แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อตอนบ่าย ก็มีญาติโยมหลายคนมาหา มาเพื่อถวายเทียน สังฆทาน บ้างก็มีความทุกข์ใจ จะมาขอคำแนะนำก็มีโยมคนหนึ่ง สีหน้าอมทุกข์ แล้วก็มาปรึกษาว่า ตอนนี้มีหนี้สินก้อนใหญ่ ก็เลยมีความจำเป็นที่จะต้องเอาที่ ไปขาย เพื่อมาใช้หนี้ แต่ว่าประกาศขายไปนานแล้ว ก็ยังไม่มีคนซื้อ ก็มีความทุกข์ใจว่า จะใช้หนี้ได้อย่างไร ตัวคนถามก็มีความอยากจะขายที่ให้ได้ไวๆ แต่ก็ดูยังไม่มีวี่แววว่าจะขายได้เมื่อไหร่
บังเอิญอาตมาก็ไม่ได้มีความสามารถอย่างหลวงพ่อคูณ ที่จะเหยียบโฉนด เพื่อให้ความหวังว่าจะขายที่ได้ไว ๆ แต่ก็ให้ความหวังกับเขาไปว่า เมื่อถึงเวลาก็ขายที่ได้เอง เพียงแต่ว่าเจ้าของตอนนี้เขายังมาไม่ถึง เดียวเจ้าของตัวจริงเขามาถึงเมื่อไหร่ก็ขายได้เอง แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ข้อคิดเขาไปว่า ให้ลองมองแบบนี้ว่า ถึงแม้ว่าเราเป็นหนี้ แต่อย่างน้อยเราก็มีทรัพย์สินที่จะขายใช้หนี้ได้ มีคนจำนวนมากที่มีหนี้แล้วไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่มีอะไรหลงเหลือเลย อันนี้คุณยังดีที่ยังมีที่ แล้วก็เป็นที่ที่คงจะมีราคาพอที่จะชดใช้ ชำระหนี้ได้หมด จริงๆ แล้วอย่าไปคิดว่าเรามีความทุกข์มาก เพียงเพราะว่าไม่มีเงินที่จะใช้หนี้ มันมีหลายคน มีคนจำนวนมากมายที่เป็นเศรษฐี ร้อยล้าน พันล้าน เขาไม่มีปัญหาเรื่องหนี้สิน แต่ว่าเขาเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หาย ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง หรือว่าเป็นโรคหัวใจ หรือว่าอัลไซเมอร์ ที่กำลังลุกลาม ลองคิดดูว่าถ้าระหว่างการเป็นหนี้แต่มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย กับการที่ไม่มีหนี้แถมมีทรัพย์สินมากมายมหาศาล แต่ว่าเจ็บป่วย คุณจะเลือกอย่างไหน
แน่นอนเขาก็ต้องเลือกอย่างแรก และนั้นก็คือสิ่งที่เขาเป็นอยู่แล้วตอนนี้ ก็คือเขาก็ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ตาเขาก็ไม่ได้บอด หูเขาก็ไม่ได้หนวก เขาก็ยังสามารถที่จะกินอิ่มนอนอุ่น แล้วก็สามารถที่จะใช้ชีวิตได้ตามปกติ หนี้สิน มันก็เป็นของนอกกาย เขาน่าจะดีใจ รู้สึกเป็นโชคที่เขาไม่เจ็บไม่ป่วย อยากจะให้เขามองว่าเขามีสิ่งดีๆ อยู่กับตัวมากมาย อย่าไปมองแต่หนี้สินที่มันเกิดขึ้น ถ้ามองหรือเห็นแต่หนี้สิน มันก็ทุกข์อย่างเดียว กินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ว่าชีวิตเขายังมีสิ่งดีๆ หลายอย่าง ก็ยังเป็น ยังมีโชค