แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บทกรวดน้ำตอนเย็น เรากรวดน้ำโดยที่ไม่ได้ใช้น้ำกรวด แต่ใช้ใจของเราเพื่อน้อมนึกถึงสิ่งดีงามที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลเรา เมื่อระลึกแล้วเราก็แผ่ความปรารถนาดีหรือบุญกุศลที่เราได้บำเพ็ญไปให้กับสิ่งเหล่านั้น ที่จริงก็ไม่ได้เจาะจงเฉพาะคนที่มีบุญคุณกับเรา แม้คนที่มุ่งร้ายกับเราเราก็แผ่ไปให้ ที่มีข้อความว่า “ผู้เป็นกลาง ผู้จ้องผลาญ” ผู้จ้องผลาญคือผู้มุ่งร้ายกับเรา เราก็แผ่ไปให้เขาเหมือนกัน ความปรารถนาดีไม่ควรจะเจาะแต่เฉพาะคนที่ทำดีกับเรา คนที่ทำไม่ดีกับเราเราก็ทำดีกับเขาเหมือนกัน อันนี้เป็นวิสัยของชาวพุทธ การทำดีกับคนที่เขาดีกับเรามันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ควรทำมากกว่านั้นคือแม้ไม่ดีกับเรา อย่างน้อยก็น้อมใจนึกแผ่เมตตาหรือบุญกุศลให้กับเขา ซึ่งที่สุดมันก็ดีกับเราด้วย ก็ทำให้ใจเราไม่มีความขุ่นเคือง เป็นการบรรเทาความโกรธความเกลียดออกไปจากใจ สิ่งที่ตามมาคือความสงบเย็น ความเบา
ขณะเดียวกันก็มีเหมือนกับตั้งจิตปณิธานย้ำเตือนว่าชีวิตนี้เราจะอุทิศให้กับการทำความดี แล้วทำความดีที่สำคัญก็คือการปกป้องรักษาใจของเรา มีข้อความตอนหนึ่ง “โอกาสอย่าพึงมีแก่หมู่มารสิ้นทั้งหลาย เป็นช่องประทุษร้ายทำลายล้างความเพียรจม” พอตอนท้ายบอกว่า “ขอหมู่มารอย่าได้ช่อง ด้วยเดชบุญทั้งสิบป้อง อย่าเปิดโอกาสแก่มารเทอญ” คนอาจจะนึกถึงว่าอย่าได้มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น อย่าได้มีสิ่งที่มายั่วยุเราให้เกิดความโกรธ อย่าได้มีสิ่งมายั่วยวนให้เราเกิดความโลภความหลงหรือว่ามีราคะ อันนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับว่าเราปิดกั้นไม่ให้มารเข้ามาเล่นงานจิตใจเรา หมายความว่าถึงแม้จะมีสิ่งมายั่วยุให้โกรธ เย้ายวนให้โลภให้เกิดราคะ อันนั้นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารักษาใจของเราได้ดีแค่ไหน การปิดโอกาสไม่ให้หมู่มารเข้ามาเล่นงานรังควาญจิตใจเราหรือว่าทำให้ชีวิตของเราตกต่ำย่ำแย่ มันคือการทำที่ใจของเรา ไม่ใช่เรียกร้องวิงวอนให้เหตุการณ์ร้ายๆอย่าได้เกิดกับเรา คำว่า “เป็นช่องประทุษร้ายทำลายล้างความเพียรจม” ช่องนั้นอยู่ที่ไหน ช่องนั้นถ้าจะมีก็อยู่ที่ใจเรานั่นแหละ ก็คือใจเราเปิดช่องให้ตัวมารกิเลสตัณหาเข้ามารุกรานรังควาญจิตใจของเรา ชาวพุทธที่เข้าใจธรรมะจะไม่ได้วิงวอนร้องขอให้มีความมั่งมีศรีสุข แต่ว่าจะให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาใจมากกว่า เพราะว่าจะสุขหรือทุกข์มันก็อยู่ที่ใจของเรามากกว่า มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมภายนอก
และเมื่อเราเห็นความสำคัญของการปัดป้องไม่ให้มารเข้ามารังควาญจิตใจของเรา หรือว่าไม่เปิดช่องให้มารหรือความทุกข์เข้ามาเล่นงานจิตใจ สิ่งที่สำคัญก็คือสติ พระพุทธเจ้าเปรียบสติเหมือนกับทหารยามที่เฝ้าเมือง สมัยก่อนเมืองมีกำแพง กำแพงเป็นจุดแข็งของเมือง แต่ทุกเมืองก็ต้องมีประตู ประตูคือจุดอ่อนของเมืองเพราะว่าศัตรูจะเข้ามาได้สะดวกที่สุดก็คือทางประตูนี่แหละ เพราะประตูก็มีเปิดปิด ไม่ได้ปิดตลอดเหมือนกำแพง มันก็มีเปิด ต้องมีคนเข้าคนออก และนั่นแหละคือช่องว่างจุดอ่อนของเมือง แต่ว่าถ้าเมืองนั้นมีทหารยามเฝ้าประตูเป็นทหารที่เข้มแข็ง ใส่ใจทำงาน ไม่ละทิ้งหน้าที่ มีปฏิภาณ มีสายตาฉับไว ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้ามาสร้างปัญหาหรือว่ามาเผาเมืองได้ เมืองหรือนครที่ว่านี้มันก็อยู่ข้างในเรา เราเรียกว่าจิตนคร จิตนครต้องมีสติคอยรักษา สติที่เข้มแข็งจะไม่เปิดช่องให้ศัตรูเข้ามาทำลายเมืองได้ ฉะนั้นถ้าเราต้องการปรารถนาให้ชีวิตเรามีความสุข ไกลจากความทุกข์ ไม่มีความรุ่มร้อนในใจ จำเป็นที่จะต้องมีสติรักษาใจให้ได้
สติแปลว่าอะไร มันทำงานอย่างไร สติก็คือความระลึกได้ ความระลึกได้ในสิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ตามหรือว่าเพิ่งผ่านไปหยกๆ รวมทั้งเป็นสิ่งที่ช่วยให้จิตเราไปกำหนดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างมั่นคง ถ้าระลึกได้ไวก็ถือว่ามีสติดี เพราะฉะนั้น สติที่ดีต้องมีความไว แต่ขณะเดียวกันสติก็ทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือผูกจิต สติเป็นเครื่องผูกจิต ผูกจิตไว้กับอะไร ผูกจิตไว้กับงานที่เรากำลังทำอยู่ก็ได้ หรือผูกจิตไว้กับเสียงที่กำลังได้ยิน เสียงที่ได้ยินต้องฟังด้วยหู แต่ถึงแม้มีหูแต่ถ้าไม่มีสติฟังอย่างไรก็ไม่ได้ยินเพราะว่าใจลอย ใจลอยคิดไปโน่นคิดไปนี่ สติจึงทำหน้าที่ผูกจิตเราให้มาอยู่กับเสียง เมื่อสติผูกจิตอยู่กับเสียงก็จะได้ยินเสียง เข้าใจความหมาย แต่ถ้าไม่มีสติใจก็ลอย หลงไปนั่นลอยไปนี่ ฟังอะไรก็ไม่รู้เรื่อง เผลอๆก็นั่งหลับไปเลย แต่คราวนี้ถ้าเกิดว่าเรามีสติดีฟังอะไรเราก็ตามได้ยิน อ่านหนังสือสติก็จะผูกจิตเราไว้อยู่กับหนังสือ เราก็จะอ่านได้รู้เรื่อง อ่านได้ต่อเนื่อง สติทำให้จิตอยู่กับปัจจุบัน จะเรียกว่าสติเป็นเครื่องผูกจิตไว้อยู่กับปัจจุบันก็ได้ ปัจจุบันก็คือสิ่งที่กำลังทำหรือว่าสิ่งที่กำลังสนใจอยู่ ผูกไปนานๆก็จะเกิดความตั้งมั่นต่อเนื่อง อันนี้เขาเรียกว่าสมาธิ สติจึงจะนำไปสู่สมาธิ
