แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเราสมัยนี้ส่วนใหญ่ จะมาวัดหรือเข้าหาศาสนาก็ต่อเมื่อมีความทุกข์ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เช่น อาจจะเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย ตกงาน มีหนี้สิน หรือมาด้วยความกลัวว่าจะเรียนไม่จบ บางคนก็มาเพราะอกหัก หรือว่าพลัดพรากจากคนรักของรัก มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจก็มาวัด
ทำไมถึงมาวัด ก็เพราะเชื่อว่าถ้ามาแล้ว ความทุกข์ที่คุกคามร่างกายจิตใจก็จะหายไป บางคนอาจจะไม่มีความทุกข์ แต่ก็กลัวว่ากิจการงานที่ทำจะไม่ประสบความสำเร็จ ก็มาวัดเพื่อหวังสิริมงคล ช่วยส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ เช่น มาให้พระรดน้ำมนต์ ผูกสายสิญจน์ สรุปก็คือว่ามาวัดเพื่อความสบายใจ เพราะว่าวัดหรือศาสนาสามารถจะปัดเป่าความทุกข์ได้ มีความเชื่อแบบนั้น มาวัดมากราบพระมาทำบุญ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ทุกข์โศกมันหายไป โรคภัยไข้เจ็บได้รับการเยียวยาหรือว่าไม่มากล้ำกราย อันนี้เราก็เห็นอยู่มากมาย บางคนเศร้าโศกเพราะว่าสูญเสียคนรัก ก็มาเพื่อจะทำบุญอุทิศให้กับคนรักที่ล่วงลับไป มาแล้วก็สบายใจ คลายความเศร้าโศกหรือคลายความรู้สึกผิด ตอนที่พ่อแม่มีชีวิตอยู่ก็ไม่ค่อยมีเวลาดูแลท่าน ไม่ค่อยมีเวลามาเยี่ยมเยียน คิดว่ายังมีเวลา แต่พอท่านจากไปบางทีก็ไม่ได้จากไปกะทันหัน ก็จากไปตามวิสัยคนแก่คนชรา ก็เสียใจรู้สึกผิดว่าไม่ได้ทำอะไรให้กับท่าน ก็เลยมาวัดเพื่อที่จะทำสังฆทาน อุทิศบุญกุศลให้ท่าน ทำแล้วก็สบายใจ
อันนี้ถ้าพูดอย่างสรุปก็คือ คนส่วนใหญ่มาวัดเพื่อความสบายใจ แล้วก็จำนวนมากมาแล้วก็สบายใจจริงๆ เพราะว่าพระก็ดีหรือว่าวัดก็ดีหรือศาสนามีหน้าที่อย่างหนึ่งก็คือช่วยให้กำลังใจหรือว่าช่วยปลอบ โยนปลอบประโลมจิตใจ เจ็บป่วยมาวัดก็มีความหวังว่าบุญกุศลที่ได้ทำหรือว่าสิริมงคลที่ได้มา จะช่วยเยียวยารักษาความเจ็บป่วย หรือว่าอานิสงส์ หรือพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ หรือสังฆานุภาพ จะช่วยทำให้ความทุกข์มันได้รับการปัดเป่าออกไป
อันนี้ก็เป็นงานอย่างหนึ่งเป็นประโยชน์อย่างหนึ่งของศาสนาของวัด ก็ทำให้ผู้คนถ้าไม่มีทางออกไม่มีที่พึ่งก็มาวัด มาทำบุญ มารับน้ำมนต์ วัตถุมงคล ด้ายสายสิญจน์ หรือมิเช่นนั้นก็นิมนต์พระไปทำบุญที่บ้าน ทำแล้วก็สบายใจ ส่วนจะสบายใจชั่วคราวหรือว่าสบายใจอย่างต่อเนื่องยืดยาวนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง อันนี้ก็ดี มาวัดแล้วเพื่อหวังว่าความทุกข์ความโศกจะบรรเทาเบาบางลงไป ดีกว่าทุกข์กลุ้มใจแล้วไปกินเหล้าไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์หรือว่าเข้าหาอบายมุข เช่น เล่นการพนัน หรือว่ามั่วสุมในเรื่องเพศ ในเรื่องที่มันเป็นโทษก็ดี
