แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในพระไตรปิฎกอาจจะมีหลายตอนทีเดียวที่พูดถึงมารที่คอยมารังควานรบกวน กลั่นแกล้งผู้ที่ใฝ่ความเพียร ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ มารก็ยังมารบกวน ทั้งๆที่พระพุทธองค์ก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ท่านก็หลุดพ้นจากความทุกข์และอาสวะทั้งหลายแล้ว มารนี้เป็นเทวดาเรียกว่าเทวปุตตมาร อยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุดของกามาวจร เรียกว่ามีอำนาจเหนือผู้ที่ติดข้องในกาม เพราะฉะนั้นใครที่พยายามทำความเพียร เพื่อหลุดจากอำนาจของกาม หรือเป็นอิสระจากกาม มารจะไม่ชอบ มารจะคอยมารบกวนขัดขวาง ให้เกิดคลายความเพียรหรือว่ายุติการปฏิบัติ
วิธีการของมารก็ใช้การแปลงกายเป็นพญาช้างบ้างเป็นงูใหญ่บ้าง หรือบางทีก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหว เพื่อให้ผู้ที่ทำความเพียรเกิดความกลัว ให้เลิกปฏิบัติ หรือบางทีก็แปลงกายเป็นพราหมณ์มาชักชวนเกลี้ยกล่อมให้เลิกทำความเพียร บางทีก็บอกกับภิกษุณีว่าท่านมีสติปัญญาแค่สมอง 2 นิ้ว ว่าสมองท่านน้อย ไม่มีทางที่จะตรัสรู้บรรลุธรรมหรอก แม้กระทั่งชักชวนให้พระพุทธเจ้า เสด็จกลับไปครองราชย์ดีกว่า ไม่ต้องไปสอนผู้คน อันนี้เรียกว่า เกลี้ยกล่อมให้เลิกทำความเพียร ล้วนสรรหาเหตุผลดีๆมาให้ทั้งนั้น แต่ว่าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ผล ที่ไม่ได้ผลก็เพราะว่าภิกษุณีหรือภิกษุหลายท่าน ท่านรู้ทาง ท่านรู้ทันมารพวกนี้ มารมีฤทธิ์มากก็จริง แต่ว่ามีจุดอ่อนก็คือ กลัวคนรู้ทัน
อย่างเช่น เวลามารรบกวนรังควานพระพุทธเจ้า มาดูหมิ่นพระพุทธเจ้าว่า นอนขี้เซา นอนหลับเหมือนตาย พูดขนาดนั้นก็มี โดยแปลงกายมา พูดดูหมิ่นพระพุทธเจ้า หรือหว่านล้อมพระพุทธองค์ให้เลิกเผยแผ่ธรรมให้กับสรรพสัตว์ สิ่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าใช้ในการรับมือกับมารคือ บอกกับมารว่า มารผู้มีบาป เรารู้จักท่านแล้ว ให้มารรู้ว่าท่านอย่ามาหลอกเรา เรารู้ทันแล้ว เท่านี้แหละมารก็ยอมแพ้แล้วก็ล่าถอยไปพร้อมกับรำพึงว่า พระตถาคตท่านรู้จักเราแล้ว ท่านตถาคตรู้จักเราแล้ว คือรู้ทัน
