แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บทสวดพิเศษที่เราเพิ่งสาธยายเมื่อสักครู่ ชื่อว่า “อภิณหปัจจเวกขณ์” เรียกว่าคาถาดับทุกข์ อาตมาตั้งชื่อเองว่าเป็นคาถาดับทุกข์ ดับทุกข์ที่ว่าไม่ได้หมายความว่าจะไม่เจอความทุกข์กับกาย เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความป่วย ไม่ได้แปลว่าจะไม่เจอความพลัดพรากสูญเสีย แต่หมายถึงว่าเป็นคาถาดับทุกข์ในใจ ทุกข์กายเลี่ยงยาก ไม่ว่าจะมีเงิน มีทอง มีอำนาจ มีเทคโนโลยีมากมายเพียงใด ก็หนีความแก่ ความเจ็บ ความป่วย รวมทั้งความตายไม่พ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่ได้แปลว่าใจจะต้องทุกข์ด้วย ทุกข์กายไม่สำคัญเท่ากับทุกข์ใจ สำนวนที่ว่าคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก บ่งบอกในตัวว่าความทุกข์กายไม่เท่าไหร่ ทุกข์กายอย่างไรขอให้ใจไม่ทุกข์ก็พอ แต่ถึงแม้กายจะสบายแต่ถ้าใจเป็นทุกข์แล้วก็หมดกัน คนที่ฆ่าตัวตายจำนวนมากเขามีความทุกข์ทุกข์ใจ เขามีความสบายกายแต่เขามีความทุกข์ใจ คนที่ทุกข์กายแต่ใจสบายไม่มีใครที่จะคิดฆ่าตัวตาย มีแต่สบายกายแต่ทุกข์ใจ
เพราะฉะนั้นที่รียกว่าเป็นคาถาดับทุกข์ เพราะถ้าเราเห็นชัดจริงๆว่า “เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้” “เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้” “เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น” เห็น 3 ข้อนี้ก่อน ถ้าเราเห็นจริงๆไม่ใช่แค่นึกเอา ถ้าเรามีคาถา 3 ข้อนี้อยู่ในใจจะทุกข์ยาก ทุกข์ยากหมายความว่ายากที่จะทุกข์ ป่วยกายหรือเวลาแก่ก็เห็นว่าเป็นธรรมดาใจก็ไม่ทุกข์ หลายคนเพียงแค่เห็นผมหงอกหรือผิวตกกระหรือหน้าเป็นสิวหรือหนังเริ่มเหี่ยวย่น แบบนี้กับคนอายุ 20, 30 หรือบางที 40 ปี ก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นเพราะอะไร เพราะเขาไม่เห็นว่าเป็นธรรมดาในความแก่ ความเจ็บไข้ก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นความเจ็บไข้เป็นธรรมดา แล้วตอนที่ยังไม่เจ็บไข้เราระลึกอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งเราต้องเจอไม่มีทางเลี่ยงได้ เมื่อเราเตรียมใจเผื่อใจไว้อย่างนี้ พอเวลาเจ็บไข้จริงๆเราก็จะไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพายว่า ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน
คนจำนวนไม่น้อยพอพบว่าตัวเองเป็นโรคโดยเฉพาะโรคที่รักษายาก เช่นโรคมะเร็ง ก็โวยวายตีโพยตีพาย ทำไมต้องเป็นฉัน ถ้าเราเห็นชัดจริงๆแล้วว่าความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ได้ เพราะว่าใครๆก็เป็นกันทั้งนั้น แทนที่เราจะบอกกับตัวเองว่าทำไมต้องเป็นฉัน เรากลับจะพูดกับตัวเองอีกอย่างหนึ่งว่า ทำไมจะเป็นฉันไม่ได้เพราะใครๆก็เป็นทั้งนั้น ปู่ย่าตายายก็เป็น พ่อแม่ก็เป็น คนรอบข้างก็เป็น ทุกวันนี้เราแต่ละคนจะต้องมีคนรู้จักอย่างน้อยหนึ่งคนที่เป็นมะเร็ง อาจจะรวมถึงเบาหวาน ไตวาย โรคหัวใจด้วย เราคิดว่าเราคงจะมีอย่างน้อยญาติหนึ่งคนที่ตายด้วยโรคเหล่านี้ แล้วเราพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน อย่าไปอ้างว่าเราทำความดีมามาก เราทำบุญให้ทาน เรารักษาศีล อ้างอย่างนี้ไม่ได้ เพราะว่าแม้แต่พระพุทธเจ้ายังต้องอาพาธ พระอรหันต์จำนวนไม่น้อยก็เป็นมะเร็ง หรือว่าอาพาธด้วยโรคร้าย แล้วเราเพียงแค่รักษาศีล 5 แล้วเราจะอ้างคุณวิเศษว่าฉันจะต้องไม่เป็นมะเร็ง จะต้องไม่เป็นโรคร้ายได้อย่างไร คิดเผื่อไว้ก่อน
เมื่อเราท่องหรือได้เราได้อ่านบทสวดนี้แล้ว อย่าแค่สักแต่ว่าอ่านพูดปาวๆ หรือว่ากันไปตามหนังสือ ลองหมั่นพิจารณาสักหน่อยแล้วท่องเอาไว้ ทีแรกต้องท่องไว้ก่อน เรามีความแก่เป็นธรรมดา เราจะละเว้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะละเว้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น สิ่งนี้เราควรจะระลึกอยู่เสมอในยามที่เรายังไม่แก่ เรายังไม่เจ็บไม่ป่วย เรายังไม่เจอความพลัดพราก แต่ที่จริงมาถึงตอนนี้พวกเราทุกคนต้องประสบกับความแก่ไม่มากก็น้อย 23-30 ปีก็ถือว่าแก่เมื่อเทียบกับคนอายุ 5 ขวบ 10 ขวบ เราทุกคนต้องเคยเจอความเจ็บไข้มาทั้งนั้น เพียงแต่ว่าอาจจะยังเจ็บไข้ไม่รุนแรง เราทุกคนล้วนแต่เจอความพลัดพรากสูญเสียทั้งนั้น แม้ความพลัดพรากสูญเสียบางอย่างอาจจะหนัก แต่ให้เราระลึกว่าที่หนักกว่านี้ยังมีอยู่ยังรอเราอยู่ ควรจะนึกในใจว่าโชคดีที่เรายังไม่เจอหนักกว่านี้ แต่ก็อย่าประมาทเพราะที่หนักกว่านี้ยังมีอยู่
คนที่ใกล้ตัว คนที่เรารัก อาจจะไม่ใช่พ่อแม่ไม่ใช่คู่ครอง บางทีอาจจะเป็นลูกเป็นหลาน ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กจะตายที่หลังเรา อาจจะตายก่อนเราก็ได้ นี่ก็เป็นความพลัดพรากที่ยิ่งใหญ่เหมือนกัน พูดอย่างนี้ไม่ได้แช่งแต่เป็นการเตือนให้เราไม่ประมาท หลายคนเขาชะล่าใจไม่ได้คิดเผื่อไว้เลย ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่รอบตัวว่าเด็กๆลูกหลานของคนนั้นคนนี้ก็ล้มหายตายจากไป หรือว่าคนนั้นคนนี้ก็สูญเสียคนรัก สูญเสียพ่อแม่ นี่คือความพลัดพรากที่ต้องเกิดกับทุกคน