แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเราเมื่อเกิดมาแล้ว มันมีจุดสิ้นสุด คือความตาย ช่องว่างระหว่างเกิดกับตายแต่ละคนสั้นยาวไม่เท่ากัน บางคนระหว่างเกิดกับตายห่างกันไม่กี่ปี 4-5 ปี หรือน้อยกว่านั้นก็มี หรือบางที ยาวเป็น 80-90 ปี กว่าจะถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต ในระหว่างนั้นมันมีขึ้นมีลง มีสำเร็จมีล้มเหลว สมหวังและไม่สมหวัง มีสุขมีทุกข์ระคนกัน และที่ขาดไม่ได้คือว่า ความแก่ ความเจ็บ ความป่วย อันนี้มันเกิดขึ้น กับทุกคน และที่หนีไม่พ้นอีกอย่างคือความพลัดพราก พลัดพรากจากคนรัก พลัดพรากจากของรักหนีไม่พ้นเช่นเดียวกัน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วมันไม่หนักหนาเท่ากับการพลัดพรากจากคนรัก
พลัดพรากมันมีสองอย่าง จากตายกับจากเป็น จากตาย คือความตายมาทำให้พลัดพรากจากกัน แต่บางครั้งแม้ไม่ตายพลัดพรากจากกันได้ เช่นแยกทางกัน หย่าร้างกัน แต่มันมีความจากเป็นอีกแบบหนึ่ง คือว่า ตัวยังอยู่บ้านเดียวกันกับเรา แต่ว่าจิตใจเขาเป็นอื่นไปแล้ว จิตใจเป็นอื่น มันมีได้หลายแบบ เช่นว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เพราะว่านิสัยเขาเปลี่ยนไป สาเหตุที่เรานึกออกและอาจจะเห็นเป็นประจำคือ กินเหล้าเมามาย ติดยา หรือว่าติดอบายมุข สิ่งพวกนี้มันเปลี่ยนนิสัยคน เปลี่ยนนิสัยคนให้กลายเป็นคนละคน บางคนเป็นคนดีรับผิดชอบครอบครัว แต่พอติดเหล้าติดยาหรือติดอบายมุขเปลี่ยนเป็นคนละคน กลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเจ้าอารมณ์ทำร้ายคนรักและชอบลักขโมย โกง ที่เคยสร้างเนื้อสร้างครอบครัวกลายเป็นทำลายครอบครัวทีละน้อย ทีละน้อย อันนี้เรียกว่า เปลี่ยนเป็นคนละคน จะเรียกว่าจากเป็นได้ คือตัวยังอยู่บ้านแต่ว่ากลายเป็นอื่นไปแล้ว นิสัย ใจคอ
จากเป็นอีกแบบหนึ่งคือว่า ตัวอยู่บ้านแต่ว่ากลายเป็นผักไปแล้วมีแต่ลมหายใจ ตอนเช้าตาเปิด พอตกกลางคืนตาหลับ ปิดเหมือนหลับไป อันนี้เรียกว่าผัก อยู่บ้านนั่นไม่ได้อยู่โรงพยาบาล แต่ว่าสำหรับหลายคนรู้สึกว่าคนที่เขาเคยรู้จักเป็นพ่อดีเป็นแม่ดี มันไปแล้ว เหลือแต่ร่างกาย แบบนี้เจ็บปวดเหมือนกัน แต่ว่าพออยู่ไปสักพักทำใจได้ ยอมรับได้ หลายคนดูแลพ่อแม่หรือลูกที่เป็นผัก 10 ปี 20 ปี มี เขามีกำลังมีศรัทธา มีความเพียรในการดูแล จากเคยจากเดิมที่เคยเศร้าโศกเสียใจ กลายเป็นทำใจได้
