แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อสองวันก่อน ได้อ่านข้อเขียนซึ่งเป็นคำไว้อาลัยของพ่อคนหนึ่งซึ่งเพิ่งสูญเสียลูกชายเป็นนักดนตรี แล้วก็ฆ่าตัวตายขณะที่อายุ ๓๑ ปี พ่อก็เขียนบันทึกในหนังสืออนุสรณ์งานศพ ซึ่งได้เผาเมื่อ ๓-๔ วันก่อน หลายคนที่ติดตามข่าวก็คงจะทราบดีว่าผู้ที่เขียนบันทึกนั้นหรือพ่อที่สูญเสียลูกก็คือคุณวีระ มุสิกพงษ์ ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น วีรกานต์ การสูญเสียลูกชายนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่หลวงร้ายแรงทีเดียว โดยเฉพาะต้องสูญเสียลูกในลักษณะนั้น
ในคำไว้อาลัยก็มีข้อความหนึ่งได้เขียนว่า “แม้ผมจะเคยปฏิบัติกรรมฐานมาบ้าง แต่ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาใช้กรรมฐานเพื่อบรรเทาความโศกเศร้า หรือว่าระงับความอาลัยในกรณีที่ต้องสูญเสียแก้วตาดวงใจ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ใหญ่หลวง” ประโยคนี้แม้จะสั้น ๆ แต่ว่าก็ควรที่เราจะนำมาพิจารณากัน ความสูญเสียนี้บ่อยครั้งเราก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น แล้วเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะช่วยเราได้ นอกจากการที่เราจะทำใจรับมือกับความเศร้าโศกเสียใจและความอาลัยอาวรณ์ แล้วทีนี้จะรับมือกับมันอย่างไร ถ้าหากว่าเรามีวิชากรรมฐานติดตัวอยู่บ้าง ก็สามารถที่จะช่วยบรรเทาความโศกเศร้าและระงับความอาลัยอาวรณ์ได้ แต่ก็เชื่อแน่ว่าคนส่วนใหญ่เวลามาปฏิบัติกรรมฐาน ก็คงคิดเหมือนกับคุณวีรกานต์ ก็คือว่าไม่ได้มาฝึกกรรมฐานเพื่อจะมาใช้กับตัวเองในกรณีความสูญเสียแบบนี้ ส่วนใหญ่ก็มาฝึกกรรมฐานเพราะเหตุอื่นมากกว่า เช่น ต้องการความสงบในจิตใจรู้สึกว่าจิตใจมันฟุ้งซ่าน หรือว่าอาจจะมีความทุกข์บางอย่างที่ผลักให้เข้ามาวัด มาปฏิบัติธรรม แต่ความทุกข์ที่เจอนั้นก็ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้หนักหนาถึงขั้นว่าต้องสูญเสียคนรัก
แต่ว่าเมื่อเราเกิดมาในโลกนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่เราต้องเผื่อใจอยู่เสมอคือว่าความสูญเสีย มันสามารถจะเกิดได้ขึ้นกับเราตลอดเวลา แม้แต่เวลามาปฏิบัติธรรม มาเจริญกรรมฐาน ก็อย่าเพียงคิดแต่ว่าเราจะมาฝึกใจเพื่อให้มีความสงบชั่วครู่ชั่วยาม ชั่วครั้งชั่วคราว ความสงบเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ชั่วครั้งชั่วคราวนี้มันก็ดี มันก็ทำให้เรามีกำลังในการที่จะไปสู้กับอุปสรรคในโลกภายนอกได้ เหมือนอย่างที่บางคนว่ามาชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งก็เป็นวิธีที่ดีกว่าการไปพักผ่อนหรือผ่อนคลายด้วยการไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ หรือว่าไปสนุกสนานรื่นเริง ซึ่งมันมีแต่ทำให้เหนื่อยล้าทั้งกาย อาจจะรวมถึงใจด้วย แต่ถ้าเรามาปฏิบัติธรรมเพียงแค่มุ่งหวังว่าเราจะมีความสงบ เพื่อที่เราจะได้มีกำลังไปต่อสู้กับอุปสรรคในที่ทำงานในโลกภายนอก แค่นี้ยังถือว่ายังประมาทอยู่เพราะว่าสิ่งที่เราจะต้องเจอในวันข้างหน้า มันไม่ใช่มีแค่อุปสรรคในการทำงาน