ในเมื่อยังไม่เกิดก็ถือว่าโชคดีแต่ขณะเดียวกันก็อย่าประมาท ให้เตือนใจเผื่อใจไว้ว่าอาจจะเกิดขึ้นกับเราวันนี้วันพรุ่งก็ได้ด้วยซ้ำ ฉะนั้นถ้าเราระลึกอยู่เสมอพอมันเกิดขึ้นจริงเราจะเราจะรับมือกับมันไหว อะไรเกิดขึ้นกับเรา ถ้าเราเตรียมใจทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว มันไม่เท่าไร ถ้าเรายอมรับได้ว่ามันเป็นธรรมดาเราจะไม่ทุกข์เท่าไร หลายคนรู้สึกว่าเป็นปกติด้วยซ้ำ เมื่อเขาสูญเสียคนรักเพราะเขาเตรียมใจไว้แล้ว ความทุกข์ของคนส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าทำใจไม่ได้ ยอมรับไม่ได้ แล้วคนเรามักจะมีเหตุผลว่าไม่น่าเกิดขึ้นกับฉัน
มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนที่ดูแลสุขภาพดีมาก ออกกำลังกายเป็นประจำ จ๊อกกิ้งก็ดี ว่ายน้ำ เล่นโยคะ แล้วอาหารการกินก็พยายามหลีกเลี่ยงผงชูรสสารเคมี กินอาหารชีวจิตหรือว่าแมคโครไบโอติกส์ (Macrobiotic) บุหรี่แอลกอฮอล์ก็ไม่แตะ น้ำอัดลมพวกที่มีสารเจือปนก็ไม่สน อาหารที่บำรุงสุขภาพที่ช่วยกำจัดพวกอนุมูลอิสระ (Antioxidant ) แกก็ซื้อมา รวมทั้งโคคิวเทน (CoQ10) สาหร่ายสไปรูไรน่า อะไรทั้งหลายก็ไปหามา ด้วยความเชื่อว่ากินแล้วทำแล้วบริโภคแล้วจะไม่เป็นเป็นมะเร็ง โรคร้าย โรคหัวใจ ครั้นพออายุแค่ไม่ถึง 50 ปีปรากฎว่าเป็นมะเร็ง หมอบอกว่าคุณเป็นมะเร็ง มะเร็งปอดด้วยทั้งที่ไม่ได้สูบบุหรี่ ช็อคเลย ไม่ได้ซ็อคอย่างเดียวโกรธด้วย ทำไมต้องเป็นฉัน ฉันอุตส่าห์ดูแลสุขภาพมาดี คนที่กินเหล้าสูบบุหรี่ทำไมไม่เป็น ฉันอุตส่าห์ดูแลอย่างดีสุขภาพทำไมถึงเป็น รู้สึกว่าตัวเองถูกหลอก ถูกหลอกให้กินอาหารชีวจิต กินอาหารแม็คโครไบโอติกส์ ซื้อยานั่นยานี่มากิน มีความโกรธยอมรับไม่ได้ พอโกรธแล้วไม่รู้จะโทษใครก็ระบายใส่หมอ ใส่พยาบาล ใส่คนรอบข้าง ตลอดเวลาที่เจ็บป่วยไม่มีความสุขเลย ทั้งๆที่ทุกขเวทนาความเจ็บความปวดยังไม่ออกฤทธิ์ แต่ว่าใจมันยอม มันทุกข์มากเพราะยอมรับไม่ได้ ไม่น่าจะเป็นฉัน แล้วแกก็ไม่มีความสุขเลย ทั้งๆที่เวลาก็เหลือน้อยแทนที่จะใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีประโยชน์
ไหนๆเกิดมาทั้งทีก็ควรจะได้พบกับความสุข ยิ่งเวลาเหลือน้อยต้องยิ่งใช้เวลาให้มีความสุขมากขึ้น กลับปล่อยให้แต่ละเวลาจมอยู่กับความเศร้า ความโศก ความโกรธ ความแค้น ซึ่งยิ่งทำให้โรคร้ายลุกลามเร็วเข้า ตอนก่อนจะตายก็ทุรนทุรายไม่ยอมรับความตาย แล้วตายก็คงจะตายไม่ดี เพราะว่าไม่สามารถจะทำจิตให้สงบได้เลยเพราะไม่ยอมรับ ฉะนั้นถ้าเราเริ่มต้นจากการที่ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว บ่นโวยวายตีโพยตีพายทำไมไม่มีประโยชน์ หรือทำให้ดีกว่านั้นทำให้เห็นว่าเป็นธรรดา คนที่ดูแลสุขภาพดีก็อาจจะอายุสั้นได้ คนทำความดีก็อาจจะตายก่อนคนที่ทำชั่วก็ได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่มีเหตุปัจจัยเกี่ยวข้องมากมาย ยากที่มนุษย์เราจะหาคำตอบได้ว่าทำไมคนดีถึงตายก่อน สิ่งนี้ก็อาจจะโยงไปถึงเรื่องชาติก่อนชาติที่แล้ว หรืออาจจะเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่เราบอกไม่ได้ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทำให้เรารู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่ามีเหตุปัจจัยมาก แบบนี้ถ้าเกิดว่าเรายอมรับว่ามันเป็นธรรมดาได้ ถึงเวลามันเกิดขึ้นใจก็ไม่ทุกข์ เจ็บป่วยก็รักษาไปตามเหตุตามปัจจัย
ความพลัดพรากสูญเสียก็เหมือนกัน เมื่อพลัดพรากสูญเสียไปก็เตือนใจแล้วว่าสักวันก็ถึงคราวของเรา เวลาของเรานับถอยหลังขึ้นทุกวันๆ ทุกเวลาทุกนาที เพราะฉะนั้นเร่งทำความดี หรือเวลามีความพลัดพรากสูญเสียที่เป็นทรัพย์สมบัติ ก็ถือว่าเขามาฝึกมาสอนให้เรารู้จักปล่อยรู้จักวาง การปล่อยวางสำคัญ เพราะถึงที่สุดแล้วเราต้องปล่อยวางทุกอย่าง คนเราเมื่อจะตายเอาไม่ได้สักอย่าง แม้แต่ร่างกาย แม้แต่ลมหายใจ แม้แต่คนรัก ทรัพย์สมบัติมีกี่อย่าง โฉนดที่ดินมีกี่ร้อยแปลงก็ต้องปล่อยต้องวางให้หมด เงินมีกี่ร้อยล้านก็ต้องวาง เพราะถ้าไปยึดเอาไว้ทำใจไม่ได้ ทรัพย์สมบัติจะทำให้เราตายไม่สงบ คอยห่วงดิ้นรนนึกถึงมัน บางทีตายไปแล้วก็ยังยังไม่ยอม
เคยไปเยี่ยมคุณยายคนหนึ่ง อาตมาไม่รู้จักหรอกแต่ว่ามักจะพาคนไปเป็นจิตอาสาเยี่ยมคนป่วยตามโรงพยาบาล ก่อนไปเยี่ยมหมอก็มาบอกว่าคนไข้คนนี้อาการหนักแล้ว แล้วหมอบอกว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งวันก็บอกให้คุณยายคนนี้ปล่อยวาง ปล่อยวางเรื่องลูกหลาน พอบอกให้ปล่อยวางเรื่องทรัพย์สมบัติแกหน้านิ่วคิ้วขมวดเลย เหมือนกับไม่ยอมรับ นั่นคือหนึ่งวันก่อนที่อาตมาจะไปเยี่ยม พออาตมาไปเยี่ยมตอนบ่าย ก่อนไปเยี่ยมหมอก็มาบอกว่าเมื่อตอนเช้ามีเพื่อนบ้านกระหืดกระหอบมาเยี่ยมยายคนนี้ เพื่อนบ้านบอกว่าที่มาเยี่ยมเพราะว่าแกไปหาแกไปทวงเงิน ยืมเงินไว้หลายปีแล้วไม่คืนสักที ตัวอยู่โรงพยาบาลแต่ว่าส่งจิตไปหา แกเห็นยายนี้มาทวงเงิน ยังไม่ตายเลยแต่ว่าส่งจิตไป แกก็เลยรีบมาเพื่อบอกว่าจะคืนเงินแล้ว แสดงว่าอะไร แสดงว่าแกห่วงเรื่องเงินมากห่วงเรื่องหนี้มาก จะตายอยู่แล้วยังไม่ยอมปล่อยวาง หวงเงิน แบบนี้แสดงว่าแกเป็นของเงินไปแล้ว ไม่ใช่เงินเป็นของแก แกเป็นของเงินแกถึงวางไม่ได้ ถ้าเงินเป็นของเราเราวางได้ทุกเวลา แต่ถ้าเราเป็นของเงินเมื่อไรเงินก็จะพยายามสั่งให้เราทำโน่นทำนี่ เช่นสั่งจิตให้ไปทวงเงินจากเพื่อนบ้าน เงินสั่งจิตของคุณยายให้ไปทวงเงิน แกคิดว่าเงินเป็นของแกแต่ที่จริงแกเป็นของเงิน จะตายแล้วยังห่วงเงิน