จากเป็นอย่างนี้ จะว่าไปดีกว่าจากเป็นอย่างประเภทแรก คือว่า คนที่นิสัยใจคอเปลี่ยนไปในทางร้าย มัวแต่สร้างความฉิบหายให้กับคนรอบข้าง อันนี้สู้เป็นผักเสียดีกว่าที่จริงคนเป็นผักเราอย่าไปคิดว่าจิตวิญญาณเขาไปแล้ว เหลือแต่ร่างกายที่จริงยังอยู่ ยังอยู่ เพียงแต่ว่าเขาไม่สามารถจะสื่อสารกับเราได้ บางคนพอฟื้นขึ้นมาจากการเป็นผัก มีนะ ฟื้นขึ้นมาจากการเป็นผักคือกลับมารู้เนื้อรู้ตัว หลังจากเป็นผักไป 5-6 เดือนบ้าง หรือบางคนเป็นผักไป 10 ปี 20 ปี ฟื้นขึ้นมามี
อันนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ แล้วเขาจะเล่าว่าเขาได้ยินเสียงคนรอบข้าง บางทีได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ บางทีบางคนบอกได้ยินเสียงแม่แช่งชักหักกระดูกเขาว่า ทำไมแกไม่ตายเสียที บางทีแม่อารมณ์ เครียด ดูแลลูกมา 10 กว่าปี ลูกเป็นผัก แม่ทนไม่ไหว บางทีหลุดปาก เจ้าตัวได้ยิน ใจเสีย แต่ว่ามีกำลังใจ สุดท้ายพอได้รับการช่วยให้ฟื้นขึ้นมา เขาเล่าว่าได้ยินแม่พูดแบบนี้ ซึ่งมันจริงด้วยแม่ยอมรับ อันนี้เป็นตัวอย่าง ที่มันเชื่อว่าคนที่เป็นผัก อย่าไปคิดว่าเขามีแต่ร่างกาย ไม่มีจิตใจ มีรับรู้ได้ อาจจะรับรู้ไม่ถึงกับ 100% เหมือนคนทั่วไป แต่แค่ 60-70% มันไม่น้อยแล้ว
มันมีจากเป็นอีกแบบหนึ่ง ตัวอยู่แต่ว่ากลายเป็นคนละคนไปแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเจอเหล้าเปลี่ยนนิสัยหรือยาเปลี่ยนนิสัยหรือว่า ทำโดนอบายมุขทำให้กลายเป็นคนละคน แต่ว่าเป็นโรค คือความจำเสื่อม ที่เรารู้จักกันดีคืออัลไซเมอร์ อันนี้เรียกว่าพอใครใครเป็นสักคน และถ้าเป็นหนักๆ กลายเป็นคนละคนไป จากเดิมที่ฉลาด มีความปราดเปรียวสามารถจะช่วยเหลือดูแลคนอื่นได้ กลายเป็นคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เหม่อลอย ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่แต่ส่วนใหญ่เป็นลูกมากกว่า เพราะว่าคนที่จะเป็นอย่างนี้ มักจะมีอายุมากแล้ว ปล่อยให้ต้องให้ลูกให้หลานคอยอุ้มไปอาบน้ำ เช็ดตัว บางทีต้องให้ลูกป้อนข้าวให้ มันเหมือนกับว่าไม่มีชีวิตชีวา อันนั้นยังไม่เท่าไร แต่ว่าถ้าเป็นหนักๆ อาจจะอาละวาดได้ จากคนที่สุภาพเรียบร้อยมีน้ำใจไมตรีเอื้อเฟื้อเกื้อกูล กลายเป็นคนอารมณ์เสียและทำโดยไม่รู้ตัว พูดยังไงไม่เข้าใจ คนเมา ถึงแม้ไม่รู้เรื่องแต่พอสร่างเมารู้เรื่อง แต่ว่าคนที่เป็นโรคสมองเสื่อม เรียกว่ากลายเป็นคนละคนไป
