แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เดือนที่แล้วได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศทางยุโรป มีโยมนิมนต์ไป บรรยายธรรมในหลายประเทศแถบนั้น ประเทศหนึ่งที่ได้ไปก็คือสวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศเล็กๆแต่ว่าสวยงาม และก็สงบทีเดียว แค่ออกจากเมืองนิดหน่อยก็จะเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม ท้องทุ่งเขียวขจี บ้านเรือนเขาก็ตกแต่งได้สวย มองไปไกลๆก็เห็นเป็นภูเขา มีหิมะอยู่บนยอด คือมันเหมือนกับภาพในโปสการ์ดที่เราเห็น ออกไปนอกเมืองประเดี๋ยวเดียวก็เห็นภาพแบบนี้ได้ไม่ยาก
ดอกไม้ป่านี้ก็ขึ้นตามทาง มีความสงบ ไม่ค่อยมีเสียงดัง ในเมืองก็ไม่ค่อยจอแจ ตามชานเมืองผู้คนก็ไม่ค่อยส่งเสียงดังเท่าไหร่ ค่อนข้างจะระมัดระวังการใช้เสียง ไม่ว่าขับรถ กดแตรก็น้อย สวัสดิภาพนี้ก็มีมากทีเดียว ประเภทอาชญากรรมหรือว่าการเบียดเบียนกันก็ไม่ค่อยมี ผู้คนก็มีสวัสดิการ เจ็บป่วยหรือว่าตกงานก็มีเงินของรัฐเข้าไปสนับสนุน คนที่นั่นน่าจะอยู่กันอย่างมีความสุข คงจะมีความสุขอย่างที่เราพอที่เราจะคาดเดาได้ แต่ที่มีความทุกข์ก็คงจะไม่น้อย
มีวันหนึ่งญาติโยมก็พาไปพิพิธภัณฑ์ที่เมืองเบิร์น เมืองเบิร์นนี่เป็นเมืองหลวง เป็นเมืองที่ไม่ได้ใหญ่อะไร พอเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์เสร็จก็เดิมข้ามสะพาน เป็นสะพานเก่า แม่น้ำข้างล่างก็ใส น่าชม แต่ก็สังเกตุว่ามันมีตาข่าย เหล็กขึงไว้ตลอดแนวสะพาน พ้นจากแนวสะพานหรือว่า เรียกว่าระเบียงกระมัง จะเป็นตาข่ายเหล็ก ซึ่งมันทำให้ทำลายทัศนียภาพ ทำให้สะพานนี้ไม่สวยเลย ถามเขาว่าขึงตาข่ายเหล็กไว้ทำไมตลอดแนวสะพาน ได้คำตอบว่ากลัวคนโดดลงไปฆ่าตัวตาย โดดลงน้ำบ้าง โดดลงพื้นบ้าง เพราะว่าสะพานนี้มีคนโดดลงไปฆ่าตัวตายเยอะ จนกระทั่งต้องเอาตาข่ายเหล็กมาขึงเอาไว้ เพื่อป้องกัน
การฆ่าตัวตายของคนที่นั่นก็คงจะมีมากทีเดียว และก็ไม่ใช่ตรงนั้นที่เดียว ญาติโยมคนไทยก็บอกว่ายังมีที่อื่นอีกที่คนเขาโดดลงมา บางทีโดดลงมาก็ตกลงมาบนหลังคาบ้านของผู้คน เขาก็เดือดร้อนกันอีก อันนี้แสดงว่า ถึงแม้ว่าเมืองที่นั่นหรือประเทศนั้นจะมีความสงบ แต่ว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยก็คงจะไม่มีความสุขเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าบ้านเมืองจะมีเศรษฐกิจดี ผู้คนมีสวัสดิการ สวัสดิภาพ แต่ว่าในใจก็คงจะร้อนรุ่ม ไม่สงบ มันก็เชื่อได้อย่างหนึ่งว่า ถึงแม้บ้านเมืองจะสงบ แต่ว่าไม่ได้แปลว่าผู้คนจะมีความสุขไปด้วย มีเงินมากหรือว่ามีสิ่งแวดล้อมที่อำนวยความสะดวกอย่างไร