แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ความมุ่งหมายในชีวิตของคนเรา รวมทั้งความมุ่งมาดปรารถนาของผู้คนทั้งหลาย ถ้าพูดรวมๆ ไปแล้วมันก็วนเวียนอยู่เรื่องมีกับเรื่องเป็น มีก็เช่น มีเงินมีทอง มีโชคลาภ มีความสำเร็จ มีสุขภาพดี มีงานที่มั่งคง มีคู่รักคู่ครอง รวมทั้งมีความสุข ความสงบ ส่วนเป็นก็เช่นเป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าคนนายคน เป็นเศรษฐี เป็นผู้จัดการ เป็น CEO หรือว่าเป็นอธิการบดี ความสุขของคนเรา ก็วนเวียนอยู่กับ 2 เรื่อง มีกับเป็น แต่อะไรก็ตามที่ให้ความสุขกับเรา มันก็สามารถจะนำความทุกข์มาให้กับเราได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นความทุกข์ของคนเรา ถ้าดูดีๆ มันก็ทุกข์เพราะเรื่องมีเรื่องเป็น โดยเฉพาะมีแล้ว หมดไป เพราะว่ามีกับหมดเป็นของคู่กัน
พระพุทธเจ้าเคยตรัส เป็นทำนองโต้แย้งหรือว่าท้วงติงเทวดา เทวดาบอกว่า ผู้มีบุตรก็มีความสุข มีโค มีกระบือ ก็มีความสุข สุขเพราะบุตร สุขเพราะโค พระพุทธเจ้าก็ท้วงว่า มีบุตร ก็ทุกข์เพราะบุตร มีโคก็ทุกข์เพราะโค สุขเพราะมีอะไรก็ตาม มันก็ทุกข์เพราะเรื่องเดียวกัน เพราะไม่ว่าจะมีอะไรก็ตาม มันก็ต้องหมดในที่สุด ถ้าเกิดว่าสุขเพราะมีเงินมีทอง ถึงคราวที่เงินทองมันหดหายไป อาจจะไม่สูญไปหมด แค่หดหายไป ทรัพย์สมบัติ หุ้นในตลาดหุ้นมันลดค่าลงไปก็ทุกข์แล้ว คนเราทุกข์เพราะเรื่องมี กันไม่น้อยทีเดียว แม้ว่าตอนที่ได้มาก็มีความสุข แต่ว่าไม่มีใคร ที่จะมีสิ่งต่างๆ ไปได้ตลอด ความมีนั้นมันไม่มีอะไรที่เป็นนิรันดร์ ไม่ช้าก็เร็วมันก็หมดไป มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ
ความเป็นก็เหมือนกัน เป็นอะไร แม้ว่าจะได้เป็น CEO เป็นผู้จัดการ เป็นเศรษฐี อันนี้พูดเฉพาะเป็นในสิ่งที่ดี ไม่ต้องพูดว่าเป็นในสิ่งที่ไม่ดี ที่คนไม่นิยมเช่น เป็นคนยากจน เป็นคนป่วย หรือว่า เป็นคนไร้อำนาจ เป็นคนล้มเหลว อันนี้มันชัดอยู่แล้วว่าทุกข์ แต่ถึงแม้จะเป็นในสิ่งที่ดีๆ ใครๆ เขานิยมกันมันก็ทุกข์ ทุกข์เพราะเหตุเดียวกันก็คือว่า สิ่งที่เป็นนั้น มันไม่เคยเที่ยงแท้แน่นอน เมื่อมีความสุขกับการเป็นนั่นเป็นนี่ พอพรากจากความเป็นนั่นเป็นนี่ไปหรือว่าไม่ได้เป็นมันก็ทุกข์ เป็น CEO ก็ไม่ใช่ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปตลอดชีวิต วันดีคืนดีก็ต้องหมดถูกพ้นจากตำแหน่งไป อาจจะเพราะเกษียณหรือเพราะว่ามีคนที่เก่งกว่ามาแทนที่ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมีความสุข แต่พอถึงวันเกษียณ ก็ทุกข์ได้ มีผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่ง เป็นพ่อเมืองในจังหวัดที่ใหญ่มาก ก็คงระดับเชียงใหม่ โคราช ขอนแก่น ก็มีความสุข แต่พอเกษียณ ก็หงอย เพราะว่า เคยมีคนมาห้อมล้อมมากมาย แต่ว่าตอนนี้เป็นประชาชนเต็มขั้น ก็อยู่อย่างหงอยๆ
