แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง ขับเครื่องบินเพื่อที่จะข้ามเทือกเขาแอนดีส เทือกเขาแอนดีสนี้เป็นเทือกเขาที่สำคัญ สูงมากในอเมริกาใต้ ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุ เครื่องไปตกอยู่กลางเทือกเขาซึ่งเต็มไปด้วยหิมะ แล้วนึกภาพ คล้ายๆ เทือกเขาหิมาลัย หิมะทั้งนั้น เขารอดตายจากอุบัติเหตุแต่ว่าต้องพยายามเดินข้ามเขาไปให้ได้ เพราะว่ามันไม่มีอะไรเลย มีแต่หิมะกับก้อนหิน หนาวก็หนาว อาหารก็มีน้อยมาก ก็เดินไป 3 วันยังไปไม่ถึงไหน แล้วลองนึกดู 3 วันอาจจะกลางคืนด้วยที่ต้องเดินลุยหิมะ ในที่สุดก็หมดเรี่ยวหมดแรง แต่เขารู้ว่าถ้าเขานอนอยู่ตรงนั้นก็คงตายแน่ ก็พยายามที่จะรวบรวมกำลังเพื่อจะเดินต่อไป แต่เดินได้ไม่นานก็หมดแรง ตอนนั้นมันไม่มีความหวังเลย เพราะว่ารอบๆ ก็มีแต่หิมะ ภูเขาก็สูง เขาก็เลยทำใจคิดว่าตายแน่ ก่อนที่จะตายก็ร่ำลาเมียและลูก แต่ว่าพอร่ำลาแล้วพร้อมที่จะตายแล้ว ปรากฏว่านึกขึ้นมาได้ว่าถ้าตายตรงนั้นคงจะไม่มีใครมาพบศพ แล้วถ้าไม่มีใครมาพบศพก็หมายความว่า เมียก็จะต้องมีปัญหาในการรับมรดกและเงินประกันชีวิต คงต้องใช้เวลาประมาณ 4 ปีกว่าที่จะได้รับเงินประกัน ในฐานะที่เป็นบุคคลสูญหายตามกฎหมายของฝรั่งเศสนั้น ถ้าตายหรือหายไม่พบศพก็ต้องรอจนกว่าจะผ่านไป 4 ปี ถ้าไม่เจอศพและไม่ปรากฏว่ามีชีวิตอยู่ก็ถือว่าเป็นบุคคลสูญหาย พินัยกรรม มรดก หรือว่าเงินประกันชีวิตก็จะตกอยู่กับทายาทหรือว่าผู้ได้รับประโยชน์ เช่น เมีย
พอคิดเช่นนี้ว่า ถ้าเกิดตายตรงนั้นเมียเรากว่าจะได้รับมรดก ได้รับเงินประกันชีวิตก็ต้อง 4 ปี กว่าจะถึงตอนนั้นเมียและลูกคงจะลำบากมาก ก็เลยตัดสินใจว่าตายตรงนั้นไม่ได้ บังเอิญมองไปข้างหน้าก็เห็นก้อนหินก้อนใหญ่อยู่ประมาณ 100 เมตร มันค่อนข้างจะโดดเด่นอยู่ซักหน่อย ก็คิดว่าถ้ากระเสือกกระสนปีนขึ้นไปตายบนนั้น ใครมาตามหาก็คงจะพบร่าง ซึ่งก็จะทำให้เมียสามารถจะได้รับมรดก แล้วก็เงินประกันชีวิตได้ทันทีเลย เพราะว่าผัวตายแล้วพบศพ แกก็เลยรวบรวมกำลังทั้งๆ ที่ไม่มีแรงอยู่แล้ว แต่ว่าความเป็นห่วงลูกเป็นห่วงเมียนี้แหละ ทำให้แกพยายามที่จะดิ้นรนกระเสือกกระสน รวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายเพื่อที่จะไปถึงหินก้อนนั้น แล้วในที่สุดก็ไปถึง แต่ปรากฏว่าเรี่ยวแรงไม่รู้มาจากไหน ทำให้เขาสามารถที่จะเดินต่อไปได้ ปรากฏว่าเขาเดินต่อไปเกือบ 100 กิโลเมตร จนกระทั่งไปถึงหมู่บ้านเชิงเขา รอดตายอย่างน่าอัศจรรย์ คนที่จะตายอยู่แล้ว แล้วก็คิดว่า แค่ 100 เมตร เดินข้างหน้าก็คงจะไม่ไหว แต่ว่าความห่วงลูกห่วงเมีย มันทำให้มีแรง ไม่ใช่แค่แรงเฮือกสุดท้ายที่จะไปถึง 100 เมตรข้างหน้า แต่มันยังสามารถจะมีแรงต่อไปอีก
