แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บทสวดที่เราสาธยายเมื่อสักครู่เป็นพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ซึ่งเน้นให้เรามีความพากเพียร เพื่อให้ถึงพร้อมซึ่งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านด้วยความไม่ประมาท คำว่าประโยชน์ตนต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงผลประโยชน์ คนละเรื่องกันเลย เพราะประโยชน์ตนที่พระพุทธองค์ได้พูดถึงหมายถึงประโยชน์ในทางธรรม เวลาเราพูดถึงผลประโยชน์จะเป็นเรื่องของวัตถุเป็นเรื่องของชื่อเสียงเป็นเรื่องของอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องทางโลกแล้วก็ตอบสนองกิเลสมากกว่า แต่ประโยชน์ตนที่พระพุทธเจ้าตรัสท่านเน้นหมายถึงว่าการรักษาจิตใจไม่ให้อกุศลธรรมครอบงำ การทำให้กุศลธรรมเจริญงอกงามมากขึ้น หรือรักษาใจของตัวไม่ให้ความทุกข์บีบคั้น รักษาจิตใจไม่ให้ถูกประทุษร้าย จิตถูกประทุษร้ายด้วยอะไร ก็ถูกประทุษร้ายด้วยกิเลสได้แก่ โลภะ โทสะ หรือ ตัณหา มานะ ทิฐิ คนที่ไม่รักตนคือคนที่ไม่รักษาจิตใจของตน ปล่อยให้โลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำใจ การทำกายทุจริตก็ดี วจีทุจริตก็ดี หรือมโนทุจริต หรือการทำความชั่วทางกาย วาจา ใจ ถือว่าทำร้ายประโยชน์ตน บั่นทอนประโยชน์ตน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “คนที่ทำเช่นนั้นเหมือนกับว่าทำกับตัวเองดังศัตรู” คนที่ทำชั่วทางกาย วาจา ใจ เท่ากับว่าทำกับตัวเองประหนึ่งเป็นศัตรู เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าเป็นการรักตัวเอง เป็นการทำประโยชน์ตนให้เกิดขึ้นไม่ได้เลย ประโยชน์ตนที่พระพุทธเจ้าพูดถึงจึงต่างจากคนที่ดิ้นรนขวนขวายเพื่อรักษาผลประโยชน์ หรือเพื่อขยายผลประโยชน์ของตนให้เพิ่มพูนมากขึ้น สิ่งนั้นมักจะเกิดขึ้นจากการทำชั่วหรือการสนองกิเลส ปล่อยใจให้ถูกบีบคั้นด้วยตัณหา มานะ ทิฐิ เรื่องการทำประโยชน์ตนให้ถึงพร้อมนี้ ถึงที่สุดคือการทำให้จิตเป็นอิสระจากความทุกข์ ปลอดพ้นจากอวิชชา เข้าถึงความสงบเย็นอย่างแท้จริง คือถึงนิพพานนั่นเอง
ที่สุดของประโยชน์ตนคือพระนิพพาน แต่ในขณะที่เรายังไปไม่ถึงขั้นนั้น เราควรหมั่นรักษาใจของตัวอยู่เสมอ ไม่ให้ความทุกข์หรือกิเลสครอบงำ การรักษากายไม่ให้เกิดความทุกข์ทุกวันนี้ก็ทำได้ง่าย แต่ว่าอย่างไรก็ต้องเจอทุกข์จนได้ ทุกข์เพราะความแก่ทุกข์เพราะความเจ็บความป่วย ยังไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียงทรัพย์สมบัติ ซึ่งไม่ว่าจะรักษาอย่างไรก็ไม่อาจจะรักษาไว้ได้อย่างยั่งยืน เพราะสิ่งเหล่านี้ผันผวนแปรปรวนมีคนแย่งชิง ไม่ว่าเราจะปรารถนาให้ชีวิตของเราประสบความสุขความเจริญราบรื่นอย่างไร ชีวิตของเราก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปตามความปรารถนาของเรา จะทำบุญเจ็ดวัดเก้าวัดขอให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญ ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตของเราจะประสบสุขดังที่ได้ตั้งจิตเอาไว้ เพราะว่าความไม่เที่ยงความผันผวนแปรปรวนของชีวิตเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราจะรักษาใจให้ไม่ทุกข์ได้อย่างไร อย่างนี้คือการทำประโยชน์ตน เป็นการรักษาประโยชน์ตน