วันหนึ่งก็ได้จดหมายเชิญ ให้ไปยังจังหวัดที่ตัวเองเคยเป็นพ่อเมือง เป็นผู้ว่าฯ มีงานใหญ่ก็ดีใจ ดีใจที่จะได้กลับไปพบบริษัท บริวาร คนคุ้นเคย แต่พอไปถึงแล้ว อดีตลูกน้อง หรือคนที่เคยเป็นลูกน้องที่เคยมาห้อมล้อมเขาไม่สนใจ เขาแห่ไปห้อมล้อมผู้ว่าฯ คนใหม่ ส่วนพ่อค้า คหบดีที่เคยมารุมล้อมเหมือนกัน ก็บางตาลง เพราะว่าเขาก็ไปหาผู้ว่าฯ คนใหม่ ไปงานนั่นก็มีคนมาทักทายไม่มาก ก็มาทักทายประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็ไป ที่เคยมาพูดคุยมาประจบประแจงก็หายหมด แกเสียใจมากเหมือนกับว่าอกหัก ผิดหวังอย่างแรง หลังจากนั้นไม่นานแกก็เสียชีวิตเพราะเหมือนกับว่า ตรอมใจก็ได้ อันนี้เรียกว่าทุกข์เพราะความเป็น เมื่อสิ่งที่เป็นนั้นมันหมดไปหายไป ก็ถ้าทำใจไม่ได้มันก็ทุกข์มาก และมันก็ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งที่เป็นไม่ว่าเป็นอะไรก็ตามก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งนั้นไป
ที่จริงมันไม่ได้เป็นทุกข์เฉพาะหรือทุกข์เมื่อพลัดพรากจากสิ่งนั้น ตอนที่ยังเป็นอยู่หรือยังครองตำแหน่งอยู่ มันก็ทุกข์ เพราะว่ากลัวว่าคนอื่นจะมาแย่งตำแหน่งไป เป็น CEO เป็นผู้จัดการก็ไม่ใช่ว่ามีความสุข กังวลว่าจะมีคนอื่นมาแทนไหม กังวลว่าตัวเองจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อไร ยิ่งเป็นรัฐมนตรีเป็นปลัดกระทรวงก็ยิ่งมีความไม่แน่นอนเพราะว่าสามารถจะถูกย้ายหรือว่าพ้นจากตำแหน่งไปได้ทุกเมื่อ หรือว่าในเวลาอันไม่นาน ระหว่างที่เป็น แม้ได้เป็นในสิ่งที่อยาก ก็ยังมีความทุกข์เพราะกลัวที่จะสูญเสียไป ก็ต้องคอยระแวดระวัง ไม่ได้ทุกข์เพราะความกังวล บางทีทุกข์เพราะความอิจฉาด้วยเห็นใครที่เก่งกว่า ก็กลัวว่าเขาจะมาแย่งตำแหน่งของเราไป มาเป็นแทนเรา ใครเก่งกว่าก็ไม่ได้ ใครดังกว่าก็พยามยามสกัด อันนี้ก็เกิดขึ้นบ่อย ไม่ให้ใครมาเป็นเบอร์ 2 เบอร์ 3 เพราะว่าเดี๋ยวกลัวว่าจะมาเป็นเบอร์ 1 แทน อันนี้ทุกข์เพราะความเป็น
เป็น ไม่ใช่ว่า หมายถึงเป็น CEO เป็นผู้จัดการ เป็นอธิการบดี เป็นปลัดกระทรวง เท่านั้น แม้แต่เป็นแบบที่ธรรมดาๆ เช่นเป็นพ่อเป็นแม่เป็นดอกเตอร์ เป็นบัณฑิต หรือแม้แต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมก็ทุกข์ได้เหมือนกัน ทุกข์ในระหว่างที่เป็นทั้งนั้น เช่น เป็นนักปฏิบัติธรรม ก็จะทุกข์อีกแบบหนึ่ง เช่นเวลามีความโกรธ ก็เสียใจว่าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม ทำไมเราถึงโกรธ หรือไม่ก็ มีอาการยกตนข่มท่าน เวลาเห็นใครที่ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรมก็มองว่าเป็นคนละพวก หรือมองเหยียดว่าเขาไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม อันนี้ก็มีมาก นักปฏิบัติธรรมที่เห็นคนอื่นที่ไม่ปฏิบัติธรรมด้วยสายตาที่เป็นลบ อันนี้ก็ทุกข์เหมือนกัน เพราะมันก็มีโทสะ มีความเกลียดชังอยู่ข้างใน
