แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อสักครู่พวกเราก็ได้กล่าวข้อความว่า “ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฏชัดต่อเราได้” ข้อความนี้เราจริงจังกับมันแค่ไหน หรือว่าสวดไปแบบนกแก้วนกขุนทอง หรือบางคนอาจจะสวดไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว คือสวดไปตามความเคยชิน ถ้าเราจริงจังกับข้อความนี้มันสามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้เลย คำถามที่ว่า ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฎชัดแก่เราได้ เป็นคำถามสำคัญมาก เพราะว่าทำให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นมาในโลกนี้ เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจของเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นคนแก่ เห็นคนป่วย และเห็นคนตาย รู้สึกสะเทือนเข้าไปถึงข้างในว่าคนเราจะต้องเจอแบบนี้กันทุกคนหรือ แล้วพอได้เห็นนักบวชในวันรุ่งขึ้นก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า การทำความทุกข์ให้หมดสิ้นไปนี้น่าจะเป็นไปได้ แต่จะทำอย่างไร
ที่จริงสิ่งที่เจ้าชายสิทธิตถะได้เห็นเป็นแค่ความทุกข์ใหญ่ๆ มีความทุกข์อีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่ได้ปรากฏให้พระองค์เห็นในเหตุการณ์คราวนั้น คือความพลัดพรากสูญเสีย ตอนที่หลายคนอาจจะยังไม่ได้สัมผัสกับความแก่ความเจ็บเท่าไรเพราะว่ายังหนุ่มยังสาว แต่พอเจอเหตุการณ์บางอย่างเข้าก็สะท้านสะเทือนไปถึงใจ เช่นคนรักตายจากไป เช่นอาจจะเป็นพ่อเป็นแม่หรือเป็นพี่เป็นน้อง อย่างเช่นพอสูญเสียพ่อสูญเสียแม่ไปก็เจ็บปวดมากเศร้าโศกเสียใจ อาจจะมีคำถามขึ้นมาในใจว่า เกิดมาแล้วต้องมาเจอกับความสูญเสียแบบนี้นี่มันหนัก ทำไมเราต้องเกิดมาแล้วต้องมาเจอแบบนี้ด้วย เรื่องนี้คือความทุกข์ที่เราทุกคนต้องเจอ อย่างที่เราเพิ่งสวดเมื่อสักครู่ ไม่ใช่ว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดาเท่านั้น เราจะต้องสูญเสียของรักของชอบใจ คนรักด้วย หลายคนยังไม่รู้สึกถึงความแก่ แล้วยังไม่ได้เจอความเจ็บไข้จริงๆจังๆ ส่วนความตายก็ไม่ต้องพูดถึงยังไม่มา แต่ก็เจอความสูญเสียพลัดพรากใหญ่หลวงมาก เรื่องนี้คือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับเรา
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะท่านได้มีคำถามนี้ขึ้นมาว่า ทำอย่างไรจึงจะทำความทุกข์ให้หมดสิ้นไปจากใจได้ ท่านเลยตัดสินใจออกบวช ทิ้งครอบครัว ทิ้งปราสาทราชวัง เพราะท่านจริงจังกับคำถามนี้มาก ไม่ใช่แค่นึกเฉยๆแล้วก็ปล่อยให้เลือนหายไป แต่ท่านตั้งใจจริงและลงมือทำ นั่นจึงเรียกว่าเป็นคำถามที่สำคัญมาก ซึ่งไม่ใช่แค่เปลี่ยนชีวิตเจ้าชายสิทธัตถะเท่านั้น แต่เปลี่ยนโลกทั้งโลกเลยทีเดียว เรียกว่าเป็นคำถามเปลี่ยนโลก เราอาจจะไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนโลกอย่างพระพุทธเจ้าได้ แต่เราสามารถจะเปลี่ยนชีวิตของเราได้ ถ้าเราเริ่มที่จะถามคำถามนี้จริงจัง
แล้วคนส่วนใหญ่ไม่ได้ถามคำถามนี้ อาจจะเป็นเพราะว่ากำลังเพลิดเพลินกับความสุข ยังหนุ่มยังสาว ยังประสบความสำเร็จความเจริญ คิดแต่ว่าทำอย่างไรถึงจะให้สุขมากกว่านี้ มีเงินเดือนให้มากขึ้น มีตำแหน่งสูงขึ้น มีรถ มีบ้าน พูดง่ายๆคือทำอย่างไรถึงจะรวย ทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จในการงาน ทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จในความรัก ส่วนใหญ่ก็ถามอย่างนี้มากกว่า และคำถามเหล่านี้ก็เปลี่ยนชีวิตได้เหมือนกัน แต่เปลี่ยนไปอีกทางหนึ่ง เปลี่ยนไปสู่ทางแห่งความทุกข์ก็ได้และก็มักจะทุกข์มากด้วย และพอไม่สำเร็จก็โกรธแค้น ตัดพ้อต่อว่า น้อยเนื้อต่ำใจ แบบนี้ที่จริงคือความทุกข์ แต่ไปโทษคนอื่นว่าทำให้ฉันทุกข์
เขาต้องเปลี่ยนแปลง เขาต้องพูดดีกับฉัน เขาต้องมาเอาอกเอาใจฉัน เขาต้องมารักฉัน หรือเขาต้องซื้อโทรศัพท์มือถือให้ ฉันจึงจะหายทุกข์ เด็กหลายคนก็คิดแบบนี้ แม่ไม่ซื้อโทรศัพท์มือถือให้ก็เสียใจ และคิดว่าความทุกข์ของฉันจะหมดไปได้ก็ต่อเมื่อใครต่อใครทำดีกับฉัน หรือสนองความต้องการของฉัน พอไม่ได้ก็เสียใจน้อยเนื้อต่ำใจ เด็กบางคนพ่อแม่ไม่ซื้อโทรศัพท์มือถือให้ก็น้อยเนื้อต่ำใจแขวนคอตาย หรือเพราะอกหักก็คับแค้นใจน้อยเนื้อต่ำใจก็โดดตึกตาย พอเขาไปคิดว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเพราะคนอื่น หลายคนมักจะบ่นตัดพ้อว่าทำไมเขาไม่เข้าใจฉัน แต่ก็ไม่ค่อยได้ถามตัวเองว่าแล้วเราเข้าใจเขาแล้วหรือยัง
เขาไม่เข้าใจฉัน เขาไม่เข้าใจฉัน น้อยเนื้อต่ำใจ แต่ไม่เคยถามตัวเองเลยว่าแล้วเราเข้าใจเขาหรือไม่ และคนที่พูดแบบนี้ก็มักจะไม่เข้าใจคนอื่น หลายๆคนตัดพ้อว่าแม่ไม่เข้าใจฉันพ่อไม่เข้าใจฉัน คนที่พูดแบบนี้มักจะไม่ค่อยเข้าใจพ่อแม่เลย ท่านทำดีกับเราหลายอย่างแต่ไม่เคยซาบซึ้งหรือตระหนักเลย พอท่านทำอะไรไม่ถูกใจเราสักอย่าง เราก็ตัดพ้อแล้วว่าพ่อไม่รักเราแม่ไม่รักเราไม่เข้าใจเรา ท่านทำความดีให้กับเราหมื่นอย่างแต่อาจจะพลาดพลั้งแค่หนึ่งอย่าง ทำดีหมื่นอย่างแต่เรามองไม่เห็น แต่เรากลับไปจดจำความผิดพลาดหรือความไม่ถูกใจแค่หนึ่งอย่าง เสร็จแล้วก็มาตัดพ้อต่อว่า