เราจะทำงานให้สำเร็จก็ต้องมีสติ จะเดินทางมาถึงที่นี่ต้องอาศัยสติ ขับรถไม่มีสติก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุมาไม่ถึง หรือว่าอาจจะเป็นเพราะไปหลงอยู่กับสิ่งน่าสนใจข้างทาง จะมาวัดป่าสุคะโตแต่ว่าเจอสิ่งที่เย้ายวนใจอยู่ข้างทางแวะสักหน่อย บางคนอาจจะชอบความบันเทิงเริงรมย์ติดเหล้า พอผ่านร้านเหล้าก็แวะสักหน่อย อย่างนี้ก็มาไม่ถึงเหมือนกัน เรียกว่าความหลงครอบงำจิต แต่ถ้าเรามีสติดี จิตเราก็จะจดจ่ออยู่กับจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้ ก็ทำให้มาถึงวัดป่าสุคะโตได้อย่างที่ตั้งใจ สติยังมีความสามารถอีกอย่างก็คือ ทำให้เรารู้ทันอารมณ์และความคิดที่เกิดขึ้น นั่งฟังคำบรรยายอยู่นี้แต่ใจมันเผลอแวบไปที่บ้าน นึกถึงลูก นึกถึงงาน ถ้าสติไวจะทำให้เรารู้ทัน รู้ตัวว่าตอนนี้ใจเผลอไปแล้ว เท่านี้เองความฟุ้งซ่านก็จะหายไป จิตก็จะกลับมาอยู่ที่ศาลานี้ฟังคำบรรยายได้อย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นสติเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการทำให้ชีวิตเราบรรลุถึงจุดหมายที่วางเอาไว้ และที่สำคัญคือช่วยบรรเทาความทุกข์ไปจากใจเราด้วย
คนเราทุกวันนี้ทุกข์เพราะความคิดเยอะ แม้ว่ากายสบายแต่ใจเป็นทุกข์เพราะความคิด คิดโน่นคิดนี่และคิดแต่ละเรื่องก็ล้วนแต่ทำให้ไม่สบายใจ เกิดความทุกข์ คิดบางเรื่องก็ทำให้โกรธ บางเรื่องก็ทำให้เศร้า บางเรื่องก็ทำให้น้อยเนื้อต่ำใจ บางเรื่องก็ทำให้เกิดความวิตกกังวล ซึ่งส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องคิดไปอดีตบ้างลอยไปอนาคตบ้าง เสร็จแล้วก็เกิดอารมณ์ขึ้นมาก็จมอยู่ในอารมณ์นั้น ตกอยู่ในกับดักแห่งอารมณ์ เชื่อว่าหลายคนก็มีปัญหานี้จึงมาที่วัดป่าสุคะโตเพื่อมาปฏิบัติธรรม ที่จริงความคิดมันมีประโยชน์ ที่เรามานี่ก็เพราะความคิดมันพามา คำนวณดูแล้วระหว่างผลดีที่มากับผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้น คิดดูแล้วมาที่นี่น่าจะได้ประโยชน์มากกว่า ถึงแม้ว่าจะต้องพักงาน ๕ วัน ๗ วันแต่ว่าประโยชน์ที่ได้มากกว่า ถึงแม้จะมีงานคั่งค้างหรืองานสะสมระในหว่างที่เรามาปฏิบัติธรรมที่นี่ กลับไปก็คิดว่าคงจะเคลียร์งานได้ เราก็มา อันนี้เราใช้ความคิดเพื่อตัดสินใจมาที่นี่
ความคิดมันมีประโยชน์ถ้าเราใช้มัน แต่ถ้ามันใช้เราอาจจะเกิดโทษได้ ความคิดมันใช้เราตอนไหนบ้าง ที่เกิดขึ้นกับหลายคนก็คือตอนจะนอน ตอนจะนอนนอนไม่หลับเพราะอะไร เพราะความคิดมันกระตุ้นให้เราตื่น กระตุ้นให้เราพยายามคิดสารพัด เราอยากจะนอนแล้วแต่ความคิดบอกว่าขอคิดต่ออีกหน่อย แล้วเราก็ยอม เราก็เลยคิดไปต่อเนื่องสารพัด อยากจะหลับแต่ว่าหักห้ามใจไม่ได้เพราะวางความคิดไม่เป็น คนสมัยนี้คิดเก่ง คิดไว คิดเร็ว คิดได้นาน ชาวบ้านเขาคิดได้ไม่นานเหมือนเรา ถ้าให้ไปขุดดินใช้แรงเขาทำได้นานกว่าเรา แต่ถ้าจะให้คิดเขาคิดได้ไม่นานไม่อึดเหมือนเราคนในเมือง