แต่ว่าเราอย่ามาวัดเพียงแค่นี้เท่านั้น อย่าเข้าหาศาสนาเพียงแค่นี้เท่านั้น เพราะว่าพุทธศาสนาสามารถจะให้กับเราได้มากกว่านี้ ความสบายใจเพราะว่าได้มาทำบุญ ได้รับการพรมน้ำมนต์ ได้วัตถุมงคล อันนี้เป็นของชั่วครั้งชั่วคราว ความทุกข์อาจจะไม่ได้รับการปัดเป่า เจ็บป่วยก็ยังป่วยอยู่ หรือว่าบางทีอาจจะเกิดปาฏิหาริย์ หายป่วย ที่เคยตกงานก็ได้งาน ที่กลัวว่าจะเรียนไม่จบทำวิทยานิพนธ์ไม่เสร็จ ก็เรียนจบทำเสร็จ แต่ว่าต่อมาก็อาจจะมีความทุกข์เรื่องอื่น เรียนจบทำวิทยานิพนธ์เสร็จ ก็ไปเจอความทุกข์แบบอื่น ได้งานที่ไม่ชอบหรือว่ามีปัญหากับคนรัก มีความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานแล้วก็ทุกข์ใหม่ แล้วก็ถ้าเข้าวัดเพื่อที่จะบำบัดปัดเป่าความทุกข์เหล่านี้ ก็ไม่แน่ใจว่าถ้าความทุกข์มันหายไปจะมีความทุกข์ใหม่เกิดขึ้นหรือเปล่า
ฉะนั้นอย่ามาวัดเพียงแค่ความสบายใจ ถ้ามาวัดควรจะมุ่งหวังมากกว่านั้น ก็คือมาฝึกฝนจิตใจหรือว่ามาเพื่อเขย่าจิตเขย่าใจ กะเทาะจิตกะเทาะใจ ที่จริงจะว่ากะเทาะใจคงไม่ถูกเรียกว่ากะเทาะกิเลสดีกว่า มาวัดให้มาเพื่อสิ่งนี้ด้วย แล้วที่จริงพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆก็เป็นเรื่องนี้ เป็นเรื่องฝึกฝนจิตใจ เป็นเรื่องกระเทาะจิตกระเทาะใจ เขย่ากิเลส เขย่าความหลง เวลามาวัดก็อย่าเพียงแต่มีความหวังว่าจะมีโชคมีลาภ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ เท่านั้นมันไม่พอ ต้องเปิดใจยอมรับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มันมากไปกว่านั้น ซึ่งบางครั้งมันเป็นเรื่องที่เราไม่อยากจะฟัง เช่น ถึงแม้ว่าอายุ วรรณะ สุขะ พละ เป็นสิ่งที่เราอยากได้อยากมีอยากปรารถนา
แต่ก็ต้องเปิดใจฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า คนเราในที่สุดก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อายุ วรรณะ สุขะ พละ มันไม่ใช่เป็นของเที่ยง อายุยืนแค่ไหนในที่สุดก็ต้องตาย วรรณะผ่องใสแค่ไหนในที่สุดมันก็ต้องเสื่อม ร่างกายที่เคยผุดผ่องก็หม่นหมอง ที่เคยเต่งตึงก็หย่อนยาน อย่าว่าแต่อะไรเลย อย่าว่าแต่ใครเลย พระพุทธเจ้าพอพระองค์อายุเจ็ดสิบแปดสิบ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายก็ปรากฏ ความชราก็แสดงให้เห็น ขนาดพระอานนท์ก็ถึงกับออกปากเลยว่า พระพุทธเจ้าที่เคยเดินหลังตรง หลังก็เริ่มงองุ้ม ผิวหนังก็เหี่ยวย่น อันนี้ถึงกับบอกว่าที่ไม่เคยมีก็มี ที่ไม่เคยปรากฏก็ปรากฏ นี่ขนาดพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นอภิมนุษย์ มีมหาปุริสลักษณะหลายประการ แต่สุดท้ายก็ต้องตกอยู่ภายใต้ความไม่เที่ยงไม่จีรัง