หลายคนไม่ก็ตัดพ้อว่าทำไมเจ้านายไม่พูดดีกับฉัน ทำไมเจ้านายไม่เป็นธรรมกับฉัน ทำไมรถติด ทำไมฝนฟ้าปั่นป่วนปรวนแปรแบบนี้ แต่ไม่ค่อยถามตัวเองว่าแล้วทำไมเราต้องทุกข์ด้วย ทำไมเราต้องโกรธแค้นที่เจ้านายทำกับเราอย่างนั้น ทำไมเราต้องหงุดหงิดที่รถติด ทำไมเราต้องหงุดหงิดที่ดินฟ้าอากาศแปรปรวน คำถามของเราส่วนใหญ่ออกไปนอกตัว แทนที่เราจะถามว่าทำไมเจ้านายไม่ทำดีกับฉัน เราน่าจะถามว่าทำไมเราต้องโกรธต้องเป็นทุกข์กับการกระทำของเขาด้วย แทนที่เราจะบ่นโวยวายว่าทำไมรถติดแบบนี้ เราน่าจะถามตัวเองมากกว่าว่าทำไมจึงต้องหงุดหงิดที่รถติด แทนที่จะโทษดินฟ้าอากาศว่าทำให้เราเป็นทุกข์ น่าจะถามว่าทำไมเราจะต้องขุ่นเคืองกับฝนฟ้าอากาศด้วย แทนที่เราจะถามว่าทำไมเขาพูดกับเราแบบนี้ ทำไมเพื่อนพูดกับเราแบบนี้ ต้องถามว่าทำไมเราต้องน้อยอกน้อยใจกับคำพูดของเพื่อนด้วย
คือถ้าเราถามอย่างหลัง ความคิดเราจิตใจเราจะเปลี่ยนเลย เราจะเห็นเลยว่าเราไม่น่าโง่เลย รถติดอากาศแปรปรวนทำไมเราต้องเป็นทุกข์ด้วย แล้วจะเลิกบ่นเลยเพราะว่าได้เห็นความโง่ของตัวเอง แล้วก็ได้เห็นว่าที่จริงความทุกข์เกิดจากเราเองมากกว่า หรือเกิดจากการตั้งคำถามที่ไม่ถูกต้อง ตั้งคำถามไม่ถูกต้องทำให้ทุกข์ แต่ถ้าตั้งคำถามถูกทำให้หายทุกข์ได้
หลายคนพอพบว่าตนเองเป็นมะเร็งหรือเป็นโรคร้ายก็จะบ่นตีโพยตีพาย ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน แต่ถ้าเราลองถามใหม่ว่าทำไมจะเป็นฉันไม่ได้เพราะว่าใครๆ เขาก็เป็นกัน เราทุกคนล้วนแล้วแต่รู้จักคนที่เป็นมะเร็งทั้งนั้น ไม่ใช่รู้จักแค่คนเดียวแต่รู้จักหลายคน หรือไม่ก็รู้จักคนที่ตายเพราะมะเร็งไม่ใช่แค่คนเดียวแต่หลายคน เป็นเพื่อนบ้าง เป็นญาติบ้าง เผลอๆเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้อง แล้วทำไมเราจะเป็นไม่ได้ ถ้าเราตั้งคำถามนี้จะหยุดบ่นหยุดโวยวายเลย เราจะเห็นว่ามันเป็นธรรมดา ไม่ใช่เป็นเรื่องของการที่ชะตากรรมลงโทษเรา
คนเราถ้ารู้จักตั้งคำถามให้ถูก จะเปลี่ยนจิตใจเราได้ เปลี่ยนชีวิตของเราได้ แทนที่จะมัวหาเงินหาทองแสวงหาความร่ำรวย เราลองมาตั้งคำถามดูว่าทำอย่างไรจะทำความทุกข์ให้หมดสิ้นไปจากใจเราได้ คำถามนี้จะเพ่งเล็งมาที่ตัวเอง ความทุกข์อยู่ที่ใจเราอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น เวลามีทุกข์เรามักจะโทษคนอื่นว่าทำให้เราทุกข์ เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจเรา เป็นเพราะเขาไม่พูดดีกับเรา แต่ที่จริงอย่าว่าแต่เข้าใจเขาให้มากขึ้นที่จะช่วยได้ อย่างเช่นที่เมื่อสักครู่บอกว่าทำไมเขาไม่เข้าใจเรา ถ้าเราถามว่าแล้วเราเข้าใจเขาหรือเปล่า จะทำให้เราหยุดบ่น เพราะทำให้พบว่าเราก็ไม่ต่างจากเขา