เป็นคนดีก็ทุกข์ ทุกข์ว่า ทำไมฉันทำดีแต่ไม่มีคนเห็นความดีของฉัน ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำไมทำดีแล้วไม่ยกย่อง คนอื่นไม่เห็นขยันเหมือนฉัน แต่ว่า ได้เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนขึ้นๆ ฉันเป็นคนดีคนขยันเป็นคนรับผิดชอบ ทำไมถึงตำแหน่งไม่เลื่อนไม่ขยับ อันนี้ก็ทุกข์ หรือทุกข์ว่า เห็นคนไม่ดีเหมือนตัวก็มองว่าเป็นคนละพวก มีการเหยียดอยู่ในที เป็นคนดีก็ต้องระวัง เพราะว่ามันอาจจะเป็นบ่อเกิดแห่งความไม่ดีนิสัยไม่ดีอยู่ในใจก็ได้ คือหลงตัวลืมตนหรือว่ายกตนข่มท่าน หรือว่ารังเกียจเหยียดหยามคนที่ไม่ดี ฉันกินเหล้าก็รังเกียจคน ฉันไม่กินเหล้าก็รังเกียจคนกินเหล้า ยิ่งคนที่เคยกินเหล้าแล้วเลิกเหล้าได้จะมีความรู้สึกรังเกียจคนที่กินเหล้ามาก อันนี้ก็เป็นกันหลายคน
เป็นพ่อเป็นแม่ก็ทุกข์ ลูกไม่ดี ลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่ก็โกรธ แม้แต่ลูกบางทีแค่เถียงหรือว่าแย้ง ก็จะโกรธ ว่าฉันเป็นพ่อฉันเป็นแม่พูดอย่างนี้กับฉันได้อย่างไร ทำไมไม่เชื่อฟังฉัน ความที่เป็นพ่อเป็นแม่ก็ทำให้ทุกข์ได้เหมือนกัน เพราะว่า เป็นอะไรก็ตามก็เจือไปด้วยความคาดหวัง และความคาดหวังนี้มันก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เพราะว่ามันเป็นความคาดหวัง ลึกๆ ก็ไม่ใช่เพราะเป็นความปรารถนาดีต่อผู้อื่น มันอาจจะมีอยู่ แต่มันเจือไปด้วยความอยากจะให้เขาดี ตามความคิดของเรา อันนี้มันเป็นเรื่องของทิฐิ ทิฐิที่ถูกอุปาทาน ยึดมั่นในความคิดของฉัน ก็อยากให้เขาดีอย่างที่ ฉันคิดหรืออยากให้เขามาสนองกิเลสของเรา อยากให้เขาเป็นหน้าเป็นตาของเรา เราเรียนไม่จบปริญญา เราเรียนไม่จบดอกเตอร์ก็ อยากจะให้ลูกจบปริญญา จบดอกเตอร์ จะได้มาเป็นหน้าเป็นตาให้กับเรา ให้กับครอบครัวของเรา หรือว่าตอบสนองความใฝ่ฝันของเรา เราทำไม่ได้ก็อยากจะให้ลูกทำ มันก็เติม เป็นการสนองอัตตาของเราอีกแบบหนึ่ง
ให้ลองดู เป็นอะไร มันก็ทุกข์ทั้งนั้นถ้าไปยึด ถ้าไปยึด ไปยึดว่ากูเป็นนั่นกูเป็น มันเป็นทุกข์ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้พราก ยังไม่ได้พลัดพรากจากสิ่งนั้นแล้ว ในทำนองเดียวกันแม้จะยังไม่ได้พลัดพรากจากสิ่งที่มีคือยังไม่หมดมันก็ทุกข์ ทุกข์เพราะต้องคอยรักษา ทุกข์เพราะต้องคอยระแวงระวังกังวลว่ามันจะหมดไป มีรถก็ยิ่งราคาแพงเท่าไร หวงแหนเท่าไรก็ยิ่งทุกข์เพราะมัน อันนี้ทุกข์เพราะความยึดมั่น ยึดมั่นว่าเป็นของฉัน รถของฉัน รถราคา 20 ล้านไปจอดไว้ข้างถนนก็ไม่ค่อยมีความสุขแล้ว กังวลว่าใครจะมาเอาหินมาขีดมาข่วน จอดไว้ในบ้านก็ยังกังวล มีเศรษฐีคนหนึ่ง มีรถแลมโบกินี่ ราคา 20 กว่าล้าน จอดไว้ในบ้านแล้วก็ไม่พอต้องทำบ้านติดแอร์ให้มันด้วย ติดแอร์แล้วก็ บุด้วยกระจกทั้ง 3 ด้าน เพื่อให้มองได้ชัดๆ จากข้างนอกว่ามันไม่มีหนูไม่มีอะไรมา มากินสายไฟ สายไฟมันแพงมาก เส้นหนึ่งก็เป็นหมื่นแล้ว อันนี้ก็สะท้อนถึงความกังวลของเจ้าของ ทุกข์ มีอะไรก็ทุกข์ทั้งนั้นถ้าหากเข้าไปยึดมันเป็นเราเป็นของเรา
และก็ให้คิดดูดีๆ ลองพิจารณาไตร่ตรอง เวลาเรายึดว่าอะไรเป็นของเรา ทันทีทันใดนั้นเราเป็นของมัน ไปยึดว่าเพชร ไปยึดว่าทองเป็นของฉัน เรากลายเป็นของมันทันที ไปยึดว่าบ้านเป็นของฉัน เราก็กลายเป็นของมันในทันที เวลาเดินตามตรอกซอกซอยที่เปลี่ยว โจรมันจี้เอาเงินมา เอาสร้อยมา คนที่ยึดมั่นในสร้อยในเงิน เขาจะยอมตาย จะต่อสู้ขัดขืนหรือไม่ก็ พอต่อสู้ขัดขืนหรือร้องก็ถูกโจรแทงยิงตาย เขายอมตายเพื่อมันยอมตายเพื่อเงินยอมตายเพื่อทอง อันนี้จะเรียกว่า มันเป็นของเราหรือเราเป็นของมันกันแน่ บ้านถูกไฟไหม้เพชรทั้งกล่อง อยู่ในบ้าน ไม่อยากให้เพชรมัน มีอันเป็นไปไม่อยากให้ทองถูกไฟไหม้ กลัว เสียใจ ตื่นตระหนก เสียดาย ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปเพื่อไปเอามันออกมา ยอมตายเพื่อมันและบางทีก็ตายเพื่อมันจริงๆ อย่างนี้จะเรียกว่ามันเป็นของเราหรือเราเป็นของมันกันแน่ อันนี้เพราะว่าความยึดมั่นถือมั่น มีอะไรก็ตามถ้ายึดมั่นถือมั่นก็ทุกข์เพราะมันทั้งนั้น แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่มี คนเรามันต้องมี
แม้กระทั่งพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าก็มี อย่างน้อยก็มีจีวรมีบริขาร พระสีวลีก็ได้ชื่อว่ามีทรัพย์เยอะ แต่ว่าท่านเหล่านั้นเป็นข้อยกเว้น ท่านไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์เพราะอะไรเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของฉัน มีก็มีได้แต่ต้องมีให้เป็น ก็คือมีไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น มีด้วยการที่เราตระหนักว่า มันพร้อมจะหมดไปจากเราเมื่อไรก็ได้ การที่คนเรา เตือนใจไว้อยู่เสมอว่า ว่าสิ่งที่เรามี มันแค่มีวันนี้ วันหน้าก็อาจจะหมด เหมือนว่าพบวันนี้ก็อาจจะพรากในวันหน้า เจอกับจากเป็นของคู่กัน พบกับพรากเป็นของคู่กัน มีกับหมดก็เหมือนกัน มีอะไรก็ตามก็มีได้ถ้ามีให้เป็นก็คือว่ามีโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามันจะต้องอยู่กับเรา ว่าเราจะต้องเป็นของมันจริงๆ มันไม่มีอะไรที่เป็นของเรา แม้แต่ร่างกาย ก็อย่างที่บอกไว้แล้วเมื่อวาน ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา แต่ว่าเราดูแลได้ สิ่งที่เรามีแม้ไม่ได้ยึดว่าเป็นของเราจริงๆ แต่เราก็ดูแลมันดูแลเอาใจใส่มัน แต่ถึงเวลาหมดไป ก็ไม่ทุกข์