อันนี้เป็นเรื่องของใจโดยแท้ แต่ว่าเราก็คงทราบใจกับกาย นั้นมันเกี่ยวข้องกัน พอใจสู้บางทีกายมันก็สู้ไหว ก็ทำให้สามารถจะทำในสิ่งที่ไม่คาดฝันได้ เขาเดินต่อไปเกือบ 100 กิโลเมตรแล้วก็รอดตาย เรื่องราวของเขาจึงมาถ่ายทอดมาสู่เราฟังได้ ความห่วงใยคนอื่นนี้มันกระตุ้นให้จิตเรามีกำลัง ความห่วงใยก็ถือเป็นเมตตา เมตตา มันเป็นกุศลธรรมที่สามารถจะกระตุ้นพลังฝ่ายบวกของคนเราให้ขึ้นมาได้ คนเรามีพลังอยู่ 2 อย่าง พลังฝ่ายลบ กับ พลังฝ่ายบวก พลังฝ่ายลบก็เช่น ความโกรธ เราก็คงทราบว่าคนเวลาเราโกรธก็สามารถจะทำลายผู้คน สิ่งของ หรือ สร้างความฉิบหายได้มากมาย แต่ในเวลาเดียวกัน พลังบวก ถ้าปลุกขึ้นมามันก็สามารถจะทำสิ่งที่คาดไม่ถึงได้ อย่างกรณีนี้ พลังบวกมันปลุกขึ้นมา ทำให้เขามีเรี่ยวมีแรง การคิดถึงคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องนึกถึงคนที่ใกล้ชิดเราก็ได้ ไม่ต้องนึกถึงลูก นึกถึงเมีย บางทีนึกถึงคนที่เรารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ แม้จะไม่ได้รู้จักกันมากเท่าไหร่ มันก็ทำให้มีพลัง
มีผู้ชายไทยคนหนึ่ง ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ปรากฏว่าเป็นตายเท่ากัน ไตวาย หมอบอกว่าเป็นตายเท่ากัน ตอนที่มาถึงโรงพยาบาลก็โคม่าแล้ว พูดแบบทั่วๆ ไปคือไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่จริงๆ แล้วก็คือแม้โคม่า แต่เจ้าตัวยังสามารถจะรับรู้อะไรได้ อย่างผู้ชายคนนี้ตอนที่โคม่า มันมีช่วงที่เขารู้สึกจะไม่ไหวอยู่หลายครั้ง ตอนที่ไม่ไหวมันเหมือนกับว่าจิตมันจะหลุดออกจากร่างให้ได้ แต่บ่อยครั้งนี้จะรู้สึกว่ามีใครมาสัมผัสตัว แล้วส่งพลังมาให้เขา พลังนั้นมันสามารถที่จะดึงจิตเขากลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้ เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งพอเขาเริ่มฟื้นจากโคม่า เขาก็เลยรู้ว่า มีพยาบาลคนหนึ่งเป็นหัวหน้าพยาบาล ทุกเช้ามาขึ้นเวร เธอก็จะไปเยี่ยมผู้ป่วย แต่ละเตียงๆ ใครที่รู้สึกตัว เธอก็พูดให้กำลังใจ พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน คนไหนที่ไม่รู้สึกตัว เธอก็จะเอามือสัมผัส แล้วก็แผ่เมตตาไปให้ ในใจก็นึกว่าขอให้คุณได้ฟื้นจากความเจ็บป่วย ได้มีกำลังวังชาหายไวๆ
เมตตาของเธอนี้ มันสามารถที่จะส่งพลังไปให้คนซึ่งโคม่ารับรู้ได้ มันก็ทำให้คนซึ่งกำลังจะตาย หรือว่าจะหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่แล้ว ก็กลับมามีกำลังจนกระทั่งฟื้นจากโคม่า แต่ว่าฟื้นจากโคม่าแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยทีเดียว แม้เริ่มรู้เนื้อรู้ตัวแล้ว แต่ว่ามันจะมีบางช่วงที่มีปัญหาเรื่องการหายใจ โดยเฉพาะเวลากลางค่ำกลางคืนตกดึกนี้ จะหายใจลำบากมาก มันเหมือนกับแบกข้าวสารกระสอบหนึ่งแล้วก็เดินขึ้นเขา จะตายให้ได้ รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว แต่ว่าพอรู้สึกแบบนั้น คนป่วยคนนี้ก็จะนึกถึงหัวหน้าพยาบาลว่า