ยังมีความสุข ที่เขามองไม่เห็นหรือมองข้ามไป เช่นการมีสุขภาพดี หลายคนมักจะมองข้าม ไม่คิดว่าการมีสุขภาพดีเป็นเรื่องสำคัญ แต่ลองเจ็บลองป่วยดูสิ ก็จะรู้สึกว่าทุกข์ทรมานขึ้นมาทันที แล้วก็จะรู้สึกโชคร้ายด้วยซ้ำ เขายังมีสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่ดี ไม่พิการ ตาไม่บอด เดินเหินไปไหนมาไหนได้ มีอิสระ และเขาอาจจะยังมีคนรักอยู่กับตัว เช่น ลูกหรือพ่อแม่ อันนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีๆ ทั้งนั้นแหละ เพียงแต่เขาไม่มอง เขาเห็นแต่หนี้สิน ก็เลยทุกข์
ก็เล่าให้เขาฟัง เคยมีคนถามหลวงพ่อพระพยอม กัลยาโณ หลวงพ่อพยอมท่านก็กู้หนี้ธนาคารมา คงเป็นสิบล้าน เพื่อมาใช้พัฒนาวัด ไม่ใช่ว่าพัฒนาวัดเพื่อให้มีโบสถ์หรือวิหารที่ใหญ่โต แต่เพื่อมาใช้ช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน หนี้สินก็ยังมีอยู่มาก ญาติโยมก็เลยถามว่า หลวงพ่อไม่เครียดไม่ทุกข์เหรอ ที่มีหนี้สินมากมาย ท่านก็ตอบว่า “จะทุกข์ทำไม จะเครียดทำไม คนที่หน้าจะเครียด น่าจะทุกข์กว่าก็คือเจ้าของเงิน เขาน่าจะเครียดว่าเราจะมีเงินจ่ายเขาหรือเปล่า อาตมาไม่เครียดหรอก” ท่านก็มองว่าคนที่ควรจะเครียดมากกว่า คนที่จะทุกข์มากกว่า คือเจ้าของเงิน ไม่ใช่ผู้ยืม ก็พอพูดให้เขาคิดได้ในแง่นี้ เขาก็ยิ้มได้
คงเป็นเพราะว่าเขาไม่เคยมองในแง่นี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่เขายังมีโชค ที่ว่าแม้เป็นหนี้แต่ก็ยังมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ได้ เพียงแต่ว่ามันยังขายไม่ออกเท่านั้นเอง แต่มันไม่ใช่เป็นว่าตัวเปล่าเล่าเปลือย คนที่มีหนี้แต่ไม่มีอะไรจะจ่าย มีมาก คนเหล่านั้นทุกข์กว่าเราเยอะ รวมทั้งคนที่มีเงินมากมายไม่เป็นหนี้เป็นสิ้น แต่ว่าร่างกายเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย ถามเขาว่า ถึงแม้ไม่เป็นหนี้แต่ว่าลูกเกิดติดยาขึ้นมา หรือพ่อแม่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ลองคิดในแง่นี้ดูบ้าง แล้วเขาก็จะเห็นเองว่าเขายังโชคดีที่เขาไม่มีปัญหานี้ เขามีแต่เรื่องหนี้สิน ซึ่งที่จริงก็เป็นเรื่องนอกตัว