เมื่อมีเหตุร้ายเมื่อมีอะไรมากระทบในทางที่ไม่น่าพอใจ แม้ว่ากายจะทุกข์แต่ว่าใจไม่ทุกข์ตามไปด้วย การทำเช่นนี้เรียกว่าเป็นการรักษาประโยชน์ตนอย่างหนึ่งเหมือนกัน นอกเหนือจากการทำความดีสร้างบุญสร้างกุศล การทำความเพียรในการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็เป็นการเพิ่มผลประโยชน์ตนด้วยเหมือนกัน ส่วนการทำความดีเราก็ทำไป แต่อย่าไปคาดหวังว่าทำดีแล้วจะเจอแต่สิ่งดีดีตลอดเวลา คนที่เข้าใจอย่างนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะว่าเรื่องไม่ดีก็จะสามารถจะเกิดขึ้นกับเราได้อยู่ตลอดเวลา ทำบุญวันนี้พรุ่งนี้เช้าก็เกิดอุบัติเหตุหรือเกิดตายขึ้นมาก็ได้ ไม่ใช่ว่าทำบุญแล้วจะทำให้เราอยู่ค้ำฟ้าหรือจะทำให้เรายังอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี มันไม่แน่ไม่นอน แต่ถึงแม้ชีวิตจะไม่แน่ไม่นอน ถ้าเรารักษาใจของเราหรือเรารู้วิธีในการรักษาใจ อะไรเกิดขึ้นก็ไม่ทำให้ใจทุกข์ได้ อย่างที่บอกไว้แล้วว่า สุขหรือทุกข์อยู่ที่เราเลือก อยู่ที่การวางจิตวางใจของเรา ไม่มีใครที่จะขโมยความสุขไปจากใจของเรา ไม่มีใครที่จะยัดเยียดความทุกข์ให้กับจิตใจของเราได้
เมื่อสักปีที่แล้วมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ มีคุณลุงคนหนึ่งชื่อจอห์น วันหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่บนถนน จู่ๆมีผู้หญิงคนหนึ่งมาผลักข้างหลังจนล้ม ทีแรกแกนึกว่าเพื่อนมาล้อเล่น แต่ที่ไหนได้ผู้หญิงคนนั้นซึ่งแกก็ไม่รู้จักเอามีดมาจ้วงแทงแก พอล้มแล้วผู้หญิงคนนั้นก็กระหน่ำแทงแกทั้งตามลำตัวทั้งแขนทั้งขาและท้อง โดนไปสี่สิบแผล แต่ดีที่ไม่แทงมากไปกว่านั้น พอแทงสมใจแล้วผู้หญิงคนนั้นก็ทิ้งให้แกนอนจมกองเลือด โชคดีที่มีคนมาเห็นแล้วมาช่วยพาส่งโรงพยาบาลรอดตายหวุดหวิด หมอต้องผ่าตัดหลายครั้งมากเพราะโดนไปตั้งสี่สิบแผล พอแกรอดตายแล้วสุขภาพฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ หรือระหว่างที่ยังเจ็บป่วยอยู่ในโรงพยาบาลก็มีนักข่าวมาสัมภาษณ์แก เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เพราะว่าก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ คือก่อนหน้าที่ผู้หญิงคนนี้จะแทงคุณลุงจอห์น เธอไปฆ่าคนมาแล้ว 3 คน ใช้มีดนี่แหละ แล้วคนที่ตายก็ไม่ได้มีเรื่องโกรธแค้นอะไรกับผู้หญิงคนนี้เลย เพียงแค่แกอย่าจะฆ่า