ถ้าเกิดวันรุ่งขึ้นหัวหน้าพยาบาลลงเวรแล้วมาพบว่าเขาเสียชีวิตแล้ว หัวหน้าพยาบาลก็อาจจะรู้สึกเสียใจ และอาจจะโทษตัวเองว่า เราทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า เราทำอะไรบกพร่องไหม ทำให้คนไข้ตาย คิดแบบนี้ก็เป็นห่วงพยาบาลขึ้นมา แกก็เลยตั้งใจอยากจะหาโอกาสร่ำลาพยาบาลก่อน อยากจะบอกพยาบาลว่า คุณทำเต็มที่แล้ว คุณทำดีที่สุดแล้ว แต่ร่างกายผมมันไม่ไหวจริงๆ ถ้าผมตายไป มันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณ แกต้องการที่จะร่ำลาพยาบาลและบอกแค่นี้แหละ เพราะซาบซึ้งในเมตตาจิตของพยาบาลมาก เพราะฉะนั้นแกก็พยายามอดทนเพื่อที่จะไปถึงตอนเช้า อยู่ให้ถึง ให้รอดถึงตอนเช้า เพื่อที่จะบอกประโยคนี้แหละ
แต่พอถึงตอนเช้า อาการเหล่านี้มันก็ซาลง สบายขึ้น พอหัวหน้าพยาบาลมา แกก็ลืมบอก ตกดึกก็เป็นใหม่ แกก็จะไม่ยอมตาย พยายามที่จะอยู่ให้ถึงเช้าเพื่อที่จะบอกพยาบาล ไม่อยากให้พยาบาลเสียใจรู้สึกผิด พอถึงตอนเช้าอาการก็ดีขึ้น แล้วก็ลืมบอกอีก คืนต่อมาก็เป็นอีก ก็เหมือนเดิม แกก็พยายามที่จะอยู่ให้ถึงเช้า เพื่อที่จะบอกพยาบาลว่าไม่ใช่ความผิดของคุณ แล้วพอถึงตอนเช้าแกก็ดีขึ้นแล้วก็ลืม สุดท้าย แกก็รอดตายแล้วร่างกายก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติ คนป่วยคนนี้ถ้าแกไม่ได้พยาบาล แกคงตายไปแล้ว แกไม่ใช่จะรอดตายเพียงเพราะความเมตตาของพยาบาลเท่านั้น อันนั้นก็เป็นครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งก็คือความห่วงใยพยาบาล ที่คนไข้รู้สึก ความห่วงใยว่าพยาบาลเขาจะรู้สึกยังไง เขาจะเป็นทุกข์ไหม มันทำให้แกมีเรี่ยวมีแรงมีพลังที่จะฟันฝ่าทุกขเวทนาที่บีบคั้นไปให้ได้ ความทุกข์ใจเป็นเรื่องเล็กลง เมื่อนึกถึงความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นกับหัวหน้าพยาบาล
2 ตัวอย่างนี้มันชี้ให้เห็นเลยว่า คนเราเวลานึกถึงผู้อื่นนี้ ด้วยความเมตตาด้วยความห่วงใย มันทำให้เรามีพลัง เวลานึกถึงว่าเขาจะเดือดร้อนยังไง เราอยากจะช่วยเขาให้คลายความทุกข์ หรือว่าให้หลุดพ้นจากความวุ่นวาย ความเดือดร้อน พอนึกจะช่วยเขาปรากฏว่ามันกลับมาช่วยเรา อันนี้ก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อรักษาผู้อื่นก็เท่ากับว่ารักษาตน แปลง่ายๆ คือ เมื่อช่วยหรือคิดจะช่วยผู้อื่นนี้ มันก็คือการกลับมาช่วยตัวเอง คนมักคิดว่าพอไปคิดถึงผู้อื่นช่วยผู้อื่นนี้ เราขาดทุน เราเสียเวลา เสียเงิน เราเดือดร้อน แต่มันไม่ใช่เลย พอเราคิดถึงผู้อื่น เป็นห่วงผู้อื่นความทุกข์ของเรามันจะเล็กลง มันทำให้มีความอดทน ทำให้มีความพากเพียรยิ่งกว่าเดิมได้ ที่คิดว่าทนเต็มร้อยแล้ว สามารถจะทำเกินร้อยได้ อย่างชายชาวฝรั่งเศสคนนั้น แกสามารถที่จะมีเรี่ยวมีแรงทำเกินร้อย เพียงเพราะว่าเป็นห่วงเมีย เป็นห่วงลูก คนไข้คนที่ว่านี่ก็เหมือนกัน ถ้าแกไม่ได้นึกถึงพยาบาล แกก็คงตายไปแล้ว ถึงแม้ว่าพยาบาลจะช่วยแกให้กลับมาฟื้นจากโคม่า แต่ถ้าแกไม่นึกห่วงใยพยาบาลว่า เขาจะรู้สึกยังไงถ้ามาพบว่าเราตายไปแล้ว แกก็คงจะตายจริงๆ เพราะฉะนั้นการคิดถึงผู้อื่นนี้ มันเป็นการเพิ่มพลังให้กับตัวเรา แล้วมันทำให้เราสามารถที่จะอยู่ได้ยั่งยืนมากขึ้นด้วยซ้ำ
มีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แกติดเชื้อ HIV จากสามี ยังสาวอยู่เลย ถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์นี้คงจะคับแค้นมากเลย เพราะว่าผู้ชายคงจะไปเที่ยวผู้หญิง แล้วก็ไปติดเชื้อมาจากผู้หญิง เสร็จแล้วก็มาถ่ายเชื้อให้กับเมีย แต่เธอไม่มีความโกรธแค้นสามีเลย เธอก็พยายามดูแลสามีซึ่งตอนหลังก็ป่วยเป็นเอดส์แล้วก็ตาย พอเธอกลายเป็นแม่หม้าย เธอก็นึกถึงผู้หญิงคนอื่นที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันกับเธอ หญิงที่ติดเชื้อ ทั้งโสดทั้งที่เป็นแม่หม้าย เธอก็อยากไปช่วยเขา ก็ไปเป็นจิตอาสา ไปช่วยคนเหล่านี้ ให้ความรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วย ให้ความรู้เรื่องการดูแลตัวเอง ตอนหลังก็ช่วยสงเคราะห์เรื่องอย่างอื่นด้วย ช่วยเรื่องยา เป็นจิตอาสาช่วยเรื่องยา ตอนหลังก็ขยายงานออกไป ไปให้การศึกษาเป็นวิทยากรอบรมเด็กนักเรียนวัยรุ่น ทั้งหญิงและชาย ให้รู้จักมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย รู้จักดูแลตัวเอง ตอนหลังก็ขยายออกไปเป็นการพัฒนาชุมชน ให้ความรู้แก่ชาวบ้านในการฝึกอาชีพ เพราะว่าถ้ามีความรู้ เรื่องอาชีพ เรื่องทักษะการทำมาหากิน จบแล้วก็คงไม่ไปเป็นโสเภณี หรือว่าไปเป็นกรรมกร เสร็จแล้วก็ไปเที่ยวซ่อง แล้วก็ติดเชื้อ งานของเธอก็ขยายกว้างขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นงานพัฒนาชุมชน การส่งเสริมการศึกษา เธอได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรในที่ต่างๆ ออกรายการโทรทัศน์ก็หลายรายการ
ผ่านไป 20 ปีเธอก็ยังมีชีวิตอยู่ โดยที่ไม่ได้กินยาต้านเชื้อด้วย ก็มีคนถามเธอว่า พี่ทำงานเยอะแบบนี้ พี่ไม่กลัวป่วยหรอ ที่จริงคนถามอยากจะถามมากกว่านั้นว่า พี่ไม่กลัวตายหรอ เธอตอบดี เธอตอบว่า ถ้าพี่คิดถึงแต่ตัวเอง พี่ป่วยไปนานแล้ว หรือถ้าพี่คิดถึงแต่ตัวเอง พี่ตายไปนานแล้ว การที่คิดถึงผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่นมันทำให้จิตใจเธอมีกำลัง แล้วก็คงส่งผลต่อร่างกายของเธอ ทำให้มีภูมิคุ้มกันดีขึ้น เชื้อนี้มันก็เลยไม่ลุกลาม เมื่อภูมิคุ้มกันดี มันก็สามารถจะคุมเชื้อเอาไว้ได้ และภูมิคุ้มกันดีก็เพราะใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข สุขเพราะอะไร สุขเพราะมีเมตตา กรุณา ช่วยผู้อื่นให้มีความสุข เราก็พลอยมีความสุขไปด้วย พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ให้ความสุขย่อมได้รับความสุข ถ้าเธอคิดถึงตัวเอง