มีผู้หญิงคนหนึ่ง แกก็เป็นผู้หนึ่งที่ประสบความสูญเสีย จากเหตุการณ์น้ำท่วม ปี 2554 เหตุการณ์นั้นก็ เราก็ทราบมีคนสูญเสียไปเยอะ พลัดที่นาขาดที่อยู่ ทรัพย์สมบัติสูญเสียไปมาก หลายคนก็เสียใจ บางคนก็ถึงกับเสียจริต บางคนก็ฆ่าตัวตาย แต่ก็ผู้หญิงคนนี้แกก็ทีแรกก็เสียใจแต่ตอนหลังก็นึกได้ว่าเออน้ำท่วมก็ มาเตือนเรา มาสอนเรา ว่าไม่มีอะไรเป็นของเราที่แท้จริง อันนี้ก็เรียกว่า ได้ประโยชน์ จากเหตุการณ์ บางทีคนเราจะละวางความยึดมั่นถือมั่นก็ต่อเมื่อได้เจอเหตุการณ์ ที่ทำให้สูญเสียและทำให้เกิดความทุกข์ แต่ความทุกข์มันก็สามารถจะสอนให้เราเกิดปัญญาได้ เวลาที่เราเจอของหาย หรือว่าสูญเสียของรักของหวง ลองเอามาเป็นเครื่องเตือนใจว่าเขามาสอนเรา ว่าไม่มีอะไรเป็นของเราที่แท้จริง มีอะไรก็ตามก็หมด
ถ้าได้คิดแบบนี้หรือว่าเกิดปัญญาแบบนี้ก็ มันก็จะทำให้เรามีสิ่งต่างๆ ได้ด้วยใจที่พร้อมกับความสูญเสีย ทำให้เรามีสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้องหรือมีเป็น ก็คือว่ามีโดยไม่ยึด มีให้เป็นก็คือมีโดยไม่ยึด เป็นอะไรก็ตามก็เหมือนกันก็ต้องตระหนักว่าสิ่งที่เป็น โดยเฉพาะตำแหน่ง สถานะภาพมันก็ไม่เที่ยง จะเป็น CEO เป็นผู้จัดการ เป็นผู้ว่าฯ เป็นปลัดกระทรวง หรือแม้แต่เป็นคนเก่ง ก็ต้องเผื่อใจไว้เสมอ ว่ามันไม่เที่ยง สักวันหนึ่งมันก็ต้องลงจากความเป็นนั้น ลงจากตำแหน่งนั้น ลงจากสถานะนั้นไป และในระหว่างที่เป็นอยู่ก็เป็นให้ถูก ก็คือว่า ไม่ต้องอิจฉา ไม่ต้องระแวง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คนที่เขาเก่งกว่า สักวันหนึ่งเขาก็มา เป็นแทนเราหรือคนที่หนุ่มกว่าสักวันหนึ่งเขาก็มาเป็นแทนเรา คนที่สาวกว่าสักวันหนึ่งเขาก็มาเป็นแทนเรา ระหว่างที่เป็นก็เป็นให้มันดีให้มีความสุข เป็นโดยไม่ยึดมั่นถือมั่น ให้รู้ว่ามันเป็นแค่สมมุติ เป็นอะไรก็ตาม มันเป็นแค่สมมุติ เป็นของชั่วคราวถ้าไม่ยึดว่า ถ้าไม่มองว่าเป็นของสมมุติทุกข์ แต่ถ้ามองว่าเป็นสมมุติเมื่อไร เราจะสบายใจ เหมือนว่าไม่ต้องแบกอะไร เป็นอะไรก็เป็นให้ถูกโดยไม่สมมุติไม่ยึดมั่นถือมั่น