พอพูดและชี้ให้เขาเห็นมุมนี้ เขาก็ยิ้มได้ แล้วก็รู้สึกมีความหวัง แล้วก็บอกเขาต่อไปว่า อย่าไปคิดแต่เรื่องหนี้ หนี้ มันมีไว้ชำระ ไม่ได้มีไว้แบก เกี่ยวข้องกับหนี้ให้ถูก มีหนี้ก็ชำระไป รับผิดชอบแต่ไม่ได้มีเอาไว้แบก ปัญหาก็มีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม แต่ว่ามองปัญหาไม่เป็นเกี่ยวข้องกับปัญหาไม่ถูกมันก็เลยทุกข์ ปล่อยวางเรื่องหนี้เรื่องสิ้นบ้าง เวลาหลับเวลานอนก็วางเรื่องหนี้เรื่องสิ้นลง เวลาทำงาน ก็วางมันลงบ้าง มันอยู่ที่ใจเรา เป็นเพราะเราแบกเอาไว้ ก้อนหินถ้าไม่แบกมันก็ไม่ทุกข์ไม่เหนื่อย ไม่หนัก มันจะใหญ่ มันจะหนักแค่ไหน ถ้าไม่แบก เราก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ที่เดือดร้อนเพราะว่าไปแบกมันเอาไว้นั่นเอง แบกเอาไว้แล้วก็ต้องรู้จักวางด้วย พอพูดอย่างนี้เขาก็เริ่มมีกำลังใจ แล้วก็รู้สึกว่ายังมี มีเหตุผลที่จะอยู่อย่างมีความสุขได้ แม้ว่าจะมีหนี้มีสินก็ตาม
คนเราถ้าดูดีๆ มันจะทุกข์มากหรือน้อยก็อยู่ความคิดนั้นแหละ ทำนองเดียวกันความสุขจะมีมากหรือน้อยก็อยู่ที่ความคิด ถ้าเราคิดไม่เป็น คิดเตลิดเปิดเปิงหรือจินตนาการไปในทางลบ มันทุกข์ทันทีเลย แม้ว่าไม่เจ็บไม่ป่วย แม้ว่าจะไม่มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับเรา ที่อเมริกาเขามีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขาให้นักศึกษาลองจินตนาการว่าเกิดเหตุร้ายกับตัว เช่น รถชน ถูกไฟลวก ไฟเผา หรือว่าเสียโฉม เขาก็มีวิธีชวนให้จินตนาการ เขาเรียกบิ๊วอารมณ์ จนกระทั่งนักศึกษา ก็คิดไปตามการชี้นำของผู้ทดลอง ปรากฏว่าทุกคน พอจินตนาการเสร็จก็มีความทุกข์ทั้งนั้น รู้สึกว่าตัวเองทุกข์ มีความทุกข์ มีความกลุ้มอกกลุ้มใจ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นไรเลย แต่เพียงคิดเท่านั้นก็ทุกข์แล้ว ทั้งๆ ที่เรื่องที่คิด มันก็ไม่ใช่เกิดขึ้นจริง แต่พอคิดมันก็อดรู้สึกเป็นจริงเป็นจังไม่ได้ เพราะธรรมชาติของความคิดจิตใจ ถ้ามันหลงมันลืมเมื่อไหร่ เรื่องที่ปรุงแต่งมันก็หลงคิดว่าเป็นเรื่องจริงเรื่องจัง แล้วก็ตามมาด้วยความทุกข์ ถ้าหากว่าเรื่องที่คิดนั้นเป็นเรื่องที่เป็นลบ
เขาเคยมีการให้นักศึกษาเขียน เติมความ เติมคำให้เต็มประโยค ประโยคนั้นมีสั้นๆ ว่า “ฉันโชคดีที่ฉันไม่เป็น ......” แล้วก็ให้เติมเอา มี 5 ประโยค แบบนี้เลยให้เติมครบทั้ง 5 ประโยค บางคนก็เติมว่า ฉันโชคดีที่ฉันไม่เป็นมะเร็ง ฉันโชคดีที่ฉันไม่พิการ ฉันโชคดีที่ฉันไม่มีหนี้สิน หรือเป็นพ่อหม้าย เสร็จแล้วพอเติมเสร็จ 5 ประโยคก็ให้ประเมินความรู้สึกว่า ตอนนี้รู้สึกอย่างไรกับชีวิตของตัว ส่วนใหญ่แล้วบอกว่า พอใจกับชีวิตของตัว พูดง่ายๆ คือรู้สึกว่าที่ฉัน ชีวิตของฉัน ตอนนี้ฉัน... มีความสุขแล้ว บางคนอาจจะรู้สึกหรือก่อนหน้านี้อาจจะรู้สึกทุกข์ รู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจ แต่พอให้มาเขียนตอบคำถาม หรือว่าเติมคำในช่องว่าง 5 ประโยคที่ว่า กลับรู้สึกดีขึ้นกับชีวิตของตัว