ความทุกข์ของเธอจะเป็นเรื่องใหญ่ เธอจะมัวแต่วิตกกังวลว่า ฉันจะตายเมื่อไหร่ ทำอะไรนิดหน่อยก็ไม่กล้า เดี๋ยวกลัวว่าเชื้อจะลาม ออกกำลังกายนิดหน่อย เดี๋ยวก็กลัวว่าจะป่วย คนที่คิดถึงแต่ตัวเองนี้ จะเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างโน้นก็ไม่ได้ มันจะเอาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วคนที่คิดถึงแต่ตัวเอง เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนที่คิดถึงแต่ตัวเอง เพียงแค่สิวไม่กี่เม็ดบนใบหน้า ก็จะทำให้จะเป็นจะตายให้ได้ ใช่ไหม เจอผมหงอกไม่กี่เส้นก็ทุกข์มากเลย แต่คนที่คิดถึงแต่ผู้อื่นแม้ติดเชื้อ มันก็ไม่หวั่น
เคยเล่าให้หลายคนฟัง เรื่องเด็กคนหนึ่งอายุ 7 ขวบ น้องโย น้องโยเป็นเด็กชายอายุ 7 ขวบ วันหนึ่งป้าชวนน้องโยซ้อนมอเตอร์ไซค์เข้าไปในเมืองนครปฐม แล้วก็เจออุบัติเหตุ รถพังยับเยินมอเตอร์ไซค์ ป้าแขนหักไปข้างหนึ่ง ส่วนน้องโย ขาเละไปหนึ่งข้าง ก็รีบพาส่งโรงพยาบาล ตลอดทางป้าเอาแต่ร้องโอดครวญ แต่น้องโยนิ่งเงียบ ไม่ร้องเลย จนถึงห้องผ่าตัด หมอผ่าตัดเสร็จ หมอก็สงสัย ถามน้องโยว่า ทำไมน้องโยไม่ร้องเลย เพราะหมอได้ยินเสียงป้าร้องครวญตลอดเวลา น้องโยตอบ ตอบดีมาก น้องโยบอกว่า กลัวป้าเสียใจครับ น้องโยรู้ว่าถ้าตัวเองร้อง ป้าคงจะใจสลาย เพราะว่ามาทำให้น้องโยพิการหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วยิ่งตัวเองก็แขนหักอยู่แล้ว ถ้าเกิดรู้ว่าน้องโยทุกข์ทรมานมาก ป้าคงแย่แน่ๆ น้องโยนึกถึงป้า ไม่ได้นึกถึงตัวเองเลย นึกถึงป้า ความทุกข์ความเจ็บปวดของน้องโยเลยกลายเป็นเรื่องเล็ก คนหนึ่งคิดถึงแต่ตัวเอง แค่เป็นสิว หน้ามีฝ้า ผิวแห้ง ผมแตกปลาย ก็ทุกข์แล้ว ทำไมฉันต้องมาเจอแบบนี้ ฉันทำอะไรถึงต้องมาเจอแบบนี้ อีกคนหนึ่งขาเละไปข้าง แต่ว่าไม่ร้องเลย มันเป็นเรื่องของคุณภาพจิต และคุณภาพจิตหนึ่งก็คือที่ว่า นึกถึงคนอื่นหรือว่านึกถึงตัวเองมากกว่ากัน ฉะนั้นการนึกถึงคนอื่น มันเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยตัวเอง มันเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยทำให้ความทุกข์ของเราเล็กลง หรือทำให้เราสามารถจะก้าวข้ามความทุกข์ของเราได้
คนเจ็บคนป่วยนี้ ถ้านึกถึงแต่ตัวเอง บางทีแย่ลงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเกิดว่านึกถึงคนอื่น ที่จริงอาจจะไม่ต้องนึกถึงคนอื่นก็ได้ นึกถึงสัตว์ก็ได้ ความมีเมตตาต่อสัตว์ ก็ช่วยฟื้นฟูสุขภาพทั้งกายและใจได้ มันมีการค้นพบว่า โอกาสที่จะตายอันเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันภายใน 1 ปี มันจะมีความแตกต่างกันมากเลย ระหว่างคนที่มีสัตว์เลี้ยงกับคนที่ไม่มี คนที่มีสัตว์เลี้ยงมีโอกาสตายภายใน 1 ปี น้อย ไม่ถึงหนึ่งในหกของคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง มันต่างกันมากเลย มันก็คือ 500-600% ถ้ามีสัตว์เลี้ยงนี้โอกาสจะตายมีน้อยกว่าถึงหนึ่งในหก เพราะฉะนั้น การที่มีสัตว์เลี้ยง มันทำให้เกิดความสุขในการที่ได้เลี้ยงดูเขา มันมีความสุขที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเขา มันช่วยทำให้ใจนี้ แทนที่จะคิดถึงแต่ตัวเอง ก็ไปอยู่ ไปจดจ่ออยู่กับสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นหมา เป็นแมว เป็นห่วงเขา ดูแลเขา เวลาเขาไม่กินอะไรก็ต้องหาอาหารมาให้ ดูเหมือนเป็นทุกข์ แต่ว่ามันกลับมีผลต่อร่างกายและจิตใจ
มีคุณปู่คนหนึ่งแกอายุ 80 กว่าแล้ว อยู่กับเมียมาตั้ง 60 ปี แล้ววันดีคืนดีเมียก็ตาย คนที่อยู่ด้วยกันมา 60 ปี แล้ววันหนึ่งตายจากไปนี้ สำหรับคนที่ยังอยู่ มันก็เหมือนตายทั้งเป็นเลย แล้วคุณปู่คนนี้แกก็เคว้งเลย เหงาหงอย ลูกก็ไม่ได้อยู่บ้าน อันนี้เป็นสังคมอเมริกัน ลูกก็ไม่ได้อยู่บ้าน ปู่แกก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม แกก็เริ่มไม่กินข้าว แล้วก็เริ่มป่วย หงอย ไม่มีชีวิตชีวา แล้ววันหนึ่งแกก็ขับรถตกคู ตำรวจบอกว่าไม่ใช่อุบัติเหตุหรอก สงสัยจะฆ่าตัวตาย ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมแล้ว ช่วยขึ้นมาได้ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ข้าวไม่กิน ไม่แต่งเนื้อแต่งตัว ลูกต้องพยายามที่จะดูแลทุกอย่าง แต่ลูกก็ดูแลไม่ไหว เพราะว่าลูกก็อายุ 50-60 แล้วก็มีครอบครัวของตัว ดูแลไม่ไหวก็ส่งไปบ้านพักคนชรา พาพ่อไปบ้านพักคนชราอย่างดี มีมาตรฐานสูง แต่กลับแย่ลง เพราะว่าคนที่เพิ่งเสียเมีย เสร็จแล้วก็ถูกพรากออกจากบ้านที่ตัวเองอยู่มาหลายสิบปี สูญเสียเมีย พรากจากบ้าน และยังสูญเสียอิสรภาพอีก เพราะพออยู่ในบ้านพักคนชราก็ไม่สามารถทำอะไรตามใจได้ ทุกอย่างก็ต้องใช้ชีวิต Routine หรือกิจวัตรของบ้านพัก ถึงแม้ว่าบ้านพักคนชราเขาจะดูแลเอาใจใส่ดี อาหารดี ยาดี แต่คนไข้นี้หงอยลงไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่กินอาหาร ไม่ดูแลเนื้อตัว จนกระทั่งเจ้าหน้าที่บอกว่า คงไม่รอด คงไม่รอด
แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง บ้านพักคนชราเขาก็มีนโยบายใหม่ ผู้อำนวยการนี้เก่งมาก เป็นคนรุ่นใหม่ แกมีแนวคิดว่าควรจะเอาสัตว์เข้ามาในบ้านพักคนชรา ซึ่งเป็นเรื่องแปลก ส่วนใหญ่เขาจะไม่อนุญาตให้เอาสัตว์เข้ามาเลี้ยง เพราะอะไร เพราะว่ากลัวสกปรก สัตว์มันมีเชื้อโรค ขี้ของมัน ไม่ว่าจะเป็นหมา เป็นแมว มันก็ไม่ดีต่อสุขภาพของคนแก่ ซึ่งภูมิต้านทานในร่างกายอ่อนอยู่แล้ว แล้วกลัวว่าจะไปเป็นการเพิ่มภาระให้กับคนทำงาน แต่ผู้อำนวยการเขาก็ไฟท์ จนกระทั่งสามารถที่จะเอาสัตว์เข้ามาได้ หมา 4 ตัว แมว 4 ตัว นกอีก 100 ตัว มันเปลี่ยนบรรยากาศไปเลย แทนที่คนจะคิดว่ามันจะวุ่นวาย ปรากฏว่าคนในบ้านพักคนชรานี้กลับมามีชีวิตชีวา คนแก่ที่ไม่พูดไม่คุยอะไรเลย