กับภิกษุบางท่าน ที่ถูกมารมารังควาน มารก็พ่ายแพ้ด้วยวิธีนี้ อย่างเช่น พระสมิทธิ ท่านทำความเพียรอยู่ ในป่า มารก็มาบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว พระสมิทธิตกใจ รีบกลับไปเชตวัน ทูลให้พระพุทธเจ้าทราบ พระพุทธเจ้าก็รู้เลยว่านี้เป็นอุบายของมาร จึงบอกพระสมิทธิว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ให้พูดไปเลยว่ามารผู้มีบาป เรารู้จักท่านแล้ว ก็เป็นอย่างที่ว่าพอพระสมิทธิกลับไปทำความเพียร ก็โดนแกล้งให้แผ่นดินไหวจากมาร พระสมิทธิก็พูดว่า มาร เรารู้จักท่านแล้ว เท่านี้แหละมารก็ยอมแพ้ แล้วก็รำพึงว่าพระสมิทธิรู้จักเราแล้ว พระสมิทธิรู้จักเราแล้ว คือว่า ถ้ารู้ทันเมื่อไหร่ มันก็ยอมแพ้ทันที ทั้งๆที่มารมีฤทธิ์มาก แต่ก็พ่ายแพ้ต่อการรู้ทันรู้ทาง
พระโมคคัลลานะ มารก็ยังมารังควานเลย มาสิงเข้าไปในท้อง ทำให้ท่านปวดมาก ทีแรกท่านก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่พอรู้ว่าเป็นอุบายของมาร ท่านก็พูดขึ้นมาเลยว่า มาร เรารู้จักท่านแล้ว ท่านอย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน เท่านี้มารก็ยอมแพ้เลย ออกจากร่างของพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากแต่ว่าก็ไม่ได้ทำอะไรกับมาร แต่แค่ว่าบอกให้มารรู้ว่าท่านรู้จักมารแล้ว คือรู้ทัน
การรู้จักมารหรือรู้ทันมาร มันสามารถที่จะทำให้มารซึ่งเป็นเทวดาที่มีฤทธิ์มากยอมแพ้ได้โดยที่ไม่ยอมต่อสู้ หรือว่ามารบกวนรังควานอีกต่อไป การรู้จักหรือว่ารู้ทัน มันมีพลัง มันมีอานุภาพ อย่างที่เรานึกไม่ถึงตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์ตรัสออกมาเป็นพุทธสุภาษิตประโยคหนึ่ง ที่ในบทสวดว่า นี่แน่ะนายช่างปลูกเรือน เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป นายช่างปลูกเรือนคือตัณหาผู้สร้างภพ หรือว่าท่านเปรียบเหมือนกับนายช่างผู้สร้างบ้าน
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้นน่าสนใจ นี่แน่ะนายช่างปลูกเรือน เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว แค่รู้จักมาร ก็เรียกว่ามารไม่สามารถที่มาทำอะไรกับพระองค์ได้อีกต่อไป การรู้จัก แค่รู้เฉยๆ รู้จักเฉยๆก็มีพลัง เพราะฉะนั้นกิจในอริยสัจข้อแรก คือรู้ทุกข์ รู้จักทุกข์ ยังไม่ต้องไปรื้อถอนทุกข์หรอก การรื้อ หรือการถอน หรือการละ เป็นเรื่องของสมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์ แต่ทุกข์ สิ่งที่พึงทำคือแค่รู้จัก เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ที่ครูบาอาจารย์สอนว่าเวลามีความคิดฟุ้งซ่าน มีอารมณ์รบกวน