แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อเช้าก็มีโยมคณะหนึ่งมาเพื่อปรึกษาเรื่องการปลูกป่าที่ภูหลง ผู้ชายที่เป็นหัวหน้ามาที่วัดก็รู้สึกประทับใจในบรรยากาศและความสงบ ถึงแม้ว่าช่วงเช้าพระเรามีการทำงานกันอย่างคึกคัก แต่พอเข้ามาที่ศาลาน้ำ เขาก็รู้สึกว่ามันสงบแล้วก็สนใจว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะมาปฏิบัติธรรม หรือว่าบวช เขาเองก็เคยบวชมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกก็บวชตามประเพณีตอนอายุยี่สิบ ครั้งที่สองก็เพราะมีความทุกข์แต่ก็ไม่ได้ขยายความว่าทุกข์เรื่องอะไร คุยธุระเสร็จก็ ก็พาเดินออกไปที่ศาลานอก เขาก็เล่าว่า หลายปีก่อนภรรยาที่อยู่ด้วยกันมานานก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ตอนนั้นมีความเศร้ามาก เศร้าเสียใจมากเพราะว่าได้อยู่กับภรรยาตั้งแต่ป่วยไม่นานแล้วก็เห็นความเปลี่ยนแปลง ความเสื่อม ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น พอภรรยาจากไปก็จมอยู่ในความโศกเศร้า แล้วก็มีช่วงหนึ่งที่เขาเกิดฉุกคิดขึ้นมาว่า นี่!เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเสียใจ คำพูดนี้มันมีความหมายมากทีเดียว สั้นๆแต่มันให้แง่คิดที่ดีมาก คำพูดนี้ก็ทำให้เขาจะเรียกว่าตื่นก็ได้ ตื่นจากความเศร้าโศก
ความเศร้าโศกถ้าเราจมเข้าไปในอาการนั้นก็เรียกว่าเป็นความหลงเหมือนกัน เป็นความหลงในภาวะเช่นนั้นแหละ ไม่รู้สึกตัว แต่เขาได้คิดขึ้นมาว่าคนเรา เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเสียใจก็ทำให้เขาได้สติขึ้นมาแล้วก็ค่อยๆถอนใจออกมาจากความโศกความเศร้าแล้วก็คงเป็นเหตุผลให้เขาได้มาบวชครั้งที่สอง เพื่อที่จะได้กลับมาตั้งหลักมาใช้ชีวิตเพื่อเดินไปข้างหน้าไม่ใช่จมอยู่กับอดีตหรือว่าเหตุการณ์ที่เจ็บปวด
มันน่าคิดมากเพราะว่าคนเวลาทุกข์เขาไม่ค่อยได้ตระหนักว่าเขากำลังปล่อยเวลาที่มีค่าให้หมดไปกับสิ่งที่มันบั่นทอนจิตใจ แต่ละคนก็ล้วนแต่มีเวลาในโลกนี้น้อยลงไปทุกทีน้อยลงไปทุกที แต่เรามักจะเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระซะเยอะ ถ้ามันเป็นความสนุกสนานก็ยังพอทำเนาเพราะว่ามันก็เป็นสีสันของชีวิต แต่การที่ปล่อยใจให้มันจมลงไปกับ ในความเศร้าโศก มันไม่ใช่แค่การปล่อยใจแต่มันทิ้งปล่อยชีวิตทั้งชีวิตลงไปเลยในความเศร้าเพราะว่าพออยู่ในอาการนั้นแล้วก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่เป็นอันทำงาน หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต มันไม่แค่ มันไม่ใช่แค่ปล่อยใจ ปล่อยชีวิตไปเลย และเวลาที่มีค่าที่มีน้อยลงไปทุกที ก็สูญเปล่าไปกับสิ่งที่มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย แถมเป็นโทษด้วย แต่ถ้าเกิดคนเราตั้งหลัก มาคิดว่า เออ !