และยิ่งถ้ามาถามใหม่ว่า แล้วเราเข้าใจตัวเราเองหรือยัง เอาแต่บ่นว่าเขาไม่เข้าใจเรา และถามใจตัวเองว่าเราเข้าใจตัวเราเองแล้วหรือยัง ถ้าหาคำตอบจริงๆ ก็จะพบว่าเรายังไม่เข้าใจตัวเราเองเท่าไรเลย ทำไมอารมณ์เราแปรปรวนแบบนี้ ทั้งที่ไม่น่าโกรธทำไมถึงโกรธ เราจะพบว่ามีหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ทั้งๆที่ไม่น่าจะเป็น ไม่น่าจะเกิด อารมณ์หลายอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใจของเราแต่ก็เกิดขึ้น ซึ่งทำให้เราไม่แน่ใจว่าเรารู้จักตัวเราเองหรือไม่ เราเรียกร้องให้ใครต่อใครมารู้ใจเรา แล้วเรารู้ใจตัวเราเองไหม เวลาเราทำโน่นทำนี่แล้วใจลอย เรารู้ทันใจเราไหมว่าใจเราลอยไปโน่นไปนี่แล้ว เราปล่อยให้ใจลอยไป เราจมหายเข้าไปในอารมณ์ต่างๆ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าเรารู้ใจตัวเอง ถ้าเรารู้ใจตัวเองเราจะเห็นว่าใจกำลังหลงไปในอดีต ไปจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ เมื่อรู้ใจก็จะถอนใจออกมาจากความเศร้าจากเหตุการณ์เหล่านั้น
เราปล่อยใจให้มัวหนักอกหนักใจกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ตอนนั้นเรารู้ใจตัวเองไหม เพราะถ้าเรารู้ใจตัวเองเราจะไม่ปล่อยใจให้ไปวิตกกังวลกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง กลุ้มอกกลุ้มใจในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เป็นเพราะเราไม่รู้ใจตัวเอง เราลืมใจเราปล่อยใจตกหล่น หล่นหายไปในอดีตบ้างในอนาคตบ้าง เราปล่อยใจให้ตกหล่นหายที่เรียกว่าใจหาย ใจหายไม่ได้หมายความว่าเจออะไรที่ตกใจแล้วใจหายเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการที่ลืมใจ ใจก็เลยหล่นหายไป หล่นหายไปในความฟุ้งซ่าน ในความเศร้า ในความน้อยเนื้อต่ำใจ ในความวิตกกังวล ถ้าเรารู้ใจตัวเองเราจะปล่อยใจให้หล่นหายเข้าไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้นที่ไปบ่นหรือตัดพ้อว่าเขาไม่รู้ใจเรา ทำไมเขาไม่รู้ใจเรา ที่จริงน่าจะถามใหม่ว่าแล้วเรารู้ใจตัวเราเองหรือยัง ต้องหมั่นรู้ใจตัวเองให้มากๆ ถึงจะทำให้ความทุกข์คลี่คลายไปจากใจเราได้
คนเราจะมองออกไปนอกตัว แล้วก็ลืมกลับมามองตัวเอง เมื่อมองไปนอกตัวเราก็เลยไปโทษคนนั้นคนนี้สิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าทำให้เราทุกข์ แต่ไม่ได้เฉลียวใจว่าเป็นเพราะใจของเราหรือเป็นเพราะเราต่างหากที่สร้างความทุกข์ให้แก่ตัวเอง หลวงพ่อชาท่านเปรียบเทียบไว้ดี ท่านบอกว่าเวลามีหลุมแล้วเราเอามือล้วงเข้าไปในหลุม ถ้าหากว่าล้วงไปไม่ถึงก้นหลุมเรามักจะพูดว่าหลุมลึก หลุมมันลึก แต่เราไม่ค่อยบอกหรือไม่ค่อยคิดเลยว่าเป็นเพราะแขนเราสั้นไปหรือเปล่า เราก็ได้แต่บอกว่าหลุมมันลึก หลุมมันลึก แต่ไม่ค่อยนึกเลยว่าเป็นเพราะแขนเราสั้นต่างหาก เราไปโทษหลุมไม่โทษตัวเอง