เดี๋ยวนี้มีคนแบบนี้มาก เพียงแค่อยากจะฆ่าเพราะรู้สึกว่าไม่ชอบขี้หน้า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็มีข่าวใหญ่โตทั่วโลก เด็กญี่ปุ่นอายุ 15 ปีฆ่าเพื่อนตายแล้วก็ตัดคอด้วย เพื่อนในโรงเรียนชั้นเรียนเดียวกัน เหตุผลคือว่าอยากฆ่าใครสักคน ผู้หญิงคนนี้ก็คล้ายๆกัน ผู้หญิงฆ่าคนตายไปแล้ว 3 คน แต่มีอีกคนรอดได้ โชคดีที่คุณลุงไม่ตายเป็นรายที่ 4 ผู้สื่อข่าวไปสัมภาษณ์แกว่าอยากจะพูดอะไรกับผู้หญิงคนนี้หรือไม่ เพราะว่าจับได้แล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่ได้โกรธแค้นผู้หญิงคนนี้เลย คุณลุงจอห์นเพียงอยากจะถามผู้หญิงคนนี้ว่า บอกผมได้ไหมว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ แกไม่มีความโกรธเลย สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นว่า ผู้หญิงคนนี้ทำได้แต่การทำร้ายแต่ร่างกายของแก แต่ไม่สามารถทำร้ายจิตใจของแกได้ จิตใจของแกก็ยังไม่ได้มีความทุกข์ ไม่ได้มีความโกรธแค้นใดๆเลย เพียงแค่สงสัยว่า ทำฉันทำไม
แล้วนักข่าวถามต่อไปว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไม่ แกตอบดี แกตอบว่าทำให้ผมได้คิดว่าสักวันหนึ่งผมตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเดินเล่นอยู่ก็อาจจะโดนรถเมล์แล่นทับตายก็ได้ ชีวิตนี้ไม่แน่นอนเลย เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นทำให้ผมได้คิดว่าจะต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดในทุกวัน คือทำวันนี้ให้ดีที่สุดนั่นเอง แกได้ข้อคิดตรงนี้ซึ่งแสดงว่าแกรู้จักใช้ประโยชน์หรือหาประโยชน์จากเหตุการณ์ทั้งที่เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก กรณีนี้น่าสนใจตรงที่ว่า หนึ่ง แกไม่โกรธผู้หญิงคนนั้น แม้ว่ากายแกจะทุกข์ แต่ใจแกไม่ทุกข์ด้วยเพราะแกให้อภัย แล้วประการที่สอง นอกจากแกจะไม่ทุกข์ใจแล้ว แกยังได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ คือมันเตือนใจให้แกไม่ประมาทกับชีวิต ทำชีวิตนี้ให้ดีที่สุด
คนจำนวนมากพอเจอเหตุการณ์แบบนี้หรือเจอเหตุการณ์น้องๆอาจจะเบากว่านี้มาก แต่ว่าไม่ใช่แค่ทุกข์กายอย่างเดียวแต่ทุกข์ใจด้วย แล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากเหตุการณ์นี้ จะรู้สึกเสื่อมศรัทธาในความดีว่า ทำไมถึงเป็นฉันๆ อุตส่าห์ทำความดีสร้างบุญสร้างกุศล แล้วทำไมต้องมาเจอแบบนี้ แสดงว่าทำดีไม่ได้ดี ต่อไปนี้ฉันไม่ทำบุญและไม่ทำความดีดีกว่า แบบนี้หนักเข้าไปใหญ่เลย คือนอกจากจะทุกข์ใจแล้วก็ยังเกิดมิจฉาทิฐิ หรือเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องกรรมและการทำความดี คนเราถ้าเราฉลาดในการรักษาประโยชน์ตน เมื่อเจอเหตุการณ์ทำนองนี้หรือน้องๆแบบนี้ก็ตาม อย่างแรกที่จะต้องทำคือรักษาใจไม่ให้ทุกข์ เพราะกายเจ็บไปแล้ว หรือมีการขโมยของทำลายทรัพย์สินรถยนต์หรือโกงเงินไปแล้ว อาจจะเอากลับคืนมาไม่ได้แล้วเสียทรัพย์ไปแล้ว แต่ถ้าเรารู้จักรักษาประโยชน์ตน เราต้องรักษาใจของเราไม่ให้ทุกข์ แล้วดีกว่านั้นคือมองหาประโยชน์จากมันให้ได้
