แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เช้านี้เรานอกจากจะได้กล่าวสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยแล้ว ยังได้สวดบทที่เราเรียกสั้นๆว่า พาหุง หรือพุทธชยมงคลคาถา บทสวดนี้นิยมสวดในงานมงคล เช่นงานขึ้นบ้านใหม่ก็สวดเพื่อความเป็นสิริมงคลสำหรับการเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นอะไรก็ตาม บ้านใหม่ สำนักงานใหม่ เชื่อว่าจะทำให้เกิดสิริมงคล หรือแม้แต่งานอวมงคล พอสิ้นสุด เช่นงานศพพอได้เผาศพเรียบร้อยแล้ว นิมนต์พระมาทำบุญก็เหมือนการเริ่มต้นใหม่ ความสูญเสียได้เกิดขึ้นและผ่านไปแล้วเป็นอดีตไปแล้ว จากนี้ไปก็เริ่มต้นใหม่มองไปข้างหน้า เพื่อที่จะนำพาชีวิตให้เกิดความสุขความเจริญ ถือว่าเริ่มต้นด้วยการทำบุญและสวดคาถาที่เชื่อว่าจะทำให้เกิดสิริมงคล
พุทธชยมงคลคาถาไม่จำเป็นว่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใดๆก็ได้ คนที่ทุกเช้าก่อนไปทำงานก็สวดถือว่าเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งที่เป็นมงคล ทำให้จิตใจเกิดความแกล้วกล้าในธรรมรื่นเริงอาจหาญในธรรม เพราะว่าบทสวดนี้เป็นเรื่องชัยชนะของพระพุทธเจ้า เป็นชัยชนะต่อพรหม ต่อเทวดา ต่อยักษ์ ต่อสัตว์ที่มีอานุภาพมาก เช่นช้าง แม้กระทั่งต่อผู้ร้ายที่น่ากลัวเช่นองคุลีมาล หรือคนที่ใส่ร้ายต่อพระองค์เช่นนางจิญจมาณวิกา พูดง่ายๆ คือตั้งแต่พรหมลงมาจนถึงเดรัจฉานที่สามารถจะคุกคามเป็นพิษเป็นภัยได้ ก็สามารถจะป้องกันและอาชนะได้ ไม่ใช่ด้วยอาชญาหรือด้วยอำนาจ ไม่ใช่ด้วยความรุนแรงด้วยโทสะ แต่ด้วยความดีงามคือด้วยธรรมะนั่นเอง อย่างนี้ทำให้เกิดกำลังใจ และเป็นการเตือนสติให้คนใช้ธรรมะในการแก้ปัญหา แต่ในส่วนนี้คนไม่ค่อยได้นึกถึงเท่าไรเวลาสวดบทพาหุง แต่ว่าเกิดความรู้สึกอุ่นใจเพราะว่าได้สวดในสิ่งที่เป็นมงคล ซึ่งเชื่อว่าจะปกป้องอันตรายได้ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งดีงาม
ที่จริงไม่จำเป็นต้องสวดบทนี้ก็ได้ สวดบทอื่นที่เป็นพุทธพจน์หรือที่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่ามนต์ ก็เกิดเป็นความรู้สึกดีงามหรือเกิดเป็นสวัสดิมงคลเหมือนกัน บทสวดพาหุงไม่ได้มาจากพระไตรปิฎก เป็นการแต่งจากทางลังกาเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว เป็นของรุ่นหลัง แต่บทสวดมนต์ที่เราสวดทุกเช้าส่วนใหญ่มาจากพระไตรปิฎกหรือพุทธพจน์ ส่วนใหญ่แต่ไม่ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นบทสวดพิเศษเป็นพุทธพจน์หมดเลย ทุกเช้าเรามาเริ่มต้นสิ่งที่เป็นสิริมงคลเหมือนกัน หลังจากที่เราตื่นขึ้นมา เราล้างหน้าทำให้ร่างกายสะอาด เราก็มาชำระใจของเราให้สะอาดด้วยการมาสวดมนต์แต่เช้ามืด ถือว่าเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งที่เป็นสิริมงคล จัดเอาการสวดมนต์เป็นกิจกรรมแรกๆของวัน ถ้าเราสวดมนต์แล้วเราน้อมใจให้ดีให้ถูกต้องก็จะเกิดเป็นสิริมงคลกับใจของเรากับตัวเรา แล้วช่วยทำให้เรามีสติที่จะช่วยเกื้อกูลสำหรับการดำเนินชีวิตไปจนตลอดทั้งวันได้ การเริ่มต้นวันใหม่ด้วยธรรมมะ ด้วยสิ่งที่เป็นสิริมงคล ด้วยสิ่งที่ช่วยปลุกใจให้มีสติเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะเป็นพื้นฐานหรือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำพาชีวิตของเราให้ไปสู่สิ่งที่ดีงามตลอดทั้งวัน
ที่จริงแล้วความราบรื่นในชีวิตของเราแต่ละวันๆ บ่อยครั้งมีจุดเรื่มต้นมาจากตอนเช้า ถ้าเราเริ่มต้นตอนเช้าไม่ดีก็จะส่งผลกระเทือนต่อไปตลอดทั้งวันไปในทางที่ไม่ดีก็ได้ มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ด้วยกันพ่อแม่ลูก ตอนเช้าก่อนที่จะไปทำงาก่อนที่ลูกจะไปโรงเรียนก็กินข้าวด้วยกัน แต่ต้องกินแต่เช้าเลยเพราะกรุงเทพฯ ออกสายรถติด ขณะที่กำลังกินข้าวกันอยู่ ลูกสาวอายุ 8-9 ขวบเกิดทำแก้วน้ำแตก หลุดมือแล้วตกมาแตก พ่อไม่พอใจก็ด่าว่าลูก ไม่ใช่แค่ตักเตือนแต่ด่าว่าลูกเลยทีเดียว ใช้อารมณ์ แม่เห็นก็ไม่พอใจเลยต่อว่าพ่อ พ่อเลยหันมาทะเลาะกันกับแม่ ทะเลาะกันอยู่พักใหญ่เหลียวดูนาฬิกา พบว่าเลยเวลาที่ควรจะออกจากบ้านไปตั้ง 5 นาที 10 นาทีแล้ว พ่อเลยรีบไปเก็บของคว้ากระเป๋าเอกสาร แล้วรีบขับรถไปส่งลูก
แต่เนื่องจากออกจากบ้านช้ากว่าที่เคยออก 10 นาที อย่างที่เคยบอกแล้วกรุงเทพฯ ถ้าออกช้าไป 10 นาที อาจเกิดความแตกต่างเป็นชั่วโมงหรือครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว พอออกช้าก็รถติด พอรถติดก็ไปส่งลูกสาย ลูกก็ถูกครูว่าถูกครูลงโทษ สิ่งนั้นยังไม่เท่าไรตัวเองก็ไปทำงานสายด้วย แล้ววันนั้นตัวเองมีประชุมใหญ่ประชุมสำคัญกับลูกค้า พอไปทำงานสายก็ถูกเจ้านายว่า แค่นั้นยังไม่พอ พอไปประชุมปรากฏว่าเอกสารสำคัญที่จะนำมาเสนอลูกค้าลืมไว้ที่บ้าน เพราะตอนนั้นรีบก็เลยคว้าแต่กระเป๋า แต่เอกสารลืมเก็บใส่กระเป๋ามาด้วย ไม่มีเอกสารสำคัญเสนอลูกค้างานประชุมก็เลยไม่ได้ผล ถูกเจ้านายต่อว่าหนักเข้าไปอีก เช้าวันนั้นเลยอารมณ์เสีย ทำให้ตอนบ่ายไม่มีอารมณ์ทำงาน