แต่ว่าใจเขาก็ยังเป็นทุกข์ได้ ส่วนหนึ่งก็จะเป็นเพราะว่าคนที่นั่นเขาค่อนข้างอยู่กันหากจะเรียกว่าตัวใครตัวมัน ก็ดูแรงไป เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกัน คนในยุโรปโดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ นี้ก็จะต่างคนต่างอยู่ และก็บ้านหนึ่งหรือว่าห้องหนึ่งจะอยู่แค่คนเดียวหรือสองคน คนเรานี้ต้องการการผูกสัมพันธ์กัน มนุษย์เราถึงอยู่กันเป็นชุมชน พออยู่คนเดียวก็อาจจะเกิดความโดดเดี่ยวอ้างว้าง หลายคนก็จะหาทางออกด้วยการเลี้ยงสัตว์ เดี๋ยวนี้ฝรั่งเขาก็เลี้ยงสัตว์กันมาก เพราะว่าเหงาหรือว่าโดดเดี่ยว ซึ่งมันก็ช่วยบรรเทาความทุกข์ทั้งกายและใจด้วย เพราะเขามีการค้นพบว่า คนที่อยู่คนเดียวนี้มีโอกาสเป็นโรคหัวใจสูงกว่าคนที่อยู่กันหลายคนในบ้านหรือว่ามีเพื่อนมีมิตรมีสหาย
แต่ถ้าอยู่คนเดียวในบ้าน ก็มีวิธีช่วยให้โรคหัวใจเบาบางได้ ก็ด้วยการเลี้ยงสัตว์ คนส่วนใหญ่เลี้ยงสัตว์คงไม่ได้เพราะว่ากลัวเป็นโรคหัวใจ แต่ว่ามันเหงามากกว่า แต่ว่าบางแห่งบางที่ก็เลี้ยงยาก เขาไม่ให้เลี้ยงถ้าอยู่เป็น อะพาร์ตเมนต์หรือว่าคอนโดมิเนียม อันนี้คนเรานี่ก็ต้องการความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ถ้าอยู่คนเดียวหาทางออกไม่ได้ก็กลัดกลุ้มใจ ความรู้สึกอ้างว้าง ความรู้สึกขาดคนที่จะติดต่อสัมพันธ์ด้วย ยิ่งถ้าเกิดวิกฤตชีวิตบางอย่าง เช่น ตกงานหรือว่าเจ็บป่วยหรือว่าผิดหวังในความรัก นี้ก็ยิ่งทำให้ซ้ำเติมเข้าไปใหญ่ หาทางออกไม่ได้ ไม่มีใครจะระบาย ไม่มีเพื่อนจะนั่งฟังความทุกข์ สุดท้ายก็เลยฆ่าตัวตายเพราะจมอยู่ในความทุกข์ การจมอยู่ในความคิดปรุงแต่งต่างๆ นานา ข้างนอกนี้สงบแต่ข้างในรุ่มร้อน อย่างที่เขาว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก แต่มันก็น่าสังเกตว่า ในประเทศที่ผู้คนต้องปากกัดตีนถีบ หรือว่าประเทศที่ยากจนนี้ คนที่จะฆ่าตัวตาย มีสัดส่วนที่น้อย มีอยู่แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะว่าในประเทศเหล่านั้นผู้คนเขามีมิตรมีเพื่อนมีชุมชน ถึงจะลำบากก็ลำบากด้วยกัน ก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป ทำให้มีที่มีทางที่จะระบายความทุกข์ หรือรู้สึกว่ามีเพื่อนร่วมทุกข์ ในประเทศที่ร่ำรวยผู้คนอยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่นี้มันก็จะมีแนวโน้มแบบนี้เยอะ คือฆ่าตัวตายสูง ญี่ปุ่นก็เริ่มจะมากขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าทางยุโรปหรืออเมริกาอยู่มาก
