แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมารู้จักอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งตอนนี้เกษียณไปได้หลายปีแล้ว ท่านเล่าว่าเมื่อสัก 30 กว่าปีที่แล้วเคยไปศึกษาต่อที่อเมริกาเพื่อทำปริญญาเอก แล้ววันหนึ่งทางมหาวิทยาลัยแจ้งว่าอยากจะขอรบกวนให้อาจารย์ท่านนี้ช่วยเป็นคนดูแลติดตามพระทิเบตท่านหนึ่ง ซึ่งได้รับเชิญให้มาแสดงธรรมที่มหาวิทยาลัย สมัยนั้นพระทิเบตยังไม่ได้เป็นที่รู้จักมาก คนอเมริกันรู้จักศาสนาพุทธนิกายวัชรยานค่อนข้างน้อย เพราะตอนนั้นท่านทะไลลามะยังไม่ได้โด่งดัง ทางมหาวิทยาลัยเห็นว่าอาจารย์ท่านนี้เป็นคนเอเชียด้วยกัน น่าจะต้อนรับขับสู้ได้ดีกว่าคนอเมริกัน อาจารย์ท่านนี้ก็ยินดี แล้วก็ดูแลติดตามพระลามะท่านนี้ตลอด 3-4 วัน ที่มาบรรยายที่มหาวิทยาลัย และได้มีความคุ้นเคยกับพระทิเบตท่านนี้ และศรัทธาในศีลาจารวัตรของท่าน
และที่ประทับใจอย่างหนึ่งคือความเป็นกันเองความสงบเย็นของท่าน คือไม่เคร่งไม่เคร่งเครียดแต่ว่าผ่อนคลาย ซึ่งสิ่งนี้เป็นลักษณะเด่นของพระทิเบตที่คนอเมริกันรู้สึกได้ เป็นคนที่มีอารมณ์ขัน เพราะว่าสุดท้ายตอนที่พระทิเบตท่านนั้นจะเดินทางกลับ อาจารย์ท่านนี้ปรารภว่าเมื่อเรียนจบแล้วอยากจะไปอยู่ไปพักที่สำนักของท่านที่อินเดียสักระยะหนึ่งจะได้ไหม พระลามะก็ถามว่ามีความมุ่งหมายอะไรในการที่จะไปที่นั่น อาจารย์ตอบว่าอยากจะไปหาความสงบ เพราะว่ากรุงเทพคงจะไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ พระลามะก็เลยพูดขึ้นว่า ถ้าท่านหาความสงบที่กรุงเทพไม่พบไปวัดอาตมาก็ไม่พบเหมือนกัน สิ่งนี้ก็ทำให้อาจารย์ท่านนี้ได้คิด สุดท้ายเมื่อท่านเรียนจบแล้วก็บินกลับเมืองไทย แล้วก็สอนหนังสือที่กรุงเทพอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่จะไปย้ายไปสอนที่เชียงใหม่ในช่วงไม่กี่ปีก่อนเกษียณ
คำพูดหรือคำแนะนำของพระทิเบตท่านนี้น่าสนใจมาก คือท่านเตือนให้ระลึกว่าจริงๆแล้วความสงบสามารถหาได้ทุกที่ ถ้าหากว่าอยู่บ้านหรืออยู่กรุงเทพไม่พบความสงบ ไปที่ไหนก็คงหาความสงบไม่เจอเหมือนกัน เพราะจริงๆแล้วความสงบอยู่ที่ใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดสถานที่ใดก็ยังสามารถจะพบกับความสงบได้เสมอ แล้วท่านก็เล่าตอนหนึ่ง ซึ่งทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่อาจารย์ทิเบตได้พูดน่าสนใจมากทีเดียว อาจารย์ท่านนี้ท่านเล่าในโอกาสอื่นไม่ใช่เล่ากันต่อเนื่องสองเรื่อง แต่พอมาประติดประต่อกันแล้วก็รู้สึกว่า ความสงบไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่และไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แม้แต่ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนว่าอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ยังพบความสงบได้
