แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ได้อ่านสารคดีจากนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก มันเป็นเรื่องพฤติกรรมของสัตว์ที่แปลกมากทีเดียว เช่น เต่าทอง มันมีธรรมชาติที่ดุ นกจะมาจิกมากินมัน มันจะสู้แล้วก็พ่นพิษใส่ พวกนกนี้ไม่ค่อยมาตอแยเท่าไหร่ แต่มันมาแพ้ทางแมลงเล็กๆ ชื่อว่าแตนเบียน มันตัวเล็กมาก มันเข้าไปเจาะ มันจะไปต่อยท้องของเต่าทอง แล้วก็วางไข่ แล้วพอตัวอ่อนมันฟัก มันก็แทงทะลุเข้าไปในท้อง แล้วก็กินสารอาหารต่างๆ ในร่างกายของตัวเต่าทอง คล้ายๆ กับพวกปรสิต พยาธิ ที่มันเข้าไปกินสารอาหารจากร่างกาย แต่ว่าที่แปลกก็คือว่า พอมันเข้าระยะดักแด้ มันก็จะเจาะท้องออกมา แล้วมันก็จะสร้างรังไหมห่อหุ้มตัวมันเอาไว้ อยู่ข้างนอกของเต่าทอง ที่มันออกมาข้างนอก มันก็อันตรายเพราะว่าตัวมันเล็ก แต่ว่าเอาเข้าจริงๆ มันปลอดภัย เพราะว่าเต่าทองจะทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์แตนเบียนที่กำลังอยู่ในระยะดักแด้ไว้ แมลงอะไรจะมากิน เต่าทองก็จะสู้คอยขับไล่ แต่มันเคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้แล้ว มันอยู่แน่นิ่ง แล้วก็ขาของมันก็คอยขยับคอยปกป้อง ไม่ให้สัตว์มากินแตนเบียนที่อยู่กลางท้องของมัน แตนเบียนนี้ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ ที่จริงเป็นโทษด้วยซ้ำ เป็นอันตรายต่อชีวิตของเต่าทอง แต่มันก็ปกป้อง จนกระทั่งแตนเบียนเติบโตกลายเป็นแมลง ส่วนเต่าทองก็ตาย
แล้วก็พบว่ามันมีพฤติกรรมทำนองนี้กับสัตว์หลายชนิด ซึ่งธรรมชาติของสัตว์นี่มันต้องอยู่เอาตัวรอด แต่ต้องหนีศัตรู แต่สัตว์หลายชนิดนี่มันจะมีพฤติกรรมตรงข้าม ก็คือว่าเดินหน้าเข้าหาศัตรูที่ตั้งใจจะกินมัน อย่างเช่นมันมีปรสิตที่ตัวเล็กๆ ชื่อว่าพลาสโมเดียม ถ้ามันเข้าไปในตัวหนูเมื่อไหร่ หนูก็จะมีอาการเพี้ยน หนูนี่ปกติมันกลัวแมว มันได้กลิ่นแมวมันจะหนีเลย แต่ว่าพอพลาสโมเดียมเข้าไปในสมองของหนู มันจะไม่กลัวแมว มันจะเดินเข้าไปหาแมว เพื่ออะไร เพื่อให้แมวกิน ทำไมพลาสโมเดียมถึงบงการให้หนูเดินเข้าไปให้แมวกินก็เพราะว่ามันจะเติบโตได้ในท้องของแมว แล้วหนูก็ทำอะไรมันไม่ได้ หนูเหมือนกับว่าเป็นซอมบี้ พลาสโมเดียมก็ทำให้หนูกลายเป็นอาหารของแมวไปได้ เพื่อที่มันจะได้ไปเติบโตในท้องของแมว แล้วมันก็ออกมา ออกมาทางขี้แมว แล้วขี้แมวก็เข้าสู่หนูอีกครั้งหนี่ง