ทำงานไม่ได้เลยหัวเสียทั้งวัน แถมยังทะเลาะกับเพื่อนอีก พอหัวเสียแล้วเพื่อนพูดอะไรไม่ถูกหูก็โวยวายใส่ทะเลาะกับเพื่อน งานเสียแล้วยังทะเลาะกับผู้คนอีก จนถึงตอนเย็นความหัวเสียความหงุดหงิดก็ยังกรุ่นอยู่ในจิตใจ ขับรถกลับบ้านก็เลยเกิดมีการปาดกันขึ้นมา รถไปเฉี่ยวไปชนเขาเพราะว่าไม่มีสติกับการขับรถ เสียเวลาที่ต้องรอประกันต้องเคลียร์เรื่องราวต่างๆก่อน กลายเป็นว่ากลับถึงบ้านสาย หม่นหมองทั้งวันถึงบ้านแล้วก็ยังเครียดอีก ลูกก็ดีเมียก็ดีเห็นหน้าแล้วก็ไม่อยากคุยด้วย บรรยากาศมึนตึงไม่ต่างจากตอนเช้าเลย กินอาหารได้สักพักลูกก็ไม่อยากอยู่แล้ว ลูกก็รีบออกจากโต๊ะไป ไปเก็บตัวอยู่ในห้องของตัว คืนนั้นกลายเป็นว่าไม่มีใครนอนอย่างมีความสุข เพราะมีความเครียด
ถ้าดูชีวิตของผู้ชายคนนี้ตลอดทั้งวัน จะพบว่าเต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์เลยมีแต่ปัญหา ถ้าจะมองแบบชาวบ้านเขาเรียกว่าเป็นวันซวย เรียกว่าซวยทั้งวันเลย มีแต่เรื่องที่วุ่นวายไม่ราบรื่นทุกคนเลยตั้งแต่พ่อแล้วก็ลูก ลูกถูกครูว่าถูกครูลงโทษก็แย่ ภรรยาก็อารมณ์เสีย แต่ตัวพ่อนี่หนักเจอทั้งวัน ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องของเคราะห์เลย ถึงแม้จะเป็นวันซวย ทั้งหมดนี้เรื่องแย่ๆเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์ตอนเช้า คือลูกทำแก้วน้ำตกแล้วพ่อก็ว่าลูก อะไรเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่แย่ๆ เหตุการณ์ที่ทำให้ซวยทั้งวัน บางคนจะบอกว่าเป็นเพราะลูกทำแก้วน้ำตก แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่จุดเริ่มต้น เพราะถึงแม้ลูกทำแก้วน้ำตก แต่ถ้าสมมติว่าพ่อไม่ว่าลูกก็ไม่เกิดเรื่องอื่นตามมา
เช่น เราลองสมมติอีกแบบว่า พ่อแค่พูดกับลูกดีๆว่า กินน้ำให้ระวังหน่อย ให้มีสติหน่อย แทนที่จะด่าว่าลูกอย่างเสียหายก็แนะนำลูกดีๆ ก็ไม่เกิดการทะเลาะกับภรรยา การกินอาหารก็เป็นไปตามปกติ พอได้เวลาพ่อไปเก็บเอกสารใส่กระเป๋าเพราะว่าไม่ได้รีบอะไร สามารถที่จะออกจากบ้านตามกำหนดรถก็เลยไม่ติด สามารถจะไปส่งลูกได้ทันเวลาก่อนเวลาด้วยซ้ำ ส่วนตัวเองก็ไปถึงสำนักงานได้ทันเวลา ถึงเวลาประชุมเอกสารที่เตรียมมาจากบ้านก็นำเอามาเสนอลูกค้า การประชุมก็จบลงด้วยดี เจ้านายก็ชม ตอนบ่ายก็สามารถจะทำงานได้ตามปกติ เพื่อนมาพูดอะไรก็ไม่ได้โกรธเพราะไม่ได้หงุดหงิดตั้งแต่แรก บ่ายวันนั้นก็ทำงานได้ราบรื่นปกติ เฮฮาสนุกสนานกับเพื่อนหยอกล้อกัน ถึงเวลากลับบ้านขับรถกลับบ้านก็ไม่หัวเสียก็เลยไม่เกิดอุบัติเหตุ ไปถึงบ้านได้ตามกำหนดเวลา เจอลูกเจอเมียก็สนทนาปราศรัยดี ถีงเวลากินข้าวก็พูดคุยหยอกล้อกันทุกคนแช่มชื่น เสร็จแล้วถึงเวลานอนทุกคนก็กลับเข้าห้องนอน นอนหลับสบายฝันดี
แน่ใจได้ว่าเหตุการณ์สองเหตุกาณ์นี้คนละเรื่องเลย แทบจะเรียกว่าหนังคนละม้วนก็ได้ ความแตกต่างเกิดจากจุดเริ่มต้นแค่จุดเดียว คือตอนที่ลูกทำแก้วน้ำตก พ่อมีปฎิกิริยาอย่างไร ถ้าพ่อโกรธด่าว่าลูกชีวิตก็ไปอีกทางหนึ่ง แต่ถ้าพ่อไม่ด่าว่าลูกพ่อแนะนำลูกดีๆ ก็ไปอีกทางหนึ่ง เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นนี้สำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ว่าลูกทำอะไร แต่อยู่ที่ว่าพ่อมีปฎิกิริยาอย่างไรเมื่อลูกทำแก้วน้ำตก และการที่พ่อจะมีปฎิกิริยาอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าพ่อมีสติหรือเปล่า ถ้าพ่อไม่มีสติพ่อก็ว่าลูก แล้วเกิดเรื่องยืดยาวตามมา แต่ถ้าพ่อมีสติหรือรู้จักอดกลั้นหรือรู้เท่าทันอารมณ์ของตัว ก็ไม่พูดจากับลูกแรงๆ ก็ไปอีกทางหนึ่ง
คนเรามักจะมองว่าชีวิตคนเราในแต่ละวัน ถ้าวันไหนไม่ราบรื่นเป็นเพราะว่าเคราะห์เป็นเพราะความซวย แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะการกระทำของเราต่างหาก อย่างเรื่องนี้เป็นเพราะการกระทำของพ่อ ไม่ใช่เป็นเพราะเคราะห์กรรมหรือความซวยที่ไหน และไม่ใช่เพราะการกระทำของลูกด้วย เพราะไม่ว่าลูกจะทำอย่างไรถ้าพ่อมีสติก็สามารถทำให้วันนั้นเป็นวันดีได้ ถามว่าพ่อทำไมไม่มีสติ ทำไมถึงด่าว่าลูก ก็อาจจะเป็นเพราะว่าตอนเช้าตื่นนอนขึ้นมาพ่อไม่ได้ดูแลจิตใจของตัว พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็อาจจะเรื่มต้นด้วยการเปิดดูโทรทัศน์ ข่าวยามเช้าก็มีแต่เหตุการณ์ร้ายๆ เหตุการณ์บ้านเมือง เหตุอาชญากรรมที่ทำให้เกิดความขุ่นเคืองใจ หรือบางคนก็อาจจะเปิดเฟสบุ๊ค เปิดเฟสบุ๊คก็มีแต่เรื่องที่ไม่ค่อยเจริญใจเท่าไร บางทีก็มีการคอมเม้นท์แสดงความคิดเห็นที่ไม่ค่อยถูกใจตัวเองก็ขุ่นมัว