สิ่งนี้เป็นการบ้านของนักปฏิบัติธรรม ไม่ว่าเจอเหตุร้ายอย่างไรก็ตาม หนึ่ง รักษาใจไม่ให้ทุกข์ และสอง พยายามหาประโยชน์จากมัน อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าไม่ขาดทุนแล้วก็ได้กำไร เรื่องราวของเคสที่พูดเมื่อวานนี้ก็คล้ายๆแบบนี้ คือเธอโดนน้ำกรดสาดหน้าเสียโฉมตาบอด อนาคตก็พลิกผันเลย แต่ผ่านไปสองสามปีเธอก็ตั้งตัวได้ หลังจากที่ทุกข์มากก็วางจิตวางใจได้ถูก คนมาถามเธอว่าโกรธแค้นผู้ชายคนนั้นไหม เธอบอกว่าไม่โกรธเลย ขอบคุณเขาด้วยซ้ำ การที่เธอพูดเช่นนี้ได้แสดงว่าเธอสามารถที่จะปล่อยวาง ไม่เคียดแค้นผู้ชายคนนี้ ถ้าเธอเคียดแค้นเธอก็จะเจ็บปวด จิตของเธอจะถูกทำร้ายต่อไปด้วยความแค้นความพยาบาท แต่เธอปล่อยวาง อาจจะเพราะว่าเธอให้อภัยเขา
เธอไม่ได้แค่ปล่อยวางหรือรักษาใจไม่ให้ทุกข์ แต่เธอยังทำมากกว่านั้นคือมองเห็นประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น คือเหตุผลที่เธอพูดว่าเธออยากจะขอบคุณเขา เพราะว่าประการแรกทำให้เธอได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น แล้วข้อที่สองคือทำให้เธอคิดเป็นผู้ใหญ่ ได้รู้ว่าไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน แม้กระทั่งหน้าตาถึงไม่เสียวันนี้หรือเสียเมื่อวานยังไงก็ต้องเสื่อมไปตามกาลเวลา เพราะฉะนั้นเปล่อยวางดีกว่าอย่าไปยึดติดถือมั่นกับมัน เธอได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ คือมันสอนให้เธอได้เรียนรู้การปล่อยวาง แล้วก็ทำให้เธอปล่อยวางเรื่องอื่นได้ง่ายด้วย เธอไม่แคร์แล้วว่าคนเขาจะมองเธออย่างไร แต่ก่อนเธอหวั่นไหวกับสายตาคนมาก อยากให้คนชมว่าฉันสวยเพราะเธอสวยจริงๆ แต่ตอนนี้คนจะมองว่าหน้าตาเธอน่าเกลียดอย่างไรเธอก็ไม่ได้หวั่นไหวใจเป็นทุกข์เลย เธอไม่เคยซ่อนหน้าตาของตัว เดินทางก็เดินทางด้วยรถไฟฟ้า ใครเขาจะพูดอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขาแต่ว่าเธอไม่ทุกข์เพราะเธอปล่อยวาง ไม่เอาความสุขของตัวไปผูกติดกับสายตาของคนอื่น ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องที่คนสมัยนี้ทำได้ยากโดยเฉพาะวัยรุ่น
หลายคนทุกข์มากจากเฟสบุ๊คเพราะว่าไม่มีคนกดไลค์ เพียงแค่ไม่มีคนกดไลค์ก็ทุกข์แล้ว ไม่กดไลค์ไม่พอกลับคอมเมนท์อีกยิ่งเป็นทุกข์เข้าไปใหญ่ มีคนจำนวนมากทีเดียวพยายามถ่ายรูปตัวเองอัพโหลดขึ้นเฟสบุ๊ค ที่เขาเรียกเซลฟีๆ บางคนวันหนึ่งใช้เวลาเป็นหกเจ็ดชั่วโมงในการถ่ายรูปหน้าตาตัวเอง เพื่อจะให้ได้รูปที่ดีที่สุดเอาขึ้นเฟสบุ๊ค เพราะอะไร เพราะไปแคร์สายตาของคนอื่น อยากให้คนอื่นเขาชมว่าฉันหน้าตาดีว่าฉันหล่อฉันสวย แบบนี้ก็เรียกว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง เพราะว่าไม่มีคนที่จะชมเราไปตลอดก็ต้องมีคนตำหนิบ้าง แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้ คือเคสเธอปล่อยวาง และที่เธอปล่อยวางได้เพราะเธอได้เรียนรู้จากประสบการณ์นี้ และทั้งสองคนที่ว่านี้ก็อาจจะไม่ใช่เป็นนักปฏิบัติธรรม ในความหมายที่เข้าวัดมาเดินภาวนามานั่งภาวนาอย่างเรา แต่สิ่งที่เขาทำถือเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เพราะว่าเขารู้จักในการรักษาประโยชน์ตนจากเหตุร้ายที่เกิดขึ้น
อย่างที่บอกไว้แล้วว่าภาวนาคือการเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี คำนี้หลวงพ่อคำเขียนท่านนิยาม การภาวนาหมายความถึงการเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี และสิ่งที่สองคนนี้ทำแล้วก็อีกหลายคนที่เขาทำก็คือสิ่งนี้ คือว่าเปลี่ยนเหตุร้ายให้กลายเป็นประโยชน์ ให้กลายเป็นคติเตือนใจสอนใจ หรือช่วยทำให้จิตใจเกิดความไม่ประมาท คนที่เป็นบัณฑิตต้องรู้จักเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี หรือเปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชค หลายคนพยายามทำบุญเพื่อชีวิตจะไม่ได้เจอเคราะห์ แต่ก็อย่างที่บอกว่าเคราะห์อย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นแน่ มากหรือน้อย ช้าหรือเร็ว เพราะมันเป็นธรรมดาโลก ถ้าวิสัยของบัณฑิตไม่กลัวเคราะห์เพราะรู้ว่า หนึ่งมันเป็นธรรมดา สองเขารู้วิธีในการเปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชค ที่จริงเคราะห์กับโชคเราไม่ต้องทำอะไรมัน เคราะห์ก็กลายเป็นโชคได้ และในทางกลับกันโชคก็กลายเป็นเคราะห์ได้ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่เมืองนอก ว่ามีครอบครัวหนึ่งทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์แล้วก็เลี้ยงม้า มีม้าหลายตัวทีเดียว แล้วเขาก็ทำไร่ด้วย ไร่ข้าวโพดไร่ข้าวสาลี แล้ววันดีคืนดีม้าตัวเก่งตัวงามเกิดออกจากคอกไป แล้วก็หายเข้าไปในป่า ใครๆก็บอกว่าเจ้าของฟาร์มเจ้าของคอกม้านี่ซวยเจอเคราะห์แล้ว ปรากฏว่าวันต่อมาม้าตัวนี้มันออกมาจากป่าและแถมมันพาคู่ของมันออกมาด้วยเป็นม้าป่าที่สวยมากเลย เพื่อนบ้านก็พูดว่าเขาโชคดีได้ม้ารูปงามมาตัวหนึ่ง เป็นม้าป่าเพราะฉะนั้นต้องฝึกให้มันเชื่องก็ให้ลูกชายสอนม้าตัวนี้ ลูกชายก็ควบขี่ม้าตัวใหม่ ปรากฎว่ามันพยศสะบัดตกลงมาขาหัก ชาวบ้านก็บอกว่าโชคร้าย สองวันต่อมาสัสดีมาในหมู่บ้านแล้วก็เกณฑ์ชายหนุ่มไปเป็นทหารเพราะว่ามีการประกาศศึกสงคราม ชายหนุ่มทุกคนที่สุขภาพดีถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารหมดเลยยกเว้นลูกชายเจ้าของฟาร์มคนนี้เพราะว่าขาหัก คนก็เลยบอกว่าโชคดี ขาหักกลายเป็นโชคดี ม้าหายกลายเป็นโชคดีเพราะว่ามันพาม้าตัวใหม่มา โชคกลายเป็นเคราะห์ แล้วเคราะห์กลายเป็นโชคโดยที่บางทีเราไม่ต้องทำอะไรเลย