นี่เราจะทุกข์ทำไม หรือมาคิดอย่างผู้ชายคนนี้ก็ได้ว่า โอย! เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเสียใจนิ หลายคนอาจจะมีคำถามว่าเกิดมาทำไม แต่ก็เชื่อได้ว่าเมื่อหาคำตอบได้ก็คงจะไม่พบว่าคำตอบก็คือเกิดมาเพื่อทุกข์ เพื่อเสียใจ เพื่อเศร้าโศก เพื่อโกรธแค้น เราเกิดมาเพื่อที่จะเข้าถึงในสิ่งที่มันดีกว่านั้น เข้าถึงสิ่งที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ หรือว่าเกิดมาเพื่อที่จะได้ทำสิ่งดีๆ ที่มันคุ้มค่ากับการเกิดมาเป็นมนุษย์
ที่จริงคนเราเกิดมานี่มันก็มีความเศร้า มีความทุกข์อยู่แล้ว คือไม่ต้องทำอะไรอยู่เฉยๆมันก็ทุกข์อยู่แล้ว เพราะว่าเกิดมาก็ต้องปวดท้องบ้าง หิวบ้าง ต้องออกไปขับถ่ายบ้างแล้วก็ต้องมีความแก่ความชราตามมาอีก คือไม่ทำอะไรมันก็ทุกข์อยู่แล้วแล้วยังซ้ำเติมตัวเองด้วยการปล่อยใจให้จมลงไปในความเศร้าหรือในความท้อแท้ ความผิดหวัง ความโกรธเคือง ในเมื่อเราเกิดมาก็มีความทุกข์เป็นธรรมดาอยู่แล้วก็ควรที่จะใช้เวลาที่ที่มีอยู่เพื่อการประสบสัมผัสในสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายหรือความสุข และถ้าจะให้ดีก็ไม่ควรเป็นความสุขชั่วครั้งชั่วคราวแต่ควรเป็นความสุขที่มันประณีตเป็นความสุขที่นำไปสู่ชีวิตที่เป็นกุศล อันนี้มันถึงจะเรียกว่าคุ้มค่ากับการเกิดมา ไม่ใช่ปล่อยให้ชีวิตจิตใจมันจมอยู่กับความทุกข์ อยู่เฉยๆก็ทุกข์กายอยู่แล้ว ถ้าได้ปล่อยให้ทุกข์ใจอีกมันก็เรียกว่าปล่อยชีวิตให้ทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ปล่อยเวลาให้ไร้คุณค่า
แต่ก็ธรรมดาคนเราเวลามันมีความโศก ความเศร้า มันก็หรือความผิดหวัง แม้รวมทั้งความโกรธมันก็มักจะ คนเราก็มักจะปล่อยใจเผลอจมลงไปเพราะว่ามันเหมือนกับหลุมดำ หลุมดำมันก็มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือมันชอบดูด มันดูดทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวให้เข้าไปอยู่ในในหลุมของมัน อันนี้ความเศร้า ความโศก หรืออารมณ์อกุศลรวมทั้งความโกรธ และ ความเจ็บปวดด้วยมันก็มีความสามารถในการดูดจิตดูดใจของเราให้จม จมหายเข้าไป เราก็ต้องมี มีวิธีในการที่จะดึงจิตมันหลุดออกมาจากหลุมนั้น อันนี้มันเป็นศิลปะของชีวิตเลยเพราะถ้าเราไม่มีวิชานี่ ใจเรา ชีวิตเราก็จม จมแล้วจมอีก บางทีจมดิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหาทางออกไม่เจอ สุดท้ายก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หรือ ทำร้ายตัวเอง ฆ่าตัวตาย ต้องมีวิชาที่จะช่วยดึงจิตดึงใจออกมา ในวิชานี้วิชาเจริญสติสำคัญมากมันจะช่วยดึงจิตของเราขึ้นมา ออกขึ้นมาจากหลุมให้ได้