มันจะมีพฤติกรรมแบบนี้กับสัตว์หลายชนิด อย่างเช่น ตัวจิ้งหรีด จิ้งหรีดปกติมันกลัวน้ำ แต่ว่าพอมีพยาธิชนิดหนึ่งชื่อว่าพยาธิขนม้า เข้าไปในตัวมัน มันจะไม่กลัวน้ำ มันจะโจนลงไปในน้ำเลย แล้วในน้ำมีอะไรรออยู่ ก็ปลา ปลารออยู่ ปลาก็ไปฮุบ กินจิ้งหรีด แล้วตัวพยาธิ ก็จะไปโตในท้องปลา แล้ววันดีคืนดีมันก็ออกมา แล้วก็เข้าสู่ตัวจิ้งหรีดอีกครั้งหนึ่ง เป็นวงจร อันนี้มันก็คล้ายๆ กัน คือมันก็บังคับให้จิ้งหรีด ทำในสิ่งที่เป็นอันตรายกับตัวมัน ก็คือโจนลงน้ำเพื่อจะได้เป็นอาหารของปลา
แล้วก็พบว่ามันมีพฤติกรรมแบบนี้กับสัตว์หลายชนิด อย่างเช่น ตัวอ็อดก็เหมือนกัน ตัวอ๊อดพอมาเจอพยาธิตัวแบน มันก็จะเริ่มมีอาการวิปริตผิดเพี้ยน ว่ายเข้าไปให้นกยางกิน ปกติมันต้องหนี ต้องคอยหลบนกยาง แต่ว่าพอพยาธิชนิดนี้เข้าไปในตัวมัน มันก็หนีไม่ค่อยเป็นแล้ว มันมีหางงอกออกมาบ้าง มีแขนขางอกออกมา วิปริตผิดเพี้ยน ทำให้เป็นเหยื่อของนกยางได้ง่าย แล้วพอมันกินเข้าไป ตัวพยาธิตัวแบนก็จะเข้าไปโตในท้อง แล้วก็แพร่พันธุ์ แล้วก็ออกมาเพื่อเข้าสู่วงจร
อันนี้ก็เป็นพฤติกรรมที่เขาพบว่ามีมากขึ้นเรื่อยๆ ในสัตว์ ซึ่งอธิบายว่าทำไมสัตว์ถึงมีพฤติกรรมที่ประหลาดผิดเพี้ยน ปกป้องศัตรู หรือไม่ก็เดินหน้าเข้าหาอันตราย ทั้งๆ ที่ธรรมชาติของสัตว์มันต้องพยายามหนีอันตราย ก็พบว่าเวลาที่มันเข้าไปอยู่ในตัวสัตว์ มันจะไปมีผลต่อสมองของสัตว์เหล่านี้ที่ทำให้ทำอะไรแปลกๆ เหมือนกับว่าโดนโปรแกรมเข้าไป
โชคดีที่ว่าสัตว์ใหญ่ๆ หรือว่าคนเรานี่ไม่มี หรือว่ายังไม่เจอปรสิตประเภทนี้ ฉะนั้นคนเราก็ยังไม่ถึงกับว่าต้องกลายเป็นหุ่นยนต์ เพื่อให้พวกปรสิตเหล่านี้บงการ แต่ถ้าดูดีๆ คนเราถึงแม้จะไม่มีปรสิตหรือพวกแมลง พวกเชื้อนี้เข้าไปในสมอง แต่ว่าในจิตใจเราไม่แน่ จิตใจของคนจำนวนมาก พอถูกครอบงำด้วยพลังบางอย่างแล้ว ก็ทำให้มีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเอง พลังบางอย่างที่บางทีเราก็เรียกว่าผี ผีสุรา ผีการพนัน อย่างคนนี้ถ้าเริ่มกินเหล้าเข้าไป มันก็จะมีแนวโน้มที่จะถลำลึกเข้าไปในวงเหล้ามากขึ้น เช่น พอกินเหล้าแล้ว ก็เริ่มทำงานไม่ค่อยได้ พอเริ่มเมามาย คนก็ไม่ค่อยนับถือ ทำงานไม่ค่อยได้ หรือว่าทำงานบกพร่อง เจ้านายก็ว่า เกิดความเครียด พอเครียดแล้วเป็นไง ก็ต้องหาเหล้ามาช่วยระงับความเครียดหรือช่วยย้อมใจ พอกินเหล้ามากขึ้น มันก็ทำให้เกิดปัญหากับคนอื่นมากขึ้น ทำงานไม่ได้ ไปทำงานสาย หลงๆ ลืมๆ มีปัญหากับเพื่อน มีปัญหากับครอบครัว ถูกต่อว่าก็เครียด เครียดก็ไปหาเหล้า สุดท้ายก็เรียกว่าจมอยู่ในกองเหล้า แล้วก็ตายเพราะเหล้า อันนี้เป็นพฤติกรรมที่คนปกติเขาไม่ทำกัน เพราะว่ามันเป็นโทษกับตัวเอง แต่จะว่าไปแล้วนี่มันก็ไม่ต่างจากตัวพลาสโมเดียม หรือว่าพวกพยาธิที่มันเข้าไปในตัวสัตว์ แล้วก็ทำให้สัตว์เหล่านี้ มันมีแต่ทำร้ายตัวเอง ผีเหล้า ผีพนัน มันก็เป็นอย่างนั้น