แต่ถ้าคนฉลาดบางครั้งเราต้องทำหรือเปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชคให้ได้ อย่างตัวอย่างสองคนนี้ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชค คือทำให้เขาได้ข้อคิดในทางธรรม หรือบางคนเป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งใครๆก็ว่าเป็นเคราะห์ทั้งนั้น แต่ก็มีผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่หลังจากนั้นผ่านไปไม่กี่ปีก็บอกว่าโชคดีที่เป็นมะเร็ง ขอบคุณที่เป็นมะเร็ง เพราะมะเร็งทำให้เขาได้พบธรรมะ หรืออย่างคนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง เอ่ยชื่อก็รู้จักคือ สตีฟ จ็อบส์ เขาเคยถูกปลดออกจากบริษัทที่ตัวเองเป็นซีอีโอ คณะกรรมการปลดออกจากบริษัทแอปเปิ้ลที่ตัวเองสร้างขึ้นมา แล้วเขาเสียใจมาก แต่หลังจากนั้นผ่านไปประมาณสิบปี เมื่อเขาพูดถึงเหตุการณ์นี้เขาบอกว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเขา เพราะทำให้เขาได้ไปทำอะไรใหม่ๆ ไปบุกเบิกกิจการใหม่ๆ ซึ่งทำให้เขาได้ความรู้ได้ประสบการณ์ และเมื่อเขากลับมาบริหารแอปเปิ้ลอีกครั้งหนึ่ง เขาสามารถทำให้เจริญรุ่งเรืองผงาดขึ้นมาจากบริษัทที่ทำท่าเกือบจะขายทอดตลาดไปแล้ว หรือเกือบจะถูกแยกขายเป็นชิ้นส่วนย่อยๆให้กับไอบีเอ็มบ้างบริษัทอื่นบ้าง เขาทำให้แอปเปิ้ลกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่
อีกรายหนึ่งเป็นชายหนุ่มอพยพมาจากแถวยูเครน มาอยู่อเมริกาก็ดิ้นรนสร้างเนื้อสร้างตัวจนกระทั่งเก่งเรื่องคอมพิวเตอร์ แล้ววันหนึ่งก็ไปสมัครกับยาฮู (Yahoo) ยาฮูเป็นบริษัทใหญ่มาก ยาฮูไม่รับเขา ไม่รับแล้วเขาก็ตกงาน พอตกงานเวลาส่วนหนึ่งเขาก็ไปเที่ยว แล้วเวลาอีกส่วนหนึ่งซึ่งเขามีเวลาว่างมากก็เลยพัฒนาโปรแกรมเขาเรียกแอพพลิเคชั่น แอพพลิเคชั่นที่เขาพัฒนาตอนหลังมีชื่อมาก ในเมืองไทยอาจจะไม่มีชื่อแต่เมืองนอกนี่มีชื่อมาก คือวอตส์แอปป์ (WhatsApp) วอตส์แอปป์ก็เหมือนไลน์บ้านเรา ไลน์เป็นที่นิยมเฉพาะไทย ญี่ปุ่น แล้วก็ไต้หวัน แต่ทั่วโลกเขาใช้วอตส์แอปป์กันเขาไม่ใช้ไลน์ ชายหนุ่มคนนี้วันดีคืนดีก็ถูกทาบทามจากยาฮู บอกขอซื้อได้ไหม ขอซื้อลิขสิทธิ์ขอซื้อกิจการเลย เขาขายสี่ร้อยกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับหมื่นกว่าล้านบาท เขาบอกว่าถ้ายาฮูรับเขาทำงานเขาคงจะไม่รวยขนาดนี้ เขาตกงานเพราะยาฮูไม่รับเขาก็เลยมีเวลามาพัฒนาแอพพลิเคชั่น แล้วก็เลยรวยขึ้นมาเป็นหมื่นล้านบาทเลย แบบนี้เรียกว่าเปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชค
ที่พูดมาถึงแม้จะเป็นเรื่องทางโลกๆ แต่ในทางธรรมก็มีคนที่สามารถจะเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นธรรมได้ อย่างนางปฏาจาราซึ่งเสียคนรักทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นลูกสองคนซึ่งทีแรกเสียสามีก่อนแล้วเสียลูก แล้วก็เสียพ่อเสียแม่ ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ก็ถูกไฟเผาไหม้หมดเพราะว่าฟ้าผ่า จนกระทั่งเธอเกือบจะเป็นบ้าผ้าผ่อนหลุดลุ่ย แต่พอมาเจอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมด้วยการชี้ให้เห็นความทุกข์ของวัฏสงสาร เธอเจอทุกข์มาด้วยตัวเองก็ซาบซึ้งแก่ใจเลย คือคนที่ถ้าหากสุขสบายดีแล้วมาพูดเรื่องความทุกข์ให้ฟังก็คงไม่ซาบซึ้ง แต่นางปฎาจาราซึ้งมากเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า “น้ำตาที่เกิดจากความสูญเสียพลัดพราก ชาติแล้วชาติเล่า มากเท่ากับน้ำในมหาสมุทร” น้ำในมหาสมุทรพอๆกับน้ำตาที่หลั่งออกมาเพราะความสูญเสีย ชาติแล้วชาติเล่า กี่ชาติกี่อสงไขยแล้ว นางปฏาจาราก็เห็นภัยในวัฏสงสารเลย จิตหลุดพ้นเลยเกิดปัญญาเป็นพระโสดาบัน คือถ้าไม่เสียมากมายขนาดนั้นก็อาจจะไม่บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันก็ได้เพราะว่าพื้นเพไม่ได้สนใจธรรมะเลย
เช่นเดียวกับนางกีสาโคตมีก็เสียลูก แต่ความเสียลูกทำให้เธอเข้าใจเรื่องความไม่จีรังของชีวิต ทีแรกเธอเกือบจะเป็นบ้าเหมือนกัน อุ้มศพลูกเพื่อไปให้ใครต่อใครช่วยก็ไม่มีใครช่วยได้เพราะใครๆก็บอกว่าลูกเธอตายแล้ว เธอก็ไม่ยอมรับไม่ยอมฟัง จนกระทั่งมีคนแนะนำให้ไปหาพระพุทธเจ้า ทีแรกพระพุทธเจ้าเห็นสารรูปเห็นอาการของเธอก็ไม่สอน รู้ว่าสอนไม่ได้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เหมือนนางปฏาจาราพระพุทธเจ้าก็ยังสอนนางปฎาจารา แต่นางกีสาโคตมีพระพุทธเจ้าไม่สอนเพราะขณะนั้นใจเธอไม่รับ เลยออกอุบายว่าช่วยเธอได้ ช่วยทำให้ลูกฟื้นได้ถ้าเธอไปหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่มีคนตาย เธอก็ดีใจไปหาทุกบ้านมีเมล็ดผักกาดทั้งนั้น แต่พอถามว่ามีคนตายไหมก็พบว่ามีคนตาย บ้านนี้ก็มีคนตายบ้านนั้นก็มีคนตายมีคนตายกันทั้งนั้น เธอเริ่มค่อยๆเห็นแล้วว่าความตายเป็นของธรรมดา ไม่มีใครที่ไม่สูญเสีย พอใจเห็นตรงนี้ก็เลยยอมรับได้ว่าลูกตายแล้วก็เอาลูกไปฝัง เสร็จแล้วไปกราบไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนนี้พระองค์ถึงแสดงธรรมว่า “น้ำป่าย่อมพัดพาผู้ที่หลับใหลฉันใด มัจจุราชก็พัดพาผู้ที่หลงใหลในลูก ในทรัพย์สมบัติ ในคนรัก ฉันนั้น” นางกีสาโคตมีก็บรรลุธรรมเลยเป็นพระโสดาบัน แบบนี้เรียกว่า เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นธรรม ลำพังตัวเองเปลี่ยนไม่ได้แต่อาศัยคำคำสอนคำแนะนำของพระพุทธเจ้าก็เปลี่ยนได้