หลวงพ่อโต พวกเรารู้จักดี สมศักดิ์สุดท้ายท่านคือสมเด็จพระพุทธาจารย์ เป็นชั้นสมเด็จที่จะรองก็แต่พระสังฆราช แต่ว่าท่านเป็นคนที่ไม่ยึดติดใน ในยศศักดิ์ มีคราวหนึ่งได้รับนิมนต์ให้ไป ไปงานบุญที่ราชบูรณะ วัดท่านอยู่วัดระฆัง วัดระฆังก็อยู่ฝั่งธนฯ สมัยก่อนไปไหนก็นั่งเรือ ก็เป็นงานใหญ่ ท่านก็เอาตาลพัดยศไปด้วย แล้วก็มีเด็กวัดพายเรือไปทางคลองบางกอกน้อย ปรากฏว่ามันเป็นช่วงน้ำลงและเป็นช่วงหน้า หน้าแล้ง น้ำน้อยเรือก็ติด ติดโคลนติดหล่ม เด็กวัดก็ลงมาเข็น เข็นเท่าไรก็เข็นไม่ไป หลวงพ่อโตก็ลงมาเข็นด้วย เด็กๆ ชาวบ้านแถวนั้นเห็นก็ พวกนี้เขารู้จักหลวงพ่อโตดี ทั้งผู้ใหญ่ด้วยก็ตะโกนกันบอกกัน สมเด็จฯเข็นเรือโว้ย สมเด็จฯ เข็นเรือโว้ย เห็นเป็นเรื่องแปลก หลวงพ่อโตท่านได้ยินท่านก็พูดตอบกลับไป ฉันไม่ใช่สมเด็จฯ จ้า ฉันชื่อขรัวโต สมเด็จฯอยู่ในเรื่อแล้วท่านก็ชี้ไปที่พัดยศ หลวงพ่อโตท่านได้รับสมณะศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุทธาจารย์ แต่ว่าท่านก็ไม่ได้ยึด ท่านก็ยังเห็นว่าหรือท่านก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ขรัวโต ส่วนสมเด็จฯนั้นเป็นเรื่องของพัดยศ ท่านไม่ได้ยึดว่าฉันเป็นสมเด็จฯ แยกออกสมเด็จฯเป็นเรื่องของพัดยศ แต่ว่าตัวท่านก็เป็นแต่ขรัวโต
คนที่เขามีปัญญาเขาจะไม่ยึดติดในยศในศักดิ์ ใน แม้กระทั่งในเกียรติ หรือว่าคำชื่นชมสรรเสริญ มีสมเด็จพระสังฆราชอีกองค์หนึ่ง เป็นองค์สุด เป็นสังฆราชเจ้าองค์สุดท้ายของกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ท่านเป็นหม่อมราชวงศ์ เดิมเกิดในวังแล้วมาเป็นเหลนของรัชกาลที่ 4 เรียกว่าญาติของท่านเป็นเจ้า ในหลวงตอนที่เสด็จผนวชก็ออกผนวช ก็เป็นสัทธิวิหาริกของท่าน หมายความว่าท่านเป็นอุปัชฌาย์ โดยพระสังฆราชเจ้าองค์นี้เป็นอุปัชฌาย์พระเจ้าอยู่หัว อันนี้ก็เมื่อ 60 ปีที่แล้ว เรียกว่าท่านใหญ่มาก ไม่ใช่แค่สังฆราชธรรมดา เป็นสังฆราชเจ้า และทรงกรม กรมหลวง แล้วก็เป็นอุปัชฌาย์ของในหลวงแต่ว่า ท่านมีชีวิตที่เรียบง่ายมาก
มีเรื่องเล่าว่าคราวหนึ่งไป ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปเป็นประธานในวัดแห่งหนึ่งแถวลพบุรีเป็นงานบุญงานใหญ่ สมเด็จฯ ท่านก็ไป เสด็จไป แต่ว่าไปแล้วญาติโยมแถวนั้นไม่รู้จัก ก็เรียกท่านว่าหลวงพ่อหลวงตา ท่านก็เออออกับเขาไปด้วย บอกว่าคุยกับคนที่นั่นสนุกสนานไป ชาวบ้านก็มีความสุข ไม่รู้ว่า ที่คุยสังฆราช นึกว่าเป็นหลวงตาธรรมดา มีคราวหนึ่งไม่ได้ครั้งเดียว หลายครั้งทีเดียว พระในวัดจะหาท่านไม่เจอ หาสมเด็จพระสังฆราชไม่เจอ หายังไงก็ไม่เจอ หาทั้งวัดก็ไม่พบ ก็ตื่นตกใจว่าพระองค์ไปไหน ไปข้างนอกหรือเปล่า ถ้าไปก็ต้องมีรถประจำตำแหน่งมารับ รถประจำตำแหน่งสังฆราช ก็ไม่มีรถประจำตำแหน่งสังฆราชมารับ ก็เป็นกังวลกัน แต่พอหลังเที่ยงไปนี้ คนก็เห็นสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ เดินเข้าวัดถือตาลปัตรมา เดินมาแต่ลำพัง สอบถามได้ความว่าท่านไป ไปฉันเพล มีโยมมานิมนต์ โยมก็ไม่ได้รวยอะไร ท่านไปฉันเพลในห้องแถวเล็กๆ แถวบางลำพู แถววัดสุทัศน์ โยมมานิมนต์ สมัยก่อนสังฆราชเข้าถึงง่าย ไม่ต้องผ่านเลขาอะไร ชาวบ้านธรรมดาก็มานิมนต์สังฆราช ให้ไปฉันเพลที่บ้านเขาหน่อย บ้านก็เป็นห้องแถวธรรมดา ท่านก็จด จดใส่กระดาษบ้าง จดใส่ใบชา จดใส่กล่องใบชาบ้าง ถึงเวลาท่านก็เสด็จไป ไม่ได้บอกใคร ไปกับลูกศิษย์
อันนี้ก็เรียกว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้เป็นประจำ ก็คือท่านไม่ค่อยถือยศถือตำแหน่ง ท่านไม่ได้คิดเป็นสังฆราชด้วยนั้น คิดว่าเป็นพระธรรมดา โยมมานิมนต์ ถ้าว่างก็ไป ก็เอาพัด เอาตาลปัตรธรรมดาไป จะเห็นได้ว่าขนาดเป็นสังฆราชเจ้า หรือว่าขนาดเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ชั้นสูงเป็นอุปัชฌาย์ของในหลวงแต่ว่าท่านก็ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง เรียกว่าไม่ใยดี อันนี้ก็เรียกว่าเป็นเรื่องของคนที่ เป็นโดยไม่ทุกข์ เป็นสังฆราชก็เป็นโดยไม่ยึดมั่นถือมั่น เหมือนกับหลวงพ่อโตท่านเป็นสมเด็จพุทธาจารย์แต่ท่านก็ไม่ได้ทุกข์อะไร ถึงเวลาเข็นเรือท่านก็ลงมาเข็นเรือโดยไม่ได้คิดว่าฉันเป็นสมเด็จฯ จะมาเข็นเรือได้อย่างไร แต่ว่าใครที่ยึดในตำแหน่ง แม้แต่เป็นแค่พระครู ลงมาอย่างนั้นเขาอาจจะไม่ชอบ เพราะว่ายึดมั่นว่า ฉันเป็นนั่นเป็น
เคยมีเจ้าคณะจังหวัด จังหวัดหนึ่งแถวภาคอีสาน ก็มาเยี่ยมวัดวัดหนึ่งเป็นวัดเล็กๆ ก็ไม่ทราบมีเหตุใดมาเยี่ยม คงมีเรื่องมีคนร้องเรียนอะไรสักอย่าง ท่านมา พระก็ไม่รู้จัก พระ เณร ไม่รู้จัก ปรากฏว่าเจ้าคณะจังหวัดไม่พอใจ เรียกเจ้าอาวาสมาแล้วถามว่ารู้ไหมฉันเป็นใคร ไม่พอใจที่ไม่มีใครมาต้อนรับ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นไม่ถูก ก็คือเป็นด้วยความยึดมั่นถือมั่น เดียวนี้แม้แต่กระทั่งเป็นพระครูก็ ก็คิดว่าใหญ่แล้วแต่สมัยก่อน เป็นขนาดสังฆราช เป็นสมเด็จพระราชาคณะท่าน ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น อันนี้เพราะท่านรู้ว่ามันเป็นแค่สมมุติ ความเป็นพระธรรมดา มีอยู่ในสมณะสัญญาของท่านมากกว่า
เป็นพ่อ เป็นแม่ แม้เป็นคนดีเป็นนักปฏิบัติธรรมก็เป็นไป แต่ว่าอย่าไปยึด เราทำดีก็ให้รู้ว่า ยังต้องทำดีต่อไป แต่อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นคนดี เพราะเป็นคนดีแล้วก็มันจะทุกข์แบบคนดี พอไม่ชื่นชมยกย่องก็ทุกข์ หรือว่าไปเหยียดคนที่เขาไม่ดีเหมือนตัว เป็นอะไรก็ทุกข์ทั้งนั้น เคยมีฝรั่งถามหลวงพ่อชา หลวงพ่อชาท่านเคยได้รับนิมนต์ไปแสดงธรรมที่ประเทศอังกฤษเมื่อปี 2520 