คนเราเวลาจะตายควรทำใจสบาย ปล่อยวาง เงินจะมีกี่มากน้อยก็ช่างมัน เพราะถ้าไปห่วงตอนจะตายก็ไม่สงบ ทุรนทุราย ตายไปก็ไปอบาย มีเรื่องเล่ามากมายเป็นประเภทว่าหวงทรัพย์ แล้วตายไปก็ไปวนเวียนอยู่แถวนั้นแหละ ในสมัยพุทธกาลก็มีพราหมณ์คนหนึ่งแกก็รวย ก่อนจะตายแกก็นึกถึงทรัพย์สมบัติ พอตายปุ๊ปไปเกิดเป็นหมาเฝ้าทรัพย์วนเวียนอยู่ในบ้านนั้นเพราะหวงเงิน เพราะปล่อยให้เงินมาเป็นนายเหนือเราแทนที่จะได้ไปสู่สุขคติ เงินทองที่มีแทนที่จะใช้เพื่อทำความดี เพื่อหนุนส่งให้เราได้ไปสุขคติ ไม่เพียงแค่สุขสบายในชาตินี้แต่ว่าไปเสวยสุขสมบัติในภพหน้า แต่เพราะหวงแหนเงินยอมให้เงินมาเป็นนาย สุดท้ายก็ไปเกิดเป็นหมาเฝ้าทรัพย์สมบัติ
พระบางรูปก็เป็นห่วงจีวรใหม่ที่ได้มา สมัยก่อนจีวรเป็นของหายาก จึงมีประเพณีทอดผ้าป่าทอดกฐินพวกนี้เป็นเรื่องผ้าทั้งนั้นเพราะว่าผ้าหายาก ผ้าปกติก็ต้องไปเก็บเอามาจากป่าช้าสุสาน ได้จีวรใหม่มาก็ถือว่าเป็นโชคก็ดีใจ แต่ยังไม่ทันจะได้ห่มจีวรนั้นก็เกิดตาย จิตนึกถึงจีวรก็เลยไปเกิดเป็นเลนอยู่ในจีวรนั้น แบบนี้ก็เรียกว่ายอมให้จีวรมาเป็นนายเหนือจิตใจของตน ฉะนั้นถ้าหากว่าเราเจอความพลัดพรากสูญเสีย ให้ถือว่าเขามาฝึกให้เราปล่อยวาง เพราะว่าวันหน้าจะต้องเจอหนักกว่านี้ หรือวันหน้าจะต้องปลดปล่อย ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นถ้าเราคิดแบบนี้ก็ทำให้เรามีความพร้อมมากขึ้น ถึงเวลาที่จะต้องเจอความพลัดพราก ก็เป็นธรรมดา
สุดท้ายความตายก็ต้องพิจารณาหรือระลึกอยู่เสมอ “เรามีความตายเป็นธรรมดา จะละเว้นความตายไปไม่ได้” ระลึกอยู่เสมอไม่ใช่การแช่ง เป็นการระลึกเพื่อที่จะทำให้เรากลัวตายน้อยลง แล้วก็พร้อมที่จะเผชิญกับมัน ความตายถ้าเรากลัวมันยิ่งมีอำนาจเหนือเรา ที่จริงถ้าคนที่เข้าใจเรื่องความตาย เขาจะรู้ว่าความตายไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวตาย เช่นเดียวกันความแก่ไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวแก่ ความเจ็บไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวเจ็บ เพราะถ้ากลัวเจ็บเมื่อไรจะหนักกว่าเดิม คนที่กลัวเข็มฉีดยาพอโดนเข็มจิ้มไปที่แขนหรือที่ลำตัว พบว่าจะเจ็บกว่าคนที่ไม่กลัวเป็น 3 