หรือเหมือนกับเวลาเราแบกหิน แบกหินหนักๆ แล้วเราก็จะพูดว่าที่เหนื่อยเพราะหินหนัก แต่เราไม่ค่อยถามตัวเองว่าแล้วเราแบกไปทำไม แบกทำไมเราโทษแต่ว่าหินมันหนัก หินมันหนัก เขาพูดไม่ดีกับเรา เขาว่าเราแล้วเราก็ไปโทษเขาว่าเขาพูดอย่างนั้นไม่ดีกับเรา แต่ไม่เคยถามตัวเองว่าแล้วเราไปสนใจคำพูดของเขาทำไม เราเอาคำพูดของเขามาทิ่มแทงจิตใจเราทำไม ในเมื่อเขาพูดไม่ดีกับเราก็อย่าไปสนใจสิ ในเมื่อหินมันหนักก็อย่าไปแบกสิ แล้วถ้าแบกนี่จะโทษใคร เรามักไม่ค่อยมองมาที่ตัวเอง แต่ไปโทษหิน ไปโทษหลุม หินมันหนัก หลุมมันลึก
เราลองกลับมามองตัวเองดูบ้าง สร้างนิสัยใหม่ คือกลับมาย้อนมองตัวเอง กลับมาทักท้วงตัวเอง ทักท้วงใจตัวเอง โดยเฉพาะเวลามีความทุกข์ ถ้าเป็นความทุกข์ใจให้กลับมามองที่ตัวเองว่าทุกข์เพราะเราไหม และถ้าสาวไปจริงๆ จะพบว่าเป็นที่ใจเรา ความทุกข์ใจเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะที่ใจเราอย่างเดียว แต่เกิดเพราะใจเราวางไม่ถูกด้วย ถ้าเป็นความทุกข์กายก็อีกเรื่องหนึ่ง อาจจะเกิดจากหิน อาจจะเกิดจากแก้ว อาจจะเกิดจากไฟ อาจจะเกิดจากดินฟ้าอากาศ อาจจะเกิดจากคนอื่นมาทำร้าย แต่ถ้าทุกข์ใจแล้วตัวการสำคัญคือใจเรา ใจที่ยึดมั่นถือมั่น ใจที่ไม่มีสติ ใจที่ไปหลงแบกหินเอาไว้ทั้งที่น่าจะปล่อย เพราะว่าคือใจที่มีกิเลสมีตัณหาอุปปาทาน ใจที่หลง หลงลืม คล้ายๆเหมือนคนละเมอ
คนละเมอไปแบกเอาหินแล้วในฝัน ก็รู้สึกว่าทุกข์เหลือเกิน ในฝันก็รู้สึกเหมือนกับว่าแบกอะไร แบกโลกทั้งโลกไว้ทุกข์มากเลย ที่ทุกข์เพราะอะไร เพราะว่าไปแบกมันเอาไว้ และที่แบกไว้เพราะอะไร เพราะว่าละเมอเพราะว่าหลง คนเราส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น คือถ้าไม่หลงก็ไม่แบกหรอก ทั้งที่แบกทำให้ทุกข์ แต่เราก็ยังแบกมันเพราะความหลงความลืม เหมือนคนที่หนีไฟ บ้านไฟไหม้ก็ขนข้าวขนของเห็นอะไรใกล้ตัวก็แบก คนสมัยก่อนเขามีโอ่งเก็บน้ำ เห็นโอ่งก็แบกโอ่งไปเลย วิ่งหนีออกจากบ้าน หนักก็หนักแต่ว่าความตื่นตกใจมันทำให้ลืมตัว พอวิ่งหนีไปได้สักพักไกลจากอันตรายแล้ว กลับมารู้ตัวใหม่ถึงค่อยรู้ว่าเป็นเพราะแบกโอ่งเอาไว้ อย่าไปโทษว่าโอ่งหนัก แต่โทษว่าต้องถามว่าทำไมไปแบกมันทำไม