แต่บางทีสำหรับคนทั่วไปนี่ถ้าไม่ได้เจริญสติมาบางทีก็ต้องอาศัยวิธีคิดที่แยบคาย อันนี้เขาเรียกว่า “โยนิโสมนสิการ” ภาษาธรรมะเรียก โยนิโสมนสิการ แปลง่ายๆก็คือ ฉลาดคิด หรือ วิธีคิดที่แยบคาย วิธีคิดที่เป็นกุศลอย่างที่ผู้ชายคนนี้แกฉุกคิดขึ้นมาว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเสียใจ เราเกิดมาเพื่อสิ่งที่มันดีกว่านั้นพอคิดอย่างนี้เข้าก็ได้สติเลย ไม่ปล่อยใจให้จมอยู่ในความเศร้าก็พยายามที่จะหาทางกระเสือกกระสนให้มันออกมาจากหลุมนี้ ธรรมชาติของคนเราเวลามันจมอยู่ในหลุมนี้ก็มีแต่จะขุดหลุมให้ลึกลงไปเรื่อยๆมันแปลกเวลาเข้าไปในหลุมแล้วก็จะขุดหลุมให้มันลึกลงไปลึกลงไปแทนที่จะเงยหน้าออกมา มาที่ปากหลุมเห็นแสงสว่างแล้วก็เกิดกำลังใจ ที่จริงแค่เห็นแสงสว่างที่ปากหลุมมันก็แทบจะช่วยฉุดให้ขึ้นมาจากหลุมได้ไม่น้อยแล้ว เพราะว่าพอเห็นแสงสว่างมันก็จะไม่ ไม่ปล่อยใจให้จมอยู่กับการคิดเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ความโศก ความเศร้า สติเหมือนกับว่า เป็น เป็นเหมือนแสงสว่างที่ไม่ใช่เพียงแต่ทำให้เราได้คิด แต่มันยังสามารถจะฉุดใจขึ้นมาได้ แต่ก็อย่างที่บอกคน ถ้าไม่ได้เจริญสติก็ต้องอาศัยวิธีคิดที่มันแยบคายที่ช่วยเตือนใจไม่ให้จมไปในความโศก ความเศร้าหรือว่าความทุกข์ได้
ได้อ่านเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งแกเป็นโปลิโอเป็นโรคโปลิโอสมัยที่ยังไม่มีวัคซีนที่ช่วยป้องกันโรคนี้แล้วก็เป็นอย่างหนักด้วยไม่ใช่แค่ขาพิการหรือขากะเผลกแต่ว่าทั้งตัวเคลื่อนไหวไม่ได้เลย สมองดีอยู่ ตาก็ใช้ได้ แต่ว่าขยับอะไรไม่ได้เลยยกเว้นมือ ขยับแขนยังไม่ได้เลยขยับแค่มือ ลองนึกดูสิว่าถ้าเราอยู่ในสภาพเช่นนี้มันจะทรมานแค่ไหน แต่เขาก็สามารถที่จะใช้ชีวิตจะเรียกว่าไม่ต่างกับคนทั่วไปก็ได้ อย่างน้อยเขาก็เรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วก็สามารถที่จะทำมาหากินได้บ้าง อันนี้เรียกว่า พูดถึงความทุพพลภาพของเขานี่ก็หนักกว่าตัวอย่างหลายคนที่เราเคยได้ยินมาที่นี่ อย่างเช่น หวังเหม่ยหลิน ชาวไต้หวันที่เคยเล่าให้ฟังอันนี้แกพิการทางสมองพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็นแต่ยังเขียนได้ หรือ คนอย่างชาวญี่ปุ่นที่ชื่อโอโตทาเกะ ซึ่งไม่มีแขนไม่มีขามีแต่ตัว จะว่าแขนไม่มีก็ไม่เชิงเป็นตุ่มเป็นปุ่มเล็กๆ
