แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้พวกเราหลายคนในที่นี้ก็จะกลับบ้านแล้ว บางคนตัวอยู่ที่นี่แต่ใจไปถึงบ้านแล้ว บางคนเตรียมตัวกลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เมื่อกลับบ้านก็อย่าลืม กลับมารู้สึกตัวด้วย กลับถึงบ้านแต่ถ้าไม่กลับมารู้สึกตัว เรียกว่ายังไม่ถึงบ้านที่แท้จริง บ้านที่เราจะกลับไปบ่ายนี้เย็นนี้เป็นบ้านของกายเท่านั้น แล้วก็ไม่ยั่งยืนด้วยอาจจะอยู่สักอีก 2-3 ปีแล้วก็ย้ายไปบ้านหลังใหม่ บ้านอย่างนี้ให้ความปลอดภัยคุ้มร้อนคุ้มหนาวก็จริง แต่ก็เป็นภาระต้องคอยดูแลรักษา สิ่งนั้นก็ยังไม่เท่าไร แต่เวลาที่เคราะห์หามยามร้ายก็อาจถูกยึด หรือเสื่อมโทรมพังทลายลงไป และที่สำคัญคือแม้บ้านจะราคาจะแพงแค่ไหนสิ่งอำนวยสะดวกอย่างไรก็ไม่มีหลักประกันให้สุขใจได้เสมอไป บางทีก็ทุกข์ใจด้วยเพราะว่าหลังคารั่ว สีลอก หรือต้องคอยผ่อนบ้าน หรือบางทีรู้สึกเป็นทุกข์ที่เห็นบ้านของคนอื่นเขาดีกว่าหลังใหญ่กว่ามีต้นไม้เขียวครึ้มกว่า กลายเป็นทุกข์ไปอีก การกลับมารู้สึกตัวจะให้ใจเรามีบ้านอย่างแท้จริง
บ้านที่เราสร้างก่อด้วยอิฐสร้างด้วยปูนแบกไปไหนไม่ได้ เรามาอยู่ที่นี่เราก็ห่วงเราก็นึกถึงบ้านหลังนั้นเพราะว่ามันอยู่กับที่ แต่ถ้ามีความรู้สึกตัวเป็นบ้านของใจ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้สึกว่าห่างบ้าน คือใจอบอุ่น จะเข้าป่า อยู่บนถนน จะมาวัด ก็ยังรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย ฉะนั้นการกลับมารู้สึกตัว เป็นสิ่งจำเป็น ก่อนที่ตัวจะถึงบ้านให้กลับมารู้สึกตัวตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แล้วเราก็จะได้บ้านของใจเสียแต่วินาทีนี้ ในขณะเดียวกันเวลาจะทำอะไรก็ตาม หรือจะไปไหนก็อย่าลืมกลับมารู้สึกตัว จะไปทำงาน จะไปเที่ยว ก่อนที่จะออกเดินทาง หรือระหว่างที่กำลังเดินทางระหว่างที่ไปไหนก็ให้กลับมารู้สึกตัวเสมอ เราจะไปข้างหน้าเราต้องกลับมา กลับมารู้สึกตัว ถ้าเราไม่กลับมารู้สึกตัวก็ไปต่อไม่ได้ หรือไปข้างหน้าก็ไม่รู้ไปถึงหรือไม่
เคยอ่านหนังสือของท่าน ติช นัท ฮันห์ ซึ่งเป็นพระชาวเวียดนามที่หลายคนรู้จัก และเป็นชาวพุทธที่มีชื่อเป็น 2 รองจากท่าน ทะไลลามะ ในเรื่องของความเป็นที่รู้จัก ท่านเขียนหนังสือเล่มหนึ่งและได้มีการแปลเป็นไทย แต่ไม่ค่อยได้พิมพ์เผยแพร่เท่าไหร่ ไม่เหมือนเล่มอื่น เรื่องนั้นชื่อว่า ทางกลับเป็นการเดินทางต่อ แค่ฟังชื่อหนังสือก็งงแล้ว ทางกลับคือการเดินทางต่อ ความหมายคือไปต่อได้หรือจะไปข้างหน้าต้องกลับมา ถ้าเราไม่กลับมาก็ไปต่อไม่ได้ หรือว่าไปไม่ถึง