เพราะว่าเราถูกฝึกมาให้คิดเก่ง คิดนาน คิดไว คิดได้อึด แต่ปัญหาก็คือว่าหยุดคิดไม่เป็น วางความคิดไม่ได้ และมันก็คิดตะพึดตะพือ คิดอย่างไร้ทิศไร้ทาง สุดท้ายก็เอาความทุกข์มาสุมมารุมมาเล่นงานจิตใจ หรือบางทีก็เปิดช่องให้มารเข้ามา เพราะพอคิดไปคิดมาก็เกิดความโลภ มันเกิดโทสะ มันเกิดราคะ มันเกิดพยาบาท อันนี้แหละแปลว่าเปิดช่องให้มารเข้ามาแล้ว แล้วใครทุกข์ เราทุกข์เอง คนสมัยนี้เหมือนกับเรียนบังคับเครื่องบินให้บินขึ้นฟ้า แต่ว่าไม่รู้จักวิธีเอาเครื่องบินร่อนลงดิน เครื่องบินถ้าบินขึ้นฟ้าแต่เอาลงดินไม่ได้มันก็อันตราย คิดเก่งแต่ว่าวางความคิดไม่ได้ก็เหมือนกัน ปีนต้นไม้เก่งแต่ว่าลงไม่ได้ ผูกเงื่อนไว้เก่งแต่ว่าแก้เงื่อนไม่เป็น อันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนสมัยนี้ นี่เพราะอะไร เพราะว่าไม่รู้ทันความคิด แต่ถ้ามีสติมันทำให้เรารู้ทันความคิดแล้วก็รู้จักวาง ถึงเวลาจะนอน ความคิดพาใจฟุ้งไปก็รู้ทันแล้ววาง ถึงเวลาจะพักเราก็สามารถจะพักจิตได้ เดี๋ยวนี้พักไม่ได้เลย จิตมันคิดตลอดเวลา นี่เป็นปัญหาหนึ่งของคนสมัยนี้
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าความคิดกับอารมณ์มันไม่ได้ไปด้วยกัน สังเกตไหมหลายคนรู้ว่าทำอย่างนี้ไม่ดีแต่ห้ามใจไม่ได้ หลายคนก็รู้เหล้าบุหรี่ไม่ดีแต่ห้ามใจไม่ได้ มีกิ๊กไม่ดีทำให้ครอบครัวแตกแยก แต่ก็ห้ามใจไม่ได้ มันมีสำนวนว่า “ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ได้” นี่ก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนสมัยนี้มาก บางอย่างก็ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดศีลธรรม ไม่เกี่ยวกับอบายมุข เช่น น้ำหนักเกิน จำเป็นต้องลดน้ำหนักได้แล้ว ไขมันเยอะในเส้นเลือด น้ำตาลก็เยอะ รู้ว่ากินน้ำตาลกินน้ำอัดลมไม่ดี กินของหวานไม่ดี เพราะอ้วนมากไปแล้ว รู้แต่ห้ามใจไม่ได้ บางคนไปตรวจสุขภาพตระหนักเลยว่าเราต้องลดแล้วนะ คุมอาหารได้แล้วนะ ตั้งใจแล้วว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่กินน้ำอัดลมเยอะ จะไม่กินพวกช็อคโกแลตหรือว่าไอศกรีมมาก ของหวานก็จะกินให้น้อยลง ตั้งใจตอนที่เห็นรายงานของหมอ ไปตรวจสุขภาพหมอก็แนะนำ เอาข้อมูลมาดูค่าน้ำตาลค่าไขมัน ตั้งใจเลยว่าต่อไปนี้ฉันจะกินข้าวให้เหลือสักสองมื้อ ฉันจะงดอาหารพวกเนื้อ นม ไข่ น้ำตาล แต่พอเจออาหารวางต่อหน้าหรือว่าเข้าไปตลาดเจอช็อคโกแลต เจอไอศกรีม ห้ามใจไม่ได้แล้ว ตรงเข้าไปซื้อแล้วก็กินอย่างเมามัน