อันนี้มันเหมือนกับว่าเป็นการจากเป็นและว่าอาจจะหนักว่าจากเป็นชนิดอื่นๆ ด้วย หรือบางทีหนักกว่าจากตาย เพราะว่าคนบางคนที่จริงๆไม่ใช่บางคนหลายคน ถ้าหากพ่อแม่ตายในขณะที่ ยัง ยังมี ยังมีตายขณะที่ยังมีความจำดี แต่ว่าอาจจะเพราะอุบัติเหตุหรือแม้แต่จะป่วยตายตาม แต่ถ้าตายแบบปัจจุบันทันด่วน เขายังมีภาพความทรงจำของพ่อของแม่ของบุพการีที่ดี ไม่มีภาพอื่น มันมีแต่ภาพที่ดี เพียงแต่ว่าเสียใจที่จากไปเร็ว แต่คนที่กลายเป็นอัลไซเมอร์ สำหรับลูกหรือหลาน ภาพสุดท้ายของคนที่เขารักมันเป็นภาพที่เหมือนกับไม่มีจิตไม่มีวิญญาณ แล้วหลายคนจะรู้สึกเจ็บปวดมากว่าพ่อของเขา แม่ของเขาที่เคยดี ที่เคยมีเมตตาที่อ่อนโยนมันหายไปไหน มันเหลือแต่ใครไม่รู้ ทำใจยาก ที่จริงอย่าว่าแต่เป็นอัลไซเมอร์หนักๆ แค่เริ่มจะเป็น ลูกๆ หรือคนแวดล้อมทำใจไม่ได้แล้ว
มีผู้หญิงคนหนึ่งแกเล่าว่ากลางดึก พ่อโทรศัพท์มา ลูกบอกว่ามันดึกแล้วพ่อ โทรศัพท์อะไรมาตอนนี้ แต่ว่าคำพูดของพ่อหลังจากนั้นมันทำให้เขาอึ้ง พ่อบอกว่า ช่วยพาพ่อกลับ กลับบ้านที เพราะว่าในห้องพ่อมันมีผู้หญิง ใครไม่รู้ ผู้หญิงแปลกหน้าอยู่ในห้อง ลูกอึ้งเพราะว่าคนที่พ่อพูดถึง คือเมียของพ่อ แต่พ่อลืมเมียไปแล้ว จำเมียไม่ได้แล้ว นึกว่าเป็นคนแปลกหน้า ลูกพยายามอธิบายให้เวลาเป็นชั่วโมงเพื่อจะบอกว่าคนที่อยู่ในห้องกับพ่อมันคือเมียพ่อและหรือคือแม่ของคนเล่านั่น เจอแบบนี้ บ่อยๆ ลูกแย่เพราะว่าพ่อกำลังจะกลายเป็นคนละคนไปแล้ว ลืมเมียลืมลูกและสุดท้ายลืมตัวเอง
บางคนเริ่มป่วนสร้างก่อปัญหากับคนในบ้าน เช่น ชอบหาว่าคนใช้ คนงาน ชอบขโมยของ เพราะว่าเก็บของ เก็บเงิน เก็บนาฬิกา เบสร้อยเอาไว้แล้วหาไม่เจอ คิดว่าคนใช้หรือคนงานเอาไป ที่จริงตัวเองลืม ลืมแล้วไปเก็บไว้ที่อื่น เก็บไว้ที่อื่นแล้วลืม หาไม่เจอ แทนที่จะยอมรับว่าตัวเองลืม ส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับว่าตัวเองลืม จะโทษว่าคนอื่นเอาไปและเป็นอย่างนี้ทุกวัน ๆ จนบางทีระแวง ระแวงคนงานต้องไล่คนงานออกไป หาคนงานใหม่มาอยู่ได้ไม่กี่วันไม่กี่อาทิตย์ไล่คนงานไปอีกแล้ว หาว่าขโมย คนที่เป็นลูกเครียดแต่ว่ายังสถานเบา เพราะว่าที่หนักกว่านี้จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้เหมือนกันว่า ระหว่างเป็นมะเร็ง เป็นเบาหวาน ไตวาย กับเป็นอัลไซเมอร์ อันไหนที่มันจะแย่กว่ากัน