ในทางตรงข้ามอีกกลุ่มหนึ่ง ให้เติมคำในช่องว่างเหมือนกัน แต่ประโยคมันเปลี่ยนไป เป็นว่า “ฉันปรารถนาที่จะเป็น...” แล้วก็ให้คนก็เติม ฉันปรารถนาที่จะเป็นดารา ฉันปรารถนาที่จะเป็นผู้บริหาร เป็น CEO เป็นนักกีฬา เป็นคนเก่ง เสร็จแล้วเขาก็ให้ คนเหล่านั้น มาให้คะแนนกับชีวิตของตัวเองตอนนี้ ประเมินความรู้สึกที่มีต่อชีวิตของตัวเองตอนนี้ ส่วนใหญ่ไม่พอใจกับชีวิตของตัว เพียงแค่ตอบคำถาม ง่าย ๆ หรือเติมคำในช่องว่าง แค่ 5 ประโยค มันมีผลต่อความรู้สึกของคนที่มีต่อชีวิตของตัวเอง ถ้าตอบว่าฉันโชคดีที่ฉันไม่เป็นนั้นเป็นนี่ รู้สึกเลยว่าฉันพอใจในชีวิตละ ฉันโชคดี แต่พอให้เติมว่าฉันปรารถนาที่จะเป็น... เอาละคราวนี้ทุกข์ เพราะมันเริ่มมีการเปรียบเทียบ ฉันปรารถนาที่จะเป็นดารา เป็นนักกีฬาที่เก่ง แล้วตอนนี้ฉันเป็นใคร มันเกิดการเปรียบเทียบก็เลยรู้สึกเป็นทุกข์
นี้มันเป็นตัวอย่างง่ายๆ ที่ชี้ได้เลยว่าคนเราจะสุขหรือทุกข์ มันอยู่ที่ว่า อยู่ที่ความคิดของเรา บางครั้งก็ถูกชี้นำไปด้วยสิ่งแวดล้อม เช่น สื่อมวลชล โฆษณา แต่บางทีมันก็เป็นเพราะคิดไม่เป็นเอง คิดไม่ถูก คนเราถ้าหากว่าคิดเป็นคิดถูก เจออะไรนี่มันก็ไม่ทุกข์ โดยเฉพาะเป็นการคิดที่มันถูกธรรม สอดคล้องกับสัจธรรมความจริง
มีช่างไฟฟ้าคนนึ่ง เกิดโดนไฟช๊อต ไฟฟ้าแรงสูงช๊อตที่ขา จนกระทั้งต้องตัดขาทั้ง 2 ข้าง ก็กลายเป็นคนพิการ เสร็จแล้วก็ต้องเรียกว่าเเทบจะช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ ยังปรับตัวกับความพิการได้ไม่ทันไร ภรรยาก็ทิ้งไป ลองนึกภาพ คนบางคนเจอแบบนี้ก็จะรู้สึกเลยว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ทำไมเคราะห์ร้ายแบบนี้ ก็มีคนไปถามด้วยความเห็นใจ ถามผู้ชายคนนี้ว่ารู้สึกอย่างไรที่ภรรยาทิ้งไป เขาก็ตอบว่า ไม่รู้สึกไร เพราะแม้กระทั้งขาของผม มันยังไม่อยู่กับผมเลย แล้วจะให้ภรรยา มาอยู่กับผมได้ยังไง แกตอบอย่างนี้
แต่แกฉลาดคิด แทนที่จะคิดว่าโชคร้ายเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แกกลับได้แง่คิดจากเหตุการณ์ แทนที่จะทุกข์เพราะเสียขา ก็กลับเห็นความจริงว่ามันไม่มีไรที่จะอยู่กับเราไปตลอด แล้วก็ไม่มีไรที่จะรวบเป็นของเราได้เลย แม้กระทั้งขา อยู่กับตัวเองมา 30-40 ปี แต่สุดท้ายมันก็ต้องไป และในเมื่อขานี่ มันยังไม่อยู่กับเรา จะหวังให้คนอื่นอยู่กับเราได้อย่างไร เขาก็ทำใจได้ เขาก็เห็นสัจธรรมจากการที่สูญเสียขาทั้ง 2 ข้างไป