กลับอย่างไร ไม่ได้กลับด้วยขาด้วยเท้า จะกลับมารู้สึกตัวด้วยใจด้วยสติ จะไปข้างหน้าอย่าลืมต้องกลับมารู้สึกตัวตั้งแต่วินาทีแรกเลย เพราะถ้าไม่กลับรู้สึกตัวอาจจะไม่ถึง ขับรถจะมาวัดก็ดี จะไปบ้านก็ดี จะไปเที่ยวก็ดี ถ้าไม่รู้สึกตัวก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุ รถชนพลิกคว่ำ หรือแหกโค้งชนเสา แบบนี้เพราะอะไร เพราะความลืมตัว เพราะความหลง อาจจะโทรศัพท์เพลิน หรือเล่นไลน์ขณะที่ขับรถไปด้วย ไม่รู้สึกตัว บางทีใจลอยวางแผนคิดว่าจะไปทอดกฐินที่ไหนดีอีก 2 เดือน วางแผนทำบุญบ้าน ใจลอยขณะที่ขับรถ แบบนี้ก็ไม่รู้สึกตัว ถ้าทำอย่างนี้อาจไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ถึงจุดหมายแต่อาจจะถึงปลายทางชีวิต
จุดหมายปลายทางกับปลายทางชีวิตบางทีคนละอัน จุดหมายชีวิตกับปลายทางชีวิตก็คนละอันเหมือนกัน จุดหมายชีวิตหลายคนมาถึงการได้เป็นอธิบดี เป็นปลัดกระทรวง เป็นนายกรัฐมนตรี เป็น CEO แต่ปลายทางชีวิตอีกเรื่องหนึ่งเลย หลายคนไม่ถึงจุดหมายของชีวิต แต่ว่าปลายทางชีวิตถึงแน่ แต่ถ้าให้ดีก็รักษาตัวไว้ก่อน อย่าให้ถึงปลายทางชีวิตให้เร็วนัก แต่ถ้าจะถึงก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย ถึงตอนนั้นก็อย่าลืมกลับมารู้สึกตัว คนเราจะไปข้างหน้าได้ต้องกลับมา กลับมารู้สึกตัว เปรียบเหมือนการยิงธนู เราอยากให้ลูกธนูพุ่งไปข้างหน้าเราต้องดึงธนูถอยหลังก่อนเราต้องเหนี่ยวสายธนูให้กลับมาที่ตัวเรา กลับมาไกลเท่าไรลูกธนูก็จะพุ่งออกไปข้างหน้าได้เร็วแล้วก็แรงเท่านั้น ธนูจะไปข้างหน้าได้ก็เพราะว่าเราดึงมันออกมาที่ลำตัว ฉันใดก็ฉันนั้นเราจะไปข้างหน้าได้เราต้องกลับมา กลับมาที่ตัวเรา กลับมาที่ใจของเรา กลับมาที่ความรู้สึกตัว แล้วเราก็จะไปถึงที่หมาย ไม่ใช่แค่ถึงแต่ว่าปลอดภัยด้วย
ในทำนองเดียวกันเวลามีปัญหาเจออุปสรรคอยากจะแก้ไขให้ลุล่วง อยากจะหาทางออกให้เจอ ก็ต้องกลับมารู้สึกตัวก่อน อย่าเพิ่งคิดแต่จะหาทางออกจนลืมตัว จนลืมกลับมาที่ใจของเรา ปัญหาทุกปัญหามีทางออกทั้งนั้น ถ้าเรารู้สึกตัวเป็นเบื้องต้น เหมือนกับหอไตรถ้ามืดเราจะหาทางออกทางลงคงยาก เพราะมืดจึงไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นทางลง แต่ถ้าเปิดไฟสว่างเมื่อไร เราก็เห็นทางออกทางลง คนที่จะพยายามแก้ปัญหา แต่แก้ด้วยความหลงด้วยความไม่รู้สึกตัว ก็เหมือนอยู่ในห้องมืด แถมในห้องอาจมีโต๊ะเก้าอี้วางระเกะระกะ พยายามหาทางออกแต่ว่าเดินชนเก้าอี้ เดินชนโต๊ะ ไปไม่ถึงไหน แต่ถ้าเปิดไฟสว่างเมื่อไรก็รู้เลยตรงนี้เป็นโต๊ะเก้าอี้ขวางทางเราก็เดินหลบไม่ชนจนเจ็บตัว แล้วก็เห็นทางออกด้วย ตรงนี้เป็นประตู และทุกปัญหามีทางออก ถึงแม้ว่าดูเหมือนจะไม่มีทางออก อย่างน้อยก็มีทางออกทางหนึ่ง ทางออกนั้นคือทางเข้านั้นเอง เราเข้าไปในห้องแล้วก็มองหาทางออก มองอย่างไรก็หาไม่เจอ แต่ถ้าเราลองหันกลับ ทางออกก็อยู่ต่อหน้าเราแล้ว นั่นคือทางเข้า