วันนี้ไป ไปเผาศพโยมคนหนึ่งที่บ้านตาดริมทอง แกเป็นโยมที่เรียกว่าอุปัฏฐากพระมาอย่างดี ไม่ได้ร่ำรวยมากที่จริงยากจนด้วยซ้ำแต่แกมีน้ำใจมาก ดูแลพระมาตั้งแต่สมัยที่ท่านอาวุธ ไปอยู่ภูหลงเป็นรุ่นแรกๆ เมื่อปี 2528 แล้วดูแลเอาใจใส่ ใส่บาตร คอยกวาดลานวัด ช่วยเป็นแรงงานทำโน้นทำให้กับทางวัด แต่ว่าพออายุได้สัก 75 เป็นความจำเสื่อม ไม่รู้เป็นอัลไซเมอร์หรือเปล่า ลืมลูกลืมผัว แล้วลืมตัวเองด้วย เหม่อลอยเดินออกจากบ้านไม่รู้เนื้อรู้ตัว สุดท้ายต้อง ต้องจะเรียกว่าคุมแจให้อยู่แต่ในบ้าน เสร็จแล้วร่างกายทรุดโทรมไปทีละนิดทีละนิด และตายเมื่อ 2 วันก่อน
คน คนทำดีมีศีลธรรม ใฝ่ธรรมสร้างบุญสร้างกุศล มาตลอดชีวิตมาลงเอยแบบนี้บางทีมันทำให้หลายคน กังขาตั้งคำถาม ทำไมทำดีแล้วเป็นอย่างนี้ แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ยาก เพราะว่าเรื่องความป่วยความชรา มันเกิดขึ้นแล้วมันไม่ได้มาในลักษณะที่เราจะคาดการณ์หรือควบคุมได้
คราวนี้เมื่อ เมื่อเจอคนรักมีสภาพแบบนี้ ลูกหลานหลายคนทุกข์มาก ความทุกข์ สาเหตุหลักๆคือเป็นเพราะว่า ยังติดอยู่กับภาพอดีตว่า พ่อแม่หรือว่าปู่ย่าตายายของตัวเคยเป็นอย่างๆ และพอเขาเปลี่ยนไป ยังไม่ยอมรับความจริง ยังติดอยู่กับภาพความจำในอดีตแทนที่จะมายอมรับ สิ่งที่เขาเป็นในปัจจุบัน ที่จริงถ้าหากว่ายอมรับ ว่าตอนนี้เขาเป็นอะไรเป็นอย่างไรในปัจจุบัน ยอมรับได้และพยายามทำใจรักเขาในสภาพเช่นนั้น มันไม่ทุกข์มาก
แต่ส่วนใหญ่ คนที่เป็นลูกโดยเฉพาะลูกหรือว่าบางทีเป็นคนรักคือผัวหรือเมีย ทุกข์ทรมานมาก มันเป็นเพราะว่ามันติดหลง จมอยู่กับภาพที่เขาเคยเป็นในอดีต สวยงาม ฉลาด เท่ห์ สมาร์ท อ่อนโยนและพอมาเห็นเขาในสภาพที่เรียกว่าหมดสภาพแล้ว ไม่เป็นคนเต็มคนหรือคนเต็มร้อย ทำใจไม่ได้ แล้วคนที่เขามีประสบการณ์ด้านนี้เขาแนะว่าให้ลืมภาพ ลืมภาพที่เขาเคยเป็นในอดีต
ลืมในที่นี้คือหมายถึงวางลง อาจจะยังจำได้แต่วางลงและให้ยอมรับสิ่งที่เขาเป็นในปัจจุบัน และพยายามรักเขาในสภาพนั้นให้ได้ และถ้าทำเช่นนั้นจะไม่ทุกข์มาก จะมีความสุขกับการดูแลเขา มีความสุขกับการที่ได้ตอบแทนในฐานะที่เป็นบุพการี ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เป็นความทุกข์เฉพาะของคนที่ดูแลบุพการีที่เป็นอัลไซเมอร์ ใครตามถ้าหากว่ายังติดอยู่กับภาพในอดีตหรือติดอยู่กับสิ่งที่ตัวเองผ่านมาในอดีตแล้วไม่ยอมรับสิ่งที่ประสบอยู่ในปัจจุบัน ร้อยทั้งร้อยทุกข์ทั้งนั้น ไม่ต้องเจอพ่อแม่หรือคนรักที่เป็นอัลไซเมอร์ได้ แค่เราเคย อยู่ในสถานที่หรือที่ทำงานที่มันสบายหรือเคยทำงานที่เรารู้สึกชอบรู้สึกสนุก เสร็จแล้วต้องมาทำงานที่ตัวเองไม่คุ้นไม่เคย หรือมาอยู่ในสถานที่ทำงานที่ มันเทียบกับของเก่าไม่ได้ แค่นี้ทุกข์แล้ว