ไม่ต้องไปทำอะไรมาก แค่รู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ เมื่อมันเกิดขึ้น ก็รู้จักมัน เห็นมัน ถ้าไม่รู้จักมัน ไม่เห็นมัน ก็เข้าไปเป็นแล้ว มีความโกรธ ไม่เห็นความโกรธ ก็ไปเป็นผู้โกรธแล้ว มีความเกลียด ไม่เห็นมัน ไม่รู้จักมัน ก็กลายเป็นผู้เกลียด มีความกลัว ไม่เห็นมัน ไม่รู้จักมันก็กลายเป็นผู้กลัว และคำว่ารู้หรือเห็น ท่านก็ขยายความว่าให้รู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ รู้โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน
บางทีหลวงพ่อคําเขียนใช้คำว่าจ๊ะเอ๋ อารมณ์อกุศล บางทีมันคล้ายๆมันมาล่อมาลวงเรามาอำพรางตัว แต่ทันทีที่เราจ๊ะเอ๋มันซึ่งๆหน้า มันก็ล่าถอยไป เหมือนกับขโมยที่แอบเข้ามาในบ้าน ขโมยก็ไม่อยากจะให้เจ้าบ้านเห็น มันต้องหลบๆซ่อนๆอำพรางตัว แต่ทันทีที่เจ้าของบ้านเห็นมัน สบตามัน หรือจ๊ะเอ๋มัน มันก็ล่าถอยหนีไปเลยโดยที่ไม่ต้องไปไล่ตีมัน ไม่ต้องไปเตะต่อยมัน ไม่ต้องเอาไม้เอามีดไปไล่มัน แค่จ๊ะเอ๋หรือสบตาเท่านั้น มันก็หนีไปเสียแล้ว แต่การที่จะรู้ซื่อๆได้ มันต้องมีความรู้ตัวหรือว่ามีสติเป็นตัวหนุน เพราะว่าถ้าไม่มีสติ มันก็ไม่มีทางที่จะรู้ทัน ความคิดและอารมณ์อกุศลเหล่านี้ มันก็โดนความคิดและอารมณ์เหล่านี้ดูดเข้าไปหรือจมหายไปในความคิดอารมณ์อกุศลเหล่านั้น ก็ยิ่งเป็นทุกข์เข้าไปใหญ่
แต่ถ้าเกิดว่าเรามีสติ สติเราเข้มแข็ง ฉับไว ทำให้เราระลึกได้ว่า กำลังทำอะไรอยู่ ดึงจิตกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว พอมีความรู้ตัวเข้า เห็น เห็นความคิดและอารมณ์เหล่านี้ชัดๆ มันก็ยอมแพ้แล้ว เพียงแค่เห็นมัน ก็ช่วยได้เยอะ หรือเพียงแค่รู้มัน ช่วยได้เยอะ อารมณ์พวกนี้เกิดขึ้นเพราะความหลง มันมีความหลงเป็นเชื้อเหมือนกับไฟที่อยู่ได้เพราะออกซิเจน ออกซิเจนดับ ไฟก็ดับ เมื่อความหลงหายไปเพราะมีความรู้ตัวเข้ามาแทนที่ อารมณ์พวกนี้ก็อยู่ไม่ได้ เหมือนกับไฟที่ขาดเชื้อ หรือขาดออกซิเจน เพราะฉะนั้นสติจึงมีความสำคัญมาก
การที่เราจะรู้ซื่อๆ ได้ ต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งรู้ทัน แต่ก็อย่างที่บอกรู้ทันไม่พอต้องรู้ซื่อๆด้วย เพราะถ้ารู้ทัน เห็นความคิดอารมณ์ที่เราไม่ชอบแบบไม่รู้ซื่อๆ ไม่รู้เฉยๆมันจะเข้าไปกดข่ม เข้าไปราวีกับอารมณ์ความคิดเหล่านั้น เท่ากับว่าตกเป็นเหยื่อของมัน หรือเข้าทางมัน มันต้องการให้เราเข้าไปพัวพัน ไปราวีกับมัน เพราะว่าถ้าเราไปราวีพัวพันกับมัน ก็จะตกเข้าไปอยู่ในอำนาจของมัน