จากคนที่คิดแต่จะมองไปข้างหน้า เอาแต่มองไปข้างหน้า มองเท่าไรก็ไม่เจอประตูออกเพราะว่าห้องนั้นมีประตูหรือทางเข้าเพียงแค่ทางเดียว มองไปข้างหน้าอย่างไรก็ไม่เจอ แต่ถ้าเรามองหันกลับ ลองวกกลับหันกลับ เราจะเห็นทางออกนั่นคือทางที่เราเข้ามา ต้องกลับมา ต้องกลับมากลับมารู้สึกตัว ปัญหาหลายๆอย่างเกิดขึ้นเพราะเราหลง เราลืมตัว คนที่ติดการพนันจนเป็นหนี้เป็นสิน พยายามหาทางว่าทำอย่างไรถึงจะไม่เป็นหนี้ไม่เป็นสิน ทำอย่างไรถึงจะเล่นแล้วได้ไม่มีเสีย นี่เล่นแล้วมีแต่เสียๆ ก็ต้องพยายามหาทางไปศึกษากลวิธี ไปหาครูบาอาจารย์ ไปหาเทคโนโลยีมาที่จะช่วยทำให้สามารถจะทายไพ่ทายลูกเต่า หรือถ้าเล่นแล้วแพ้ก็ไปหาอย่างอื่น ไปพนันอย่างอื่นแทน อย่างเช่นพนันฟุตบอลอย่างนี้ พนันบอลก็ขาดทุนหรือเป็นหนี้เป็นสินก็ไปหาทางอื่น คิดอยู่นั่นแหละหาทางออกเพื่อที่ว่าจะไม่หมดเนื้อหมดตัวกับการพนัน แต่ลืมไปว่าวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือเลิกเล่น นั่นคือทางออกอยู่ที่ทางเข้า เข้าสู่การพนันแล้วก็เจอปัญหาสุมรุมมากมาย คิดแต่จะแก้ แต่ว่าแก้อย่างไรปัญหาก็ไม่หมด จนกว่าจะเลิกเล่นเมื่อไรปัญหาก็จะหมด
ติดเหล้าก็เหมือนกัน คนเราไม่ได้หลงไม่ได้เมาเพียงเพราะเหล้าหรือการพนันเท่านั้น บางทีหลงหรือเมาอารมณ์ ไม่ใช่เมาเหล้าแต่เมาอารมณ์ อารมณ์ที่ปรุงแต่งขึ้นมาในใจแล้วก็ปล่อยให้มันลุกลามจนเข้ามาเผาใจเราเหมือนกับไฟที่ไหม้ป่า บ่อยครั้งที่ไม่ใช่แค่เผาใจเรา ทำลายบั่นทอนร่างกายของเราทำให้เจ็บป่วยและแถมยังไปบั่นทอนทำลายคนรอบข้าง คนที่อยู่ใกล้ตัว คนรัก ทำให้เขาเป็นทุกข์เจ็บช้ำน้ำใจ หรือว่าเกิดความเสียหาย ทั้งหมดนี้เริ่มต้นตรงที่ว่าปล่อยให้อารมณ์ครอบงำใจ แต่ถ้าเรากลับมารู้สึกว่าเมื่อไร อารมณ์เหล่านี้จะไม่สามารถที่จะครอบงำใจได้ เหมือนว่าเราพอเปิดไฟสว่างและดูแลทำความสะอาดห้องให้ดี พวกสัตว์ร้ายก็ไม่มีที่อาศัย เพียงแค่เราเปิดไฟสว่างความมืดก็หายไป เมื่อใดก็ตามที่มีความมืดก็มีอันตราย แค่เดินก็อาจจะสะดุดของหกล้มหัวฟาดพื้น ทำใจของเราให้สว่างด้วยความรู้สึกตัว