เท่า คนไม่กลัวเขาเจ็บ 1 ส่วน คนกลัวเจ็บ 3 ส่วน 1 ส่วนแรกเป็นเรื่องของความเจ็บกาย อีก 2 ส่วนที่เพิ่มมาเป็นความเจ็บใจหรือความปวดใจ ความเจ็บจึงไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวเจ็บ โรคไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวโรค แล้วความตายก็ไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวตาย
ที่เรากลัวตายเพราะว่าไม่ค่อยได้นึกถึงมัน เราประมาทเราคิดว่าเรายังมีอายุอีกนาน เวลานึกถึงทีไรก็รู้สึกวูปขึ้นมาในใจก็เลยปัดมันทิ้ง ยิ่งพิจารณานึกถึงมันบ่อยๆ นึกถึงบ่อยๆ จะเป็นการเจริญมรณสติก่อนนอนก็ดี หรือว่าเป็นการระลึกถึงทุกครั้งเวลาเราเดินทางไกล จะทำให้เราคุ้นเคยกับความตายได้ แล้วเวลาได้ยินว่าคนโน้นตายคนนี้ตาย ก็มาเตือนใจเราว่าสักวันก็ถึงคราวของเรา ทีนี้จะทำให้เราเห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา ตอนที่ยังไม่ตายก็เตือนใจไว้ แล้วก็จะได้อาศัยความตายเป็นตัวกระตุ้นให้เราเร่งทำความดี คนเราถ้าถึงแม้ว่าจะไม่ตาย แต่ถ้าระลึกถึงความตายไว้จะช่วยได้มาก
สตีฟ จ๊อบส์ ซึ่งเป็นคนที่ผลิตโทรศัพท์ iPhone iPod iPad เป็นฝรั่งก็จริงแต่เขาเป็นคนที่ฉลาดคนหนี่ง ตอนที่เขาเป็นมะเร็งตับอ่อน เขาเคยพูดว่า การระลึกถึงความตายของตัวเขาเองเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญๆในชีวิตได้ แล้วเวลามีความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเพราะว่าทุกข์เพราะความทะเยอทะยาน ทุกข์เพราะความคาดหวัง ความสำเร็จ หรือหน้าแตกเวลาล้มเหลว หน้าแตกเวลาผิดหวัง ความรู้สึกความทุกข์เหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือหายไปเลย เมื่อนึกถึงความตายที่จะเกิดกับเขา
คือคนเราพอนึกถึงความตายเมื่อไรความทุกข์ที่มีจะกลายเป็นเรื่องเล็ก ทุกข์เพราะเงินหาย ทุกข์เพราะที่ดินถูกโกง ทุกข์เพราะถูกต่อว่าด่าทอ พวกนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อนึกถึงความตาย ในขณะเดียวกันเมื่อถึงเวลาจะตายจริงๆ ก็ทำใจยอมรับได้ เป็นมิตรกับความตาย มาเลยความตายเราพร้อมแล้ว เพราะว่าเราเตรียมใจอยู่เสมอ เพราะเรารู้ว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา และเมื่อระลึกถึง 4 ประการนี้ พอมันเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเป็นความแก่ ความเจ็บไข้ ความพลัดพรากสูญเสีย ความตาย ใจไม่ทุกข์ อาตามาจึงเรียกว่า คาถาดับทุกข์