หรือว่าอย่างพวกเรา ถ้าหากว่ามาที่วัดป่าสุขะโตแล้ว ใจมันยังนึกถึงบ้านอยู่ เอาบ้านมาเปรียบกับที่ เอาความสะดวกสบาย ในของชีวิต ที่โรงพยาบาลที่เสาไห้มาเปรียบกับที่ และยอม และทำให้รู้สึกว่ายอมรับหรือว่าทำใจกับสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ได้ แค่นี้ทุกข์แล้ว เพราะคนเรา มันมักจะทุกข์เพราะการที่ไม่ยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและที่ไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน เพราะว่ามันมีภาพในอดีต มาเปรียบเทียบหรือว่าติดอยู่กับภาพในอดีตนั้น
ความทุกข์ของคนเรา ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการที่ไม่สามารถจะยอมรับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันได้ แต่ถ้าเกิดว่าเราลองปรับใจเสียใหม่ ในเมื่อเราต้องอยู่กับสภาพแบบนี้เราพยายามอยู่กับมันให้ดีที่สุด พยายามรักมัน พยายามหาข้อดีของมัน เราจะพบว่าเราสามารถจะอยู่ได้ และอยู่อย่างมีความสุขหรือว่าอยู่อย่างปกติสุขได้
อันนี้เรียกคือการหันมาใส่ใจกับการอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันสภาพความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นงานการของเรา งานที่เราทำ คนที่แวดล้อมเรา หรือแม้แต่สภาพ สุขภาพของเรา อาจจะแก่ชราลงไป กำลังวังชาลดน้อยลง หรือว่ามีความเจ็บความป่วย ที่จริง มันเป็นเรื่องที่ไม่ยากถ้าเรา หากเราจะทำใจยอมรับมัน แต่ว่าที่ทุกข์เพราะว่าเรายังไปติดอยู่กับภาพในอดีต ติดอยู่กับประสบการณ์ในอดีต ติดอยู่กับความเป็นไปในอดีตของเรา ตรงนี้ที่ทำให้ทุกข์มาก
ถ้าเพียงแต่ว่าเราพยายามกลับมาอยู่กับปัจจุบันให้ได้ เราจะพบว่าปัจจุบันนี้ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้าย และมันมีสิ่งดีๆ ที่จะช่วยทำให้เราได้เรียนรู้ การปฏิบัติธรรมนี้ โดยเฉพาะการเจริญสติ ใจความของมัน สาระสำคัญของมันคือฝึกให้เรา เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน มันช่วยทำให้เรา รู้เท่าทัน เวลาใจมันเผลอคิดไปถึงสิ่งที่เป็นไปในอดีต