อันนี้ก็เกิดกับหลายคน เรียกว่ามันเกิดความขัดแย้งกันระหว่างสมองกับหัวใจ หรือเหตุผลกับอารมณ์ เหตุผลบอกว่าอย่างนี้ไม่ดีแต่ใจมันห้ามไม่ได้ อันนี้เป็นกับคนมากมาย รวมทั้งแม้แต่เวลาทำงาน บางคนซื้อหุ้น เวลาซื้อหุ้นก็วางแผนอย่างดีว่าถ้าหากว่าหุ้นราคาตกไม่เกิน ๑๐ เปอร์เซ็นต์หรือไม่เกิน ๑๕ เปอร์เซ็นต์ก็จะยังไม่ขาย เพราะคิดว่าเรื่องหุ้นราคาตกนี้มันธรรมดา เดี๋ยวมันก็ขึ้น วางแผนไว้อย่างดี แต่พอวันดีคืนดีเห็นหุ้นราคาตกแค่ ๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นก็ตื่นตกใจ ที่คิดไว้ว่าถ้าตกไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ไม่ขายนั้นลืมหมดเลย เทขายทันทีเลยเมื่อเห็นหุ้นตกแค่ ๕ เปอร์เซ็นต์ พอขายไปแล้วถึงค่อยมานึกได้เราไม่น่าเลย ไม่น่าเลย หลายคนมักจะพูดแบบนี้ แต่ตอนนั้นมันตกใจ ตอนนั้นเหตุผลไม่เหลือแล้ว ที่คิดไว้ว่าจะทำโน่นทำนี่ บางคนคิดว่าจะออกกำลังกายทุกวันเพื่อรักษาสุขภาพ หรือจะนั่งสมาธิทุกวันเพื่อให้จิตมีความสุขมีความสงบ ตั้งใจว่าจะทำทุกวันวันละ ๑๐ นาที ครึ่งชั่วโมง แต่พอเห็นโทรศัพท์มือถือหรือว่าเห็นโทรทัศน์มีรายการดีๆ มันห้ามใจไม่ได้ ที่คิดไว้ว่าเดี๋ยวจะไปออกกำลังกาย เดี๋ยวจะไปวิ่ง หรือจะไปทำสมาธิ เลิกทันทีเลย นี่เรียกว่า “ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ได้”
คนเราชีวิตจะมีความสุขและจะราบรื่นมากถ้าเราสามารถที่จะทำให้สมองกับหัวใจเชื่อมกันได้ ไปด้วยกัน เมื่อรู้ว่าอะไรดีก็สามารถที่จะน้อมใจหรือโน้มน้าวใจให้ทำอย่างที่คิดไว้อย่างที่ตั้งใจไว้ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็มีปัญหาเรื่องนี้แหละ ที่คิดไว้ว่าจะทำมันทำไม่ได้เพราะใจมันอ่อน ใจมันพ่ายแพ้ต่อกิเลส มันเปิดช่องให้มารเข้ามา เพราะอะไร เพราะขาดสติ ถ้ามีสติจะช่วยทำให้จิตใจเราไม่อ่อนแอ ในด้านหนึ่งมันช่วยทำให้เราปล่อยวางความคิดได้อย่างที่พูดไป แต่อีกด้านหนึ่งมันทำให้จิตใจเราเข้มแข็งขึ้น เห็นเหล้าบุหรี่ตั้งใจว่าจะเลิก ถ้าเรามีสติเราก็จะไม่พ่ายแพ้ต่อกิเลส ก็เมินมัน ตั้งใจว่าจะควบคุมอาหาร น้ำอัดลม ช็อคโกแลต ของหวานก็จะกินให้น้อยลง พอเจอในตลาดในห้าง ถ้ามีสติก็จะทำให้เราไม่ใจอ่อน เวลาหุ้นตก มันตกไป ๕ เปอร์เซ็นต์เราก็มีสติ ไม่ตื่นตกใจง่ายๆ รอดูสักพักก่อน เพราะว่าได้วางแผนเอาไว้แล้วว่าถ้าตกไม่เกิน ๑๐ เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ขาย ความตื่นตกใจก็ไม่มาเล่นงานจนทำให้เราทำในสิ่งที่เราเคยตั้งใจว่าจะไม่ทำ