ท่านเล่าว่าตอนที่ได้ไปทำงานที่เชียงใหม่ วันหนึ่งมีธุระจะบินเข้ากรุงเทพ เพื่อนคนหนึ่งทราบก็ชวนว่านั่งเครื่องบินผมไปกรุงเทพไหม ผมมีธุระจะไปกรุงเทพอยู่พอดี คือแกมีเครื่องบินส่วนตัวลำเล็กๆ อาจารย์ท่านนี้รับปากแล้วได้ขึ้นเครื่องบิน ตอนก่อนขึ้นมีฝนตกอยู่ค่อนข้างหนักแต่พอฟ้าสงบแล้วก็ขึ้นเครื่องบิน ปรากฏว่าขึ้นไปได้สักพักห้านาทีสิบนาทีเท่านั้น เครื่องหยุดมันขัดข้องหยุดเฉยๆ เครื่องยนต์ก็พยายามสตาร์ท สตาร์ทเท่าไรก็ไม่ติด เลยรู้เลยว่าอันตรายกำลังเกิดขึ้นแล้ว ตอนนั้นแน่ใจว่าเครื่องบินต้องตกแน่ ปัญหาคือว่าจะตกตรงไหน ตกลงกันว่าถ้าจะตกอย่าให้มันตกในชุมชนเลย ให้มันตกในบริเวณที่เป็นป่าเขาดีกว่า เลยพยายามบังคับเครื่องให้ร่อนไปตรงที่เป็นป่าเป็นเขา ซึ่งก็คงอยู่แถวลำปางลำพูน ช่วงนั้นทำใจแล้ว ทำใจพร้อมที่จะตายแล้ว ปรากฏว่าพอทำใจได้นี้รู้สึกสงบมาก และบรรยากาศรอบข้างก็เป็นใจด้วยเพราะว่าขณะที่ร่อนอยู่บนฟ้าข้างบนก็สงบ เมฆสวยข้างล่างก็เป็นภูเขาเป็นทิวเขายาวเป็นพรืด ท่านว่าตอนนั้นใจสงบมาก ทั้งๆที่รู้ว่าตอนนั้นความตายใกล้เข้ามาแล้ว แต่ไม่ได้รู้สึกเสียใจ ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลย เป็นความสงบที่ไม่คิดว่าจะได้พบมาก่อน เป็นอย่างนี้ประมาณเกือบสิบนาทีได้
แล้วอยู่ๆ เครื่องก็สตาร์ทติด สตาร์ทติดแล้วก็ตกลงว่าจะทำอย่างไรดี จะบินต่อหรือกลับมาตั้งหลักใหม่ที่เชียงใหม่ ตกลงว่ากลับมาตั้งหลักที่เชียงใหม่ดีกว่าเพราะว่าจะได้มาเช็คเครื่อง เลยบินกลับมาที่เชียงใหม่ ตอนที่บินกลับมาก็แจ้งทางสนามบินว่าให้ช่วยต้อนรับช่วยเตรียมตัวด้วย เพราะว่าเครื่องอาจจะดับเมื่อไรก็ได้ ปรากฏว่ามีการเตรียมการรับมือเป็นการใหญ่ รถดับเพลิงมารอ แต่สามารถจะร่อนลงสนามบินได้โดยปลอดภัย เช็คเครื่องแล้วพบว่าน้ำเข้าไปในเครื่องเพราะฝนตก พอจัดการแก้ไขเสร็จเจ้าของเครื่องถามว่าจะบินต่อไหมเข้ากรุงเทพ อาจารย์บอกว่าได้สิไม่ได้กลัวอะไรเลย สุดท้ายก็บินแล้วกลับถึงเข้าดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ กรณีนี้เป็นเรื่องที่ยืนยันให้เราอย่างน้อยกับอาจารย์ท่านนี้ว่า ความสงบสามารถจะรับรู้สัมผัสได้ไม่ใช่แต่ในทุกที่เท่านั้นแต่ในทุกสถานการณ์ด้วย แม้แต่สถานการณ์ที่คุกคามถึงชีวิต เพราะความสงบไม่ได้อยู่ที่เหตุปัจจัยภายนอกเท่ากับจิตใจของเรา ความสงบอยู่ที่ใจ