ความรู้สึกตัวไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อเราตื่น บางคนตื่นหรือตาเปิดแต่ว่าก็ไม่รู้สึกตัว ใจลอย บางทีไม่ได้เมาอารมณ์แต่เมาความคิด มีความคิดเกิดขึ้นก็หลงจมอยู่ในความคิด แล้วก็ปล่อยให้ความคิดใช้เรา ความคิดต้องการที่จะขยายอิทธิพลให้แพร่หลาย พอมันเจอความคิดที่ต่างมันก็พยายามจะทำลาย และใช้เราให้ทำลายคนที่คิดต่างจากเรา ใครที่คิดต่างจากเรา ความคิดก็สั่งให้ไปด่าไปว่า ความคิดสั่งให้ตัดญาติขาดมิตรกับคนที่คิดไม่เหมือนเรา อาจจะเป็นพ่อเป็นแม่อาจจะเป็นเพื่อน เพียงเพราะมีความคิดทางการเมืองไม่ตรงกัน ความคิดที่อยู่ในหัวเราก็สั่งให้เราว่าเขาด่าเขา หรือไม่คบค้าสมาคมกับเขาเลย แต่ถ้ามีอำนาจก็อาจจะจับเข้าคุก เพื่อให้ความคิดนั้นสูญหายไป ความคิดนี้น่ากลัว เดี๋ยวนี้ผู้คนเป็นทุกข์แล้วก็ทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะปล่อยให้ความคิดครองใจ มันมาใช้เราให้ทำร้ายซึ่งกันและกันเพียงเพราะว่าอีกคนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นคิดต่างจากสิ่งที่อยู่ในหัวเรา สิ่งนั้นเราไม่ได้ทำ จริงๆแล้วความคิดสั่งให้ทำ
เหมือนกับอารมณ์ถ้าโกรธก็สั่งให้ด่าสั่งให้ทำลาย แม้ว่าคนที่ถูกกระทำเป็นคนใกล้ชิดเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อน แบบนี้เรียกว่าหลง ถึงแม้ว่ายังตื่นอยู่แต่ว่าไม่รู้สึกตัว อาจจะเรียกว่ารู้สึกตัวทางการแพทย์ แพทย์บอกว่ารู้สึกตัวแล้วเพราะว่าไม่สลบ ยาชาหมดฤทธิ์แล้วหรือยาสลบหมดฤทธิ์แล้ว แต่ว่าในทางธรรมถือว่ายังไม่รู้สึกตัว ยังหลง คนเราทุกวันนี้ถึงแม้ตื่นอยู่แต่อาจเหมือนคนละเมอก็ได้เพราะความไม่รู้ตัว คนเราเวลาละเมอทำอะไรได้หลายอย่างเหมือนกัน เดี๋ยวนี้มีการละเมอแบบใหม่ ละเมอแชท โรคใหม่ละเมอแชท คือนอนหลับยังไม่ตื่นพอมีเสียงแชท มีสัญญาณส่งรับข้อความทางโทรศัพท์มือถือก็ตื่น แต่ไม่ตื่นยังหลับอยู่ แต่ก็สามารถยังแชทตอบกลับไปได้ แต่ก่อนมีแต่ละเมอเดินเพ่นพล่านในห้อง คนที่ละเมอเขาเปิดประตูได้ เขาเดินลงบันไดได้ เดินออกจากบ้านยังได้เลย แต่ว่าเขาไม่รู้ตัว แต่ในความคิดของเขาในขณะที่หลับเขาฝันไป แล้วสิ่งที่เขาฝันเห็นภาพชัดเลย แต่ว่าภาพที่เขาเห็นในใจไม่ใช่ความจริงเหมือนกับเวลาเราฝัน เวลาเราฝันบ่อยครั้งภาพที่อยู่ในใจชัดจนเหมือนกับความจริง ที่จริงเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา แล้วคนที่ละเมอแชทเขาคิดว่ากำลังตื่นขึ้นมาแชทส่งข้อความบ้างทางไลน์บ้าง แต่ที่จริงไม่ใช่เขาหลับอยู่ หลับก็ยังสามารถทำอะไรได้