สงบภายนอกนี้มันยังไม่ได้แปลว่าจะมีความสุขภายในได้ อย่างที่บอกคนจำนวนมากมีความสงบภายนอก แต่ว่าความสงบภายในนี้หาได้ยาก แล้วก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองต้องการความสงบ ความสงบสุขในใจนี้มันเป็นสิ่งที่ ผู้คนต้องการ แต่ว่าหลายคนไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องการความสุข แต่ไม่รู้ว่าสุขที่มันประเสริฐก็คือความสงบในใจ ไปรู้จักแต่ความสงบ ไปรู้จักแต่ความสุข จากวัตถุภายนอก จากสิ่งเสพ หรือมิฉะนั้นก็ไปคิดว่าความสนุกนั่นแหละคือความสุข ดังนั้นก็ไปเที่ยวไปเล่น แต่ว่าไม่ว่าจะเที่ยวจะเล่นแค่ไหนก็ไม่พบกับความสงบในใจ และก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองต้องการ มีหลายคนมาพอมาถึงที่สุคะโตนี่ หรือว่าที่ภูหลงนี่ ประโยคแรกๆ ที่เขาพูดก็คือว่า ที่นี่สงบ มาก พูดด้วยความรู้สึกชื่นชม หลายคนอาจจะเพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่า เราต้องการความสงบแบบนี้ ก่อนมานี่อาจจะไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการความสงบ รู้แต่ว่าตัวเองขาดอะไรไปบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าขาดอะไร พอมาเจอสถานที่แบบนี่เข้า ก็รู้สึกว่า ใช่เลย นี่คือสิ่งที่เราต้องการ หลายคนก็บอกว่าอยากจะมาอีก บางคนก็ถึงกับตัดสินใจมาปฏิบัติธรรมหรือว่ามาบวช คนเราบางครั้งนี่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จะเรียกว่าบางครั้งก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้
เมื่อวานนี้ก็ได้พูดไปแล้วว่า คนเราต้องรู้จักตัวเอง การรู้จักตัวเองก็จะทำให้พบกับความสุขได้ และการรู้จักตัวเองอย่างหนึ่งก็คือ รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ในส่วนลึกของใจนี้ต้องการอะไร คนส่วนใหญ่ไม่รู้ มีความคิดว่าตัวเองต้องการอะไร แต่พอได้มาแล้วก็อาจไม่พอใจหรือว่าไม่สมอยากก็ได้ แม้แต่เรื่องพื้นๆ บางทีก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้คนในยุโรป อเมริกา เขาหาคู่ด้วยการอาศัยบริการหาคู่ทางอินเตอร์เน็ต ก็อย่างที่บอกเดี๋ยวนี้ผู้คนนี่ก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ เจอกันแต่ในวงแคบๆ คนที่ไม่มีคู่ก็อยากจะหาคู่ในอินเตอร์เน็ต มีบริการออนไลน์เยอะแยะไปหมด คนจำนวนมากซึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ที่พบคู่ครองทางอินเตอร์เน็ตโดยการใช้บริการหาคู่ ส่วนใหญ่ก็จะให้กรอกด้วยว่าต้องการสเปคแบบไหน คู่ครองที่อยากได้นี้มีคุณสมบัติอย่างไร เรียกว่าสเปคก็แล้วกัน เช่นถ้าเป็นผู้ชายก็จะระบุว่าต้องการผู้หญิงผมทอง ชอบเล่นกีฬา รักสัตว์ ทำครัวเป็น อะไรพวกนี้ ก็เขียนไป บางทีก็ระบุไปด้วยว่าศาสนาอะไร