อันนี้เรียกว่าเขามองอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งก็คือมองอย่างถูกธรรม เพราะธรรมก็คือความจริง ถ้าเราไม่มีธรรม หรือไม่อาศัยธรรมะ มันก็อาจจะทำให้เรามองผิดมองพลาด มองไขว้เขว เสร็จแล้วเราก็จะทุกข์เอง เพราะฉะนั้น ธรรมะถ้าเราเข้าใจ มันจะช่วยกำกับความคิดของเรา หรือว่าจะนำใจของเราไปในทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่ทำความดี ไม่ไปเบียดเบียนใคร แต่รวมถึงว่าทำให้ตัวเองไม่ทุกข์ด้วยเพราะว่าเห็นความจริง
อันนี้เราต้องรู้จักใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ ธรรมมะจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก และเราจะเห็นความสำคัญก็ต่อเมื่อเราทุกข์ ในยามที่เราสุข เราอาจจะไม่ค่อยเห็นความสำคัญ ทั้งๆ ที่ในยามสุข ธรรมะก็สำคัญ เพราะว่าถ้าไม่มีธรรมะมันก็อาจจะเหลิงในสุข จนเสียผู้เสียคน มีแล้ว เหลิงในสุข ได้โชคได้ลาภถูกลอตเตอรี่ ขายที่ได้ ได้รางวัลที่หนึ่ง เสร็จแล้วก็กลายเป็นคนที่จมไม่ลง กลายเป็นคนที่ติดสุรา เพราะว่าเที่ยวเล่น เสพ ดื่ม บางคนหมดเนื้อหมดตัว เพราะว่าพอเสพ พอเที่ยว พอเล่น จนติดแล้ว มันถอนตัวไม่ขึ้น เงินที่มีก็หมด เงินรางวัลก็หมด คราวนี้ก็ต้องเอาของเก่ามาขาย มีที่ก็ขาย งานการก็ไม่ทำ กลายเป็นชีวิตตกต่ำไปเลย หรือบางคนก็ดีใจ กินเหล้าเมามาย ขับรถเกิดอุบัติเหตุ รถแหกโค้ง ตกคูตาย อันนี้ก็เรียกว่าเป็นเพราะประมาท หลงระเริงในความสุข หรือบางคนก็อาจจะแคล้วคลาดจากเหตุการณ์เหล่านี้ แต่ว่าพอทรัพย์สมบัติมันหมด ความสุขหายไปทำใจไม่ได้ ไม่สามารถจะยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพราะมันติดในสุขเสียแล้ว อันนี้ก็เพราะว่าประมาท คิดว่าถ้ามีลาภแล้วก็จะมีไปตลอด ลืมคิดไปว่ามีลาภกับเสื่อมลาภ มียศกับเสื่อมยศ เป็นของคู่กัน ธรรมะมันช่วยทำให้เราวางใจถูก และมันทำให้เรารับมือกับเหตุการณ์ความทุกข์ได้
ในช่วงใกล้ๆ กัน เมื่อบ่ายก็มีโยมอีกคนหนึ่งมาปรึกษา คนนี้ดูทุกข์กว่าคนที่พูดถึงเมื่อสักครู่อีก ดูแลแม่ที่ป่วยติดเตียงมา 10 กว่าปี แล้วแม่ก็มีอาการแย่ลงเรื่อยๆ ตัวเองก็ลางาน เรียกว่าทิ้งอนาคตมาดูแลแม่ ก็ดูแลอย่างดี น่านับถือมาก เรียกว่าอยู่กับแม่ 24 ชั่วโมง เขาบอกเขารู้สึกเหนื่อย เขารู้สึกท้อ ถามว่าเหนื่อยอะไร เหนื่อยกายหรือเหนื่อยใจมากกว่า เขาบอกเหนื่อยใจ ความท้อส่วนหนึ่งก็เกิดจากการคิดว่า ฉันจะต้องดูแลแม่ไปอีกนานเท่าไหร่ มันมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้น เพราะความเหนื่อย แต่อย่างที่บอก เขาก็ยอมรับว่าที่เหนื่อยมันไม่ใช่เหนื่อยกาย มันเหนื่อยใจ เหนื่อยใจเพราะอะไร เพราะมีความวิตกกังวล เวลาดูแลแม่ก็มีความวิตกกังวล กลัวว่าแม่จะอาการทรุดลง กลัวว่าจะมีหรือเกิดการผิดพลาดขึ้น เพราะว่าแม่ตอนนี้ก็เจาะคอ ให้อาหารทางสายยาง
ความรู้สึกแบบนี้ ความวิตกกังวลก็ดี ความรู้สึกท้อว่าตัวเองจะต้องดูแลแม่อย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ดี บางที่ทำให้เกิดความทุกข์มาก ในบางช่วงบางขณะถึงกับรู้สึกว่าอยากจะให้แม่ไปเร็วๆ ทั้งๆ ที่รักแม่ แต่ว่าบางทีคนเรามันก็มีโอกาสที่จะเกิดความคิดแบบนี้ขึ้น เพราะความท้อความเหนื่อย ก็เลยแนะนำเขาไปว่า เวลาดูแลแม่ก็ดี ไม่ว่าจะดูแลทางกาย หรือว่าเวลาจะไปหาหมอเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องของแม่ หรือเอายามาให้แม่ พยายามทำใจให้อยู่กับปัจจุบัน อะไรที่มันยังไม่เกิด ก็อย่าเพิ่งไปกังวลกับมัน จริงๆ แล้วเรื่องดูแลแม่ เขาไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่เพราะความวิตกกังวล มันทำให้เหนื่อยใจ ที่จริงก็เป็นปัญหาของคนส่วนใหญ่ ทำงานก็ดี มันไม่ใช่เหนื่อยกายหรอก มันเหนื่อยใจ และที่เหนื่อยใจเพราะความวิตกกังวล คิดไปล่วงหน้า แล้วไม่ได้คิดลวงหน้าไปในทางดี คิดล่วงหน้าไปในทางร้าย พอคิดไปในทางร้ายนี่มันทุกข์เลย ก็เหมือนกับแบบทดสอบที่ได้พูดถึง ที่ในอเมริกา คนเราพอคิดไปในทางร้าย แม้จะเป็นแค่ในจินตนาการมันก็ทำให้รู้สึกแย่
และพอคิดต่อไปว่าฉันจะต้องดูแลแม่ไปอีกนานเท่าไหร่ มันก็ทำให้ห่อเหี่ยว ก็บอกเขาว่า นอกจากใจอยู่กับปัจจุบันแล้ว เวลาดูแลแม่ก็ให้อยู่ ให้ใส่ใจกับสิ่งที่เราทำ อย่าเพิ่งไปคิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่จะตามมา เพราะมันยังไม่เกิด อะไรที่ยังไม่เกิดจะไปกังวลทำไม วางแผนป้องกันได้ ถามหมอว่า อาการของแม่ทรุดหนักต่อไปจะเป็นอย่างไร ก็คอยป้องกันเอาไว้ ถ้าหายใจไม่ออกก็เตรียมเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งตอนนี้ก็เตรียมไว้แล้ว