แต่ถ้าเราแค้รู้ซื่อๆรู้เฉยๆ ความรู้ตัวมันก็มากพอที่จะทำให้อารมณ์พวกนี้ดับหายไป อย่างที่เคยพูดถึงคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่มีคนถามว่าจะทำอย่างไรถึงจะตัดความโกรธให้ขาดได้ หลวงปู่บอกว่าไม่มีทางตัดขาดได้หรอก นอกจากรู้ทัน พอรู้ทัน มันก็จะหายไปเอง ความกลัวก็เหมือนกัน พอความกลัวเกิดขึ้นถ้าเรามีสติ ไปดูมัน มันก็แพ้เหมือนกัน
มีเด็กคนหนึ่งเป็นเด็กฝรั่งที่อายุราว 11-12 ขวบ วันหนึ่งเธอฝันร้ายว่า มีปีศาจหรือผีมาไล่ล่า เธอก็วิ่งหนีจนกระทั่งเจอบ้านหลังหนึ่ง เธอก็รีบเปิดประตูเข้าไปในบ้านหลังนั้น แต่ยังไม่ทันจะปิดประตู ผีก็เข้ามาได้แล้วก็วิ่งไล่เด็กคนนั้น เด็กก็วิ่งไปจนเจอกำแพงหรือผนัง ไปต่อไม่ได้ เด็กก็ตกใจมาก แล้วพอปีศาจนั้นทำท่าจะกระโดดขม้ำ เด็กก็ร้องกรี๊ดสะดุ้งตื่นเลย ฝันร้ายอยู่อย่างนี้หลายคืน วิ่งหนีมัน มันไล่ตาม พอจะเจอบ้าน จะไปหาที่หลบภัย จะปิดประตู ปิดไม่ทัน มันก็เล่นงาน ตามต้อนจนถึงไปสุดที่ผนังกำแพงแล้วเธอก็ไปต่อไม่ได้ เธอก็ผวา ตกใจมาก เพราะผีจะกระโดดเข้ามาเล่นงาน เธอฝันร้ายอย่างนี้จนกระทั่งไม่กล้าหลับ แล้ววันหนึ่งก็เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆฟัง เพื่อนก็ถามว่าหน้าตาปีศาจมันเป็นอย่างไร เด็กก็ตอบว่าไม่รู้ ก็เพราะว่าฉันหนีมันตลอด เพื่อนก็เลยบอกว่าทีหลังก็หันไปดูสักหน่อยสิว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร
วันต่อมาเธอก็ฝันอีก เหมือนเดิม แต่คราวนี้พอปีศาจวิ่งเข้ามาไล่ต้อนเธอจนกระทั่งติดชิดกำแพง ก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนที่บอกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ก็เลยรวบรวมความกล้า หันกลับไปจ้องมองปีศาจ พอปีศาจเห็นเด็กจ้องมองหน้า มันก็ชะงักเลย มันได้แต่กระโดดโหยงๆ ไม่กล้าเข้ามาหาเธอ แล้วพอเธอดูหน้าตาปีศาจก็พบว่า มันก็คือตัวการ์ตูนที่อ่านก่อนนอนนั่นเอง ก่อนนอนเธออ่านการ์ตูนเกี่ยวกับเรื่องปีศาจ แล้วก็เข้ามาในความฝันของเธอ แต่เธอไม่รู้ เพราะเธอหนีมาตลอดด้วยความกลัว แต่พอหันมาจ้องมองมันแล้วรู้ว่า ที่จริงมันก็คือตัวการ์ตูนนั่นเอง นับตั้งแต่นั้นมาเธอก็หายกลัวเลย แล้วก็ไม่ฝันร้ายอีกต่อไป หายกลัวเพราะว่ามองปีศาจ ปีศาจพวกนี้ก็กลัวการถูกมอง