ไม่ว่าความเป็นไปในอดีตหรือประสบการณ์ในอดีตนั้น จะเลิศหรูหรือว่าเลวร้ายยังไงตาม ถ้าเราไปติดกับมัน ทุกข์สถานเดียวเพราะว่าถ้าเราไปนึกถึงประสบการณ์ในอดีต หรือว่าที่เราเพิ่งผ่านพ้นมาว่ามันสบายอย่างโน้นมันสบายอย่างนี้ ขนาดที่ปัจจุบันนี้ไม่สบาย ต้องตื่นแต่เช้า เช้ามืด ต้องเจอแมลง อาหารไม่อร่อย ที่บ้านเราดีกว่ามากมาย พอคิดอย่างนี้เข้าเราจะเป็นทุกข์ทันที เราจะอึดอัดกับสภาพที่เป็นอยู่
ในทำนองเดียวกันเวลาที่เรานึกถึงเหตุร้ายประสบการณ์ในอดีตที่มันเจ็บปวด ที่มันเลวร้าย พอเรานึกถึง ใจเราจะเศร้า ใจเราจะโกรธ ขุ่นเคือง ทุกข์อีกแบบหนึ่ง อยู่ที่อาจจะสบายหรือบางคนไปเที่ยว ไปเที่ยวถึงเมืองนอก อยู่โรงแรม 5 ดาว แต่พอไปนึกถึงเหตุร้าย ถูกคนโกง ถูกคนด่าว่า ถูกคนทรยศหักหลัง พอคิดแค่นี้มันรุ่มร้อน แม้ว่าห้องพักนี้จะเย็นแต่ว่าจิตใจรุ่มร้อน เพราะไปหวนนึกถึงอดีตที่เจ็บปวดที่เลวร้าย ฉะนั้นไม่ว่าเราจะนึกถึงอดีตที่มันสวยหรู หรือว่างดงามเพียงใด หรือนึกถึงอดีตที่เจ็บปวด สุดท้ายมันให้ผลเหมือนกันคือว่าเป็นทุกข์
แต่ถ้าเกิดเรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน ตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น อะไรเกิดขึ้นยอมรับมัน เพราะว่าไม่ใช่เพราะมันดีเลิศประเสริฐศรีแต่เป็นเพราะว่าเราอยู่กับมันแล้ว ถ้าเรายอมรับมันไม่ได้ ใจเรานั่นที่จะทำให้เป็นทุกข์ จริงอยู่ สภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันมันอาจจะไม่ดีนัก มีสิ่งที่ต้องแก้ไข มีสิ่งที่ควรปรับปรุง แต่ถ้าเริ่มต้นจาการบ่นโวยวาย บ่นตีโพยตีพายแล้วเราไม่มีอันเป็นทำอะไร ใจเราจะทุกข์ ใจเราวิตก ใจเราขุ่นเคืองร้อนลุ่ม แต่ถ้าเราเริ่มต้นจากการที่เรายอมรับสภาพที่มันเป็นอยู่ได้ และใช้ปัญญาพิจารณาว่า มันมีอะไรที่จะต้องแก้ไขบ้าง ตราบใดที่ยังไม่แก้ไขเราไม่ทุกข์ ดีกว่าเอาแต่ร้อนลุ่ม เอาแต่โวยวายตีโพยตีพาย จริงๆ คนเรา มันทุกข์เพราะความคิดของตัว มันไม่ใช่เพราะสิ่งอื่น ไม่ใช่สิ่งนอกตัว ถ้าเกิดว่าเราปล่อยให้ใจของเรา มันเตลิดเปิดเปิงไป บางครั้งอาจจะฝันกลางวัน แต่บ่อยครั้งมันทำให้เราเป็นทุกข์กับสภาพที่เป็นอยู่ ยอมรับไม่ได้เพราะว่าใจมันบ่นโวยวายตีโพยตีพาย เพราะเปรียบเทียบกับอดีตบาง หรือไม่บางทีไปนึกถึงอนาคต ไปนึกถึงงานการที่ยังค้างคาอยู่ ไปนึกถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นแต่ว่าคิดล่วงหน้าไปแล้ว