ทั้งสองคนนี่ก็เป็นคนที่รู้จักใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยการรู้จักคิด อย่างโอโตทาเกะเขาเคยบอกว่า “ผมเกิดมาพิการแต่ก็สนุกและสุขทุกวัน” เกิดมาพิการแต่ก็มีความสุขและสนุกทุกวัน ทั้งๆที่ไม่มีมือไม่มีแขน หรืออย่างหวังเหม่ยหลินเขามองว่า “เขามองเห็นแต่สิ่งที่มี สิ่งที่ไม่มีก็ไม่มอง” สิ่งที่ไม่มีเช่นอะไร ความสามารถที่จะเดินเหินได้เหมือนคนทั่วไป ความสามารถที่จะพูดเขาก็ไม่มีเขาก็ไม่สนใจ เขาสนใจแต่สิ่งที่เขามี อย่างชายคนที่เป็นโปลิโอนี่ก็เหมือนกันถ้าจะว่าไปแล้วเขาก็มีอาการหนักกว่าทั้งสองคนแต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือว่า เขาสามารถที่จะอยู่อย่างมีความสุข มีความหวัง
ก็มีเพื่อนเขาเคยถาม เป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันเคยถามว่า ถามถึงความรู้สึกส่วนลึกของเขาว่า เขาไม่เคยรู้สึกทุกข์เลยเหรอที่เกิดมาพิการขนาดนี้ ผู้ชายคนนี้ชื่อ บรูซแกก็ตอบดี แกบอกว่า ผมไม่ได้คิดว่าไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลือการไปกับ ใช้ชีวิตที่เหลือไปกับการสมเพชตัวเองหรือความโกรธเคือง ผมก็เลยคิดว่า ตัดสินใจว่า จะรู้สึกขอบคุณกับสิ่งต่างๆ คือในเมื่อมันทุกข์อยู่แล้ว ร่างกายมันก็ทุกข์อยู่แล้ว แล้วจะปล่อยเวลาที่เหลืออยู่ให้หมดไปกับการสมเพชเวทนาตัวเองหรือว่าการโกรธแค้นว่าทำไมฉันเป็นอย่างนี้ ทำไมพระเจ้าทำให้ฉันเป็นอย่างนี้ เขาคิดว่ามันไม่ควรทำ ก็มี แล้วเพื่อนถามว่าแล้วคุณรู้สึกขอบคุณอะไร เขาบอกขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพ่อแม่ ขอบคุณมิตรสหาย ขอบคุณมหาวิทยาลัยและครูบาอาจารย์รวมทั้งขอบคุณที่ ที่ยังมีสมองอยู่แล้วก็ขอบคุณชีวิตที่ยังให้โอกาสแก่ผม ขนาดพิการขนาดนี้ก็ยังคิดว่าชีวิตนี้ยังมีโอกาสทำอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งควรค่ากับการขอบคุณ อันนี้ก็เรียกว่าเขามอง มองในเชิงบวกมาก คือ ถ้ามองในเชิงลบก็เห็นแต่ความพิการของตัวเอง แต่ว่ารู้จักมองในเชิงบวกก็พบว่า โอ!ฉันยังดีที่ฉันยังมีสมองที่ยังคิดได้อย่างคนทั่วไป แล้วก็ยังมีโอกาสที่ชีวิตนี้มอบให้
คนเราถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าเวลาของเราเหลือน้อยแล้วก็ยิ่งไม่สมควรที่จะปล่อยใช้เวลา หรือ ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี่ไปกับความโศก ความเศร้า ความรู้สึกที่ย่ำแย่ รวมทั้งความสมเพชตัวเองด้วย ถ้ามองให้เห็น ให้เห็นอีกมุมหนึ่งมันก็จะช่วยฉุดจิตออกจากความทุกข์ได้ ออกจากความสมเพชเวทนาตัวเองได้ หรือออกจากความขุ่นเคือง อันนี้เป็นเรื่องมุมมอง อันนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจเวลาเราอยู่ในความทุกข์ เวลาเกิดความทุกข์ขึ้นมา