คนเราเวลาเจอความกลัว เราก็มักจะผวา แล้วเราก็พยายามที่จะหนีมัน หรือไม่ก็ ผลักไสมัน ธรรมชาติคนเรา พอเจออารมณ์ที่เป็นอกุศลเราก็มักจะผลักไส กดข่มมัน เช่น ความโกรธ แต่ถ้าเป็นความกลัว เราก็พยายามหนีมัน นี่เป็นธรรมชาติของคนเรา เวลาเจออันตราย ไม่สู้ก็หนี ถ้าสู้ได้ก็สู้ ถ้าหนีได้ก็หนี ถ้าหนีไม่ได้ก็สู้แบบหมาจนตรอก ใจของเราก็เหมือนกัน เวลาเจออารมณ์ที่ไม่ชอบ ความโกรธ ความกลัว ความเกลียด ยิ่งมาสนใจธรรมะ ยิ่งรู้ว่าอารมณ์พวกนี้ไม่ดีก็ยิ่งพยายามกดข่ม หรือไม่ก็หนี ก็ยิ่งทำให้มันมีอำนาจ
แต่ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนมาดูมาเฉยๆ หลวงพ่อคำเขียนบอกว่า เวลาเจออารมณ์พวกนี้ อย่าไปร้องโอย อย่าไปนึกโอยอยู่ในใจ ให้อื่มเอาไว้ อย่าไปโอย อื่มคือแค่รับรู้เฉยๆ ไม่ได้ตื่นตกใจ ไม่ได้ทุกข์อะไร กับความโกรธก็ดี ความกลัวก็ดี ก็เหมือนกันถ้าเรารู้จักใช้สติดูมันบ้าง แล้วก็ดูแบบรู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ
มีหมอคนหนึ่งหมอวิธาน ฐานะวุฑฒ์ เป็นหมอผ่าตัดเล็ก มักจะเจอคนไข้ที่กลัว กลัวเจ็บ หมอก็บอกว่าไม่ต้องกลัว อย่าไปกลัว เพราะว่าฉีดยาชา หรือบางทีก็บอกว่า มันผ่านิดเดียว แต่คนไข้ก็ยังกลัว เหตุผลไม่ช่วยเลย ตอนหลังใช้วิธีใหม่ก็คือว่า ให้มาสังเกตร่างกายเวลามีความกลัว ลมหายใจเป็นอย่างไร หัวใจเป็นอย่างไร มือขาเป็นอย่างไร เกร็งไหม ให้ดูเฉยๆ ให้รับรู้เฉยๆ ไม่ต้องไปยินร้ายอะไรกับมัน แล้วตอนหลังก็ให้มาดูความกลัวเหมือนกับเป็นก้อนพายุที่เราคอยสังเกตอยู่ห่างๆ
ก่อนจะทำกิจกรรมนี้ ก็ให้คนไข้ให้คะแนนความกลัวก่อนว่า ความกลัวขณะนี้สักเท่าไหร่ กี่คะแนน 6-7 คะแนน การให้คะแนนนี้เท่ากับเป็นการสอนให้คนกลับมาดูความกลัว แทนที่จะหนีมัน แล้วพอให้สังเกตกายขณะที่มีความกลัวเกิดขึ้น แล้วก็ดูอารมณ์กลัวที่เกิดขึ้น ปรากฏว่าความกลัวลดลง จากคะแนน 6-7 คะแนน ลดเหลือ 3-4 คะแนน ทำให้การผ่าตัดทำได้ง่ายขึ้น คือแทนที่จะพูดว่า อย่ากลัว ๆ ก็ให้มารับรู้ความกลัวเลย คือให้รู้แบบรู้เฉยๆ มันช่วยได้
มีแต่คนหนึ่งอายุประมาณ 3-4 ขวบ แกกลัวโป๊ะมาก เวลาพ่อจะพาเด็กไปที่โป๊ะเพื่อขึ้นเรือข้ามฟาก เด็กจะกลัวมาก ขนาดพ่ออุ้ม เด็กยังร้องเลย อยากจะให้พ่อออกจากโป๊ะไวๆ พ่อพยายามบอกว่าไม่ต้องกลัวๆ พ่ออยู่กับลูก พ่อกอดลูกไว้แน่น ลูกปลอดภัย ลูกก็ยังกลัว แต่ตอนหลังไปได้ไอเดียจากเพื่อนมา ก็ลองเอามาใช้กับลูกดูก็คือ ตอนที่ลูกกลัว ให้ลูกดูร่างกาย แล้วพ่อก็ถามว่า ลูก ร่างกายของลูกตอนนี้เป็นอย่างไร ถามไปทีละอย่าง ลมหายใจ หัวใจ หรือว่าร่างกาย เป็นอย่างไร ในขณะที่กำลังกลัว เด็กก็บอกให้พ่อรู้ว่า หัวใจมันเต้นเร็ว ลมหายใจถี่ ตัวก็เกร็ง