ดังนั้นสติสำหรับคนที่ใช้ชีวิตทางโลกนี้ช่วยได้มากเลย มันช่วยทำให้เรารู้จักวางความคิดเป็น แล้วเวลาคิดก็คิดอย่างมีทิศทาง เหมือนกับว่ามีหางเสือ ไม่ใช่คิดสะเปะสะปะ ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือแต่เดี๋ยวคิดไปเรื่องโน้นเดี๋ยวคิดไปเรื่องนั้นอีกแล้ว หรือแม้แต่คิดเรื่องงานเรื่องการ คิดไปคิดมา คิดวกคิดวนไม่จบสักที เคยเป็นไหมคิดวกคิดวนคิดซ้ำคิดซาก เหมือนกับเรือที่ไม่มีหางเสือ มันก็เลยแล่นวนอยู่รอบสระหรือว่าในอ่าง เรียกว่าพายเรือในอ่าง ไม่มีหางเสือ แต่ถ้ามีสติปุ๊บการคิดจะมีทิศทาง แล้วคิดแล้วมันจบเป็น มันวางได้ ไม่ใช่คิดแล้วจบไม่เป็น เอาแต่กังวลอยู่นั่นแหละ ตัดสินใจแล้วว่าจะขายที่ ตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อรถยี่ห้อนี้รุ่นนี้ เสร็จแล้วเดี๋ยวก็คิดอีกแล้ว คิดไม่จบ ทั้งที่ตัดสินแล้วว่าจะทำอย่างนี้ ถ้ามีสติปุ๊บมันวางได้
และขณะเดียวกันเวลามีสิ่งยั่วยวนที่ทำให้ใจเราเขว ทำท่าจะไม่ทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ทำท่าจะไม่ทำอย่างที่เราคิดว่ามันดี พอมีสติปุ๊บใจจะไม่เขว ใจจะตั้งมั่น มันจะเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกับเหตุผล คิดว่าอะไรดีใจก็จะน้อมตาม ไม่ใช่สมองว่าทางหนึ่งแต่อารมณ์ไปอีกทางหนึ่ง อารมณ์มีประโยชน์ถ้าหากว่าเราฝึกมัน ฝึกให้มันเชื่องมันก็จะประสานกับเหตุผล จะไม่คอยหลอกล่อให้เหตุผลเขวหรือทำให้ใจเตลิดเปิดเปิงไป อันนี้คือประโยชน์ เป็นประโยชน์เบื้องต้นเลย แต่แม้กระนั้น แม้มันจะเป็นแค่เบื้องต้นแต่ช่วยได้เยอะเลย ถ้ามีสติแล้วใช้สติแบบนี้การที่จะเป็นโรคกลุ้มอกกลุ้มใจ หรือว่าโกรธง่าย ความดันขึ้นเร็ว หรือว่าสุขภาพย่ำแย่เพราะว่าพ่ายแพ้ต่อกิเลส หรือว่าชีวิตครอบครัวทำท่าจะพังเพราะว่าปล่อยใจไปตามราคะที่รบกวนรังควาน มันก็จะไม่เป็นอย่างนั้น
แต่นั่นก็เป็นแค่ประโยชน์เบื้องต้น ประโยชน์ที่มากกว่านั้นชนิดที่ว่าช่วยทำให้พ้นทุกข์ได้เลยอันนี้ก็มี แล้วก็สำคัญด้วย พระพุทธเจ้าตรัสว่าสติโดยเฉพาะสติปัฏฐานเป็นหนทางทางตรงทางเอกสู่ความพ้นทุกข์ แม้คนที่ไม่ประสงค์จะใช้ชีวิตทางโลก มุ่งชีวิตทางธรรม สติก็สำคัญ เพราะสติช่วยทำให้เกิดปัญญาที่จะทำให้เข้าใจสัจธรรม อริยสัจ๔ ที่เราเพิ่งสวดมาเมื่อสักครู่นี้ ผู้ใดมีศรัทธาหรือว่าระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว เห็นอริยสัจ๔ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้พ้นทุกข์ได้ การที่เราจะเข้าใจอริยสัจ๔ อย่างลึกซึ้ง จนทำให้เห็นทางสู่ความพ้นทุกข์ก็ต้องอาศัยสติมากทีเดียว นอกจากสัมมาทิฏฐิก็ต้องมีสัมมาสติที่จะช่วยเป็นเครื่องมือที่จะพาเราสู่ความพ้นทุกข์
ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคนที่มุ่งความสำเร็จทางโลกหรือมุ่งอุดมคติในทางธรรม จะมองข้ามสติไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ที่พวกเรามาที่นี่เพื่อจะมาเจริญสติ มาฝึกสติให้เจริญงอกงามในใจเรา เป็นสิ่งที่สำคัญมากเลย ก็หวังว่าพวกเราจะยอมทุ่มเททำความเพียรเพื่อให้สติของเราได้เจริญงอกงามในช่วง ๗ วันจากนี้ไป