แต่ปรากฏว่าส่วนใหญ่ที่พอได้พบคู่หรือว่าได้รู้จักแล้วก็ชอบพอกัน ติดต่อกันยาวนาน จนกระทั่งแต่งงานกันนี้ คู่ครองที่ตัวเองพบและก็ตัดสินใจจะอยู่ด้วยกัน สเปคนี้มันต่างจากที่ตัวเองเขียนไว้เยอะเลย ที่เขียนไว้อย่าง แต่ว่าที่ตกลงว่าจะอยู่กันหรือว่าคบหากันนี้อีกแบบหนึ่งเลย เป็นอย่างนี้ส่วนใหญ่ด้วย เพราะอะไร เพราะว่าพอไปเจอบางคนแล้วก็พบว่านี่ใช่ ถึงเพิ่งมารู้ว่า ใช่ เพราะเขามีคุณสมบัติบางอย่างซึ่งอาจจะไม่ได้นึกมาก่อนว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการ เช่นอาจจะเป็นคนที่มีน้ำใจโอบอ้อมอารีย์ หรือว่าอาจมีสเปคอื่น มาเห็นค่อยรู้ว่านี่คือคนที่เราคิดว่า ใช่ หรือรู้สึกว่า ใช่ แต่ก่อนหน้านั้นไม่ได้นึกถึงเลย มาเห็นแล้วถึงรู้ว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการ นี่ขนาดเรื่องพื้นๆ แบบนี้ หรือเรื่องคู่ครองและยิ่งเรื่องที่มันลึกกว่านั้นคือเรื่องในใจ คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่ว่าพอจะรู้ก็ต่อเมื่อได้เจออะไรบางอย่าง ได้เจอในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ฝรั่งหลายคนก็แสวงหา ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร รู้สึกว่ามันขาด พอเดินทางมาถึงอินเดีย ก็รู้ว่าเห็นคนเขาอยู่กันอย่างมีความสุข พึ่งพาอาศัยกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หรือว่าเห็นนักบวช เห็นลามะ ท่านอยู่อย่างสงบ ท่านมีความโอบอ้อมอารีย์ ทั้งในใจก็สงบ ก็พบว่า ใช่ นี่คือสิ่งที่เราต้องการ นี่คือสิ่งที่เราแสวงหามาตลอด หลายคนมาเมืองไทยพอได้เจอพระ หรือว่าได้ไปสัมผัสกับบรรยากาศของวัดป่า ก็รู้เลยว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการ ก่อนหน้านั้นไม่รู้ พอได้มาเจอถึงรู้ว่าใช่เลย หลายคนก็เลยบวช หรือว่ามาปฏิบัติธรรม และก็บวชได้ยาวด้วย
ดังนั้น การรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร โดยเฉพาะในส่วนลึกของใจสำคัญมาก ไม่ใช่คิดว่าตัวเองต้องการ แต่ต้องรู้ ส่วนใหญ่นี้ไปถูกค่านิยมสังคมบงการว่า ควรจะชอบอย่างนี้ ควรจะต้องการอย่างนั้น เช่นเรื่องการมีทรัพย์สินเงินทอง การมีความร่ำรวย การมีชื่อเสียงมีหน้าตา คิดว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการ แต่พอได้มาแล้วก็ยังเป็นทุกข์ และถ้าดูให้ดี พิจารณาหยั่งลงไปในใจก็จะพบว่า ที่ทุกข์ก็เพราะสิ่งเหล่านั้นนั้นเอง สิ่งที่ตัวเองแสวงหา หรือที่ว่าต้องการ ที่จริงไม่ได้ต้องการจริงๆ คนเรานอกจากรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรแล้ว และเมื่อมีความทุกข์ก็ควรจะรู้ไปถึงขั้นที่ รู้ว่ามันทุกข์เพราะอะไร