ฉะนั้นคนที่ทำนั่นทำนี่อยู่ในเวลากลางวัน ถึงแม้ตาเขาเปิดแต่ว่าจริงๆ ไม่ต่างกับคนละเมอ และละเมอแบบนี้มากด้วย และเราวันๆหนึ่งเป็นแบบนี้มากเหมือนกัน เราทำอะไรด้วยความไม่รู้ตัวด้วยความหลง ไม่ต่างกับคนละเมอ แล้วกลับมารู้สึกตัวเมื่อไรจะรู้สึกสว่าง เราจะเห็นชัดจะรู้ชัดเราจะรักษาใจของเราให้โปร่งโล่งเบาสบาย จะกลับมารู้สึกตัวได้ต้องอาศัยสติ ใช้สติเพื่อที่จะดึงจิตกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่จมเข้าไปในความคิด ไม่ไหลเข้าไปในอดีต ไม่ลอยไปอนาคต ไม่ส่งจิตออกนอกจากอยู่สิ่งที่อยู่นอกตัวจนลืมตัว มองไปข้างหน้าจนไม่เห็นใจของตัว ปล่อยให้กิเลสปล่อยให้มารร้ายเข้ามาครอบงำย่ำยี แล้วถ้าเรารู้สึกตัวเราจะเห็นเราจะเริ่มรู้เลยว่าที่ทุกข์กลุ้มอกกลุ้มใจ เพราะใจไปยึดเอาไว้ใจไปแบกเอาไว้
เหมือนกับเราแบกก้อนหิน แบกก้อนหินแม้แต่คนละเมอก็ยังรู้สึกหนัก คนที่ละเมอเผลอแบกก้อนหินเอาไว้ คนเราทุกวันนี้ก็เหมือนกันเหมือนคนละเมอที่แบกก้อนหินเอาไว้แล้วรู้สึกว่าหนัก แล้วก็หาทางว่าทำอย่างไรก้อนหินจะเบา จะมีใครมาช่วยยกบ้าง หรือจะมีปั้นจั่นที่จะมาคอยดึงคอยระวังเอาไว้เพื่อให้เราจะไม่ต้องแบกหนัก คนส่วนใหญ่จะแก้ปัญหาแบบนี้ คนส่วนใหญ่ก็ทุกข์แบบนี้ แต่สิ่งที่ไม่ได้ทำก็คือวางก้อนหิน ฉลาดในการที่จะหาทางทำให้ก้อนหินเบาลง คิดแต่หาวิธีทำให้ก้อนหินไม่หนัก แต่ว่าสิ่งที่ไม่ได้ทำเลยคือการวาง นี่คือทางออกอยู่ทางเข้า ความหมายคือ ทุกข์ตรงไหนก็แก้ตรงนั้น ทุกข์เพราะอะไรก็จัดการที่เหตุปัจจัยตรงนั้น ทุกข์เพราะแบกหินก็วางก้อนหินลง ไม่ใช่ไปคิดหาว่าทำอย่างไรให้ก้อนหินเบา เอาสิ่วมาสกัดให้มันเล็กลง หรือมีอะไรมาคอยดึงมันเอาไว้ ปั้นจั่นคอยดึงมันเอาไว้เราจะได้ไม่ต้องแบกหนัก มีคนมาช่วยแบกกัน คนส่วนใหญ่คิดแค่นี้ แต่สิ่งที่ไม่ได้ทำคือวางมันลง ที่ไม่วางลงเพราะอะไร เพราะลืมตัว แล้วพอรู้สึกตัวเมื่อไร วางเลย เป็นเพราะลืมตัวตั้งแต่แรกถึงแบก
ที่โกรธเพราะว่าไปแบกความโกรธไปยึดความโกรธเอาไว้ และที่โกรธเพราะไปติดอยู่ในความความคิดบางเรื่องบางประเด็น อดีตบ้าง อนาคตบ้าง พอจิตจมเข้าไปในความคิดก็ปรุงอารมณ์ขึ้นมาก็เหมือนกับถูกขัง หรือเหมือนกับติดอยู่กับในรถไฟ ติดอยู่ในรถไฟออกไม่ได้ก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่นั่นแหละ รถไฟขบวนหนึ่งก็ยาวมีหลายตู้ แต่ที่จริงเราไม่ได้ติดหรอกเพียงแต่ว่าเราโดดเข้าไปเอง เราโดดเข้าไปในขบวนแห่งความคิด รู้สึกตัวเมื่อไรก็รู้เลยว่าเราทำไมเผลอเข้าไปเข้าไปอยู่ในรถขบวนนี้ได้ ออกมาเลย ออกมา แล้วสังเกตว่าพอเรารู้สึกตัวความคิดที่ยืดยาวหายไปเลย แล้วหลุดไปเลยเรียกว่าวาง วางมันลง