เช่นเดียวกันความสุขก็อยู่ที่ใจด้วย จะสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจเราแล้วก็ขึ้นอยู่กับใจเราเป็นสำคัญ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอกหรือว่าคนอื่น มีบางคนตัดพ้อว่าคนนั้นคนนี้ขโมยความสุขของฉันไป คนนั้นคนนี้อาจจะเป็นคู่รักเป็นแฟนเก่าหรือเป็นเพื่อนร่วมงานก็แล้วแต่ ที่จริงถ้าดูให้ดีแล้วไม่มีใครที่จะขโมยความสุขจากเราไปได้ และเราไม่สามารถจะขโมยความสุขของคนอื่นไปได้เหมือนกัน ถ้าความสุขจะไม่มีก็เพราะเราต่างหากที่ทำลายความสุขของเราเอง ไม่ใช่เพราะคนอื่นมาขโมยความสุขจากเรา แต่เป็นเราที่ทำลายกัดกร่อนความสุขของตัวเอง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไปเปิดช่องเปิดโอกาสเปิดทางให้คนอื่นมาทำลายความสุขของเรา ถ้าหากว่าเราไม่ร่วมมือด้วยหรือถ้าเราไม่ไปทำลายความสุขของเราเอง เราจะไม่มีทางทุกข์ใจได้เลย คนอื่นอาจจะทำได้แค่ขโมยของของเราไปหรืออาจจะถึงกับทำร้ายร่างกายของเรา แต่เขาไม่สามารถจะทำให้เราทุกข์ใจได้ คนอื่นขโมยได้แต่เงิน แต่ขโมยความสุขจากเราไปไม่ได้
ถ้าเกิดว่าเงินหายถูกโกงแล้วเรามีความทุกข์นั่นเพราะเราวางใจผิด เช่น เรายังยึดติดถือมั่นกับทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ถ้าหากว่าเราเพียงแค่ปล่อยวาง หรือมองว่าของเหล่านี้เป็นของชั่วคราว หาเอาใหม่ได้ หลายคนก็คิดแบบนี้ เขาอาจจะโดนโกงโดนขโมยไปแต่เขาไม่ทุกข์ เพราะว่าเขารู้จักปล่อยวางหรือเขาคิดว่าเป็นของที่มาอยู่กับเขาเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เพราะฉะนั้นเมื่อคนอื่นเอาไปก็เป็นเรื่องที่ธรรมดา หาใหม่เอาดีกว่า คนที่ถูกขโมยเงินไปแต่ว่ายังมีความสุข ยังนอนหลับก็มีอยู่มากมาย น้ำท่วมพัดพาเอาบ้านเรือนพัดพาเอาทรัพย์สมบัติไป มีหลายคนที่เขาไม่ได้ทุกข์ด้วย เขาไม่ได้เครียดเขาไม่ได้กลุ้มใจเขาไม่ได้ถึงกับฆ่าตัวตาย อย่างบางคนเมื่อ 3 ปีที่แล้วตอนที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ เพราะเขาได้คิดว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลยเพียงสักอย่างเดียว ของที่มีนั้นอยู่กับเราเพียงชั่วคราว ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องไป ถ้าไม่ได้ไปเพราะคนอื่นขโมยไปหรือเพราะไฟไหม้ก็เพราะภัยธรรมชาติ หรือมิฉะนั้นความตายก็มาพรากเอาไป พอเขาคิดเช่นนี้เขาก็ไม่ทุกข์ และน้ำท่วมก็พัดพาได้แต่ทรัพย์สมบัติของเขา แต่ไม่สามารถจะพัดพาเอาความสุขไปจากใจของเขาได้