แต่ที่จริงถ้าดูให้กว้างๆ แล้ว มันไม่ใช่เฉพาะผีเหล้าผีพนัน เพราะถึงแม้คนที่ไม่ได้กินเหล้า ไม่ได้เล่นการพนัน ก็อาจจะมีพฤติกรรมแปลกๆ ในลักษณะที่ทำร้ายตัวเองได้ เป็นโทษกับตัวเอง อันนี้เราอาจเรียกรวมๆ ว่ามารก็ได้ เวลามารมันเข้าไปครอบงำใจเรา เราก็จะทำสิ่งที่มันเป็นโทษกับตัวเอง ไม่ว่าจะถูกครอบงำด้วยมารที่ชื่อว่า โทสะ โลภะ หรือว่าความหลง และเมื่อใดก็ตาม ที่ถูกครอบงำด้วยมารเหล่านี้ มันก็จะทำให้เราทำในสิ่งที่คนปกติหรือว่าคนที่มีสติสัมปชัญญะเขาไม่ทำกัน เช่นเวลาโกรธ ก็ทำร้ายข้าวของ ไม่ใช่ของใคร ของตัวเอง หรือว่าเข้าไปหาอบายมุขมากขึ้น เวลามีความทุกข์ ทุกข์เพราะโกรธ ทุกข์เพราะเสียใจ แทนที่จะหาทางระงับความทุกข์เหล่านั้น ปัดมันออกไปจากจิตใจก็กลับไปหาอบายมุข เหล้า การพนันหรือว่าการเที่ยวเล่นกลางคืน หรือว่าบางคนก็อาจจะไปช้อปปิ้ง เพื่อให้คลายความทุกข์ มันก็ทำให้เกิดปัญหา เสียเงินเสียทอง บางคนช้อปปิ้งจนกระทั่งเป็นโรคจิต ติดการช้อปปิ้ง เสร็จแล้วพอเป็นหนี้มากๆ ก็กลุ้มอกกลุ้มใจ แล้วก็เข้าไปหาการพนัน เพราะว่าการพนันจะเป็นทางออกให้ได้เงินเร็วๆ แล้วก็มากลุ้มอกกลุ้มใจมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เข้าไปหาเหล้า หายาเสพติด มันจะได้หายทุกข์ แล้วมันก็จมเข้าไปในหนทางแห่งความเสื่อม
คำว่าอบายมุขนี้แปลว่า ประตูสู่ความเสื่อม สู่อบาย อบายนี่คือนรก หรือว่าความเป็นเปรต ความเป็นอสูรกาย ไม่ต้องรอให้ตาย ก็สามารถจะตกอยู่ในภาวะนั้นได้ เพราะว่าถูกมารเข้ามาบงการจิตใจ ในแง่นี้บางทีเราอาจจะแย่กว่า หรือว่าเจออันตรายที่หนักกว่าพวกสัตว์ที่ว่ามาเสียอีก เพราะว่าสัตว์ที่ว่ามา ถึงแม้มันจะหาเรื่องใส่ตัว แต่ว่ามันก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเฉพาะตัวมัน ไม่มีใครเดือดร้อนด้วย แต่คนเราพอตกอยู่ภายใต้อำนาจของมาร ของกิเลส มันก็สามารถจะพาเอาคนอื่นเข้าไปสู่ความเดือดร้อน สู่ความฉิบหาย หรือว่าความวุ่นวายได้ เช่นครอบครัว เช่นลูก เช่นผัว เช่นเมีย หรือว่าถ้าเป็นผู้นำ ก็อาจจะพาเอาผู้ใต้ปกครอง ผู้ที่อยู่ในบังคับบัญชาไปด้วย ที่ผู้ปกครองหรือว่านักการเมือง อย่างเช่น ฮิตเล่อร์ ก็ไปทำความหายนะให้กับประเทศของตัวเอง อันนี้ถ้าดูดีๆ คนที่มีสติสัมปชัญญะเขาก็ไม่ทำกัน แต่เพราะความหลง ความหลงก็เลยพาเอาทั้งประเทศนี่เข้าไปสู่หายนะ ทุกวันนี้แม้เยอรมันจะพื้นตัวได้แล้ว แต่ว่าในแง่จิตใจก็ยังมีปัญหาอยู่ ยังมีบาดแผลกันอยู่มากมาย