ให้รู้ว่าเรากำลังจมอยู่ในหลุม แล้วหลุมนี้มันก็จะดึงเราลงไปให้ดิ่งลงไปเรื่อยๆ ให้มันมืดลงไปมืดลงไปเรื่อยๆ ต้องตั้งสติแล้วก็ฉุดจิตฉุดใจขึ้นมา กลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลับมาอยู่กับความรู้สึกตัว แค่กลับมาอยู่กับปัจจุบันมันช่วยได้เยอะแล้ว หรือ กลับมาอยู่กับกาย มือเคลื่อนไหว ยกมือเคลื่อนไหว ลมหายใจเข้าออก หรือว่า เดินไปเดินมากลับมาอยู่กับความรู้สึกตัวมันก็ช่วยดึงออกมาจากความคิดที่มันคอยแต่จะฉุดจิตให้มันดิ่งลงไปในความทุกข์
แต่คนเราส่วนใหญ่ก็มักจะ มักจะไม่รู้วิธีที่จะฉุดตัวเองขึ้นมา เพราะถ้ารู้วิธีก็คงไม่ปล่อยให้ชีวิตมันย่ำแย่อย่างนี้ บางทีต้องอาศัยตัวช่วยและบางอย่างตัวช่วยก็ไม่มีอะไรมาก ที่มันมีคนแก่คนหนึ่งอายุก็ประมาณสักแปดสิบปีได้แล้วมั้ง ภรรยาที่อยู่ด้วยกันมาหกสิบปียาวมาก เกิดเสียชีวิต
พอภรรยาตายนี่หมดเลยชีวิตจมดิ่งอยู่ในความเศร้า ไม่ยอมกินอะไรเลยเหมือนกับว่าหมดพลังชีวิตแล้ว ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม หมดอาลัยตายอยาก ลูกๆก็เคี่ยวเข็ญให้กินก็ไม่ยอมกินแล้วก็ไม่ยอมทำอะไร เอาแต่นั่งหรือไม่ก็นอน ลูกๆต้องพาไปอาบน้ำต้องพาไปทำโน่นทำนี่เพราะว่าเจ้าตัวไม่มีกำลังจะทำอะไรแล้ว แล้ววันหนึ่งเจ้าตัวก็ขับรถลงคู ตำรวจสันนิษฐานว่าคงไม่ใช่อุบัติเหตุคงตั้งใจจะฆ่าตัวตาย ลูกรู้เข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยตัดสินใจพาพ่อมา มาที่บ้านพักคนชรา มาบ้านพักคนชรานี่ก็หนักเข้าไปใหญ่เลยเพราะว่าแทนที่จะรู้สึกสูญเสียเมีย ก็รู้สึกต่อไปว่าสูญเสียบ้าน พลัดพรากจากบ้าน แล้วก็สูญเสียอิสรภาพด้วย อยู่ที่บ้านนี่ยังเป็นนายของตัวเองแต่พอมาบ้านพักคนชรานี่ก็เหมือนกับว่าอยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่ อิสรภาพก็หมดไป สูญเสียทุกอย่างก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ไม่เป็นทำอะไรเลยไม่กินทั้งสิ้นนอนอย่างเดียวจนกระทั่งใครๆก็คิดว่าสงสัยตายแน่ มันหมดพลังในการมีชีวิต แล้วก็บังเอิญโชคดีบ้านพักนี้เขามีนโยบายใหม่
ผู้อำนวยการก็เป็นคนรุ่นใหม่เขาก็เอาสัตว์มาเลี้ยงในบ้านพักคนชรา เอานกแก้วมาร้อยตัว เอาหมามาสี่ตัว และแมวอีกสามสี่ตัวเนียะเข้ามาในบ้านพักซึ่งมันผิดระเบียบ แต่ว่าเขาก็พยายามไฟท์จนกระทั่งกรรมการยอมให้เอาสัตว์เลี้ยงเข้ามา ที่ไม่ให้เอาสัตว์เลี้ยงเข้ามาเพราะอะไรเพราะว่ากลัวว่ามันจะไม่สะอาด มันมีเชื้อโรค แล้วก็หมาแมวพอมันขี้ะมันก็เป็นสกปรก คนแก่นี่ก็ภูมิต้านทานต่ำอยู่แล้ว เขากลัวว่าเอาสัตว์มามันจะทำให้เกิดความเจ็บป่วยขึ้น ผู้อำนวยการเขาก็ไฟท์จนกระทั่งเอามาได้แล้วก็คนแก่คนนี้แกก็ได้นกแก้วสองตัว เจ้าหน้าที่เขาก็เอานกแก้วสองตัวมาเลี้ยงไว้ในห้อง ก็ปรากฏว่าพอนกแก้วมาได้ไม่กี่วันแกก็เริ่ม เริ่มสนใจนกแก้วแล้ว เริ่มปรับท่านั่งท่านอนให้มันสามารถ ให้เขาสามารถจะเห็นนกแก้วได้ชัดๆหน่อย ก็นั่งหรือนอนอยู่บนเตียงนั้น ไม่ไปไหน แต่ก็เริ่มสนใจนกแก้ว