หรือว่าปัญหาในครอบครัว ความวุ่นวายจากการที่ต้องทำมาหากิน กระเสือกกระสนดิ้นรนเอาตัวรอด มันมีอย่างอื่นที่รอเราอยู่ อันนั้นคือความสูญเสียพลัดพราก พลัดพรากอะไร พลัดพรากจะคนรัก สูญเสียอะไร สูญเสียของรัก คนรัก สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอไม่ช้าก็เร็ว แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะมาในลักษณะไหน บางทีก็สูญเสียคนรัก เพราะว่าเขาป่วยหนักจนตาย แต่บางทีเขาก็อาจจะไปด้วยเหตุอื่น ซึ่งอาจจะไม่คาดคิด อย่างเช่น การฆ่าตัวตาย เป็นต้น หรือว่าจะหนักกว่านั้น ถูกทำร้ายจนถึงตาย แต่บางทีก็ไม่แน่ใจว่าอย่างไหนจะหนักกว่ากัน ระหว่างการตายเพราะถูกทำร้ายหรือการตายเพราะทำร้ายตัวเอง แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็เป็นสิ่งที่สามารถจะเกิดขึ้นได้กับคนทุกคน สามารถจะเกิดขึ้นได้กับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นลูก เป็นเพื่อน เป็นศิษย์เป็นอาจารย์ ถ้าเราไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ไว้เลยก็ถือว่าประมาท เพราะว่ามันหมายถึงการไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ หรือแม้แต่จะมาปฏิบัติธรรม มาฝึกสติ มาทำกรรมฐาน แต่ว่าไม่ได้คิดเรื่องนี้เอาไว้เลย พอมันจะมันเกิดขึ้นก็อาจจะทำใจไม่ไหว รับมือไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่ได้ฝึกเอาไว้บ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่คาดคิดว่าจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ หรือว่าไม่ได้ฝึกเพื่อที่จะมาเจอเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าเราได้ฝึกกรรมฐานเจริญสติเอาไว้บ้าง มันก็สามารถจะเอามาช่วยได้ เช่น ถ้าเกิดว่าได้ฝึกสมาธิ ก็ทำให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อกำหนดจิตอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะเป็นลมหายใจ หรือว่าจะเป็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง ให้จิตมันแน่วแน่ แนบแน่นกับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ใจก็จะไม่ไปหวนคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจอาลัย อาวรณ์
จริง ๆ แล้วความสูญเสียนี้มันไม่ได้ทำให้เราทุกข์ สูญเสียคนรัก ของรัก นี้ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ใจ แต่ทุกข์เมื่อนึกถึง นึกถึงเมื่อไหร่ก็ทุกข์ ถ้าไม่นึกก็ไม่ทุกข์ เหมือนกับความกลัวความวิตกกังวล วิตกกังวลในปัญหาที่รออยู่ข้างหน้า หรือยังมาไม่ถึง หนี้ยังไม่ได้จ่าย เงินยังไม่ได้ผ่อนให้ครบถ้วน ถ้าไม่นึกก็ไม่ทุกข์ พอนึกเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น คนเราไม่ได้ทุกข์เพราะหนี้ คนเราไม่ได้ทุกข์เพราะความสูญเสียคนรัก ของรัก ไปมากเท่ากับที่ปล่อยใจเผลอให้ไปคิดถึงมัน