ฉะนั้น ถ้าเราจะคิดถึงอนาคตก็คิดเพื่อการเตรียมตัว ไม่ใช่เพื่อวิตกกังวล จนกระทั้งไม่เป็นอันทำอะไร มันต่างกัน คิดถึงอนาคตเพื่อเตรียมตัวซึ่งจะเป็นการแบ่งเบาปัญหา บรรเทาปัญหา แต่ถ้าคิดถึงอนาคตไม่เป็น จิตใจมันจะท้อ จะวิตกกังวล แล้วก็บอกเขาด้วยว่า ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา ก็ให้คิดแต่เพียงว่า ฉันจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดไม่ต้องคิดถึงพรุ่งนี้ ไม่ต้องคิดว่า ฉันจะต้องดูแลแม่แบบนี้ไปอีกกี่ปี หรือกี่ชาติ คิดแบบนี้ไปนี่มันห่อเหี่ยว หมดแรงเลย คิดแค่วันนี้ก็พอ เพราะจริงๆ แล้ว เราก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีหรือเปล่า คนดูแลเองก็อาจจะมีอันเป็นไป หรือแม่ก็อาจจะจากไปก็ได้
พรุ่งนี้นี่มันคือความไม่แน่นอน ภาษิตทิเบตบอกว่า ไม่มีใครรู้หรอก ระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้าอันไหนจะมาก่อน อย่าไปคิดว่ามีพรุ่งนี้แล้วค่อยมีชาติหน้า บางคนจากวันนี้ไปก็ชาติหน้าเลย แล้วเยอะด้วย คนที่วันนี้คือวันสุดท้ายของเขา ไม่มีวันพรุ่งนี้คือเยอะมาก ในโลกนี่มีประมาณแสนห้าหมื่นคน ที่วันนี้คือวันสุดท้ายเของเขา และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าหนึ่งในแสนห้าหมื่นคือเราหรือเปล่า เพราะฉะนั้นตื่นเช้าขึ้นมา เราคิดแค่นี้พอว่า วันนี้ฉันจะทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องคิดถึงพรุ่งนี้ ไม่ต้องคิดถึงอีกกี่ปีที่จะต้องทำงานนี้ แล้วจะรู้สึกเลยว่ามันเบาลง ก็เหมือนกับที่แนะนำคนที่มาจำพรรษาว่า อย่านับถอยหลัง อย่าไปคิดว่าอีกตั้ง 90 วัน กว่าจะสึก กว่าจะออกพรรษา แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว หรือว่าทำเฉพาะเช้านี้ให้ดีที่สุด เช้านี้มีประมาณ 4 ชม ก็ทำให้เต็มที่ แล้วจะรู้สึกว่ามันเบาลง
อีกอย่างหนึ่งที่แนะนำเขาคือ ให้รู้จักปล่อยวางบ้าง เขาบอกว่าเวลาเขาทิ้งแม่ไม่ได้เลย แม้จะมีคนดูแลก็ไม่ไว้ใจ อาตมาแนะนำให้เขาไปพักผ่อนบ้าง ออกไปเดินเล่นบ้าง เพราะว่าจำเจอยู่กับแม่ ดูแลแม่ 24 ชมในห้องสี่เหลี่ยม ดูแลแค่เดือนหนึ่งหรือปีหนึ่งก็แย่แล้ว นี่เขาดูมาเป็น 10 ปีแล้ว หาเวลาให้กับตัวเอง ออกไปเดินเล่นบ้าง เขาก็ไม่กล้าออกไปนาน แม้กระทั้งเวลามาหาที่วัดนี้ ก็เรียกว่าใช้เวลาเตรียมการอยู่นานกว่าจะออกมาได้ ไม่ใช่ไม่มีคนดูแล แต่ไม่ไว้ใจ ออกมานี่ก็ยังห่วงกังวลถึงแม่ แนะนำให้เขาออกไปเดินเล่นบ้างทุกเช้า เขาบอกว่าเขาเคยทำแต่ว่ามันก็เป็นห่วงต้องรีบกลับ ก็แนะนำให้เขาไว้ใจ ไว้ใจคนอื่นบ้าง แล้วก็รู้จักปล่อยวางบ้าง