ขุ่นมัวตั้งแต่เช้าเลย พอขุ่นมัวตั้งแต่เช้าก็กระทบได้ง่าย เวลาเห็นลูกทำแก้วน้ำตกก็ใส่ลูกทันที แต่ถ้าเช้าวันนั้นหรือทุกเช้า พ่อพอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็ทำสมาธิหรือสวดมนต์หรือทำความสงบ ทำสิ่งดีๆ หรือรดน้ำต้นไม้ ใจสงบหรือใจมีสติเป็นกุศล ก็จะทำให้เวลาเห็นลูกทำแก้วน้ำตก พ่อไม่ได้โกรธ พ่อจะสามารถแนะนำลูกดีๆได้ แล้วก็ทำให้วันนั้นทั้งวันเป็นไปอย่างราบรื่น
เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นของเราในแต่ละวันสำคัญว่าเราเริ่มต้นด้วยอะไร ถ้าเราเรื่มต้นดี เราเริ่มต้นด้วยการทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิหรือว่าทำสิ่งดีๆ จะทำให้ชีวิตของเราทั้งวันราบรื่นไปได้ ถึงแม้จะมีเหตุขลุกขลักมีเรื่องที่มากระทบแต่ไม่สะเทือนใจ ลูกทำแก้วน้ำตกก็ไม่โกรธ หรือว่ารถติดก็ไม่หงุดหงิด เพราะว่าเราอารมณ์ดี หรือว่าเราเตรียมใจมาตั้งแต่เช้า รักษาใจดี ทำให้ทั้งวันผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีเหตุร้าย แต่ถ้าเราเริ่มต้นวันไม่ดีก็ทำให้เราจิตใจกระเพื่อมง่าย พอมีอะไรมากระทบอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่พอมีปฎิกิริยาออกไปก็ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ เล็กกลายเป็นใหญ่สะสมกัน ฉะนั้นวันดีของเราหรือวันไม่ดีของเราไม่ได้อยู่ที่เคราะห์ แต่อยู่ที่การกระทำของเรา เป็นสิ่งที่เราเลือกได้ เราเลือกที่จะทำให้วันของเราเป็นวันดีหรือวันร้ายก็ได้
อาจจะเริ่มต้นที่ว่าเมื่อเราตื่นขึ้นมาแล้วเราเลือกที่จะทำอะไร หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน เราเลือกที่จะเสพอารมณ์หรือรับผัสสะที่เป็นอกุศล หรือทำสิ่งดีงามทีเป็นมงคล สิ่งนี้อยู่ที่การเลือกของเรา หรือถึงแม้เราจะไม่ได้เริ่มต้นวันในลักษณะนั้น แต่พอเจอเรื่องที่มากระทบ เช่นลูกทำแก้วน้ำตกแตก ก็มีสติ เราเลือกที่จะไม่ด่าว่าลูก ทำให้วันแต่ละวันของเราหรือวันนั้นทั้งวันของเราเป็นไปด้วยดี วันดีหรือวันไม่ดีอยู่ที่การเลือกของเราด้วย แล้วเวลาที่มีอะไรมากระทบเราเลือกได้ว่าเราจะมีปฎิกิริยาอย่างไร จะต่อว่าหรือแนะนำ จะโวยวายออกไปหรือใจนิ่งสงบ หรือใจอาจจะไม่นิ่งสงบแต่เราไม่ใช้วาจาที่รุนแรง ตรงนี้เราเลือกได้ อยู่ที่การตัดสินใจของเรา แล้วก็อย่างที่เห็นถ้าเราปล่อยใจไปตามอารมณ์ก็นำไปสู่ความทุกข์นำไปสู่ความวุ่นวาย