แต่บางคนไม่มีใครสอนแต่เปลี่ยนเองอย่างนางสามาวดี นางสามาวดีเป็นมเหสีพระเจ้าอุเทน พระเจ้าอุเทนรักมากจนกระทั่งนางมาคันทิยาอิจฉา นางมาคันทิยาก็เป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทนเช่นกัน เป็นคนอิจฉาเป็นตัวร้าย นางมาคันทิยาเคยหมายปองพระพุทธเจ้าแต่พระพุทธเจ้าปฏิเสธ นางก็เลยโกรธแค้นรังเกียจพระพุทธเจ้า แล้วก็พลอยเกลียดนางสามาวดี เพราะว่านางสามาวดีเป็นผู้ที่ศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก ทำบุญให้กับคณะสงฆ์เป็นประจำ และนางสามาวดีนั้นวันหนึ่งก็ถูกนางมาคันทิยาหลอกให้เข้าไปในคลังที่เก็บผ้าพร้อมกับบริษัทบริวารห้าร้อย ห้าร้อยแปลว่ามากไม่ใช่จำนวนห้าร้อย พอนางเข้าไปในนั้นพร้อมกับบริวารก็ถูกปิดประตูถูกขัง และนางมาคันทิยาก็จุดไฟเผา เผาทั้งคลังทั้งปราสาทเลย โหดร้ายมาก
นางสามาวดีพอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วรู้ว่าตายแน่เธอก็ให้อภัยนางมาคันทิยา จิตใจไม่โกรธแค้นเลย เท่านั้นยังไม่พอเธอทำกรรมฐานเอาเวทนาเป็นอารมณ์ เวทนาคือทุกขเวทนา ไฟกำลังเผาเกิดทุกขเวทนามาก กายเจ็บปวดมากแต่ว่าใจมีสติ เอาเวทนามาพิจารณาคือดูเวทนานั่นเอง ดูเวทนาแต่ไม่เป็นเวทนา เห็นความปวดแต่ไม่เป็นผู้ปวด เห็นถึงความผันผวนเห็นถึงความทุกข์ของสังขาร แล้วนางแนะนำให้บริษัทบริวารทำอย่างนี้ด้วย คือให้อภัยนางมาคันทิยาแล้วก็เจริญสติเอาเวทนาเป็นอารมณ์ แล้วก็ตายในกองเพลิงร่างดำเป็นตอตะโกเลย เมื่อมีคนมากราบทูลพระพุทธเจ้าเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่า ความตายของนางและบริวารเป็นความตายที่ไม่สูญเปล่า เพราะว่าทุกคนได้บรรลุธรรมขั้นสูง ที่จริงนางสามาวดีเป็นพระโสดาบันอยู่แล้วแต่เจอเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เลื่อนขั้นเร็วขึ้น พวกบริษัทบริวารบางคนเป็นแค่ปุถุชนแต่ว่าพอผ่านเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นโสดาบันหรือกลายเป็นสกิทาคามี แบบนี้ก็เรียกว่าเปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชค เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นธรรม
เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นธรรม คือถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ก็อาจจะบรรลุธรรมช้ากว่านี้ก็ได้ แต่พอเจอเหตุการณ์นี้ก็ทำให้จิตเอากรรมฐานเป็นที่พึ่ง สิ่งนี้เรียกว่าได้โอกาส เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะต้องรักษาตนรักษาประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม แม้กายจะปวดแต่ใจไม่ทุกข์เพราะว่าให้อภัยแล้วแผ่เมตตาให้แล้ว และขณะเดียวกันก็อาศัยกรรมฐานในการพิจารณาจนเปลี่ยนทุกขเวทนาให้กลายเป็นปัญญาที่เห็นธรรม ก็บรรลุธรรมขั้นสูง เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นธรรมนี้สำคัญ ที่เราต้องรู้จักใช้รู้จักทำสม่ำเสมอ เริ่มจากทุกข์เล็กๆน้อยๆ เช่น ความปวด ความเมื่อย ยุงกัด หรือแดดออก เจ็บเท้า ไปจนถึงเวลาสูญเสียเงินทอง ทรัพย์สมบัติ ถูกคนต่อว่าด่าทอ ให้เราคิดว่าเราจะเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชค และเราจะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นธรรมได้อย่างไร เรื่องนี้ก็ฝากเอาไว้