เราตั้งคำถามไม่ถูก มันจึงทุกข์ แต่ถ้าตั้งคำถามถูก มันจะช่วยทำให้เราเห็นที่มาของความทุกข์ และสามารถที่จะหลุดหรือปล่อยความทุกข์ได้ มีหลายคนเวลามาหาหลวงพ่อคำเขียน หลวงพ่อท่านก็แนะนำให้ปฏิบัติให้เจริญสติ เขาบอกเขาไม่มีเวลา ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม หลวงพ่อก็จะถามว่าแล้วทำไมมีเวลาโกรธ ทำไมมีเวลาทุกข์ มีเวลาทุกข์เป็นวันๆ มีเวลาโกรธเป็นเดือนๆเลย เรามีเวลาทุกข์เวลาเศร้าเรียกว่ามากมายทีเดียว แล้วก็ไม่ประหยัดเวลาเลยกับความทุกข์ ในเมื่อมีเวลาโกรธมีเวลาทุกข์ ทำไมถึงไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ลองถามอย่างนี้ดูเองบ้าง ถามตัวเองดูบ้างว่าทำไมเรามีเวลาโกรธ ทำไมเรามีเวลาทุกข์ แต่ทำไมไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ทำไมไม่มีเวลาเยียวยาจิตใจตัวเอง ในเมื่อมีเวลาโกรธได้เป็นวันๆ ต้องมีเวลาปฏิบัติธรรม ห้านาทีสิบนาทีหรือครึ่งชั่วโมงก็ยังดี
ที่จริงคำถามที่ว่านี้ ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏชัดกับเราได้ ยังมีนัยยะอีกอย่างหนึ่งคือ ความทุกข์นี้ถ้าอยากจะให้หมดไปต้องลงมือทำ ต้องลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่ไปหาสิ่งเสพมาบรรเทาทุกข์ ถ้าได้ไปดูหนังได้ฟังเพลงฉันจึงจะหายทุกข์ ได้กินเหล้าฉันจึงจะหายทุกข์ มีเท่าไรก็ไม่ช่วยให้หายทุกข์ เสพเท่าไรก็ไม่ช่วยให้หายทุกข์จนกว่าจะลงมือทำ เสพกับทำไม่เหมือนกัน เสพแค่มีเงินก็ไปหามาได้แล้ว เสพนี่ไม่เหนื่อย ยุคนี้เป็นยุคบริโภคนิยมก็เน้นที่การเสพการบริโภค เพราะเชื่อว่าถ้าเสพมากบริโภคมากมีมากจะทำให้หายทุกข์ แต่ที่จริงไม่ใช่ ความทุกข์จะหมดไปได้ก็ต้องลงมือทำ ซึ่งหมายอีกแง่หนึ่งว่าไม่สามารถจะอ้อนวอนร้องขอใครได้ บนบานศาลกล่าวเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ฉันหายทุกข์ ขอให้ฉันมีแต่ความสุขความเจริญ สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ ต้องลงมือทำ
ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏชัดแก่เราได้ คือจะหมดทุกข์ได้ต้องลงมือทำ ไม่ใช่เพราะมี ไม่ใช่เพราะได้ แล้วทำที่ไหน ก็ทำที่ใจ เริ่มตั้งแต่การรู้จักทักท้วงใจตัวเองเวลาทุกข์ เวลาบ่นโวยวายตีโพยตีพาย รู้จักถาม ถามให้ถูกถามให้เป็น ถามคำถามที่ดีจะเป็นการทักท้วงตัวเองไปในตัว และหมั่นดูใจของตัวเองอยู่บ่อยๆ อย่าปล่อยใจให้หล่นหายไป ถ้ามันหล่นหายไปเมื่อไรก็พาใจกลับมา หาใจให้เจอ การภาวนาคือการที่ควานหาใจให้เจอ แล้วพาใจกลับมา กลับมาสู่กาย กลับมาสู่บ้าน กลับมาสู่ตัวเอง ให้กลับมาอยู่กับความรู้เนื้อรู้ตัว หรือกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ก็จะเกิดความรู้ตัวทั่วพร้อมขึ้น ฉะนั้นให้เราหมั่นกลับมาดูใจของเราบ่อยๆ ที่เรามาเจริญสติกันนี้เพื่อฝึกสร้างนิสัยที่จะหมั่นดูจิตดูใจอยู่เนืองๆ ไม่ลืมกายไม่ลืมใจ ลืมเมื่อไรก็หามันทันที ไม่ปล่อยให้มันหลงจมหายไปในกองทุกข์