อยากได้ความสงบแต่ว่ามันไม่ได้ความสงบสักทีเพราะอะไร และก็ต้องมองเข้าไปในใจของตัว ถ้ามองและรู้จักมองตนก็จะพบว่า มันทุกข์เพราะความคิดนั่นเอง ความคิดฟุ้งซ่านนี่มันเป็นตัวทำลายความสงบในใจ แต่ที่จริง ถ้าพูดให้ถูกจริงๆ มันไม่ใช่ความคิดที่เป็นตัวสร้างทุกข์หรือว่าทำลายความสงบในใจ แต่เป็นเพราะไม่รู้ทันความคิดมากกว่า คือเมื่อคิดและรู้ทันความคิด มันก็จะวางได้ และก็ไม่หลงเตลิดเปิดเปิงไปตามความคิด ไม่ปล่อยให้ความคิดมันเล่นงาน พอรู้ทันความคิด ปล่อยวางความคิดได้ ความสงบก็กลับคืนสู่จิตใจ จะเรียกว่าธรรมชาติของใจนี้มันมุ่งไปสู่ความสงบก็ได้
จะร้อนเพียงใด ถ้าปล่อยสักพักเดี๋ยวก็จะสงบได้ มันเหมือนกับน้ำร้อนๆ หรือน้ำเดือด ถ้าเราเอาออกจากเตา มันก็จะค่อยๆ กลับคืนสู่ความปกติก็จะหายร้อน หรือของเย็นๆ เย็นจัด เช่นน้ำแข็ง เอาออกจากตู้เย็นมาวางไว้ เดี๋ยวมันก็กลับคืนสู่ความปกติ จิตที่มันรุ่มร้อน ถ้าเราไม่ไปยุยงส่งเสริม มันก็กลับคืนสู่ความเย็น ความปกติได้ แต่ว่าเป็นเพราะความคิดปรุงแต่งนี้ที่มันปรุงแต่ซ้ำซาก หวนคิดแล้วหวนคิดอีก ไม่ยอมเลิกยอมรา ทำให้มันไม่สงบสักที และที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะอะไร เพราะไม่รู้ทันความคิด พอไม่รู้ทันแล้วมันก็กลายเป็นยึด กลายเป็นแบกไปเลย อย่างที่หลวงพ่อท่านใช้ความว่า เห็นนี่ ถ้าไม่เห็นแล้ว ก็จะเข้าไปเป็นเลย แม้กระทั่งสิ่งที่เป็นนั่นก็นำมาซึ่งความทุกข์ เช่นความเป็นผู้โกรธ เป็นผู้เกลียด เป็นผู้ปวด เป็นทีไรมันก็ทุกข์ทุกที แต่ว่าก็ยังไม่ยอดสลัด ไม่ยอมวาง มันเข้าไปยึดเสียแล้ว พอไม่เห็นแล้วมันก็เข้าไปยึดเลย หรือว่าเข้าไปปรุงแต่งด้วยความอยาก
คนเรายึด คนเราอยาก มันไม่ได้ยึดแต่สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบก็ยึด แม้ว่าอยากจะผลักไสแต่ว่าใจก็อดยึดไม่ได้ ยิงโกรธยิ่งเกลียดใครก็จะยิ่งคิดถึงคนนั้นบ่อย คิดถึงคำพูด คิดถึงการกระทำของเขา ก็ยิ่งทำให้ร้อน ยิ่งทำให้ทุกข์มากขึ้น ใจมันก็เลยไม่สามารถจะกลับคืนสู่ความปกติสู่ความสงบได้สักที มันก็ว้าวุ่นรุ่มร้อนอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าหมั่นดูใจ หมั่นมองตน ก็จะเห็นว่าสิ่งที่มันทำให้เราไม่สามารถพบความสงบในใจได้นี้ก็คือความคิดปรุงแต่ง หรือว่าความหลงไม่รู้ทันมันนั่นเอง ซึ่งทำให้เกิดความติดยึด เมื่อรู้ทันมันก็จะวาง ที่จริงระหว่างการยึดกับการวางนี้ อะไรมันง่ายกว่ากัน ระหว่างการแบกกับการปล่อย แบกนี้มันยากกว่าอยู่แล้ว ปล่อยนี้มันง่าย เวลาจะแบกอะไรนี้มันต้องใช้พละกำลังมาก ต้องใช้ความอดทน หรือว่าทำให้เกิดความทุกข์ แต่ปล่อยไปนี้มันง่าย แต่คนส่วนใหญ่ชอบแบก