จะว่าไปแล้ว ชีวิตของคนเรา มันเป็นเรื่องของการต่อสู้กัน ระหว่างสองตัว บางคนจะบอกว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว แต่ถ้าพูดรวมๆ แล้วมันเป็นการต่อสู้ระหว่าง รู้กับหลง มารถ้าจะว่าไปแล้ว มันเกิดจากความหลง มารครองใจได้เพราะว่าเราหลง มารแปลว่าสิ่งที่ฆ่ามนุษย์ให้ตายจากคุณธรรมความดี หรือว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้คนเราทำความดี อันนี้เรียกว่ากิเลสมาร มารมีหลายอย่าง มารที่เป็นเทวดาก็มี เทวบุตรมาร มารที่เป็นขันธ์เรียกว่าขันธมาร ก็ใช่ เช่นความเจ็บ ความป่วย ขันธ์หรือสังขารที่มันเจ็บป่วย ก็เป็นอุปสรรคทำให้ทำความดีได้ยาก บางคนเจ็บป่วยมากจนกระทั่งตัดสินใจฆ่าตัวตาย ทำกรรมที่ไม่น่าทำ อันนี้ก็เพราะว่ามารมันสั่ง ขันธมาร แต่ว่าคงจะไม่มีอะไรที่น่ากลัวเท่ากับกิเลสมาร กิเลสมารก็คือ กิเลสที่มันคอยขัดขวางไม่ให้คนเราทำความดี หรือว่าทำให้เราจมอยู่ในความหลง อยู่ในอบาย แต่ถ้าจะเรียกรวมๆ เราก็จะเรียกว่าความหลงก็ได้
ชีวิตของคนเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย มันเป็นการต่อสู้ยื้อยุดกันระหว่างรู้กับหลง รู้ในที่นี้หมายถึงความรู้ตัว ไม่ใช่หมายความเฉพาะการรู้ทางโลก ชาวบ้านที่เขาไม่ได้เรียนหนังสือ เขาอาจจะรู้มากกว่าหลง ส่วนคนที่เรียนหนังสือ อาจจะหลงมากกว่ารู้ก็ได้ ก็คือมันอาจจะหลงอยู่ในความรู้ของตัว ความรู้ทางโลก หลงปริญญา หลงชื่อเสียงเกียรติยศ เรียกว่ามีความลืมตัว เพราะว่าไปหลงในปริญญาบัตร หลงในความรู้ หลงในชื่อเสียงเกียรติยศ ฐานะตำแหน่ง
ลองดูดีๆ คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ก็เพราะว่า สามารถที่จะรู้มากกว่าหลง หรือว่าตัวรู้ มันก็เข้ามาเป็นใหญ่ในชีวิตจิตใจของเราได้มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับห้อง เหมือนกับศาลา ที่มันเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ คนเราที่จะมีพัฒนาการได้นี่ ก็เพราะว่ามันมีความรู้ ความรู้ตัว รวมทั้งความรู้ เข้าใจในสัจธรรมความจริงของชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าเราปล่อยให้ความหลงนี่มันมาครอบงำใจหรือว่ากินแดนเข้าไป ในชีวิตจิตใจของเรา เราก็จะมีความทุกข์มากขึ้น