สิ่งที่ผ่านไปแล้ว คิดไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น เพราะว่าเราไม่สามารถจะย้อนเวลาให้กลับไปได้ ส่วนสิ่งที่ยังมาไม่ถึงคิดไปมันก็มีแต่ทำให้กังวลโดยเฉพาะการไปนึกถึงมัน ในสถานที่หรือสถานการณ์ที่เราทำอะไรไม่ได้ อย่างเช่น เราอยู่ที่วัดนี่ แต่เราห่วงลูก วิตกกังวลถึงพ่อแม่ ห่วงไปกังวลไป ก็ไม่ได้ช่วยทำอะไรลูกหรือพ่อแม่ดีขึ้น และเราก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรท่านได้ด้วย เพราะว่าตัวอยู่นี่แต่ท่านอยู่โน่น มีแต่ว่าเราจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้ใจเราไม่ทุกข์ เพราะเมื่อใจเราทุกข์แล้ว มันบั่นทอนจิตใจ บั่นทอนกำลัง ทำให้แทนที่จะมาชาร์จแบตเตอรี่ มาชาร์จไฟกลับไปให้มีเรี่ยวมีแรง ช่วยเหลือผู้คนแก้ปัญหา ก็กลายเป็นว่าทำได้ไม่เต็มที่ เพราะว่าตอนมาอยู่วัดก็ไม่ได้พักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ว่ากายหรือใจ การอยู่กับปัจจุบันนี้มันช่วยพักกายพักใจได้เยอะทีเดียว มันช่วยเติมพลังให้กับเรา ในการที่จะออกไปรับมือกับโลกภายนอก แล้วขณะเดียวกัน มันก็ไม่ทำให้เราทุกข์ เศร้าโศก อาลัยกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นแล้ว
นอกจากสมาธิแล้ว สติก็ช่วยได้มากทีเดียว สมาธิก็หมายถึงว่าการที่จิตแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อแน่วแน่แล้วก็ไม่ฟุ้งซ่าน ก็ไม่หวนคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วในอดีต หรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต ส่วนสตินี้หมายถึงการรู้ทัน เวลาเผลอคิดไปใจก็รู้ทัน รู้ว่ากำลังไหลไปอดีต หรือรู้ว่าใจกำลังลอยไปอนาคต มันไหลไปเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น มันลอยไปเมื่อไหร่ก็หนักใจเมื่อนั้น แต่ถ้ารู้จักวางมันได้เพราะรู้ทันได้รวดเร็ว มันก็จะวาง สติจะช่วยดึงจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ก็ทำให้ใจเราปลอดโปร่ง เบาสบาย เพราะว่าจิตที่อยู่กับปัจจุบันก็คือจิตที่เป็นปกติ ถ้าเรารู้จักใช้วิชากรรมฐานบ้าง มันก็จะช่วยทำให้เราก็จะไม่ถูกความสูญเสียเล่นงานจิตใจ วิชากรรมฐานก็ช่วยทำให้เราปล่อย เราวางได้ ทำให้ใจสงบกลับมาเป็นปกติ แต่ที่จริงมันไม่ใช่แค่ช่วยทำให้สงบเท่านั้น มันยังช่วยทำให้ใจสว่างด้วย ก็คือเกิดปัญญา ถ้าเราไม่ใช่เพียงแค่ฝึกจิตเพื่อให้สงบด้วยสมถกรรมฐาน แต่ว่ารู้จักใช้วิปัสสนากรรมฐานเพื่อพิจารณาให้เห็นความจริงของกายและใจ
เริ่มต้นจากการที่รู้กายรู้ใจอยู่เนืองนิจ ไม่ลืมกายไม่ลืมใจ การที่เราหมั่นมารู้กายรู้ใจ รู้ความจริงของกายและใจ เพื่อทำให้เรามีปัญญาเห็นความจริงของสังขาร ไม่ใช่แค่สังขารที่เป็นเนื้อเป็นตัว เป็นกายและใจของเราเท่านั้น แต่ว่ารวมไปถึงสังขารภายนอกด้วย เพราะว่ามันก็เรื่องเดียวกัน เห็นความจริงว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่สามารถที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน หรือยึดมั่นถือมั่นให้เที่ยง ให้เป็นสุขได้ เพียงแค่เห็นอนิจจังก็ช่วยได้เยอะแล้ว เพราะว่ามันทำให้เราคลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ ลง เห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์ที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป ตรงนี้ก็ช่วยทำให้เราสามารถที่จะอยู่กับความสูญเสียได้ อยู่กับความเศร้าโศกได้ เพราะเราก็รู้ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นมันก็ไม่เที่ยง ความเศร้าเสียใจ ความอาลัยอาวรณ์ มันก็เหมือนอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น คือมาแล้วก็ไปอยู่ได้ไม่นาน ถ้าเราเห็นอยู่บ้างว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้มันไม่เคยคงที่คงตัวหรือคงทนเลย ก็ทำให้เราพอที่จะทนกับมันได้ เพราะเรารู้ว่าอีกไม่นานความมืดก็หายไป แสงสว่างก็จะมาแทนที่
คนที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวนี้ เพราะเขาไม่มีความตระหนักในเรื่องนี้ว่า ความทุกข์ที่อยู่กับเขา ไม่ได้อยู่กับเขาไปชั่วฟ้าดินสลาย มันเป็นเพียงแค่สภาวะชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นเอง มีบางคนที่เขามีความทุกข์มาก ทุกข์เรื่องงาน ทุกข์เรื่องหนี้สิน ทุกข์เรื่องครอบครัวคนรัก ครุ่นคิดกับมัน คิดไม่ตก ตลอดคืนจนกระทั่งรุ่งสาง ก็คิดว่าฉันอยู่ไม่ไหวแล้ว ตั้งใจ ตัดสินใจจะโดดตึกลงมาฆ่าตัวตาย แต่ตอนที่กำลังจะโดดตึกนี้ ตึกมันสูง ก็เหลือบเห็นแสงเงินแสงทองกำลังทาบฟ้า พอเห็นแล้วจิตก็ตื่นเลย มันได้คิดขึ้นมาเลยว่าความมืดนี้มันไม่ใช่ว่ามืดไปตลอด ไม่ช้าไม่เร็วมันก็ต้องสว่าง แสงเงินแสงทองที่เขาเห็นนี้ทำให้เขาได้สติขึ้นมา แล้วก็ได้คิดเลยว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นกับชีวิตมันก็ประเดี๋ยวประด๋าว มันจะหนักหนาแค่ไหนแต่มันก็ต้องผ่านไปในที่สุด พอได้สติแบบนี้ ก็เลิกเลย ตัดสินใจไม่โดดลงมา อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ใช่แค่คนเดียว มีหลายคนที่เขาได้คิดแบบนี้จากการที่เขาได้เหลือบมองเห็นแสงสว่าง หรือว่าเห็นแสงเงินแสงทอง
อีกคนหนึ่งก็จะโดดตึกเหมือนกัน แต่ว่ามองไปข้างล่าง เห็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ ก็นึกถึงคำสอนของแม่ว่า จะทำอะไรก็อย่าให้คนอื่นเดือดร้อน เขาก็เลยคิดว่าต้องเปลี่ยนจุดโดด เพราะถ้าโดดลงมาตรงนั้น เดี๋ยวจะไปทับวิน มอเตอร์ไซค์ตายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็เลยเปลี่ยนจุด ตอนที่เปลี่ยนจุดที่จะโดดลงมานี่ก็เห็นแสงเงินแสงทองเหมือนกัน พอเห็นปุ๊บก็เปลี่ยนใจทันที เพราะได้คิดว่าทุกข์นี้ มันไม่ใช่ว่าจะอยู่กับเราไปนาน ไม่มีความมืดไหนที่มันมืดไปตลอด มันก็ต้องมีรุ่งเช้า มีแสงสว่างในที่สุด
การฝึกกรรมฐานนี้สามารถทำให้เราได้เห็น ได้ตระหนักว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรานั้นมันไม่เที่ยง เพียงแค่นี้ก็ช่วยทำให้สามารถที่จะอยู่กับมันได้โดยที่ไม่สิ้นหวัง ทนกับมันไปสักพักเดี๋ยวก็หายไป เดี๋ยวมันก็จางคลายไป ยิ่งถ้าเราฝึก การเห็นอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ใด หรือความคิดอะไร ถ้าเราเห็นก็จะทำให้มันดับไปต่อหน้าต่อตา ส่วนใหญ่นี้อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นแล้วก็อยู่ยืดเยื้อ เพราะว่าเราเองนั่นแหละที่ไปเติมไปต่ออายุมัน เหมือนกับไฟที่ถ้าไม่ทำอะไรมันก็จะต้องดับไปในที่สุด