เพราะฉะนั้นอายุ วรรณะ สุขะ พละ ที่เราแสวงหาปรารถนาอยากจะได้จากวัด อำนวยอวยให้มีอายุยืนยาว ก็ต้องเปิดใจยอมรับความจริงว่ามันไม่เที่ยง หลายคนที่มาวัดอยากจะได้โชคได้ลาภ ก็ต้องเปิดใจฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าโชคลาภนี่ก็ไม่ใช่เป็นสรณะอันประเสริฐ มันไม่ช่วยทำให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง มิหนำซ้ำมันยังเป็นโทษด้วย เพราะว่าสามารถจะทำให้เป็นทุกข์ได้ถ้าไปหลงติดมัน พระพุทธเจ้าตรัสว่าลาภสักการะย่อมฆ่าคนชั่ว ฆ่าคนชั่วเลยไม่ใช่แค่ทำความทุกข์ให้ และสุดท้ายก็หนีความพลัดพรากสูญเสียไม่ได้ ลาภสักการะมีมากแค่ไหนในที่สุดมันก็ต้องเสื่อมต้องดับไป อันนี้เรียกว่าโลกธรรม 8 มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีสรรเสริญก็ต้องเจอกับนินทา ฟังเอาไว้บ้างแล้วก็เตือนใจสอนใจ เรื่องแบบนี้หลายคนที่มาวัดไม่อยากจะฟัง อยากจะได้ยินแต่พระสอนว่าให้รวยๆๆ อวยพรให้รวยๆๆ แต่ที่พระพุทธเจ้าสอนมีความจริงที่มันลึกซึ้งกว่านั้นว่ารวยก็ยังเป็นทุกข์ แล้วความรวยก็ไม่เที่ยง ต้องเปิดใจฟังบ้าง
พระพุทธศาสนาไม่ใช่มีแต่สอนให้เราหรือให้ความหวังปลอบประโลมใจให้เราสบายใจ พุทธศาสนามีของดีมากกว่านั้น ก็คือเปิดใจของเราให้มีปัญญาเห็นความจริง และความจริงมันก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีอะไรที่จีรัง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นตัวทุกข์ ทุกข์ก็คือมันพร่อง ไม่สมบูรณ์ มันต้องเสื่อมไป ต้องดับไป ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
มาวัดก็ต้องมา มาเพื่อที่จะมาฟังมารับรู้สิ่งที่ไม่ถูกใจแต่เป็นประโยชน์ มันเป็นเหมือนยาขมที่มันช่วยทำให้หายป่วยได้ จะกินแต่ของหวานซึ่งกินมากๆก็เป็นโทษ ต้องกล้าที่จะกินยาขม หมายถึงคำสอนที่ไม่ถูกใจ ที่จริงจะว่าไม่ถูกใจก็ไม่เชิง มันไม่ถูกกิเลสมากกว่า คำสอนที่ว่าคนเราเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย กิเลสมันไม่อยากฟัง คำสอนที่ว่าลาภก็ดี สักการะก็ดี มันไม่เที่ยง มีลาภก็ต้องเสื่อมลาภ มียศก็ต้องเสื่อมยศ อันนี้กิเลสก็ไม่อยากฟัง พอพระพูดก็เอามือปิดหู