แต่ถ้าเรามีสติก็นำไปสู่ความราบรื่นความปกติได้ ทางหนึ่งนำไปสู่ทุกข์ อีกทางนำไปสู่ความไม่ทุกข์หรือความสุข และทั้งสองทางนี้จะไปทางไหนอยู่ที่การเลือกของเรา ไม่ใช่อยู่ที่การกระทำของลูกแต่อยู่ที่การกระทำของพ่อ ซึ่งจริงๆแล้วพ่อเลือกได้ว่าจะโวยวาย หรือว่าสงบหรือเพียงแค่แนะนำ
ในทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราในแต่ละวันๆ มีทางเลือกเสมอ ทางหนึ่งไปสู่ทุกข์ อีกทางไปสู่ไม่ทุกข์ เช่นสมมุติว่าทะเลาะกับภรรยาเพราะไปต่อว่าลูก แล้วก็ต้องรีบไปทำงาน ตอนที่ไปเก็บไปคว้ากระเป๋าเอกสาร ถ้ามีสติสักหน่อยก็จะเห็นเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะ พอเห็นก็เก็บใส่กระเป๋าก็ไม่เกิดปัญหาตามมาในเวลาประชุม หรือเกิดว่าลืมกระเป๋าเอกสารแล้วก็ไปประชุมไม่ได้เรื่องถูกเจ้านายว่า แต่ถ้ามีสติก็วางมันลง ตอนบ่ายทำงานก็ทำงานอย่างมีสติ เรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้าก็ช่างมัน ผ่านไปแล้วปล่อยวาง เรามาเริ่มต้นกันใหม่ ตอนบ่ายก็สามารถจะทำงานได้เป็นปกติ เพื่อนมาพูดกวนหูหรือมาหยอกล้อก็ไม่หัวเสีย สามารถคุยกับเพื่อนได้ดี เช้าวันนั้นอาจจะงานไม่สำเร็จ แต่ว่าตอนบ่ายงานก็ราบรื่นเพราะมีสติ พอมีสติเข้าเวลากลับบ้านไม่หงุดหงิดไม่หัวเสียก็ไม่เกิดอุบัติเหตุ กลับถึงบ้านได้ปลอดภัย
คือในทุกจังหวะของแต่ละวันๆ เราสามารถจะเลือกได้ว่าจะพาตนเองไปสู่ความทุกข์หรือความไม่ทุกข์ ทั้งหมดอยู่ที่ว่าเรามีสติหรือเปล่า แต่ละจังหวะๆมีทางเลือกอยู่เสมอ เรียกว่าทางแพร่งก็ได้ ทางหนึ่งไปสู่ทุกข์ ทางหนึ่งไปสู่ความไม่ทุกข์ เพราะอะไร เพราะว่าอยู่ที่เราหลงหรือเรารู้ ถ้าเราหลงก็พาไปสู่ทุกข์ ถ้าเรารู้ก็พาไปสู่ความไม่ทุกข์ รู้ในที่นี้ไม่ต้องรู้อะไรมาก คือรู้ตัว รู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น สามารถที่จะเกี่ยวข้องกับอาการต่างๆได้ด้วยดีในทุกขณะหรือในทุกช่วงของเหตุการณ์ต่างๆ สุขทุกข์จึงสามารถจะบอกได้ว่าอยู่ที่เราเลือก เพราะอยู่ที่การกระทำของเราว่าเราเลือกจะทำอะไร ถ้าเราทำด้วยความไม่มีสติ ทำด้วยความหลง มันก็จะพาไปสู่ความทุกข์ ถ้าเราเลือกที่จะทำด้วยความมีสติ มันก็จะนำเราไปสู่ความไม่ทุกข์หรือความไม่มีปัญหา อาจจะเป็นความสุขด้วยก็ได้