เมื่อถูกทำร้ายก็เหมือนกัน ทำร้ายได้แต่ร่างกายแต่ความทุกข์ใจไม่สามารถจะยัดเยียดให้เราได้ ถ้าหากจะทุกข์ใจก็เพราะใจเราเองที่ยังเก็บความโกรธความแค้นเอาไว้ ยังไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวาง มีผู้หญิงคนหนึ่งตอนที่แกเป็นนักศึกษาก็หน้าตาดี ได้เป็นดาวมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีสาม แล้วก็ได้รับชวนให้ไปเป็นพริตตี้ในหลายงาน เมื่อหลายปีก่อนพริตตี้ไม่ได้โฉ่งฉ่างมาก เธอไปเป็นพริตตี้ก็มีรายได้พอสมควรเพราะหน้าตาสะสวย แล้ววันหนึ่งบังเอิญไปรู้จักผู้ชายคนหนึ่งทางอินเตอร์เน็ต สมัยนั้นยังไม่มี facebook ประมาณสัก 6-7 ปีมาแล้ว ติดต่อไปติดต่อมาก็คุ้นเคยกัน ผู้ชายเกิดหลงรักเธอแล้ว จนกระทั่งเมื่อได้เจอกัน แต่พอผู้ชายรู้ว่าผู้หญิงคนนี้แกชื่อเคทไม่ได้มีใจให้ ก็แค่เป็นเพื่อนกันเฉยๆ ผู้ชายผิดหวังและโกรธถึงกับเอาน้ำกรดมาสาดหน้าเธอเสียโฉมตาบอดไปข้างหนึ่ง เธอรู้สึกแย่มากเพราะว่าให้คุณค่ากับความสวยงามหน้าตาของตัวเอง พอมาถูกทำลายแบบนี้ก็รู้สึกว่าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ คิดฆ่าตัวตาย แต่ว่าคิดถึงแม่ก็เลยเปลี่ยนใจไม่ทำ แต่ต้องย้ายบ้านหนีไปยังในที่ที่ไม่เคยมีใครรู้จักเธอ ไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาเธอว่าสวยอย่างไร อยู่ด้วยความทุกข์
แต่ผ่านไป 3-4 ปีใจเธอก็พลิก สามารถที่จะอยู่กับหน้าตาที่ไม่สวยไม่งามได้ ไปทำงานก็ไม่ได้ปิดบังหน้าตาของตัว นั่งรถไฟฟ้าไปทำงานไปเป็นพนักงาน call center ของธนาคารแห่งหนึ่ง ก็มีความสุข เจ้านายก็รัก เพื่อนๆก็รัก เคยมีคนถามเธอว่าโกรธแค้นผู้ชายคนนั้นหรือเปล่าที่เอาน้ำกรดสาดหน้าเธอ เธอบอกเธอไม่โกรธเลย เดี๋ยวนี้ไม่โกรธแล้ว อยากจะขอบคุณเขาด้วยซ้ำที่ทำให้เธอเป็นอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะว่าทำให้เธอได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น คือถ้าเธอยังสวยก็คงจะไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไร คงจะหลงไปกับแสงสี แล้วอีกประการหนึ่งคือทำให้เธอคิดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เธอบอกว่าแต่ก่อนมีแต่ความยึดติดเจออะไรก็ยึดติดไปหมด แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเธอได้เห็นความจริงว่าไม่มีอะไรที่แน่นอนเลย
ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา รวมทั้งโฉมหน้าหรือว่าหน้าตาของเธอด้วย เธอบอกว่าถึงแม้จะไม่สูญเสียจากการถูกน้ำกรดสาด พอแก่เฒ่าไปมันก็เสื่อมไปตามกาลเวลา การเกิดเหตุการณ์แบบนี้ทำให้เธอปล่อยวาง แล้วก็ทำให้เจอเรื่องอะไรก็ไม่ทุกข์แล้วเพราะว่าขนาดเรื่องหนักๆแบบนี้เธอก็ปล่อยวางได้ นับประสาอะไรกับเรื่องคำติฉินนินทาของหรือว่าเรื่องอื่นๆ กลายเป็นเรื่องที่ปล่อยวางได้ง่ายมาก เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของคนที่แม้ว่าจะถูกทำร้ายแต่ว่าทำร้ายได้แต่รูปร่างหน้าตาของเธอ แต่ไม่สามารถจะยัดเยียดความทุกข์ให้กับเธอได้ จริงอยู่ทีแรกเธอมีความทุกข์นะเพราะว่าวางใจไม่เป็น แต่เป็นความทุกข์ทีเกิดจากใจของตัวเอง ใจที่หวงแหนความสวยความงาม ใจที่โกรธแค้น ใจที่ไปให้คุณค่ากับความสวยที่หน้าตา โดยที่ไม่ได้ตระหนักว่าจริงๆแล้วความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งนั้น อยู่ที่ใจมากกว่า
ลองดูให้ดี ไม่มีใครขโมยความสุขไปจากเราได้ เขาอาจจะขโมยเงินไป อาจจะขโมยทรัพย์สมบัติ โกงเงินทองไป หรือทำร้ายร่างกาย แต่ไม่สามารถจะทำร้ายจิตใจถ้าหากเราไม่ร่วมมือด้วยหรือถ้าเราไม่เปิดช่องให้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “มือที่ไม่มีแผลจับต้องยาพิษก็ไม่เป็นอันตราย แต่ถ้ามือมีแผลเมื่อไรจับต้องยาพิษนั่นแหละถึงจะเป็นอันตราย” ใจที่วางไว้ผิดก็ไม่ต่างจากมือที่มีแผล ใจที่มีกิเลส ใจที่มีอวิชชา หรือใจที่หลงคิดมองอะไรในแง่ลบ ก็เปรียบกับมือที่มีแผล มือที่มีแผลเจอยาพิษถึงจะเป็นอันตราย คือมันเปิดช่อง แผลเปิดช่องให้ยาพิษเข้าไปทำร้ายร่างกาย ใจของเราถ้าวางไว้ถูกก็ไม่เปิดช่องให้คนอื่นมาทำลายความสุขของเราได้ และบางทีไม่มีคนอื่นด้วยซ้ำแต่เป็นใจของตัวเองที่ทำร้ายความสุขของตัวเอง
เพราะฉะนั้นเวลามีความทุกข์ หมายถึงทุกข์ใจอย่าไปโทษคนอื่น คนอื่นอาจจะมีส่วนแต่ก็เป็นปัจจัยรอง ปัจจัยหลักคือใจเราเองที่เปิดช่องไปร่วมมือ อาจารย์ชยสาโร พูดไว้ดีบอกว่า”ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดหรือไม่มีใครที่จะบังคับให้เราทุกข์ได้ เขาเพียงแต่มาชวนให้เราไม่พอใจ ชวนให้เราเป็นทุกข์ แต่เมื่อเชิญแล้วมันอยู่ที่เราว่าเราจะรับคำเชิญหรือไม่ ไม่มีใครบังคับได้” เสียงดังมาชวนให้เราทุกข์ อยู่ที่ว่าเราจะรับคำเชิญหรือเปล่า ถ้ารับคำเชิญหรือเปิดช่องให้มันเข้ามาเล่นงานใจ เราก็ทุกข์เราก็หงุดหงิด คำพูดคำด่าคำวิจารณ์ก็เหมือนกันไม่ทำให้เราทุกข์ได้ ถ้าใจเราไม่เปิดช่องให้ หรือใจเราไม่ไปหยิบไปฉวยเอาความทุกข์เหล่านั้น เอาคำพูดเหล่านั้น เอาเสียงเหล่านั้น มาทิ่มแทงจิตใจ อยู่ที่ใจของเราเองเป็นสำคัญ