การที่เรามาปฏิบัติธรรม มาเจริญภาวนาก็เพื่อที่จะให้รู้ มันมีพลังมากกว่าตัวหลง รู้มากขึ้นๆ ก็คือรู้กายรู้ใจ แต่เราก็ลองสังเกตุว่า ความหลงมันก็ไม่ยอมแพ้ มันก็จะคอยมาเล่นงานเรา ในเวลาเราเผลอ เดินจงกรมไป เดี๋ยวก็หลงไปอีกแล้ว มันคอยฉวยโอกาส ได้ยินเสียงกระทบ เสียงมอเตอร์ไซค์ แทนที่สักแต่ว่าได้ยิน หรือว่าได้ยินเสียงคนคุยกัน แทนที่สักแต่ว่าได้ยิน รู้ว่ามันมีการคุยกัน สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าได้ยิน ความหลงมันมาคอยมาฉวยโอกาส พอเกิดผัสสะขึ้นมา ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง มันเข้ามาเลย แล้วมันก็พาใจเราเตลิดเปิดเปิงไป คิดโน่นคิดนี่ หรือไม่ก็เกิดความไม่พอใจ ทำไมถึงมีเสียงดังอย่างนี้ ทำไมถึงมาคุยกันเสียงดังจังเลย มีความไม่พอใจ ยินร้าย หรือมีความคิดปรุงแต่งต่อไปเรื่อยๆ
ความหลงนี่มันคอยฉวยโอกาส มาเล่นงานเรา โดยเฉพาะเวลาเราเผลอ ยิ่งปกติเราไม่สังเกต จนกว่าเรามาเจริญสติ เพราะเวลาเรามาเจริญสติ เราก็ตั้งว่าเราจะรู้ให้มากขึ้น รู้ให้ไวขึ้น แล้วก็รู้แบบรู้ทั้งกายรู้ใจ แต่ก็จะพบว่า ความหลงมันก็เอาใจของเราไปอยู่บ่อยๆ ชั่วโมงหนึ่งก็อาจจะหลงสัก 90% หรือว่า 15 นาที เหลืออีก 5 นาทีถึงจะเรียกว่ารู้ รู้รวมๆ กันก็ได้แค่ 5 นาที ดังนั้นเวลาเราเจริญสติ เราจะเห็นเลยว่ามันเป็นการสู้กัน ระหว่างรู้กับหลง แต่ว่าถ้าเราปฏิบัติเรื่อยๆ และปฏิบัติถูกทาง รู้มันก็จะมากกว่าหลง
แต่ถ้าเราอยากรู้ อยากมีสติ ก็อาจจะโดนความหลงมันเล่นงาน เพราะว่าใครที่อยากจะรู้ ทำเพราะอยากได้อยากเอาอยากมี อันนั้นแหละก็เรียกว่าหลงแล้ว มันไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน มันไปหลงอยู่กับอนาคต อยู่กับผลที่ยังไม่เกิดขึ้น พอใจเราไม่อยู่กับปัจจุบัน ไปอยู่กับอนาคตมันก็หลงแล้ว หรือว่าทำด้วยความอยาก ความอยากนี้คือตัณหา พอตัณหามันผุดขึ้นมาในใจ มันก็ทำให้ใจเราหลง
เพราะอย่างนั้นเราก็ต้องระวัง เพราะว่า แม้ว่าเรามาเจริญสติเพื่อที่จะให้รู้มากกว่าหลง แต่ว่าถ้าเราวางใจไม่เป็น ตัวหลงมันก็จะเข้ามาเล่นงานเรา แล้วมันฉวยโอกาสตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลาสร้างจังหวะ เราสร้างจังหวะเพื่อที่จะรู้ให้มากขึ้น ปลุกธาตุรู้ ปลุกธาตุรู้ ให้รู้ๆๆ รู้ตัว แต่เผลอปุ๊บนี่ สร้างจังหวะนี่แหล่ะ จะเป็นการทำตามความเคยชิน ก็คือทำด้วยความหลง บางคนสร้างจังหวะจนชิน จนชิน พออยู่เฉยๆ นี่มันยกมือขึ้นมาเอง แต่มันไม่ได้รู้เพราะว่า ไม่ได้ทำด้วยความรู้ตัว แต่มาทำตามความเคยชิน อันนี้ก็เรียกว่า ความหลงนี้มันเข้ามา เข้ามาฉวยโอกาสแล้ว แทนที่จะสร้างจังหวะเพื่อให้รู้ตัวนี่ กลับโดยความหลงมันเข้ามาฉวยโอกาส เหมือนกับว่าเรามีอาวุธที่ใช้สู้กับศัตรู แต่ว่ากลับปล่อยให้อาวุธนั้น อยู่ในมือของศัตรู ศัตรูมันก็เข้า ใช้อาวุธนั่นแหล่ะ มาเล่นงานเราแทน