ฝรั่งคนเขาก็สนใจทั้งในเรื่องของเถรวาทและมหายาน เถรวาทก็เห็นว่าอุดมคติของมนุษย์คือเป็นพระอรหันต์ แต่ว่าทางมหายานเขาก็อุดมคติก็คือเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ถามหลวงพ่อชาว่า ปฏิบัติธรรม ควรจะมุ่งเป็นพระอรหันต์ดีหรือพระโพธิสัตว์ดี หลวงพ่อชาท่านตอบว่า ไม่ต้องเป็นอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องเป็นอรหันต์ ไม่ต้องเป็นพระโพธิสัตว์ หรือไม่ต้องอยากเป็นพระพุทธเจ้า เพราะเป็นอะไรก็ทุกข์ทั้งนั้น
ทุกข์เมื่อไปยึด ว่าฉันเป็นนั่นเป็น หรือว่าอยากเป็นนั่นเป็น เมื่อมีความอยาก เรียกว่าอยากเป็นเรียกว่าตัณหา และก็พยายามดิ้นรนเพื่อให้สิ่งที่อยากทำให้เกิดภพเกิดชาติ เมื่อเกิดชาติก็ตามมาด้วยชรามรณะ คำว่าชาติในที่นี้แปลว่าเกิด ไม่ได้เกิดจากท้องแม่อย่างเดียว แต่ว่าความเกิดในทางจิตว่า ฉันเป็นนั้นเป็น เป็นอะไรก็ตาม มันก็ทุกข์ทั้งนั้น เพราะว่ามันหนีชรามรณะไม่พ้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์เพราะชรามรณะ ก็อย่าเกิด ก็คือไม่ต้องมีชาติ ใครเขาจะว่าเราเป็นอะไรก็ช่างเขา แต่ว่าเราไม่ได้ยึดว่าเราเป็น
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราเตือนใจอยู่เสมอ มีก็มีให้เป็น เป็นก็เป็นให้ถูก เวลามีอะไรเป็นอะไรก็เตือนใจว่ามันไม่เที่ยง เวลาเป็นอะไรก็อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรา มันเป็นแค่สมมุติ ต้องเตือนใจอยู่เสมอเพราะว่าในที่สุดแล้ว ถึงเวลาเราตาย ไม่ว่ามีอะไรก็หมด ไม่ว่าเป็นอะไรก็สูญเสียเหมือนกัน ความตายมันเป็นสิ่งที่จะมาเตือนให้เราตระหนักว่า ที่มีที่เป็นชั่วคราวเท่านั้น สมมุติทั้งนั้น แต่อย่าไปรอให้ความตายมาถึงแล้วถึงค่อยปล่อยค่อยวาง ใครที่มีสุขภาพดีก็รู้จักมีให้เป็น เป็นให้ถูก แต่ว่าก็ยังดีถ้าเกิดว่ามาปล่อยเอาตอนตาย
เพราะบางคนตอนตายก็ยังไม่ยอมปล่อย แต่ถ้าไม่เรียนรู้การปล่อยตั้งแต่ตอนนี้ถึงเวลาจะตายมันก็ไม่ยอมปล่อย มันก็จะยึดเอาไว้ในสิ่งที่มีสิ่งที่เป็น และนั่นก็ทำให้ทุกข์มาก ที่จริงการภาวนาของเรา การเจริญสติก็เป็นการฝึกให้เราได้เรียนรู้การมีการเป็นอย่างถูกต้อง คือเห็นว่ามีที่มีมันไม่เที่ยง เวลาเราเจริญสติดูกายดูใจมันก็จะเห็น ที่ที่อาการเกิดขึ้นกับกายและใจมันไม่เที่ยง มาแล้วก็ไปๆ ไม่ว่าความรู้สึกดีๆ หรือว่าความรู้สึกแย่ เวทนาก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นความไม่เที่ยงชัดเจนจากอาการที่เกิดกับกายและใจ มันก็จะทำให้เราวางใจถูกกับสิ่งที่เรามีเราเป็น ก็จะไม่ยึดมั่นในสิ่งที่มียึดมั่นในสิ่งที่เป็น อันนี้ก็ทำให้อยู่ได้อย่างมีความสุข ถึงเวลาจะไปก็ไม่ทุกข์ เพราะว่าได้รู้จักปล่อยรู้จักวางตั้งแต่แรกแล้ว