แต่ว่าเราไปเติมฟืนให้มัน เติมเชื้อให้มัน เติมยังไง ก็เติมด้วยการครุ่นคิดถึงมันบ่อย ๆ คิดแล้วคิดอีก ๆ รู้หรือเปล่าว่าการคิดถึงมันซ้ำซาก คือการเติมเชื้อ เติมไฟ เติมฟืนให้มัน ไฟที่มันน่าจะมอดดับอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน ก็เลยลุกโพลงอยู่นั่นแหละ อารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจเราเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราแค่เห็นมันเฉย ๆ ไม่ไปทำอะไรกับมัน มันก็จะมอดดับไปในที่สุด
การที่เราได้เรียนรู้วิธีการเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ อันนี้ทำให้ความสูญเสีย รวมทั้งความเศร้าโศกที่เป็นผลสืบเนื่องนี่มันทำร้ายจิตใจเราได้ยาก ความสูญเสียเกิดขึ้นแล้วเราก็ผ่านมันไปได้ แล้วก็ยังสามารถจะได้บทเรียนจากมันด้วย เช่น เตือนใจให้เราเห็นถึงความไม่เที่ยงของชีวิต เตือนให้เราตระหนักว่า อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ แล้วถ้าเราปฏิบัติกรรมฐานจนกระทั่งมีปัญญาเห็นความจริงอย่างที่พูดมาสักครู่นี้ เห็นความจริงว่า มันไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้เลย ทุกอย่างไม่สามารถจะยึดมั่นถือมั่นอะไรได้เลยแม้แต่น้อย หรือว่าได้ระลึกอยู่เสมอว่า ความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา เมื่อเกิดความสูญเสียพลัดพรากเกิดขึ้น ก็ไม่ทุกข์ ทีแรกทุกข์เพราะความสูญเสีย แล้วใช้สติ ใช้วิชากรรมฐานช่วยทำให้ระงับความเศร้าโศก หรือว่าหลุดจากอารมณ์ได้ ต่อไปเมื่อปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง หรือหมั่นพิจารณาความเป็นไปของชีวิตอยู่เสมอ จนเกิดปัญญาตระหนักถึงความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลาย ไม่ว่าของที่เรารัก คนที่เรารัก ก็ต้องมีอันเป็นไปสักวัน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อมีปัญญาแบบนี้ มันก็จะทำให้ใจปล่อยวางได้ หรือว่าเตือนใจอยู่เสมอว่าอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ ถึงคราวมันเกิดขึ้นจริง ๆ ก็ไม่ทุกข์ อันนี้เรียกว่าใช้ปัญญา ช่วยป้องกันใจไม่ให้ทุกข์ มันเป็นการป้องกัน ถ้าไม่มีตรงนี้มันก็ทุกข์ แล้วก็ต้องไปเยียวยา หลายคนทุกข์เสียอกเสียใจ ถึงค่อยเข้าวัดทำกรรมฐาน ก็เยียวยาจิตใจได้ แต่ถ้าจะให้ดีต้องรู้จักป้องกัน ป้องกันไม่ให้ทุกข์ ก็คือมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาใจ
ในสมัยพุทธกาล มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อนางมัลลิกา นางมัลลิกาเป็นภรรยาของขุนนางคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนสนิทของพระเจ้าปเสนทิโกศล เสนาบดีคนนั้นชื่อว่าพันธุละ เป็นคนที่มีฝีมือมาก เพราะว่าจบทิศาปาโมกข์สำนักเดียวกับพระเจ้าปเสนทิโกศล แล้วก็รักกันมาก พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้ไว้วางใจให้พันธุละเป็นเสนาบดีคู่ใจ แต่ว่าตอนหลังพระเจ้าปเสนทิโกศลหูเบา ถูกเป่าหูว่าพันธุละจะยึดอำนาจก็เลยหาทางกำจัด เป็นเพื่อนสนิทแท้ ๆ แต่ว่าก็หวั่นไหว