หลายคนอาจจะบอกว่าฉันทุกข์เพราะคนนั้นคนนี้ ที่จริงไม่ใช่ อยู่ที่เราเอง เรื่องทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นเพราะลูกทำแก้วน้ำตก แต่อยู่ที่พ่อทำใจไม่ถูก วางใจไม่เป็น ก็เลยมีปฎิกิริยาออกไปในทางที่ก่อปัญหา จะไปโทษลูกไม่ได้ต้องโทษตัวพ่อ แต่คนเรามักจะไปโทษสิ่งภายนอกว่าทำให้ชีวิตเราวุ่นวาย ทำให้วันของเราเป็นวันซวยทั้งวัน ที่จริงไม่ใช่แต่เป็นเพราะการกระทำของเรา อย่างที่พูดไว้เมื่อวานว่า ไม่มีใครจะขโมยความสุขไปจากใจของเราได้ ถ้าไม่มีความสุขก็เพราะเราทำลายความสุขของเราเอง หรืออย่างน้อยๆก็เปิดช่องให้คนอื่นเข้ามาเล่นงาน ทำลายความสุขในใจเรา อยู่ที่ตัวเราทั้งนั้น อยู่ที่ตัวเราเป็นหลัก
ในทุกผัสสะในทุกกิจกรรมให้ตระหนักอยู่เสมอว่า มีทางแพร่งทางแยกเป็นสองอยู่เสมอ คือทางที่ไปสู่ทุกข์ และทางที่ไปสู่ความไม่ทุกข์ เป็นคนละทางกันเลย เหมือนกับที่เราอยู่บนถนน เราเลือกได้ว่าจะไปซ้ายหรือขวา หน้าหรือหลัง ไปได้ทั้งสองทางและเป็นทางตรงกันข้ามทั้งสิ้น จะไปซ้ายหรือขวา หน้าหรือหลัง อยู่ที่การเลือกของเรา ซึ่งถ้าเป็นเรื่องของการที่เจอเรื่องหรือเหตุการณ์ที่มากระทบ ก็อยู่ที่ว่ามันมากระทบแล้วอยู่ที่เราหลงหรือเรารู้ หลงคือหลงเข้าไปในอารมณ์ รู้คือรู้ทันอารมณ์ ตรงนี้เป็นตัวตัดสินเลยว่าหลังจากนั้นแล้วเราจะเดินหน้าไปสู่ทุกข์หรือเปล่า หรือไปสู่ความไม่ทุกข์
เพราะฉะนั้นทุกข์หรือการไม่ทุกข์อยู่ที่การเลือกของเรา และการเลือกของเราก็อยู่ที่ว่าเรามีสติหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ไม่มีสติเมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆมากระทบแล้วแสดงอารมณ์ออกไปด้วยความโกรธ ทำบ่อยๆจะกลายเป็นวงจรในสมองของเรา วงจรในสมองของเราจะค่อยๆก่อตัว แล้วค่อยๆแข็งตัวแล้วก็แน่นหนามากขึ้น ถ้าหากเราทำซ้ำๆ ใครก็ตามที่เจออะไรมากระทบแล้วโกรธไม่พอใจ มันจะค่อยๆสะสมจนเป็นนิสัยจนกระทั่งแสดงความโกรธได้เร็วมาก สิ่งนี้ภาษาพระเขาเรียกว่า มีอาสวะ มีอนุสัย อนุสัยที่สะสมมากๆเข้า จะทำให้มีปฎิกิริยาไปในทางนั้น เช่นอนุสัยในทางที่เป็นโทสะ มีอะไรมากระทบแม้เพียงเล็กน้อยก็โกรธแล้ว กลายเป็นคนโกรธง่าย ความโกรธง่ายไม่ใช่เพราะว่ามีอะไรมากระทบเรา แต่เพราะว่าเราสะสมอนุสัยแบบนี้เอาไว้ ถ้าพูดทางวิทยาศาสตร์คือมีวงจรในเซลล์สมองของเราที่ก่อตัวแล้วก็แข็งตัวแน่นหนา มันกลายเป็นทางเดินของจิต กลายเป็นนิสัยของตัวเราไป