ฉะนั้นพยายามทำให้ใจเราตื่นจากความหลง ความหลงมี 2 อย่าง อย่างแรกคือ ไม่รู้ตัว แบบนี้เกิดขึ้นอยู่เป็นครั้งเป็นคราว มีสติเมื่อไรความไม่รู้ตัวก็หายไป อีกอย่างหนึ่งคือ ไม่รู้ความจริง คือมีอวิชานั่นเอง แบบนี้เป็นสิ่งที่ยืนพื้นเลย ไม่รู้ตัวพอมีสติปุ๊บก็รู้ตัว แต่ไม่รู้ความจริงต้องอาศัยปัญญา ต้องอาศัยปัญญาเห็นความจริงเมื่อไรอวิชาก็หายไป แต่ว่าการที่จะเห็นหรือรู้ความจริงได้ต้องเริ่มต้นจากความรู้ตัวก่อน รู้กายรู้ใจเห็นลักษณะความจริงของกายและใจ แบบนั้นจะทำให้รู้สัจธรรมความจริงจนกระทั่งปล่อยวางได้ แต่ก่อนแบกหินพอรู้ตัวก็วาง แต่ต่อไปถ้ารู้ความจริงเมื่อไรแม้แต่การแบกก้อนหินก็จะไม่แบก ที่แบกก้อนหินเพราะคิดว่าเป็นนุ่น คิดว่าเป็นของดี คิดว่าเป็นของประเสริฐ เป็นเงินเป็นทอง แบกเอาไว้โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นก้อนหิน แต่รู้ว่ามันหนัก พอรู้ตัวปุ๊บวาง แต่พอเจอหินก็แบกใหม่ สิ่งนี้เพราะความหลง ไม่รู้ความจริงว่ามันคือก้อนหิน ไม่ใช่ทอง ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่นุ่น แล้วการเห็นความจริงทำให้ไม่ยึดไม่แบกเลย การรู้ความจริงทำให้ไม่ไปเริ่มต้นแบกตั้งแต่แรก แต่แบกแล้วถ้ารู้ตัวเมื่อไรก็วาง เมื่อรู้ความจริงแม้แต่อารมณ์อกุศลก็ไม่เอา
เคยมีคนถามหลวงปู่ดุลย์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวงปู่มั่น เพราะเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ถามว่าหลวงปู่มีโกรธหรือไม่ ท่านตอบ มีแต่ไม่เอา เพราะท่านเห็นความจริงว่าความโกรธไม่น่าเอาเลย ที่จริงไม่ใช่ความโกรธอย่างเดียวมีอย่างอื่นด้วย เงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ ลาภยศสรรเสริญ พวกนี้ใครๆก็เห็นว่าเป็นของดีของประเสริฐ แต่พอรู้ความจริงเห็นความจริงแล้วเป็นทุกข์ทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าเอาเลย ก็วาง พอวางแล้วก็สบาย ใจก็โปร่งโล่งแล้ว เมื่อไรก็ตามที่เราทุกข์ ทุกข์ใจให้ลองกลับมารู้สึกตัวก่อนเป็นเบื้องต้น แล้วความรู้สึกตัวก็เหมือนเป็นแสงสว่างที่ทำให้เราได้เห็นทาง เห็นทางออกหรืออย่างน้อยก็เห็นว่ามีอะไรขวางอยู่ข้างหน้าจะได้ไม่ไปเดินชน เห็นว่ามีงูอยู่หรืออไม่ข้างหน้าจะได้ไม่ไปเดินเหยียบ มีเศษแก้วอยู่หรือไม่จะได้ไม่ได้ไปเดินเหยียบทับ ความรู้สึกตัวเป็นจุดเริ่มต้นของการหาทางออกจากปัญหา เป็นจุดเริ่มต้นของการที่จะพาชีวิตไปสู่ความหมดทุกข์ เป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้เห็นความจริง จนความทุกข์ไม่อาจครอบงำจิตใจได้