ก็ออกอุบายให้พันธุละและลูกชาย ลูกชายมี ๓๒ คนเป็นแฝด ๑๖ คู่เป็นทหารเก่งๆ ทั้งหมดเลย ออกอุบายให้ไปปราบกบฏที่ชายแดน พันธุละกับลูกทั้ง ๓๒ คนก็นำทัพไป ปรากฏว่าถูกซุ่มโจมตี ถูกฆ่าตายหมดเลยทั้ง ๓๓ คน ข่าวนี้ก็มาถึงนางมัลลิกาในตอนเช้า เป็นเช้าเดียวกับที่กำลังจะเลี้ยงพระคณะใหญ่ มีพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะเป็นประธาน เมื่อจดหมายน้อยมาถึง นางมัลลิกาก็อ่าน อ่านเสร็จก็ไม่ได้มีสีหน้าอะไร สีหน้าก็เป็นปกติ เอาจดหมายน้อยเก็บไว้ที่ชายพก แล้วก็ทำหน้าที่ต่อ คือเขาเรียกว่าอังคาส ถวายอาหาร ระหว่างที่กำลังถวายอยู่นี้ นางทาสีซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับนางมัลลิกาก็เกิดทำถ้วยในเนยตกต่อหน้าพระสารีบุตร ตกแตกเสียงดังเพล้ง นางมัลลิกาอยู่ใกล้ ๆ พระสารีบุตรเห็นก็พูดปลอบนางมัลลิกาว่า “ของที่มันเสียหายได้ ตอนนี้มันก็แตกไปแล้ว อย่าไปเสียใจเลย” คือแนะนำให้นางมัลลิกาทำใจ นางมัลลิกาก็เลยตอบว่า “เมื่อสักครู่เพิ่งได้ข่าวว่าสามีและลูกทั้งหมดถูกฆ่าตาย ดิฉันก็ยังไม่เสียใจเลย” เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์อะไรกับการที่ถ้วยใส่เนยตกแตก นางมัลลิกานี้เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีธรรมะพอสมควร สูญเสียหนักมากทั้งสามีและลูกอีก ๓๒ คนก็ไม่เหลือโคตรเหง้าเลย อาจจะไม่มีใครที่จะสืบวงศ์ตระกูลด้วย แต่ว่านางก็เป็นปกติ ไม่หวั่นไหว ไม่เสียใจ ไม่โกรธแค้น เพราะอะไร เพราะนางรู้ว่ามันเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดาว่าความสูญเสียเป็นธรรมดาโลก ความตายไม่มีใครจะหนีพ้น อันนี้เรียกว่ามีปัญญา เข้าใจความจริงของชีวิตก็เลยไม่ทุกข์ อันนี้เรียกว่ามีปัญญาป้องกันความทุกข์
เราจะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บนี้มันก็ยังพอป้องกันได้ แต่ว่าอาจจะป้องกันไม่ได้ตลอด ป้องกันความแก่ ความชราก็ป้องกันไม่ได้ ยังไงก็ต้องแก่ ต้องชรามีแต่บรรเทา แต่ว่าป้องกันความทุกข์ใจนี้ทำได้ ถ้าหากว่าเรามีปัญญา ปัญญานี้เป็นปัญญาทางธรรม ไม่ใช่ปัญญาทางโลก ปัญญาทางโลกช่วยได้ในเรื่องการทำให้ร่ำรวย มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จ แต่ว่าร่ำรวยแค่ไหน สำเร็จเพียงใดก็หนีไม่พ้นความสูญเสีย เพราะมันเป็นธรรมดาโลก ไม่ใช่แค่สูญเสียคนรักเท่านั้น ตัวเราเองไม่ช้าไม่นานก็ต้องตาย แต่ถ้าเรามีปัญญาในทางธรรมมันก็ทำให้ไม่ทุกข์ใจได้ คนเรานี้ปัญญาทางธรรมมันก็ไม่ได้เกิดจากกรรมฐานอย่างเดียว บางทีก็ต้องเกิดจากประสบการณ์ด้วย คือต้องเกิดจากความสูญเสียนั่นแหละ คนบางคนไม่สูญเสียแต่ว่าอาศัยฝึกกรรมฐานจนเกิดปัญญา ไม่ใช่แค่ทำใจให้สงบชั่วครู่ชั่วยาม แต่ว่าเกิดปัญญาจนกระทั่งเห็นความจริง มันก็มีภูมิคุ้มกันความทุกข์ ป้องกันไม่ให้ความทุกข์มากระแทกถึงใจได้ แต่บางคนก็ประมาทไม่ได้สนใจที่จะฝึกกรรมฐาน เพราะคิดว่าชีวิตนี้สุขสบายแล้ว วันนี้สบายแล้วก็คิดว่าพรุ่งนี้จะสบาย วันนี้เป็นสุขก็คิดว่าพรุ่งนี้ก็จะสุข มีคนแบบนี้เยอะ เขาก็เลยสงสัยว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรมด้วย ในเมื่อฉันก็สบายแล้ว คนแบบนี้เขาเรียกว่าประมาท แต่ว่าบางครั้งความทุกข์นี่ก็สอน สอนให้เห็นธรรม