บางทีเราต้องระวัง สร้างจังหวะ สร้างไปสร้างมา มันทำไปด้วยความเคยชิน อยู่เฉยๆ ก็สร้างจังหวะ ยกมือขึ้นมา แต่ไม่ได้ทำด้วยความรู้ตัว มันทำด้วยความหลง เพราะตอนนั้นใจลอย มันฉลาดมากเลย แม้กระทั้งเครื่องมือที่จะใช้เพื่อขับไล่ความหลงไป ความหลงก็กลับมาใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างความหลงในใจเรามากขึ้น
เพราะฉะนั้นเราจะประมาทความหลงไม่ได้ แต่ว่าการที่จะไปสู้กับความหลงมันไม่ใช่ว่า จะต้องใช้วิธีไปกดข่มเอาเป็นเอาตายกับมัน อย่างเช่นบางคนนี่ ปฏิบัติก็ไม่อยากให้ใจมันหลงคิดไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ไปพยายามควบคุมความคิด ไปห้ามไปกดข่มความคิด อันนี้มันกลับทำให้หลงมากขึ้น ยิ่งไปพยายามกดข่มมัน มันก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น เพราะว่าใจมันไม่ยอม ที่จะอยู่ในอำนาจของเรา ยิ่งไปกดข่มมัน มันยิ่งสู้ จิตใจน่ะ ก็ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งไปเรื่อยๆ แล้วพอยิ่งฟุ้ง ใจก็ยิ่งไม่ชอบ ก็ยิ่งเกิดความหงุดหงิดมากขึ้น ยิ่งอยากเอาชนะ ก็ยิ่งพ่ายแพ้ เพราะว่ามันผิดตั้งแต่ตอนที่อยากจะเอาชนะแล้ว ไม่ต้องเอาชนะ ก็เพียงแต่ว่าทำความรู้สึกตัวให้มากขึ้น ทำความรู้สึกตัวให้มากขึ้น ไม่ต้องไปคิดพิชิตความหลง
เหมือนกับความมืด เราไม่ต้องอะไรกับความมืดหรอก เพียงแต่เติมความสว่างเข้าไป ความมืดมันก็หายไปเอง ไม่มีใครขับไล่ความมืดได้ มีแต่เติมความสว่างเข้าไป พอเราเติมความสว่าง อย่างเช่นจุดไฟ จุดเทียน หรือว่าเปิดไฟ ความมืดมันหายไปเอง เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรทำ ก็ทำความรู้สึกตัวให้มากขึ้น ให้รู้ตัวให้รู้ทัน
ความรู้ทัน มันก็เป็นส่วนหนึ่งของสติ สติทำหน้าที่รู้ทัน หรือว่ารู้ในปัจจุบันขณะ ทำให้จิตอยู่กับปัจจุบันขณะได้เพราะว่ามีสติเป็นตัวกำกับ แต่ในเวลาเดียวกัน สติก็ทำให้ระลึกรู้ได้ หมายถึงว่าระลึกถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้วได้เหมือนกัน สติทำให้จำได้ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อันนี้เรียกว่าความจำได้ ความระลึกได้ และขณะเดียวกันก็ทำให้เรารู้ หรือว่ารู้เต็มตื่นอยู่กับสิ่งที่เป็นปัจจุบัน สิ่งที่เป็นปัจจุบันขณะ สิ่งที่เป็นในปัจจุบันธรรม จิตถ้าเรารู้เต็มตื่นเมื่อไหร่ ก็เพราะว่ามีสติ เช่นเมื่อเรายกมือ และเรามีสติอยู่กับการยก มันก็เกิดความรู้ตัว เกิดความรับรู้ถึงมือที่เคลื่อนไหวไปมา เวลาเราสวดมนต์ จิตเราอยู่การสวดมนต์ เราก็จะสวดมนต์ด้วยความรู้สึกตัว ถ้าหากว่าจิตนั้นมีสติกำกับ แต่บางครั้งก็เผลอไป คิดโน่นคิดนี่ ก็ระลึกขึ้นมาได้ว่านี่เรากำลังสวดมนต์อยู่ ตัวที่ระลึกขึ้นมาได้ก็สติเหมือนกัน แต่ว่ามันจะมีลักษณะพิเศษ คือว่า มันนึกขึ้นมาได้เอง