เพราะฉะนั้นเมื่อเราจะกลับไปบ้านก็อย่าลืม กลับมารู้สึกตัว ที่จริงต้องรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนนี้ แล้วเตือนอยู่เสมอรู้สึกตัวอยู่เรื่อยๆ กลับไปบ้านก็พยายามดำเนินชีวิตของเราให้มีความรู้สึกตัว ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาทำอะไรก็ให้รู้สึกตัว อาบน้ำ ถูฟัน ล้างหน้า ก็รู้สึกตัว กินข้าวก็รู้สึกตัว อย่าปล่อยใจลอย เวลาอยู่ในห้องน้ำก็ให้รู้สึกตัว อาจจะมีสติกับการพลิกมือไปมาระหว่างที่ถ่ายหนักถ่ายเบา หรือตามลมหายใจก็ได้ หลายคนบอกว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ แต่ถ้าเรามีเวลาเข้าห้องน้ำเราปฏิบัติได้แล้ว ใครก็ตามถ้ามีเวลาเข้าห้องน้ำก็แสดงว่ามีเวลาปฏิบัติ คนเราอยู่ในห้องน้ำวันหนึ่งก็เป็นชั่วโมง รวมทั้งการแต่งหน้าแต่งตาการหวีผม มีคนเขาคำนวณว่าชีวิตคนเราอายุประมาณ 75 ปี จะอยู่ในห้องน้ำทั้งชีวิตประมาณ 7 ปี ซึ่ง 7 ปีนี้เอาแค่ 1 ใน 7 ส่วน ให้มีสติอยู่กับการรู้สึกตัวระหว่างเข้าห้องน้ำ แค่ 1 ใน 7 ของเวลาทั้งชีวิตที่อยู่ในห้องน้ำ คือปฏิบัติธรรม 1 ปีเต็ม ยิ่งกว่าเข้าคอร์สอีก เข้าคอร์สแค่ 7 วัน แต่ถ้าเราเพียงแค่ปฏิบัติด้วยการเจริญสติทำความรู้สึกตัวเวลาเราอยู่ในห้องน้ำแค่ 1 ใน 7 ของเวลาทั้งชีวิต ได้มากทีเดียว
อยู่บนรถก็อย่ามัวแต่ปล่อยใจให้อยู่กับความหงุดหงิด อย่าให้ความหงุดหงิดครองใจ อย่าให้ความเครียดย่ำยีจิตใจ คนกรุงเทพฯ ปีหนึ่ง 365 วัน ใช้เวลาอยู่บนถนนหรืออยู่บนรถ 60-70 วัน หมายถึงว่าคูณ 24 ชั่วโมง ไม่น้อยทีเดียวเราใช้เวลาอยู่บนถนนหรือในรถ 60-70 วัน แต่ 60-70 วันนี้ถ้าวางใจไม่เป็นก็คือ 60-70 วันแห่งการตกนรก แต่ถ้าเราวางใจเป็นก็คือช่วงเวลาแห่งความสงบความสบาย คนกรุงเทพใช้เวลาอยู่บนถนนมาก ไม่ใช่เฉพาะเวลาเดินทางจันทร์ถึงศุกร์แต่รวมถึงเสาร์อาทิตย์ก็เดินทางใช้รถไปต่างจังหวัด กว่าจะมาที่นี่ก็ใช้เวลา 6-7 ชั่วโมงเข้าไปแล้ว กลับไปอีก 6-7 ชั่วโมง ปีหนึ่งอยู่บนรถ 60-70 วัน ถ้าทำความรู้สึกตัวแค่ครึ่งหนึ่ง หรือ 1 ใน 3 ก็ได้มากแล้ว 20, 30 วัน หรือ 35 วัน ใน 1 ปี ก็มากกว่าเข้าคอร์ส 4-5 เท่า
เพราะฉะนั้นคำว่า ไม่มีเวลาปฏิบัติอ้างไม่ได้ เรามีเวลาเหลือเฟือเลยสำหรับการปฏิบัติ ถ้าเรารู้จักวิธีปฏิบัติ นั่นคือการสร้างความรู้สึกตัว เวลาอยู่นิ่งๆ ก็ทำความรู้สึกตัวได้ อย่างที่บอกไว้แล้ว เวลาอุจจาระปัสสาวะก็ทำความรู้สึกตัว เวลากิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม ก็รู้สึกตัว เวลาเดินไปข้างหน้า ถอยไปข้างหลัง มอง เหลียว คู้ขา เหยียดขา คู้เข้า เหยียดออก รู้สึกตัว ทำได้ตลอดเวลา และนั่นแหละคือ การกลับมา กลับมาเพื่อให้ใจมีที่มั่น ทำให้ใจสว่าง ก็ฝากเอาไว้สำหรับการปฏิบัติที่พวกเราต้องทำต่อไป