บางคนไม่กล้า ไม่อยากปล่อยวาง หรือว่าไม่กล้าปล่อยวาง เพราะรู้สึกผิด มันไม่ใช่เป็นแค่นิสัยที่ปล่อยวางไม่ได้อย่างเดียว แต่มันเป็นความรู้สึกผิดที่ว่า ถ้าเราปล่อยวางเรื่องแม่ เราจะเป็นลูกอกตัญญูหรือเปล่า อันนี้ไม่ใช่ลูกเท่านั้นที่คิดแบบนี้ แม่หลายคนก็เป็น แม่หลายคนก็ห่วงลูก จนลูกอึดอัด แม่ก็ 70 ปี 80 ปีแล้ว ลูกก็ 40 ปี 50 ปีแล้ว มีลูกหลายคน พาแม่มาหาอาตมา แล้วก็ขอให้อาตมาพูดกับแม่ว่าอย่าห่วงลูก แม่ก็บอกว่า จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง นี่มันลูกฉัน แม่คงรู้สึกผิดถ้าไม่ห่วงลูก และที่จริงพอห่วงลูกแล้วตัวเองก็ทุกข์ ลูกก็อึดอัด ลูกหลายคนก็เหมือนกัน อย่างรายนี้เขาก็คงรู้สึกผิดว่า ถ้าเขาไม่ห่วงแม่ก็หมายความว่าไม่รักแม่ แต่อาตมาบอกว่าถ้าคุณไม่วางเรื่องแม่ออกไปจากใจบ้าง สุดท้ายผลเสียจะเกิดขึ้นกับแม่เอง
เพราะเมื่อคุณไม่รู้จักปล่อยวาง คิดถึงเรื่องแม่ตลอดเวลา คุณจะเครียดแล้วเมื่อคุณเครียดแล้ว คุณอาจจะเผลอปรี๊ดใส่แม่ เวลาแม่ดื้อหรือแม่ไม่ทำตาม คุณอาจหงุดหงิด และด้วยความปรารถนาดี ความปรารถนาดีบางครั้งมันก็เป็นโทษ เพราะว่าพอแม่ไม่ทำตามที่ลูกเห็นว่าดี หรือว่าไม่ทำตามคำสั่งของลูก ลูกก็โกรธ ปรี๊ดใส่แม่ ตวาดใส่แม่ เสร็จแล้วก็มาเสียใจ แม่ก็ทุกข์ กลายเป็นว่าฉันเป็นภาระของลูก แม่อยากตายขึ้นมาทันทีเลยเพราะว่าจะได้ไม่เป็นภาระของลูก แม่อยู่ก็ไม่มีความสุข เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ ส่วนลูกนี่ก็เป็นทุกข์เพราะว่าตวาดใส่แม่ไปแล้วก็เสียใจ
ทั้งหมดนี่เกิดเพราะอะไร เพราะว่าความเครียด ความเครียดมาจากไหน ความเครียดเกิดจากการที่ปล่อยวางแม่ออกไปจากใจไม่ได้ ไม่ได้ให้ปล่อยวางตลอด ให้ปล่อยวางตอนที่ไม่ได้อยู่กับแม่ ตอนที่เวลากิน เวลานอน เวลาออกไปพักผ่อน เวลาไปเดินเล่น ก็วางบ้างเพื่อให้ใจได้พัก แล้วการทำแบบนั้นมันจะดีกับแม่
มันมีคนดูแลผู้ป่วยหลายคนที่ตั้งใจปรารถนาดีกับผู้ป่วยมาก ดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลา แล้วก็ไม่ยอมทิ้งเลย บางที่คนป่วยบอกให้ผู้ดูแล อาจจะเป็นลูกหรือแม่ ไปพักผ่อน ผู้ดูแลไม่ไป เพราะรู้สึกผิดถ้าหากว่าจะทิ้งเขาไป แต่เสร็จแล้ว การที่ไปอยู่กับเขาอย่างจำเจ มันก็เครียด พอเครียดแล้วก็เผลอทำร้ายจิตใจ หรือทำร้ายร่างกาย ผู้ป่วยโดยไม่รู้ตัว เพราะความเครียด เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ปล่อยไม่วาง เราสามารถจะทำร้ายคนที่เรารักโดยไม่รู้ตัว เสร็จแล้วเราก็มาเสียใจ พอเสียใจแล้วก็ยิ่งทำให้การดูแลรักษามันแย่ลง การดูแลรักษาอย่าเอาปริมาณอย่างเดียว ต้องเอาคุณภาพด้วย ถ้าคนดูแลไม่รักษาใจให้ดี แม้จะอยู่กับแม่ 24 ชม แต่แม่ก็รู้ได้ว่า คนดูแลมันเครียด และแม่ก็เลยเครียดตาม แม่ก็ทุกข์ตาม