เราสังเกตไหมว่า เวลาเราเดินจงกรมสร้างจังหวะ ใจลอยไปโน่นไปนี่ อยู่ดีๆ มันนึกขึ้นมา ระลึกขึ้นมาได้ว่า กำลังเดินจงกรม กำลังสร้างจังหวะ แล้วก็ทำให้จิตกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว การระลึกขึ้นมาได้เอง มันไม่ใช่ว่าเจตนา ความระลึกได้นี่มันมีสองแบบ คือ หนึ่ง เจตนา เจตนาระลึก เช่นเราวางกระเป๋าเอาไว้ แล้วก็ลืม ไม่รู้ว่าวางเอาไว้ที่ไหน วางกุญแจรถเอาไว้ ตรงไหนไม่รู้ แล้วก็ต้องค่อยๆ นึกว่า เอ๊ะเรา เมื่อกี้ไปไหนมาบ้าง เราลำดับลำดับไปก็ ก็ระลึกได้ว่า อ๋อวางกุญแจวางกระเป๋าไว้ตรงนี้ หรือว่า เราจำได้ว่าเพื่อนเกิดวันอะไร แต่มันก็จะมีบางขณะ ที่เราจำไม่ได้ แล้วก็ค่อยๆ นึกเรียงลำดับไปว่า เกิดวันไหน
หรือว่าเวลาเราจะนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต กษัตริย์สุโขทัยองค์แรกคือใคร องค์ไหนที่เป็นมหาราช บางทีเราก็ต้องนึก คนที่ไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์มา หรือว่าไม่ได้เก่ง ไม่ได้สนใจทางนี้จริงจัง ก็ต้องค่อยๆลำดับ เดี๋ยวก็นึกออกว่าอ๋อ พ่อขุนรามคำแหงเป็นมหาราชองค์แรก อันนี้มันเป็นความระลึกได้ด้วยเจตนา
แต่ว่ามีความระลึกได้อีกแบบ คือว่ามันนึกขึ้นมาได้เอง อันนี้เราอาจจะเจอได้บ่อย กำลังทำงานอยู่ กำลังเฟสบุ๊คอยู่ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่เรามีนัดกับเพื่อน สี่โมงเย็น นี่มันสี่โมงสิบห้าแล้ว หรือนี่มันบ่ายสามครึ่งแล้ว หรือว่ากำลังทำครัวอยู่ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตั้งน้ำเอาไว้ ต้มน้ำไว้ ครึ่งชั่วโมงแล้ว นึกขึ้นมาได้ ก็รีบไปดูว่าเป็นอย่างไรแล้ว อันนี้เรียกว่านึกขึ้นมาได้เอง
การเจริญสติที่เราทำกัน ก็เพื่อให้มีความสามารถในการที่จะระลึกขึ้นมาได้เอง แต่ไม่ได้ระลึกนึกเห็นในเรื่องนอกตัว แต่เป็นเรื่องของกายและใจนี่แหล่ะ เกี่ยวกับเรื่องว่า ใครเกิดเมื่อไหร่ อยู่ที่ไหน แต่อยู่ที่ว่า ตอนนี้กายและใจของเราทำอะไรอยู่ ระลึกขึ้นมาได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ หรือว่าใจมันลอย หรือว่ามีอารมณ์โกรธ มีความเศร้า ก็เกิดระลึกขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน เกิดความรู้ตัวขึ้นมา การระลึกขึ้นมาได้แบบนี้ ถึงแม้ว่า ไม่สามารถจะเจตนาทำให้มันเกิดขึ้นได้ แต่ว่าเราสามารถจะสร้างนิสัยนี้ขึ้นมาได้ ก็โดยการฝึกสติไปบ่อยๆ ตามหลักสติปัฏฐานสี่ เราทำบ่อยๆ ทำบ่อยๆ มันจะมีความสามารถในการระลึกขึ้นมาได้เอง