ทางเดินของใจเราเปรียบเหมือนแม่น้ำ หรือทางเดินของน้ำคือถ้ามันไปทางไหนเส้นทางนั้นก็จะกว้างขึ้นๆ แล้วก็ลึกขึ้น แม่น้ำสายใหญ่ๆที่เราเห็นเดิมทีเป็นแค่ลำห้วยลำธารเล็กๆ แต่พอน้ำผ่านไปๆๆ เวลานานๆเข้า มันก็กลายเป็นแม่น้ำกว้างขึ้นลึกขึ้น แต่เราเปลี่ยนเส้นทางเดินของน้ำได้ เหมือนเราเปลี่ยนเส้นทางเดินใจของเราได้ แต่ก่อนเราเป็นคนขี้โกรธ เราสามารถเปลี่ยนทางเดินของใจของเราให้กลายเป็นคนไม่โกรธได้ แต่ต้องใช้เวลา เราเปลี่ยนเส้นทางน้ำก็ด้วยการค่อยๆขุดคลองหรือสร้างทางน้ำใหม่ ทีแรกมันก็จะเป็นทางน้ำสายเล็กๆ แต่ตราบใดที่เป็นทางน้ำสายเล็กๆ น้ำก็ไม่ไป มันก็จะไปทางสายเดิม แต่ถ้าเราไม่ท้อไม่ถอย เราพยายามขุดพยายามขยายทางน้ำไปเรื่อยๆ ไม่นานน้ำส่วนหนึ่งก็จะไหลไปทางใหม่ และพอไหลบ่อยๆ ทางน้ำเส้นใหม่ก็จะใหญ่ขึ้นลึกขึ้น ถึงจุดหนึ่งน้ำก็จะไปทางสายใหม่เลย แล้วก็ไม่ค่อยไปทางสายเก่าแล้ว ทางสายเก่าก็จะเริ่มแคบลงๆ ทางสายใหม่ก็จะกว้างขึ้นๆ
นิสัยใจคอเราก็เหมือนกัน ถึงแม้เราจะเป็นคนขี้โกรธ หลง ฟุ้งซ่าน แต่ถ้าเราสร้างทางเดินของใจไปในทางที่มีความเมตตา เป็นความไม่หลง เป็นความรู้ตัวได้ ด้วยการฝึกการเจริญสติของเรา แบบนี้คือการสร้างเส้นทางสายใหม่ของใจให้ไปในทางที่เป็นกุศล เป็นทางที่ไปสู่ความไม่ทุกข์ และสุดท้ายทางสายเดิมจะค่อยๆแคบลงๆ จนในที่สุดเป็นทางตีบตันไป หรือถึงไม่ตันก็เป็นทางที่เล็กลง เหมือนกับเจ้าพระยาที่ผ่านธรรมศาสตร์ บางคนไม่รู้ว่าแต่ก่อนมันเป็นคลองเส้นเล็กๆ เจ้าพระยาของเดิมคือคลองบางกอกน้อย แต่ว่ามันเป็นคลองเป็นเส้นทางที่โค้ง พระเจ้าแผ่นดินสมัยอยุธยา พระชัยราชาท่านอยากจะตัดคลองทำทางลัดก็เลยขุดคลองนี้ทำให้ทางลัด แต่พอทำไปๆ นานไปๆ มันไม่ใช่คลองแล้วกลายเป็นแม่น้ำ เป็นแม่น้ำสายใหญ่เป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนเจ้าพระยาสายเดิมก็ค่อยๆกลายเป็นคลองไป จนปัจจุบันเขาเรียกคลองบางกอกน้อย แต่จริงๆมันคือเจ้าพระยาเดิม ใจของเราก็เหมือนกัน เราสามารถสร้างทางเดินของใจเป็นทางเมตตา เป็นทางแห่งความรู้ตัวความมีสติได้ แล้วทำให้ไม่ไปสู่ความหลง ไม่ไปสู่ความโกรธ ไม่ไปสู่ความทุกข์อีกต่อไป อยู่ที่การฝึกของเรา อยู่ที่การเลือกของเราว่าเราจะให้ใจของเราไปทางไหน ซึ่งหมายถึงอยู่ที่การเลือกของเราว่า จะให้ชีวิตของเราไปในทางที่เป็นกุศลเป็นสุข หรือเป็นไปอกุศลหรือเป็นทุกข์