หลวงพ่อชาท่านพูดถึงขั้นว่า “ทุกอย่างมันถูกเสมอ แต่ถ้าเราทุกข์ก็เพราะว่าเราวางใจผิด” ท่านพูดถึงขนาดนี้เลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันถูกเสมอ แต่เราทุกข์ก็แสดงว่าเราวางใจผิด ถูกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงถูกกฎหมายหรือว่าถูกศีลธรรมหรือว่าถูกมารยาท แต่ว่าอาจจะหมายถึงถูกตามเหตุตามปัจจัย อย่างคนที่มีนิสัยไม่ดีย่อมพูดย่อมกระทำในสิ่งที่มันไม่เหมาะสม คนที่ขี้โกรธมักโกรธย่อมพูดจาด้วยถ้อยคำรุนแรง แบบนี้มันถูกตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องทุกข์เมื่อได้ยินคำพูดหรือว่าได้เจอการกระทำเหล่านั้น อยู่ที่การวางใจของเราว่าเราจะวางใจเป็นหรือเปล่า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “จิตที่วางไว้ผิด ย่อมทำร้ายเราเหมือนกับโจรทำร้ายโจรด้วยกัน” ลองนึกภาพโจรเวลาสู้กันมันน่ากลัวมาก มันพร้อมจะห้ำหั่นทำร้ายกันจนกระทั่งเกิดความพินาศได้ จิตที่วางไว้ผิดสามารถจะสร้างความฉิบหายยิ่งกว่าโจรทำร้ายโจรด้วยกัน ในทางตรงข้าม จิตที่วางใจไว้ถูกก็สามารถจะสร้างคุณประโยชน์ให้กับเรายิ่งกว่าที่พ่อแม่จะทำให้กับเราเสียอีก จิตที่วางไว้ถูกจะสามารถทำให้เรามีความสุข หรือสามารถทำให้จิตใจได้พบกับความอิสระ ซึ่งพ่อแม่ทำให้ไม่ได้ พ่อแม่รักเราเพียงใดก็ไม่สามารถจะทำให้เรามีความสงบหรือทำให้เรามีจิตที่เป็นอิสระได้ พ่อแม่อาจจะให้สิ่งของ ให้ข้าว ให้น้ำ ให้ความรัก ให้ความอบอุ่น แต่สุดท้ายแล้วความสุข ความสงบ ความอิสระ อยู่ที่ใจเรา
หลายคนมีพ่อแม่ที่ดี พ่อแม่ที่เปี่ยมไปด้วยความรักเอาใจใส่ แต่ลูกไม่มีความสุข พ่อแม่ไม่รู้จะทำอย่างไรอยากจะช่วยก็ช่วยได้เท่านี้ เพราะว่าความสุขอยู่ที่ตัวเจ้าของ ความภูมิใจในชีวิตก็อยู่ที่ตัวเอง แต่ในทางตรงข้าม ถ้าหากว่ารู้จักวางใจให้ถูกไม่ว่าจะเจออะไรมากระทบ เจ้านายไม่น่ารัก แฟนพูดจาไม่ดี หรือดินฟ้าอากาศไม่เกื้อกูล เจอโรคภัยไข้เจ็บ เจอผู้ร้าย ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์ได้เลย ถึงบอกว่าจริงๆแล้วไม่มีใครทำให้เราเป็นทุกข์ได้นอกจากใจของตัวเองที่วางไว้ผิด ไม่มีใครขโมยความสุขไปจากใจของเราได้ นอกจากเราเองที่จะทำลายความสุขในใจของตัวเอง หรือเปิดทางเปิดช่องให้คนอื่นนี้มาเล่นงานทำร้ายจิตใจของเรา