แต่ก่อนนี่คิดไปสิบเรื่อง ถึงนึกขึ้นมาได้ ว่ากำลังยกมือสร้างจังหวะ กำลังเดินจงกรม กำลังสวดมนต์ แต่พอเราฝึกไปเรื่อย ๆ มันจะนึกขึ้นมาได้เอง ไวขึ้นๆ จนกระทั่งบางที แค่เรื่องเดียว แล้วนึกยังไม่ทัน ฟุ้งยังไม่ทันจบเรื่องเลย มันนึกขึ้นมาได้แล้วว่า กำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมันทำให้เราปล่อยวางได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่ความคิดเท่านั้น แต่อารมณ์ด้วย เวลาเราจมอยู่ในอารมณ์ ไม่ว่าดีใจหรือเสียใจ ยินดียินร้าย ปิติหรือว่าเศร้า มันลืมตัว ตอนนั้นเรียกว่าลืมใจ แล้วก็ลืมกายด้วย ทำอะไรก็ลืม ไม่รู้ว่ากายกำลังทำอะไรอยู่ ใจก็ลืม เพราะว่ามันจมหายเข้าไปในร่องอารมณ์ แต่ถ้าเกิดมีความระลึกขึ้นมาได้ มันก็จะหลุดจากอารมณ์นั้น แล้วก็กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เกิดความรู้เนื้อรู้ตัว ก็คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนั้นเอง
อันนี้แหล่ะจะทำให้ความหลงจะค่อยๆ หายไปจากใจ หายไปจากชีวิตของเรา และตัวรู้ มันก็จะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่รู้ตัว ไม่ใช่แค่รู้กายรู้ใจ แต่ว่าต่อไปก็จะรู้ ความจริงของชีวิต รู้ลักษณะธรรมชาติของกายใจว่ามันมีทั้งธรรมชาติอย่างไร ไม่สามารถจะยึดมั่นถือมั่นอะไรได้เลย เพราะว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อันนี้ก็จะเป็นรู้อีกแบบหนึ่ง เป็นรู้ที่สามารถจะขับไล่อวิชชาได้ ซึ่งถึงตอนนั้น เมื่อรู้มากๆ รู้จนแจ่มแจ้ง ความหลงหมดไป อวิชชาดับไป มารก็ไม่สามารถจะครองใจได้ ก็จะเรียกว่า เป็นผู้ที่สามารถจะทำประโยชน์ตนให้ถึงพร้อมได้ จนกระทั่งว่า กิจที่จะต้องทำในเรื่องนี้ไม่มีอีกต่อไป มีแต่กิจที่จะต้องทำเพื่อผู้อื่น
เพราะฉะนั้นก็พยายามสร้างตัวรู้ให้มากขึ้น ให้มันเข้ามาเป็นใหญ่ในจิตใจของเรา แล้วก็ไม่เปิดโอกาสให้ความหลงเข้ามาบงการครอบงำใจ อันนี้แหล่ะถึงจะเรียกว่า เป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าของชีวิต ความก้าวหน้าของชีวิตไม่ได้วัดที่มีเงินมากขึ้น มีตำแหน่งสูงขึ้น มีชื่อเสียงมากขึ้น แต่อยู่ที่ว่ารู้ มันพัฒนามากขึ้น เจริญงอกงามมากขึ้น จนกระทั่งเบียดขับตัวหลงให้ไม่มีที่ไม่มีทาง ในชีวิตจิตใจของเรา