ต่อมาเจ้าหน้าที่มาก็เริ่มคุยกับเจ้าหน้าที่ว่า นกแก้วตัวนี้มันร้องทั้งวันเลย หรือ บางทีก็คุยกับเจ้าหน้าที่ว่า นกแก้ววันนี้มันไม่กินอะไรเลย ที่ไม่เคยพูดคุยเริ่มคุยแล้ว เริ่มสนใจนกแก้วแล้วก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มขยับตัวออกจากเตียง ลุกจากเตียงไปโน่นมานี่บ้างแล้ว สนใจนกแก้วหาอาหารมาให้นกแก้วกิน กลายเป็นว่ากลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ เห็นได้ชัดเลยว่านกแก้วนี่มันดึง ดึงจิตใจของคุณปู่คนนี้ให้ออกมาจากโลกแห่งความคิด พอดึงออกมาแล้วก็กลับมาเริ่มรู้เนื้อรู้ตัว ตอนหลังก็เริ่มจะกินข้าวแล้ว กินข้าวเองไม่ต้องให้ใครป้อนแล้วก็เริ่มที่จะแต่งตัวเองไม่ต้องให้ใครแต่งไม่ต้องให้ใครมาอุ้มไปอาบน้ำ อาบน้ำเองแล้วก็เริ่มที่จะลุกจากเตียงออกจากห้อง อาสาพาหมาออกไปเดินเล่น ปรากฏว่าในที่สุดสุขภาพดีอยู่แค่สามเดือนก็ออกจากบ้านพักคนชรากลับบ้านได้ กลับมามีชีวิตชีวาใหม่เหมือนกับตอนก่อนที่จะเสียภรรยา นี่เป็นตัวอย่างว่าบางทีคนเรามันหมดอาลัยตายอยากเพราะชีวิตมันจมอยู่กับความคิด จมแล้วก็หมุนวนจนกระทั่งออกไม่ได้ คิดแต่เรื่องภรรยา คิดแต่เรื่องความหลัง เหตุการณ์ที่เศร้าโศกแล้วก็จมดิ่งไป คนเหล่านี้นี่จะออกจะหายได้ต้องออกจากความคิดแต่มันออกไม่ได้ แต่บังเอิญสัตว์มันช่วยได้ มันสามารถจะดึง ความ ดึงจิตเขาออกมาจากโลกแห่งความคิด พอดึงออกมาจากโลกแห่งความคิด เขากลับมารู้เนื้อรู้ตัว ก็เริ่มที่จะใช้ชีวิตเหมือนกับคนปกติจนกระทั่งหายจากความเจ็บป่วย จริงๆเขาก็ไม่ได้ป่วยอะไรอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องใจแท้ๆ
บางครั้งการดึงจิตออกจากโลกแห่งความคิดนี่มันก็สำคัญ เมื่อสักสามสิบกว่าปีก่อนมีเพื่อนมาบวชที่นี่ สมัยนั้นสุคะโตก็ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไร เพื่อนคนนี้แกก็ผิดหวังในความรัก เสียศูนย์มากเลยเสียศูนย์จนกระทั่งแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคนและก็มีคนแนำให้มาบวชแล้วก็มาบวชอยู่กับหลวงพ่อ สิ่งที่หลวงพ่อคำเขียนทำก็คือว่า พาเขาชมนกชมไม้ บางทีก็ชี้ให้ดูว่านี่ต้นอะไร ใบเป็นยังไง แนำให้ดูสถานที่ เห็นต้นไม้ คือ พาชี้พาชมสิ่งต่างๆที่อยู่แวดล้อมจนกระทั่งค่อยๆหาย