เวลาหลายคนมาวัดก็อยากจะมาทำบุญ ไม่ได้คิดถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับพระหรือเกิดกับวัดหรือเกิดกับศาสนา มาทำบุญเพราะว่าอยากจะได้โชคได้ลาภ มาทำบุญที่จริงมาเอาบุญมากกว่า เอาบุญเพื่ออะไร เพราะเชื่อว่าได้บุญมาก เดี๋ยวมันก็จะประสบความสำเร็จ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ธนสารสมบัติ ปฏิภาณบางทีเอาบ้างไม่เอาบ้าง มาเอาแค่นั้น ไม่ได้คิดถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับพระจริงๆ หรือเกิดกับศาสนา บางทีก็แย่งกัน แย่งกันเพื่อจะได้เอาบุญได้บุญมากๆ เช่น แย่งกันประเคน แย่งกันถือผ้าหรือแย่งกันประเคนถวายสังฆทาน เพราะเชื่อว่าถ้าถวายกับมือหรือว่าถือผ้าไตรจะได้บุญมากกว่าคนอื่น บางทีถึงกับทะเลาะกัน อันนี้มันเป็นความหลง ความเข้าใจผิด แล้วก็มาแบบนี้ยิ่งไม่ได้บุญใหญ่
ถ้าเรามาวัดไม่ใช่มาเพื่อความสบายใจอย่างเดียว แต่ว่ามาเพื่อจะกระเทาะกิเลส มาฝึกฝนใจให้เจริญงอกงาม มันจะทำให้ความทุกข์ในจิตใจเราลดลงไป เพราะว่าความทุกข์ของคนเราจริงๆแล้วมันอยู่ที่ความทุกข์ใจ ความทุกข์กายยังไม่เท่าไหร่ ที่ทุกข์จริงๆคือความทุกข์ใจ และที่ทุกข์ใจเพราะไม่ใช่คนอื่นทำ ไม่ใช่เพราะเจ้านาย ไม่ใช่เพราะลูกหลาน เพื่อนร่วมงาน มันไม่ใช่เพราะใครเลย สาเหตุหลักคือจิตใจของเรา หรือพูดอีกอย่างคือกิเลส ความยึดติดถือมั่น ความเห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่ฝึกฝนใจให้ความเห็นแก่ตัวลดลง ไม่ขูดกิเลสให้มันเบาบางลงไป ไม่กระเทาะกิเลสให้มันหลุดไปจากใจบ้าง ความทุกข์มันก็มีเรื่อยไป ได้โชคได้ลาภเท่าไหร่ก็ยังมีความทุกข์ เพราะว่าเห็นคนอื่นเขามีมากกว่าได้มากกว่า
และคนที่ได้เงินเดือนเดือนละหนึ่งล้าน เราคิดว่าเขามีความสุขเหรอ หลายคนไม่มีความสุข เพราะว่าเห็นเพื่อนได้สองล้าน จิตใจที่มันชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น มันทำให้ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ สวยเท่าไหร่หล่อเท่าไหร่ก็ยังมีความทุกข์ เพราะเห็นคนอื่นหล่อกว่าสวยกว่า หรือว่าเห็นคนอื่นเขามีอย่างอื่นที่ดีกว่า ตราบใดที่ยังมีตัณหา มีกิเลส มีความยึดติดถือมั่น มันได้เท่าไหร่ก็ไม่มีความสุข และถึงเวลาที่ต้องเสียไป ต้องเจอความเสื่อมก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นมาวัด ก็อย่าคิดแต่เพียงว่ามาเพื่อความสบายใจ ต้องมาฝนใจด้วย มาฝึกใจให้กิเลสเบาบาง
เพราะฉะนั้น นอกจากการทำบุญหรือแม้แต่นอกจากการรักษาศีลแล้วต้องภาวนาด้วย แต่ภาวนาก็ต้องภาวนาให้ถูก บางคนภาวนาก็หวังแค่ความสบายใจ มาวัดมาภาวนาเพียงแค่ให้ใจสงบ แต่สงบชั่วครั้งชั่วคราว เพียงแค่ช่วยลดความเครียด มันมีความกลุ้มอกกลุ้มใจ มาวัดแล้วภาวนาตามลมหายใจ จิตมันหยุดคิดเรื่องงานเรื่องการ เรื่องลูกเรื่องครอบครัวแล้วสบายใจ แต่พอกลับไปบ้านกลับไปทำงาน ทุกข์ใหม่ เพราะเรื่องเดิม เจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ ลูกพูดไม่ถูกใจ พ่อทำไม่ถูกใจ หรือว่าเจ้านายพูดไม่ถูกหู