ชอบยึด พอให้ปล่อยให้วางนี้ทำยาก ของหายก็เอาแต่นึกถึงสิ่งนั้น ทั้งที่นึกไปแล้วมันก็ทุกข์ นึกไปแล้วก็เสียใจ ปล่อยเมื่อไหร่ก็สบาย แต่ก็ยังไปแบกไปยึดสิ่งนั้น ไม่รู้จักฉลาดในการแก้ปัญหาของตัวเอง แต่ถ้าเกิดรู้ว่าเราต้องการความสงบ ความสงบมันเกิดขึ้นไม่ได้ก็เพราะว่าชอบคิด ชอบปรุงแต่ง และก็ไม่รู้เท่าทัน ก็ทำให้เกิดการยึดติด พอรู้ว่าสาเหตุแห่งทุกข์คืออะไร การที่จะปล่อย การที่จะวาง มันก็ง่ายขึ้น มีอะไรมากระทบก็มีสติรู้ทัน และก็สามารถที่จะโน้มน้าวใจให้ปล่อย ให้วาง หรือว่าสามารถจะปล่อยวางได้ทันที ถ้าหากว่ามีสติ
มีวันหนึ่งไปที่กรุงมาดริค สเปน กรุงมาดริคนี่มีก็คนไทยไม่เยอะแต่ก็มีจำนวนหนึ่ง วันสุดท้ายก่อนที่กลับเข้า ฮอลแลนด์ โยมผู้ชายคนไทยเขาก็พาไปพิพิธภัณฑ์ หลังจากไปที่พิพิธภัณฑ์เสร็จ ก็ใกล้เวลาเพลพอดี ก็พาเข้าร้านอาหาร ร้านอาหารนี้คนก็เยอะ แล้วก็ระหว่างที่รออาหาร ก็คุยกันโยมคนนี้แกก็เป็นฝ่ายคุยเป็นหลัก คุยอยู่ตลอดเวลา ส่วนเพื่อนอีกคนก็นั่งฟัง ระหว่างที่คุยอยู่แกก็เอากระเป๋าหนังวางไว้ข้างหลัง ข้างหลังเป็นพนัก ตัวแกก็พิงกระเป๋าอยู่ในบางช่วงด้วย พออาหารมาก็กินอาหาร กินไปก็คุยไป พอกินอาหารเสร็จได้เวลาจ่ายเงิน เขาก็ให้บิลมา แกจะไปหยิบกระเป๋าปรากฏกระเป๋าแกหายแล้ว มีคนคว้ากระเป๋าไปแล้ว ทั้งที่กระเป๋านี่อยู่ข้างหลังแก และในร้านก็มีคนเยอะ ที่กินด้วยกันก็กินเป็นกลุ่มประมาณ ๖-๗ คน ทั้ง ๖-๗ นี่ก็ไม่มีใครหลับสักคน แต่ปรากฏว่ามันมีคนที่มือไวมาก สามารถที่จะหยิบเอากระเป๋า กระเป๋าใบใหญ่ด้วยแบบกระเป๋านักเรียน ไม่ใช่กระเป๋าใส่สตางค์ สามารถจะหยิบเอากระเป๋าใบนั้นออกมากจากเก้าอี้ และก็หายตัวไปอย่างไม่มีร่องรอย โดยที่คนที่อยู่ตรงข้ามกับโยมคนนั้นรู้อยู่ว่ามีผู้ชาย ๒-๓ คนมายืนอยู่ข้างๆ แต่คิดว่าเขาคงมาจ่ายเงิน แต่ว่าเขาคว้ากระเป๋าไปตอนไหนไม่รู้
เจ้าของกระเป๋าเขาบอกว่าเขาพลาดไป เพราะว่าจริงๆ เขาก็ตั้งใจเอากระเป๋ามาวางไว้บนตัก เพราะเขารู้ว่ามาดริคนี้พวกมิจฉาชีพเยอะ สเปน มาดริค หรือว่าอิตาลีนี้มิจฉาชีพจะเยอะมาก และเขาก็อยู่ที่สเปนมานาน เรียนปริญญาเอก เขาก็รู้ว่าเผลอไม่ได้ก็ตั้งใจจะเอากระเป๋าวางไว้บนตัก ไม่ใช่วางไว้ข้างหลัง แต่ว่าคงคุยเพลิน เผลอแป๊บเดียวกระเป๋าก็หาย ในนั้นมีเอกสารเยอะแยะ เงินไม่เท่าไหร่มีแค่ ๓๐ ยูโร ยูโรหนึ่งก็ประมาณ ๓๐-๔๐ บาทก็ ๑๐๐๐ กว่าบาท แต่ว่าไม่ค่อยน่าเสียดาย ที่น่าเสียดายก็พวกเครดิตการ์ด พวกบัตรประชาชน พวกบัตรอนุญาตให้พำนักอยู่ในประเทศสเปน แต่แกก็ใจเย็น เพียงแต่หยิบโทรศัพท์ไปบอกธนาคาร ให้อายัดเครดิตการ์ด ดูแกก็ไม่มีความวิตกทุกข์ร้อนอะไร พอจัดการธุระเสร็จแกก็บอกว่า ถึงมันไม่หายวันนี้ มันก็หายวันหน้า แกคิดแบบนี้ก็ไม่ทำให้วิตกทุกข์ร้อนอะไร ไม่หายวันนี้ก็หายวันหน้า คือเตรียมใจไว้แล้วว่า การที่ของหายหรือความพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา
อย่างบทที่เราสวดเมื่อสักครู่นี้ อภิณหปัจจเวกขณ์ เรามีความแก่เป็นธรรมดา เราหนีความแก่ไปไม่ได้ ความเจ็บ ความตาย รวมทั้งความพลัดพรากด้วย เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น แกก็เป็นคนสนใจศาสนา สนใจสมาธิภาวนา พอเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น แกก็ทำใจได้ วางใจถูก คือปล่อยวาง ที่เสียก็เสียไปเพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ความสงบสุขก็กลับคืนมาสู่จิตใจของแก ไม่ได้วิตกทุกข์ร้อนอะไร
และนี่ก็คือสิ่งที่เราควรจะต้องรู้จักวางใจให้ถูก เพราะว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แม้อยู่ในที่ที่สะดวกสบาย ความพลัดพรากก็เกิดขึ้นได้ หรือว่าสิ่งที่ไม่ถูกใจก็เกิดขึ้นได้เสมอ แต่ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้แปลว่าใจจะต้องเป็นทุกข์ ไม่ได้แปลว่าจิตใจจะว้าวุ้น ความสงบสุขจะหายไป เพราะสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจ แต่เราจะรู้จักวางใจถูก เราก็ต้องรู้ว่ามันทุกข์เพราะอะไร มันทุกข์ไม่ใช่เพราะว่ามีคนเอาไป แต่มันทุกข์เพราะว่าเรายังยึดติดในสิ่งที่สูญเสียไปมากกว่า คนอื่นเอาไปก็ไม่ทำให้ทุกข์ถ้าหากว่าปล่อยวางได้ แต่ว่าถ้าไม่รู้จักดูใจก็จะไปคิดว่าที่เราไปทุกข์นี่ก็เพราะว่ามีคนเอาของเราไป แต่ไม่ได้คิดว่าที่ทุกข์เพราะไปยึดมันเป็นของเราตั้งแต่แรก หรือไปคิดไปยึดว่าของเหล่านั้นมันจะต้องอยู่กับเราไปนานๆ ไม่ได้นึกถึงความพลัดพรากที่จะต้องจากกันเลย แต่ถ้าระลึกหรือเตือนใจอยู่เสมอว่านี่มันเป็นธรรมดา เป็นความจริงที่ไม่มีใครหนีพ้น และก็รู้ทัน เวลาใจมันหวนนึกไปถึงสิ่งที่เสียไปด้วยความอาลัย รู้ทันแล้วมันก็จะวางได้ ใจจะกลับเป็นปกติ ก็จะพบกับความสงบเย็นได้ ของหายไปแต่ว่าใจยังเป็นปกติ
แต่บางคนนี่ของยังอยู่แต่ว่าใจเป็นทุกข์ เพราะว่าอยากได้เพิ่ม อยากได้อีก อยากได้มาก ดังนั้นถ้าในเมื่อรู้ว่าความสงบสุขเป็นสิ่งที่จิตใจต้องการ ก็ต้องรู้ต่อไปด้วยว่า อะไรทำให้ใจไม่สงบสุข และถ้ารู้ให้ถึงขั้นเป็นเพราะว่าวางใจไม่ถูก หรือว่าเพราะความที่ปรุงแต่ง หรือว่าไม่รู้ทันความคิดปรุงแต่งนั้น ทำให้เกิดความคิด ความอยาก พอรู้เข้าก็จะสามารถปลดล็อคได้ง่าย อะไรจะมาทำให้ทุกข์ใจ ก็ทุกข์ใจได้ไม่นาน รู้จักพาใจกลับคืนสู่ความปกติได้ เพราะว่าเห็นว่าเป็นธรรมดา วางได้ ปล่อยได้