ค่อยๆหายจากความซึมเศร้าและตอนหลังก็ปฏิบัติธรรมเจริญสติจนกระทั่งเกิดความก้าวหน้าขึ้นมา ทุกวันนี้ก็สนใจธรรมะเป็นคนที่ไปชักชวนใครต่อใครให้มาสนใจธรรมะให้มีสติรู้สึกตัว เวลาคนจมอยู่ในอารมณ์มันจำเป็นมากเลยที่จะต้องดึงเขาออกมา และวิธีการดึงก็คือให้มาสนใจสิ่งภายนอกสิ่งรอบตัว นักปฏิบัติธรรม ปัญหานักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่คือส่งจิตออกนอก แต่สำหรับคนที่มีปัญหามันชอบจิตมันชอบเพ่งเข้าในจมอยู่ในความคิดจะแก้ได้ก็ต้องดึงจิตออกมา ออกมาสนใจสิ่งภายนอก เลิกไปเพ่งจิตบังคับใจหรือไปจมในความคิดหรืออดีต
สมัยที่หลวงพ่อคำเขียนปฏิบัติใหม่ๆท่านก็เป็นคนที่ชอบสมถะจิตท่านก็จะเพ่งเข้าใน ตอนที่มาปฏิบัติกับหลวงพ่อเทียนก็ไม่ค่อยชอบวิธีการเพราะว่าหลวงพ่อ หลวงพ่อเทียนให้เปิดตาให้เคลื่อนมือยกมือ หลวงพ่อเทียน หลวงพ่อคำเขียนอยากอยู่นิ่งๆ ตอนนั้นเป็นฆราวาสอยากจะปิดตาอยู่นิ่งๆ สงบ หลวงพ่อเทียนก็พยายามให้รู้สึกตัว ตอนหลังก็ท่านก็ ก็เข้าใจเรื่องการปฏิบัติแล้วก็เห็นผล ก็มีศรัทธา
เดือนหนึ่งท่านเล่าว่ากำลังปฏิบัติอยู่ในกุฏิ ปิดประตู หลวงพ่อเทียนก็มา มาหา มาสอบอารมณ์ มายืนอยู่หน้าประตูแล้วก็ถามว่า ทำอะไรอยู่ ทีแรกถามว่าอยู่มั้ย อยู่ครับ ทำอะไรอยู่ กำลังสร้างจังหวะครับ เห็นข้างในมั้ย เห็นครับ เห็นข้างนอกเห็นมั้ย ไม่เห็นครับ ทำยังไงถึงจะเห็นข้างนอก หลวงพ่อคำเขียนก็เลยลุกมาเปิดประตู เห็นข้างนอกหรือยัง เห็นแล้วครับ ให้เห็นทั้งข้างนอกทั้งข้างใน แล้วท่านก็เดิน เดินจากไป หลวงพ่อคำเขียนทีแรกก็สงสัยว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่พอครุ่นคิดพิจารณาสักพักก็เข้าใจแหละ หลวงพ่อเทียนมาเตือนว่าอย่าไป อย่าไปส่งจิตเพ่งเข้าใน ให้ให้เห็นข้างนอกด้วย ให้รับรู้โลกภายนอกด้วยแต่ก็ไม่ใช่ว่าเพ่งออกนอกจนกระทั่งมันลืมข้างในก็คือให้รู้จักวางใจเป็นกลางๆเห็นทั้งข้างนอกและข้างใน อันนี้ก็ทำให้หลวงพ่อคำเขียนท่านได้แนวการปฏิบัติที่ทำให้เจริญก้าวหน้าแล้วท่านก็เคยใช้ตอนที่ท่านไปวัดโมก จะเรียกว่าเป็นเทคนิคนี้ก็ได้ในการช่วยคนเรียกว่าหลงอยู่ในอารมณ์
มีโยมคนหนึ่งก็มาทำวัตรเช้าทุกวันเป็นประจำ แต่วันนั้นเช้าก็ไม่มาทำวัตรถึงเวลาอาหารก็ไม่มา หลวงพ่อก็ฉันเสร็จก็เลยไปที่กุฏิของโยมคนนั้น ถึงหน้ากุฏิก็เรียก โยมคนนั้นพอได้ยินเสียงหลวงพ่อก็ตะโกนขึ้นมาเลยว่า ช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วย เกิดอะไรขึ้นหรือหลวงพ่อก็ไปดู ปรากฏว่าแกบอกว่ายกมือ มือมันค้าง ยกมือสร้างจังหวะแล้วมือมันค้าง นึกออกมั้ย ยกมือสร้างจังหวะแบบนี้แล้วเสร็จแล้วก็ค้าง ตั้งแต่ตีสามแล้ว เอามือลงออก