นอนติดเตียง เริ่มคุยแล้ว เริ่มลุกขึ้นมา อย่างคุณปู่คนนี้แกไม่พูดไม่คุยกับใคร แกก็นอนบนเตียง ข้าวก็ไม่กิน แต่พอเอานก 2 ตัว นกคล้ายๆ นกหงส์หยกมาไว้ในห้องแก มันก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง แกก็เริ่มขยับเนื้อขยับตัว นอนและนั่งในท่าที่จะมองเห็นนก 2 ตัวนี้ได้ แต่ก่อนไม่สนใจเลย เหม่อลอย ตอนนี้สนใจนกแล้ว แล้วก็เริ่มกินข้าว แต่เดิมนี้ เสื้อผ้าต้องมีคนจัดให้ ตอนนี้แกเริ่มแต่งเนื้อแต่งตัวเอง และแกเริ่มพูดคุย
วันหนึ่งพนักงานเข้ามาในห้อง แกก็คุยกับเจ้าหน้าที่ว่า นก 2 ตัวนี้มันร้องเพราะ มันร้องทั้งวันเลย บางทีก็บอกว่ามันไม่กินข้าว วันนี้มันไม่กิน มันไม่กินอาหาร ช่วยดูมันหน่อย ตอนหลังแทนที่นอนติดเตียงหรือเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เริ่มออกไปนอกห้อง เพราะได้ข่าวว่า ข้างนอกมันมีหมาอยู่ แล้วเขาต้องการจิตอาสาพาหมาออกไปเดินเล่นตอนบ่าย หมานี่เลี้ยงแล้วต้องพาออกไปเดินเล่น ต้องการจิตอาสา ทางบ้านพักคนชราเขาไม่จ้างคนเพิ่ม เขาต้องการให้พนักงานและคนไข้นี้แหละ คนป่วยนี้แหละ ดูแลสัตว์เอง แล้วคุณปู่คนนี้ก็อาสาพาหมาออกไปเดินเล่น สุดท้ายแกกลับมาเป็นปกติ แล้วแกก็กลับบ้านได้ กลับมามีชีวิตชีวา
อันนี้ก็เป็นเรื่องของเมตตา รวมทั้งความผูกพันกับสัตว์ อย่าว่าแต่สัตว์เลย แม้แต่ต้นไม้ เอาต้นไม้ให้คนแก่รดน้ำ มันช่วยได้เยอะ เขามีการทำวิจัยคนชรา 2 กลุ่ม หง่อมทั้ง 2 กลุ่ม ทั้ง 2 กลุ่มนี้ได้ต้นไม้ใส่กระถาง กลุ่มหนึ่งจะมีเจ้าหน้าที่รดน้ำให้ อีกกลุ่มหนึ่ง เขาขอให้คนชรารดน้ำเอง ก่อนที่จะให้รดน้ำเองก็มีการพูดคุย มีการสนทนา มีการบรรยายว่า การที่เรารับผิดชอบตัวเราเอง การที่เราดูแลต้นไม้มันมีประโยชน์อย่างไร แล้วก็พบว่าผ่านไปปีครึ่ง กลุ่มที่ 2 ที่รดน้ำต้นไม้เองนี้ วันละครั้ง 2 ครั้ง ปรากฎว่ามีชีวิตยืนยาวขึ้น สุขภาพดีขึ้น ใช้ยาน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นยาปฏิชีวหรือว่ายากระตุ้น ยาบำรุงหัวใจอะไรต่างๆ ก็ใช้ยาน้อยลง อันนี้มันมีมันเห็นเป็นรูปธรรมเลย อายุยืนขึ้น ตายน้อยลง และใช้ยาน้อยลง เพราะอะไร เพราะว่าคนเริ่มมีความผูกพันกับต้นไม้ เริ่มมีความห่วงใย มีความสุขที่มันได้เจริญงอกงาม อันนี้ก็เป็นเรื่องของการกระตุ้น บำรุงเมตตากรุณา เพราะฉะนั้นเพียงแค่เราชอบปลูกต้นไม้ ดูแลต้นไม้ มันช่วยได้เยอะ ยิ่งถ้าเป็นคนแก่ด้วย ถ้าได้ทำสิ่งเหล่านี้ แทนที่จะนั่งดูแต่โทรทัศน์ หรือว่านั่งขลุกอยู่แต่ในบ้าน ออกมาทำประโยชน์ ดูแลต้นไม้ ปลูกต้นไม้ ออกไปปลูกป่าบ้าง อย่างที่เราทำเมื่อเช้า หรือว่าจิตอาสา