มีพยาบาลคนหนึ่ง แกเอาเลือดของคนไข้ไปตรวจ แล้วใส่ไว้ในหลอดแก้ว ปรากฏว่ามันเกิดร้าวเกิดแตกขึ้นมา เลือดคนไข้มันมาถูกกับผิวหนังของตัว แกทุกข์มาก เพราะไม่แน่ใจว่า คนไข้นั้นมีเชื้อ HIV หรือเปล่า พยาบาลเป็นพยาบาลเพิ่งจบใหม่ด้วย แกวิตกกังวลมาก แกให้เอาเลือดของคนไข้ไปตรวจหาเชื้อ HIV และเอาเลือดของตัวเองไปตรวจด้วย ระหว่างที่รอผลตรวจ ร้อนลุ่มกลุ้มใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถึงกับคิดว่าถ้าเกิดว่าเราติดเชื้อ HIV แล้วใครจะเลี้ยงดูพ่อแม่เรา อนาคตเราจะอยู่ที่ไหน พ่อแม่ยังเป็นหนี้ หนี้ที่ส่งเสียให้เรียนพยาบาลยังไม่หมด จะต้องมาเจอกับเคราะห์กรรมของลูกอีกหรือ ให้คิดไปสารพัด
และสุดท้ายปรากฏว่า เลือดคนไข้ไม่ได้ติดเชื้อ ส่วนเลือดแกเองเป็นปกติ และแกมาปรึกษาว่าทำอย่างไรดี จิตใจมันคิดมากขนาดนี้ ที่จริงนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้น ปัญหาใดที่ยังไม่เกิด อย่าเพิ่งไป ไปพะวงถึงมันมาก ไม่ใช่ว่าไม่เตรียมพร้อม การที่คนเรามีความระมัดระวัง มันของดีแต่อย่าถึงกับระแวง ระวังกับระแวงมันไม่เหมือนกัน ระวังมันทำให้เราหาทางป้องกันแก้ไข แต่ถ้าระแวงแล้วมันมีแต่ความกลัดกลุ้ม กลุ้มใจ บางที่ไม่มีอันเป็นทำอะไรเอาแต่นั่งเอาแต่นอน กลุ้มใจ เพราะความระแวงว่าจะต้องเกิดเหตุร้ายกับตัวเอง
การป้องกัน ไม่ให้มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับตัวเองเป็นของดี หรือการที่เราคาดการณ์ว่าอาจจะมีเรื่องร้ายแล้วเราพยายามหาทางป้องกันแก้ไขหรือว่าบรรเทามันของดี แต่ไม่ใช่ว่าไปจมปรัก อยู่กับภาพอนาคต ที่ปรุงแต่งไปในทางเลวร้าย มันยังไม่เกิดอย่าเพิ่งไปตีอกชกหัว อย่าไปกลุ้มอกกลุ้มใจมาก ในขณะที่ผลตรวจยังไม่ออก ต้องรักษาใจให้ดี เพราะถ้าเกิดรักษาใจไม่ดีเกิดกลุ้มอกกลุ้มใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับตีอกชกหัว บางที อาจจะทำให้ตายเพราะเหตุนั้นได้ เช่นข้ามถนน ข้ามถนนใจลอยว่า ผลตรวจเลือดของเราจะเป็นอย่างไรปรากฏว่าโดนรถชนตาย
