า ปรัตถะ คือการทำอรรถประโยชน์เพื่อผู้อื่น ซึ่งมีเมตตากรุณาเป็นแรงผลักดัน ในทำนองเดียวกันถ้าหากว่าเรารักษาตัวเองดูแลตัวเองดีๆ เราสามารถจะทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้ เพียงแค่จิตใจของเราสงบ ความสงบของเราก็เป็นรัศมีที่แผ่ไปสู่ผู้อื่น ใครที่ได้อยู่ใกล้คนสงบจิตใจก็พลอยสงบตามไปด้วย ที่จริงอย่าว่าแต่คนเลยแม้กระทั่งหมา ถ้ามันได้อยู่ใกล้คนที่สงบมันก็รู้สึกปลอดภัย แต่คนที่มีจิตใจขุ่นมัว หงุดหงิด หรือขี้โกรธ รังสีอำมหิตก็แผ่ไป ทำให้ใครอยู่ใกล้ก็ร้อน สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เราสัมผัสได้ ประโยชน์ตนกับประโยชน์ท่านจึงเป็นเรื่องที่แยกจากกันไม่ออก ด้วยประการฉะนี้