อย่างนางกีสาโคตมีก็เป็นคนร่วมสมัยเดียวกับนางมัลลิกา แล้วก็อยู่ใกล้ ๆ กันด้วย มัลลิกาอยู่เมืองสาวัตถี นางกีสาโคตมีก็คนสาวัตถี แต่คงไม่ได้รู้จักกัน นางกีสาโคตมีก็มีครอบครัวที่อบอุ่น ชีวิตก็ราบรื่นมาตลอด แต่งงานก็ได้สามีดี แล้วมีลูกก็น่ารัก แต่ว่าวันดีคืนดีลูกชายอายุ ๓-๔ ขวบ ก็ตายกะทันหัน นางกีสาโคตมีทำใจไม่ได้ อุ้มลูกไปให้ใครต่อใครช่วยชุบชีวิตให้ฟื้นขึ้นมา เธอไม่ยอมรับว่าลูกตายแล้ว ยังมีความหวังว่าลูกจะฟื้นขึ้นมาได้ ทุกคนก็บอกว่าลูกนางตายแล้ว แต่นางกิสาโคตมีก็ไม่ยอมฟัง จนกระทั่งมีคนแนะนำให้ไปหาพระพุทธเจ้า นางก็ดีใจ อุ้มศพลูกมาที่เชตวัน พระพุทธเจ้าเห็นนางกีสาโคตมีอุ้มศพลูกมาก็รู้ว่าแสดงธรรมให้นางฟังคงไม่ได้ผล พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าใคร เมื่อไหร่ หรือเวลาใด หรือกรณีใดควรจะแสดงธรรม พระองค์ไม่ได้แสดงธรรมตะพึดตะพือ พระองค์ดูนางกีสาโคตรมีแล้วรู้ว่า หากพระองค์แสดงธรรมไปก็คงจะไม่ฟัง
พอนางกีสาโคตรมีถามว่า พระองค์จะช่วยให้ลูกของนางฟื้นขึ้นมาได้หรือเปล่า พระองค์ก็ตอบว่าได้ แต่ว่ามีเงื่อนไขคือเธอต้องไปหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่มีคนตาย นางได้ฟังก็ดีใจรีบอุ้มศพลูกเข้าไปในสาวัตถี ไปหาเมล็ดผักกาด ไปบ้านนั้นบ้านนี้ ทุกบ้านก็มีเมล็ดผักกาด แต่พอถามว่ามีคนตายหรือเปล่า ก็ได้คำตอบว่ามีคนตายทั้งนั้น บางบ้านก็พ่อตาย บางบ้านก็แม่ตาย บางบ้านก็ปู่ตาย บางบ้านก็ย่าตาย บางบ้านก็ลูกตาย ผัวตาย เมียตาย คนสมัยก่อนตายกันที่บ้านทั้งนั้นแหละ ถึงไม่ตายที่บ้านมันก็เป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับทุกครอบครัวทั้งนั้น ทีละน้อยๆ นางก็เริ่มยอมรับได้ว่า ความสูญเสียมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกครอบครัว ความตายของคนรักนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทีละน้อยๆ เธอก็ยอมรับได้ว่าลูกตายแล้ว เห็นว่าความตายเป็นธรรมดา พอเห็นว่าความตายเป็นความธรรมดา ก็ยอมรับความตายของลูกได้ ก็เอาศพลูกไปเผา เผาเสร็จก็มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเห็นว่านางพร้อมที่จะฟังแล้วก็แสดงธรรมเลย ตรัสว่า มฤตยูย่อมพัดพาผู้ที่ติดในรูป ในทรัพย์สมบัติ หรือว่าข้องในอารมณ์ เหมือนกับน้ำป่าย่อมพัดพาผู้ที่หลับใหลฉันนั้น นางกีสาโคตมีพิจารณาตามก็เห็นโทษของความยึดมั่นถือมั่น ที่เห็นชัดนี้เพราะว่าผ่านมาด้วยตัวเอง เจอความทุกข์มาด้วยตัวเอง ว่าความทุกข์มันเกิดจากอะไร พิจารณาไปสักพัก ดวงตาเห็นธรรมก็เป็นพระโสดาบันเลย จากคนที่เมื่อสักครู่ยังแทบจะไม่มีสติเลย ตอนนี้กลายเป็นพระอริยเจ้าไปแล้ว เป็นพระโสดาบันไปแล้ว เพราะอะไร เพราะว่าเจอความทุกข์มาด้วยตัวเอง แล้วก็สามารถที่จะมองเห็นความทุกข์ ในอีกมุมหนึ่งแทนที่จะเป็นทุกข์ก็เห็นทุกข์ นางกีสาโคตมีทีแรกนี้เป็นทุกข์แต่ว่าเมื่อได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าก็เห็นทุกข์ เห็นว่าสังขารนี้เป็นทุกข์ เห็นว่าไม่สามารถจะยึดมั่นอะไรได้เลย ยิ่งไปยึดมั่นในลูก ในคนรัก ก็ยิ่งจะเป็นทุกข์มากขึ้น นางก็มีดวงตาเห็นธรรม ปัญญาเกิด อันนี้ก็เรียกกว่า ปัญญาที่จะคอยป้องกันความทุกข์ ได้เกิดขึ้นกับนางแล้ว เป็นปัญญาที่ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติกรรมฐาน แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากการที่ได้เจอความสูญเสียจริง ๆ แล้วก็รู้จักพิจารณามันก็ทำให้เกิดปัญญาได้
ทุกข์นี้ มันสามารถจะทำให้เห็นธรรมได้ ถ้าเราใช้ทุกข์ให้เป็น แต่ถ้าเจอทุกข์แล้วเป็นทุกข์ก็จะไม่เห็นธรรม ถ้าเป็นทุกข์แล้วจิตมันก็เศร้าหมองไม่มีสติที่จะนำให้เกิดปัญญาได้ แต่ถ้าเจอทุกข์และเป็นทุกข์ แล้วจู่ ๆ ก็มาเห็นทุกข์ ก็ทำให้เกิดปัญญาได้ นางกีสาโคตมีโชคดีที่มีพระพุทธเจ้าช่วยพูดแนะนำทำให้นางได้เห็น เห็นความทุกข์ของสังขาร ความทุกข์ที่มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ปัญญาก็เกิด เพราะฉะนั้นพวกเราก็ต้องหมั่นพิจารณา ถ้ามันยังไม่เกิดขึ้นกับเราก็โชคดีไป ก็พิจารณาจากชีวิตของผู้อื่น อย่างเรื่องราวของคุณวีรกานต์ที่ได้เล่ามาแต่ต้นนี้ ถ้าเราไม่ได้ฟังเฉย ๆ แต่ว่าเอามาพิจารณาเป็นบทเรียน มันก็ช่วยทำให้เราเกิดความไม่ประมาทในชีวิตของตัวเองและก็ไม่ประมาทในชีวิตของคนที่เรารักด้วย
นักปฏิบัติธรรมหลายคน เวลาพูดถึงความตายของตัวก็พอทำใจได้ เพราะว่าได้ฟังได้ฝึกมาอยู่เสมอ เช่น เจริญมรณสติ มาสวดมนต์ก็สวดมนต์เรื่องความไม่เที่ยงของสังขาร ความไม่เที่ยงของชีวิต พอพูดถึงความตายของตัวเองนี้ก็พอจะทำใจได้ แต่พอพูดถึงหรือให้นึกถึงความตายของคนที่รัก ลูก พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนหรือว่าคนใกล้ชิดนี่ บางทีเสียวซ่านขึ้นมาเลย เสียวสยองไม่อยากคิดต่อ ตัวเองตายยังพอทำใจได้ แต่ว่าถ้าจะเห็นคนรักตาย โดยเฉพาะลูกตาย ใจมันไม่อยากคิดเลย ถ้าคิดแบบนี้ก็ถือว่าประมาทเพราะว่ามันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และมันสามาราจะเกิดขึ้นในลักษณะไหนใดก็ได้ ไม่ใช่แค่เจ็บป่วย ไม่ใช่แค่เจอภัยธรรมชาติ รถชน เครื่องบินตก อาจจะเจออะไรที่มันแย่กว่านั้นก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องเผื่อใจไว้ “เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น” อันนี้เป็นบทพิจารณาที่ต้องเตือนตนอยู่เสมอ อภิณหปัจจเวกขณ์ มี ๕ ประการ ๔ ข้อแรกนี้พิจารณาอยู่เสมอ ๆ ก็ดี
“เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้”
“เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้”
“เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้”
๓ ข้อนี้สำคัญ แต่ว่าอย่าลืมข้อที่ ๔ ด้วย คือ “เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น”
เพราะฉะนั้นพิจารณาอยู่เสมอ แล้วก็เอาเหตุการณ์เรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ มาเตือนตัวเตือนใจอยู่เสมอ ถึงตอนนั้นพอมันเกิดเหตุขึ้นมากับเรา วิชาทั้งหมดที่เราได้ฝึกมา รวมทั้งวิชากรรมฐานก็จะมาช่วยเราได้