ส่วนข้อที่ 5 เป็นคาถาสร้างความสุข ข้อที่ 5 เป็นเรื่องกรรม “เรามีกรรมเป็นของตน เราทำดีจะได้ดี เราทำชั่วจะได้ชั่ว” ถ้าอยากได้ความสุขจะต้องสร้างกรรมดี แล้วข้อ 5 มีรายละเอียดเพิ่มเติม “เรามีกรรมเป็นแดนเกิด” ความหมายง่ายๆ เรามีกรรมเป็นแดนเกิดคือ ตราบใดที่เรายังทำกรรมอยู่ไม่ว่าทำกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ต้องไปเกิดอีก ทำกรรมดีก็ต้องไปเกิดแต่ว่าไปเกิดสุขคติ ทำกรรมชั่วก็ต้องไปเกิดเหมือนกันแต่ว่าไปเกิดทุกขคติ แต่ความเกิดมีนัยยะอีกแบบหนึ่งด้วย คือเกิดทางจิต ไม่ใช่เกิดจากท้องแม่เท่านั้น ขึ้นอยู่กับกรรม ตัวอย่างเช่นคนที่ตั้งใจเรียน ขยันเรียน ถึงเวลาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ตั้งใจเรียน พยายามจะศึกษาหาความรู้ทำแบบฝึกหัดทำบททดสอบ ติวที่ไหนก็ไปเรียนที่นั่น สุดท้ายก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้กลายเป็นนักศึกษา ความเป็นนักศึกษาเกิดขึ้นรู้สึกว่าฉันเป็นนักศึกษา แบบนี้เขาเรียกว่าความเกิด เมื่อไรก็ตามที่เราเป็นนักศึกษาแล้ว แล้วเราก็รู้สึกว่าฉันเป็นนักศึกษาแล้ว สิ่งนี้เขาเรียกว่าเกิดแล้ว เกิดเพราะอะไร เพราะกรรม เพราะความขยัน
บางคนเอาแต่กินๆ กินตามใจปากจนอ้วน เกิดความรู้สึกว่าฉันอ้วน ฉันเป็นคนอ้วนแบบนี้ก็เรียกเป็นการเกิดเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นการเกิดเพราะกรรม คือถ้าไม่กินมากก็ไม่เกิดความรู้สึกว่าฉันเป็นคนอ้วน แบบนี้เรียกว่าภพ เป็นภพ คำว่าภพไม่ได้แปลว่าไปเกิดหลังตายเท่านั้น ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เราก็เกิดเป็นนักศึกษา เกิดเป็นคนอ้วน หรือว่าบางคนพยายามรักษาสุขภาพดี ร่างกายก็เพรียวก็รู้สึกว่าฉันเป็นคนสวย เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกว่าฉันเป็นคนสวยเรียกว่ามีความเกิดขึ้นแล้ว เข้าสู่ภพ เรียกว่าภพชาติ ทำชั่วก็รู้สึกว่าฉันเป็นคนเลว หรือไม่ขยันขันแข็งฉันเป็นคนล้มเหลว แบบนี้ก็เกิดเหมือนกัน
ทีนี้ก็ต้องถามว่าเราอยากเกิดเป็นอะไร เราอยากจะเกิดเป็นคนดี อยากจะเกิดเป็นคนที่มีความสุข อยากจะเกิดเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ อยากจะเกิดเป็นคนที่ปล่อยวาง ก็ต้องทำกรรม สิ่งนี้เรียกว่า “เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย” อยากจะได้ความสุขก็ทำกรรม กรรมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความชั่ว เดี๋ยวนี้เวลาพูดว่าทำกรรมทำกรรมเราหมายถึงว่าทำความชั่ว ที่จริงไม่ใช่ กรรมดีก็ได้กรรมชั่วก็ได้เหมือนกัน “เราเป็นทายาทของกรรม” หมายความว่าเราทำกรรมอะไรไว้เราก็ต้องรับผลของกรรมนั้น “กัมมะทายาโท” คือเราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น กรรมปรุงแต่งเราแล้วเราก็ปรุงแต่งกรรม จึงเรียกว่าเรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเป็นคนสร้างกรรม กรรมเป็นผลจากความเพียรของเรา หรือเป็นผลจากการกระทำของเรา
เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากมีความสุขก็ต้องสร้างสุข อย่าไปหวังบนบานศาลกล่าว อย่าไปอธิษฐานในความหมายที่ร้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อิทธิปาฏิหารย์ ต้องทำกรรมคือทำด้วยตัวเราเอง สิ่งนี้เรียกว่าเป็นคาถาสร้างสุข แต่ก่อนที่จะมาถึงคาถานี้ คาถาดับทุกข์ขอให้จำใส่ใจเอาไว้ ทุกวันๆเตือนตัวเองบอกกับตัวเองว่า ฉันมีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ หรือถ้าแก่แล้วก็ให้ยอมรับ ถ้ายังไม่แก่ก็เตือนใจไว้ว่า ฉันมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ ถ้ายังไม่เจ็บไข้ก็เตือนใจเอาไว้ ถ้าเจ็บไข้ก็มองว่าเป็นธรรมดา ฉันจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ หรือคน สิ่งของ เตือนใจไว้ ถึงเวลาเกิดขึ้นก็เสียแต่ของแต่ใจไม่เสีย ถึงเวลาก็ป่วยแต่กายใจไม่ป่วย ถึงเวลาแก่ก็แก่แต่กายใจไม่แก่ ฉันมีความแก่เป็นธรรมดา จะละเว้นความแก่ไปไม่ได้
และข้อสุดท้ายเตือนเอาไว้ถึงเวลาจะตายก็ยอมรับได้ไม่ทุรนทุราย เรียกว่าตายแต่กายแต่ใจไม่ได้รู้สึกตายไปด้วย หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือไม่มีผู้ตาย ถ้าปฎิบัติธรรมจริงๆ จะมีแต่ความตายแต่ไม่มีผู้ตาย เพราะจะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่า มีเรา มีกู มีของกู เรื่องนี้ต้องอาศัยการปฎิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องข้อที่ 5 เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ถ้าอยากจะให้มีความสุขในทุกสถาน แม้แต่เวลาตายก็ไม่ทุกข์ทุรนทุราย ต้องหมั่นปฏิบัติธรรมเจริญภาวนาจนกระทั่งไม่มีความรู้สึกตัวกูของกู หรือตัวฉัน ทำให้ตัวฉันมันตาย ถึงตอนนั้นก็มีแต่ความตายแต่ไม่มีฉันผู้ตาย แล้วจะทุกข์ได้อย่างไร ก็เป็นความทุกข์ของร่างกายที่ต้องแตกดับไปตามธรรมชาติของ ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ความรู้สึกทุกข์ใจไม่มี เพราะไม่มีผู้ตาย ไม่มีความรู้สึกว่าฉันตาย แบบนี้ที่จะพูดว่าตายก่อนตาย ให้หมั่นปฏิบัติให้จนถึงขั้นตายก่อนตาย คือตัวกูตาย ความยึดมั่นในตัวกูดับไป ถึงตอนนั้นเวลาหมดลมหัวใจหยุดเต้นก็ไม่มีความทุกข์อะไร มีแต่เวทนาซึ่งเป็นเรื่องของกาย