เอามือลงไม่ได้จนแปดโมงเช้า คิดดูห้าชั่วโมง ค้างหลวงพ่อรู้เลยเกิดอะไรขึ้น หลวงพ่อแทนที่จะบอกเออ! แทนที่จะมาคุยเรื่องปฏิบัติ ก็คุย โยมมีลูกกี่คน แล้วลูกนี่แต่งงานหรือยัง แต่งแล้วครับ มีหลานหลานกี่คน แกก็ตอบไป คิดถึงหลานมั้ย บางทีท่านก็พูดแย้ง พูดแย้งหรือตั้งคำถาม ก็ชวนคุยเรื่องครอบครัวเรื่องลูกเรื่องหลาน คุยไปคุยมา มือของโยมคนนั้นตกเลยกลับมาเป็นปรกติ แล้วยังไม่รู้ตัวแล้วก็ยังคุยต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งสักพัก อ้าว!มือตกแล้วเหรอ
สิ่งที่หลวงพ่อทำคืออะไร ก็ชวนเขาออกมาสนใจภายนอก เพราะจิตมันเพ่งเข้าในจิตมันจมเข้าไปในอารมณ์ เพราะฉะนั้นบางทีเวลาคนเราที่มันจมอยู่ในอารมณ์หรือว่าจิตมันเพ่งเข้าใน โดยเฉพาะนักปฏิบัติที่เน้นเรื่องการไปบังคับจิตมากไปจับจ้องจิตไปบังคับจิตไปห้ามจิตไม่ให้คิดแล้วก็หรือไม่ก็ไปพยายามที่จะ เพ่งที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายพวกนี้ก็มักจะอาจจะเกิดอาการแบบนี้ได้ ทำแล้วเครียดจิตมันจมอยู่ในอารมณ์ก็ต้องพยายามดึงออกมา และถ้าคนที่มีสติก็จะใช้สติดึงจิตออกมาแต่ถ้าหากว่าสติอ่อนก็ต้องอาศัยใช้ตัวช่วยแต่หลักการคือเหมือนกันต้องดึงจิตออกมา ไม่ว่านักปฏิบัติที่จมอยู่ใน ที่ว่าเพ่งเข้าในหรือว่าเป็นชาวโลกทั่วๆไปที่จมอยู่ในความเศร้า ความโกรธ ความแค้น จำเป็นมากที่จะต้องดึงจิตออกมา ออกมาอยู่กับเนื้อกับตัว ออกมาอยู่กับปัจจุบัน
ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราไม่อาจจะหวังพึ่งพาตัวช่วยได้เพราะว่าตัวช่วยนี่จะ จะ จะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะมีครูบาอาจารย์มาทักหรือเปล่า หรือว่าจะมีใครมาเตือนมาชี้มา ถ้าเราไม่มั่นใจ และที่จริงก็ไม่ควรหวังพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ด้วย เราก็ต้องหันมาสร้างสติของเราเอง ให้สติของเรามันไวพอที่จะรู้ทันอารมณ์ที่มันเริ่มเข้ามาครอบงำเกาะกินจิตและก็ดึงจิตออกมา อย่าปล่อยให้มันจมลงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าจมลงไปเรื่อยๆก็ยังถ้าเรามีวิธีคิดที่แยบคาย มีโยนิโสมนสิการมันก็ยังช่วยได้ อย่างตัวอย่างสองคนที่พูดมา เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเสียใจ ผมไม่อยากจะใช้ชีวิตที่เหลือไปกับความสมเพชตัวเองหรือความโกรธเคือง เราถามตัวเองว่าเรา ถ้าเรายังมีความเศร้า มีความทุกข์เราอยากจะใช้ชีวิตของเราให้มันหมดไปกับสิ่งเหล่านั้นหรือเปล่า หรือคิดว่าชีวิตของเรามีอะไรที่ดีกว่านั้นที่รอให้เราพบหรือมีสิ่งที่ดีกว่านั้นที่รอให้เราทำเพื่อทำให้ชีวิตของเราเจริญงอกงามมากขึ้น