เมื่อตระหนักเช่นนี้แล้ว การดูแลรักษาจิตใจหรือการฝึกฝนจิตใจเป็นสิ่งสำคัญมาก สำคัญยิ่งกว่าการขวนขวายพากเพียรทำมาหาเงินสร้างเนื้อสร้างตัวให้ร่ำรวย หรือขวนขวายในการหาคู่ครองที่ดี บางคนเสียเวลาเพื่อจะหาคู่ครองที่เลิศเลอสมบูรณ์แบบ แล้วก็หาไม่เจอ ถึงแม้จะลดมาตรฐานลงไปหน่อยแล้วก็พบคนที่ดี แต่ว่าอาจจะอยู่กันอย่างไม่มีความสุขเพราะว่าเจ้าตัวเรียกร้องจากแฟนอยู่เสมอ เขาทำดีแล้วก็ยังไม่พอใจ ยังหาข้อตำหนิจากเขาได้ว่าเขาไม่ดีอย่างโน้นเขาไม่ดีอย่างนี้ ซึ่งก็เป็นธรรมดา เพราะว่าคนเราไม่สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ถ้ามองไม่เป็นมองแต่หาข้อลบ ได้แฟนดีอย่างไรก็ไม่มีความสุข
ฉะนั้นต้องกลับมาดูที่ใจของเราว่าใจของเราวางไว้ถูกไหม บางทีส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เราไปแบกไปยึดสิ่งที่ไม่น่าพอใจเอาไว้ แล้วก็ไม่ปล่อยไม่วาง ทั้งๆที่รู้ว่าแบกแล้วเป็นทุกข์ ทั้งๆที่รู้ว่ายึดแล้วเป็นทุกข์ แต่ก็ไม่ยอมปล่อย เพราะอะไร เพราะหลง คนเราลืมตัวทำอะไรได้ร้อยแปด อย่างที่พูดไว้เมื่อเช้า แม้รวมถึงการไปยึดติดเอาคำพูดของใครเอาการกระทำของใครสารพัดมาตอกย้ำซ้ำเติมตัวเอง แต่ถ้าเรารู้จักรักษาใจให้มีสติก็สามารถทำให้เราปล่อยวางได้ หรือรู้จักมองในสิ่งที่เป็นบวกบ้าง ฉะนั้นเรามองในสิ่งที่เป็นบวก มองเห็นแต่สิ่งที่ดี ไม่จดจ่อสิ่งที่ไม่ดี สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขได้ ถือว่าเราเองก็มีจุดบกพร่อง เขาเองก็มี แต่ว่าเรามาดูด้านที่ดีแล้วอาศัยด้านที่ดีนั้นมาเสริมกัน
ฉะนั้นกลับมาดูใจเราอยู่เสมอ เวลามีความทุกข์ใจอย่าไปโทษคนอื่นสถานเดียว คนอื่นอาจจะมีส่วน ปัจจัยภายนอกอาจจะมีส่วน แต่เขาทำได้อย่างมากก็แค่มาชวนให้เราโกรธมาชวนให้เราทุกข์ แต่เราจะทุกข์หรือไม่อยู่ที่ว่าเรารับคำเชิญหรือเปล่า หรือเราเปิดช่องหรือเปล่า บางทีเขามาจ่ออยู่หน้าประตูแล้ว ถ้าเราไม่เปิดประตูเขาก็ไม่มาก่อความวุ่นวายในบ้านของเราในใจของเราได้ แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะเปิดประตูให้เขาเข้ามาเปิดช่องให้เข้ามา หรือบางทีก็ไม่มีอะไรเลยแต่ความคิดปรุงแต่งทำให้เราทุกข์ อยู่ในวัดกลางค่ำกลางคืนก็ปลอดภัย แต่หลายคนนอนไม่หลับเพราะใจมันปรุงแต่ง ใจคิดสารพัดว่ามีคนจะมาทำร้าย มีสัตว์ร้ายอยู่รอบกุฏิ หรือบางทีซุกซ่อนอยู่ในกุฏิ พอคิดแบบนี้ก็นอนไม่หลับ ผวา แบบนี้เป็นเพราะใจตัวเองทั้งนั้นไม่ใช่เพราะปัจจัยภายนอก ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเรามีอาการแบบนี้ขึ้นมา ให้เราตั้งสติ กลับมาดูใจของเรา และถ้าเรากลับมาดูใจแล้วก็มาฝึกใจอยู่เสมอ ให้มีสติ ให้มีความรู้สึกตัว ให้มีปัญญา รู้จักปล่อย รู้จักวาง หรือมีสมาธิ ไม่ทำให้จิตฟุ้งซ่าน ก็ช่วยทำให้ความสุขที่เรามีอยู่แล้วมันก็ยังอยู่ต่อไป ไม่ใช่ทำลายมันกับมือ หรือทำลายมันด้วยใจของเรา