อันที่จริงความทุกข์เหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่เรายึดติดในตัวตนด้วย เวลาใครด่าเราแล้วเราทุกข์ เป็นเพราะอะไร ก็เพราะเรารู้สึกว่าตัวกูมันถูกกระทบ หรือเป็นเพราะเราห่วงภาพลักษณ์ เรายึดติดในภาพลักษณ์ว่าเราเป็นคนดี เป็นคนเก่ง เป็นคนสวย เป็นคนมีความสามารถ พอใครเขาทักท้วงเรา ติเตียนเรา เราก็รู้สึกว่าภาพตัวตนที่เราหวงแหนมันถูกกระทบ อันนี้มันเป็นเพราะความยึดติดในตัวกูของกูทั้งนั้น เวลาเงินถูกโกง โทรศัพท์หายหรือว่าแก้วแหวนเงินทองมันสูญหายไป ทำไมถึงทุกข์ มันไม่ใช่เพราะคนเอาไป แต่ลึกๆเรายังมีความยึดว่าเป็นของกูของกูของกู ถ้าบ้านคนอื่นถูกเผารถเขาถูกยึดเราทุกข์มั้ย เราไม่ทุกข์ เพราะมันไม่ใช่ของกูไม่ใช่ของเรา ลองดูดีๆ ความทุกข์ถ้าเป็นความทุกข์ใจแล้ว สุดท้ายก็มาลงที่ว่าสาเหตุคือความยึดติดในตัวกูของกู ฉะนั้นถ้าเราไม่รู้จักขูดไม่รู้จักถอนหรือว่าลดความยึดติดในตัวกูของกูหรือลดละความเห็นแก่ตัว ยังไงก็หนีความทุกข์ไม่พ้น
ฉะนั้นเวลาเราภาวนา อย่าภาวนาแต่เพียงแค่ให้ใจสบาย แต่ว่าภาวนาเพื่อที่จะเห็นกิเลสที่มันครองใจ เห็นความหลงที่มันคุกคามจิตใจ แล้วก็พยายามรื้อพยายามถอน อันนี้มันยากกว่าการที่มาภาวนาเพื่อความสบายใจเพื่อความสงบ เพราะว่ามันต้องกล้าที่จะสู้กับกิเลส ไม่ใช่ตามใจกิเลส หลายคนมาวัดเพื่อตามใจกิเลส เพื่อสนองความอยากได้อยากมีอยากเป็น มาวัดเพื่ออยากได้มาวัดเพื่อจะเอา บางทีไม่ใช่แค่มาเอาบุญเอาโชคเอาลาภ บางทีเอากระทั่งสิ่งพื้นๆ เช่น ทรัพย์สินในวัด มาเพื่อจ้องจะเอาของในวัด อันนี้มันหยาบมาก ที่จริงถ้าจะมาวัดหรือเข้าหาศาสนา ต้องมาเพื่อที่จะลด เพื่อที่จะละ ไม่ใช่เพื่อเอา แม้แต่บุญก็ไม่ได้สนใจ แต่สนใจเรื่องการลดการละกิเลส ไม่ได้มาวัดเพียงเพื่อได้คำอวยพรที่รื่นหู หรือว่าการพะเน้าพะนอกิเลส แต่มาเพื่อพร้อมที่จะเจอกับการขนาบ การกระทุ้ง กระทุ้งจิตกระทุ้งใจ
อย่างพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า เราจะไม่ทำกับเธออย่างทะนุถนอมเหมือนช่างปั้นดิน เราจะขนาบเธอแล้วขนาบเธออีก พระพุทธเจ้าก็หวังคนที่จะมาเพื่อรับการฝึกฝนแบบนี้ หรือว่าถ้าเราจะหวังประโยชน์จากศาสนา มาเพื่อที่จะพร้อมรับการเขย่าจิตเขย่าใจ ฉะนั้นชาวพุทธจริงๆต้องมีความกล้า กล้าที่จะให้ครูบาอาจารย์ขนาบแล้วขนาบอีก กล้าที่จะเปิดใจรับฟังสิ่งที่มันไม่ถูกอกถูกใจหรือไม่ถูกใจกิเลส แล้วก็เพียรที่จะฝึกฝนเพื่อพัฒนาตน ไม่ตามใจกิเลส