อาตมาเคยไปไต้หวัน ไปดูงานของมูลนิธิฉือจี้ เมื่อเกือบสิบปีมาแล้ว ฉือจี้นี้เขาเป็นมูลนิธิที่น่าอัศจรรย์มาก ชื่อเป็นมูลนิธิ แต่มีสมาชิกเกือบ 1 ใน 4 หรือ 1 ใน 5 ของประชากรไต้หวัน ยิ่งใหญ่กว่าสำนักธรรมกายเยอะเลย แล้วรวยกว่าด้วย แต่ว่าเงินที่เขามี เอาไปช่วยทำประโยชน์ให้กับสังคม ตั้งมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และที่สำคัญที่มีชื่ออันหนึ่งก็คือสถานีแยกขยะ มีตั้ง 5,000-6,000 แห่งทั่วประเทศ เวลาพูดถึงสถานี อย่าไปนึกว่ามีอาคารใหญ่ๆ แล้วก็เหมือนกับเป็นโรงงานอะไร จริงๆ บางทีก็คล้ายๆ เป็นโกดังอะไรนี่ และคนที่ทำงานเป็นจิตอาสา แล้ว 90% ก็เป็นคนแก่ คนแก่นั่งยองๆ ฉีกกระดาษ เอาหัวจุกขวดน้ำแยกออกมาหรือบางทีก็แยกเอาทองเหลืองทองแดงออกมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คนแก่ๆ เหล่านี้ที่เราเรียก อากง อาม่า พวกนี้จริงๆ เดิมเป็นผู้จัดการบ้าง เป็นวิศวกร เป็นสถาปนิกบ้าง เป็นนายธนาคารบ้าง อยู่บ้านเฉยๆ พอเกษียณแล้วไม่รู้จะทำอะไร หลายคนนี่หงอย แต่พอไปเป็นจิตอาสา มาช่วยงานสถานีแยกขยะของฉือจี้ ก็กระชุ่มกระชวยเลย
มีคนแก่คนหนึ่งบอกว่า ผมคือขยะคืนชีพ นึกออกไหม ก่อนที่มาทำนั้น เป็นขยะ ไม่มีคุณค่า มีเงิน นั่งกินนอนกินก็ได้ แต่ไม่มีอะไรทำ ลูกก็ไม่มีหลานให้เลี้ยง ถ้าเป็นคนแก่อีสาน คนแก่ชนบทก็มีงานทำ เลี้ยงลูกบ้าง ไปนาบ้าง สานกระบุงตะกร้าบ้าง ทอผ้าบ้าง แต่คนแก่ในไต้หวัน รวมทั้งคนแก่ในกรุงเทพ เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรทำแล้ว หลานก็ไม่มีให้เลี้ยง เพราะว่าเดี๋ยวนี้มีลูกกันคนสองคน บางทีไม่มีลูก หงอย เป็นขยะ รู้สึกว่าเป็นขยะ แต่พอไปเป็นจิตอาสา ไปแยกขยะ คืนชีพขึ้นมาเลย รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา ถึงบอกว่า ผมคือขยะคืนชีพ รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันมีประโยชน์ต่อสังคม มันช่วยลดมลภาวะ ทำให้มีรายได้เข้ามูลนิธิ เอาของรีไซเคิลไปขายแล้วก็มีรายได้ ไปช่วยโรงพยาบาล ไปส่งเสริม เป็นทุนให้กับสถานีวิทยุซึ่งเขามีชื่อต้าอ้าย แปลว่า มหากรุณา ฉะนั้น การที่คนเราถ้าหากว่าเราได้ทำอะไรเพื่อผู้อื่น เพื่อส่วนรวม เรียกน้อยๆ ว่า มีใจเมตตา มีใจห่วงใย มันช่วยได้เยอะ
เพราะฉะนั้นเวลาเราแผ่เมตตาเมื่อซักครู่นี้ อย่าทำเป็นแค่พิธีกรรม อย่าว่าแต่ปาก ใจนี้นึกไปด้วย ใจนึกถึงคนที่เขาเดือดร้อนใจ คนที่ตกทุกข์ได้ยาก คนที่ผลัดที่นาคาที่อยู่ ไม่เลือกว่าเป็นใคร แม้จะเป็นพวกโรฮีนจา เป็นผู้ลี้ภัยในซีเรีย หรือจากซีเรียในตะวันออกกลาง เป็นผู้ที่อดอยากหิวโหย เจอภัยสงคราม ถูกทรมาน คนที่เจ็บป่วย นึกถึงเขาเอาไว้ เวลาแผ่เมตตานึกถึงคนเหล่านี้บ้าง มันจะช่วยปลุกเมตตาของเราให้เจริญ และทำให้เรามีเรี่ยวมีแรง เพราะฉะนั้น ให้เราระลึกการที่เราช่วยผู้อื่น สุดท้ายมันกลับมาส่งผลดีต่อกับตัวเราเอง ให้เราตระหนักไว้ ถ้าคิดถึงแต่ตัวเองมากเท่าไหร่ มันยิ่งทุกข์ง่ายมากเท่านั้น อย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ได้ บ่นไปหมด แต่พอนึกถึงคนอื่น อะไรๆ ก็ไม่เป็นไร