อันนี้เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะวางใจไม่ถูก แทนที่จะ แทนที่จะอยู่ได้ยืนยาวเพราะว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่ปรากฏว่าการที่ไปตีตนก่อนไข้ มันทำให้ตัวเองย่ำแย่ และที่ตีตนไปก่อนไข้เพราะ ใจมันไปคิดถึงอนาคตไปสร้างภาพไปในทางลบ ในทางเลวร้ายเอาไว้ สร้างภาพไม่พอหลงเชื่ออีก กลายเป็นว่าทุกข์เพราะความคิดของตัว แต่ถ้าเกิดว่าเรา รู้ว่าในเมื่อมันยังไม่เกิดขึ้น หมอยังไม่บอก ประกาศผลว่าเราติดเชื้อหรือเปล่า พยายามจะกลับมาอยู่กับปัจจุบัน พยามยามทำงานของตัวเองให้ดี เผื่อใจเอาไว้ว่าอาจจะเกิดเหตุร้าย ผลเลือดอาจจะเป็นบวก เผื่อใจไว้ แต่ไม่ใช่หมกมุ่นกับมัน จะต้องฝึกใจให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันให้เป็น
เราสังเกตไหมขนาดที่เราปฏิบัติทั้งวัน 7-8 ชั่วโมง ใจมันไปไหน ใจมันอยู่กับปัจจุบันกี่มากน้อย ใจมันอยู่กับเนื้อกับตัวกี่มากน้อย สังเกตความแตกต่างหรือเปล่าเวลาที่ใจอยู่กับเนื้อกับตัว มันทุกข์ไหม มันกลุ้มอกกลุ้มใจไหม มีความโกรธเคืองไหม ตรงข้ามเวลาใจมันไม่อยู่กับปัจจุบัน มันไปอยู่กับอดีตตาม อยู่กับอนาคตตาม มันสบายกี่เปอร์เซ็นต์ อาจจะมีบ้าง ที่เวลาไปนึกถึงความสนุกสนานได้ไปเที่ยวกับแฟนได้ไปสนุกสนานกับพ่อแม่หรือว่าฝันกลางวันมันมีความเพลิดเพลินอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วมันมักจะตามมาด้วยความทุกข์ ความเศร้า ความขุ่นเคืองใจหรือไม่ความวิตกกังวล ให้ลองสังเกตดู ว่าเวลาใจมันอยู่กับปัจจุบันมันเป็นอย่างไร เวลาใจมันอยู่กับเนื้อกับตัวเป็นอย่างไร เวลายกมือ ใจมันรู้สึกตัวว่ากำลังยกมือ มันทุกข์ไหมเวลาเดินจงกรม และใจเรากำลังรับรู้ว่าเดินอยู่ มันวิตกกังวลไหม เมื่อรู้แล้วพยายาม พยายามที่จะพาใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ให้รู้ทัน เวลาใจเผลอคิดนึกไป ในอดีต อนาคตก็ตามแล้วก็โดยเฉพาะเวลาที่ใจมีนบ่นโวยวายกับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น เวลาตื่น เวลานอน ที่วัดนี้หรือสภาพอากาศ ในหอไตร หรือว่าสภาพแวดล้อม ลองทำใจยอมรับมัน แล้วเราจะพบว่าจริงๆ แล้วไม่ว่าอยู่ที่ไหนเป็นสุขได้ ขอเพียงแต่ว่าเรายอมรับกับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันให้ได้
แต่ต้องย้ำ ยอมรับไม่ได้แปลว่ายอมแพ้ อะไรที่มันควรแก้ไข ต้อง ต้องจัดการ เจ็บป่วยต้องยอมรับว่าเราเจ็บป่วยแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่แก้ไข จะไม่เยียวยา ไม่รักษา บ้านหลังคารั่วไม่บ่นโวยวายตีโพยตีพาย ยอมรับว่าเออมันมีปัญหา แต่ว่าต้องซ่อมไม่ใช่ปล่อยให้มันหลังคารั่ว แล้วบอกว่าปล่อยวางปล่อยวางอันนี้ไม่ถูก