เวลาเราภาวนาสังเกตดูไหม บางทีที่มันใจฟุ้งซ่านเพราะอำนาจกิเลส กิเลสมันชวนให้คิดไปถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วพอคิดไปแล้วก็เป็นทุกข์กับการที่ต้องมาปฏิบัติที่นี่ ถ้าอยู่บ้านอยู่ที่ทำงาน มันมีของกินอร่อยๆ มีเพลงฟัง มีเพื่อนมากมาย จิตมันร้อน เวลาเราใจฟุ้งซ่าน ส่วนใหญ่มันก็เป็นเรื่องตัวกูของกูทั้งนั้น ความคิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านมันเกิดกับเราเวลาภาวนา มันก็หนีไม่พ้นวนเวียนอยู่กับเรื่องตัวกูของกูทั้งนั้นเลย เขาด่ากู เขาด่ากู เขารังแกกู อันนี้ก็ทำให้เสียใจ โกรธแค้น หรือว่านึกถึงความสำเร็จว่ากูเก่ง กูเก่ง กูแน่ บางทีนึกถึงแฟน ก็แฟนของกู แฟนของกู คือมันมีแต่เรื่องตัวกูของกูทั้งนั้น เวลาเราฟุ้งซ่าน เวลาใจมันมีสติ อยากจะวาง บางทีกิเลสมันไม่อยากให้วาง อยากจะคิดต่อเพราะว่าความคิดมันปรนเปรอตัวกูของกู แต่ถ้าเรามาวัดมาภาวนาเพื่อต้องการฝึกฝนจิตใจ แค่นี้นี่ไม่อาลัยไยดีเลย มันสลัดเลยเพราะรู้ว่ามันเป็นโทษ อะไรก็ตามที่เป็นการตามใจกิเลส มันมีแต่จะทำให้กิเลสใหญ่ อ้วน มีกำลังมากขึ้น ซึ่งจะสร้างความทุกข์ให้กับเรา เราก็กล้าที่จะสลัดทิ้ง
ศาสนาหรือวัดไม่ใช่เพียงแค่เป็นศาลาพักร้อน หลายคนมาวัดมาเข้าหาศาสนาคล้ายๆทำนองหนีร้อนมาพึ่งเย็น อยู่ที่บ้านมันร้อน อยู่ที่ทำงานมันร้อน หรือว่าเจ็บป่วย มีหนี้สิน มันร้อนอกร้อนใจ มาวัดแล้วก็สบายใจเหมือนกับมาศาลาพักร้อน
แต่จริงๆวัดหรือศาสนามันเป็นมากกว่านั้น มันเป็นโรงเรียน เป็นโรงเรียนสำหรับการฝึกฝน การทำความเพียร เด็กๆก็ไม่อยากไปโรงเรียนหรอก เด็กอยากอยู่บ้านมากกว่า จำได้มั้ยตอนเราเด็กๆ เพราะอยู่โรงเรียนต้องเจอกับสิ่งที่เราไม่ชอบ ต้องทำการบ้านต้องทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ถึงเวลาสอบก็ต้องอดตาหลับขับตานอน
พุทธศาสนาก็แบบนั้น เพียงแต่ไม่ได้สอนวิชาทางโลกแต่สอนวิชาชีวิต และวิชาชีวิตมันต้องปฏิบัติ มันมีบททดสอบ มันมีการบ้าน มันเป็นเรื่องของการเคี่ยวกรำ ฝึกฝนอบรม อบรมมันหมายถึงว่าเจอความร้อน ข้าวถ้ามันไม่เจอความร้อนมันไม่สุก มันยังดิบอยู่ ผลไม้ถ้ามันไม่เจอความร้อนมันก็ยังดิบ แป้งถ้าไม่ไปอบมัน มันก็ยังกินไม่ได้ ความร้อนมันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ที่คนไทยเราใช้คำว่าอบรม มันหมายถึงว่าต้องเจอกับความร้อน เจอกับความยาก มันถึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงคุณภาพ เปลี่ยนแปลงไปสู่คุณภาพใหม่ อย่างถ้าเรามาเราไม่อยากเจอความร้อน ไม่อยากเจอการอบการรมการฝนใจ มาเพียงแค่สบาย มันได้ประโยชน์น้อย เป็นชาวพุทธทั้งทีอาศัยพุทธศาสนาเพียงแค่เป็นศาลาพักร้อน เพียงแค่สบายใจชั่วคราว อันนี้มันไม่ฉลาดเท่าไหร่ ต้องถือว่าวัดก็ดี พุทธศาสนาก็ดี มันเป็นโรงเรียนที่เราจะต้องเคี่ยวกรำตนเอง จะต้องเจอการขนาบของครู บางทีก็ต้องเจอการดุด่าว่ากล่าวของครู ครูไม่จำเป็นต้องเป็นพระก็ได้ เป็นพระพุทธเจ้า ฉะนั้นมาวัดถ้าจะมาฟังแต่คำอวยพรที่มันถูกใจ ถูกกิเลส อันนี้ถือว่าได้ประโยชน์น้อย มาทั้งทีก็ต้องพร้อมจะเจอกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่ถูกกิเลสแต่มันถูกต้อง
ฉะนั้นพยายามเปิดใจฟัง รับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า นำไปพิจารณาเรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความไม่เที่ยง คำสอนที่ว่าเราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เป็นผู้ที่มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว อันนี้พิจารณาดู คำสอนที่ว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พิจารณาดู กิเลสมันไม่อยากฟัง อยากจะเอามือปิดหูแต่ว่าต้องเปิด แค่นั้นไม่พอต้องปฏิบัติด้วย ถ้าเป็นการให้ทานก็เป็นไปเพื่อละกิเลส ความเห็นแก่ตัว ถ้ารักษาศีลก็เพื่อลดละโลภะ โทสะ โมหะ ไม่ใช่เพื่อไปอวดใครว่าฉันเป็นคนมีศีล ไม่ใช่เพื่อยกตนข่มท่านซึ่งเป็นการปรนเปรอกิเลส ภาวนาก็ไม่ใช่แค่ทำให้ใจสงบชั่วครั้งชั่วคราว หรือเพื่อจะได้ไปอวดว่าฉันเป็นนักภาวนาเป็นนักปฏิบัติธรรม อันนี้มันก็ไปหนุนเสริมกิเลสมา มันต้องจริงจังกับการภาวนาชนิดที่ว่าลดละรื้อถอนความเห็นแก่ตัวให้ได้ อย่าปล่อยให้กิเลสอย่าปล่อยให้มานะมันครองใจ คอยเพ่งโทษคนอื่นเพื่อจะได้รู้สึกว่าฉันดีกว่าคนอื่น อันนี้ก็ต้องระวัง
ฉะนั้นวางใจให้ถูก เรามาวัดเราเข้าหาพุทธศาสนา ไม่ใช่มาเพื่อมาหาศาลาพักร้อน ไม่ใช่เพื่อกินของหวาน แต่ว่ามาเพื่อเข้าโรงเรียนฝึกฝนพัฒนาตน เคี่ยวกรำตนเองจนกระทั่งกิเลสมันเบาบาง และสุดท้ายมันก็จะเกิดรางวัลคือความสุขใจ ถึงแม้จะไม่ร่ำรวย ถึงแม้อายุ วรรณะ สุขะ พละ จะไม่ได้เจริญงอกงามก็ตาม เพราะคนเราบางทีก็อายุสั้น แต่ถ้าหากว่าเราได้ฝึกฝนพัฒนาตนแล้ว ก็ถือว่าเป็นชีวิตที่มีค่า คุ้มกับการเกิดเป็นมนุษย์ อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่าผู้ที่ทำความดี มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา แม้มีชีวิตเพียงแค่วันเดียวก็ประเสริฐกว่าคนที่อายุร้อยปีแต่ว่าประมาท ไม่มีศีล ไม่มีธรรม