เสร็จแล้วก็ชวนลูกให้มาดูอารมณ์ความกลัว ความกลัวเป็นอย่างไร ใจตอนนี้เป็นอย่างไร ปรากฏว่าสักพักหนึ่งเด็กหายกลัวเลย มือที่เคยกอดพ่อไว้แน่นเพราะความกลัว มันคลายเลย เด็กสามารถที่จะวิ่งเล่นบนโป๊ะได้ เพราะเด็กหายกลัว เพราะพ่อสอนให้ใช้สติในการมาดูความกลัว ดูกายก่อน แล้วก็ดูใจ แต่การดูก็ต้องดูให้เป็น ถ้าดูไม่เป็นก็จะถูกความกลัวดูดไป ไปจ้องมัน มันยิ่งดูดเข้าไปใหญ่ ก็ต้องมีวิธีการหรือมีอุบาย
ปกติเรามีความกลัว แล้วก็อาจจะระงับหรือบรรเทาความกลัวด้วยการ เอาจิตไปสนใจอย่างอื่นแทน เช่นสวดมนต์ ให้จิตไปอยู่กับการสวดมนต์จะได้ลืมสิ่งที่กลัวหรือว่าวางความกลัว เวลาโกรธก็อาจจะใช้วิธีกลับมาตามลมหายใจ ให้จิตมาอยู่กับลมหายใจ มันจะได้ไม่ไปนึกถึงเรื่องราวเหตุการณ์หรือคนที่ทำให้เราโกรธ อันนี้ก็เป็นวิธีการเปลี่ยนอารมณ์ ทำให้ลืมความโกรธ หรือลืมความกลัว
แต่ว่าอีกวิธีหนึ่งที่มันน่าจะลองมาใช้ดู คือเฝ้าดูมัน หรือดูมันเฉยๆ หรือสังเกตดูมัน รู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ มันก็ช่วยได้เหมือนกัน แต่ก็มีคนสงสัยว่า ทำไม ก็รู้ว่าโกรธแต่ก็ยังโกรธอยู่ เป็นคำถามที่เกิดขึ้นกับหลายคนมาก รู้ว่าโกรธแต่ทำไมยังโกรธอยู่ อันนี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่ามันรู้แค่รู้ปั๊บๆ รู้แค่ไม่กี่ขณะ เสร็จแล้วก็หลงใหม่ ตอนที่รู้ว่าโกรธ ความโกรธก็ดับไป แต่พอตัวรู้มันดับไปเพราะกำลังมันน้อย มันก็โกรธใหม่ ก็เหมือนกับไฟไฟที่ลุกไหม้ถ้าน้ำน้อย มันก็ย่อมไม่สามารถดับไฟได้ อย่างที่พูดว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟมาก
ถ้าความโกรธมันมาก แต่ว่าสติหรือความรู้ตัวน้อย ก็เหมือนเอาปืนฉีดน้ำไปฉีดใส่กองไฟ กองไฟก็อาจจะ ลดระดับลงสักพัก แต่พอน้ำหมดมันก็ลุกโพลงขึ้นมาใหม่ สติของคนที่ยังอ่อนอยู่หรือมีน้อย ความรู้ตัวยังไม่มาก มันก็จะสงบเพียง 2-3 ขณะ แล้วพอสติหายไป ความหลงกลับมา ความโกรธก็ขึ้นมาอีก อันนี้ก็เป็นเหตุผลข้อที่หนึ่ง
เหตุผลข้อที่ 2 ก็คือว่าตอนที่รู้ว่าโกรธ มันไม่ได้รู้ซื่อๆ มันมีความรู้สึกอยากจะกดข่ม ผลักไส รู้สึกลบกับมัน มันไม่ชอบความโกรธ มันไม่ใช่การรู้ด้วยสติบริสุทธิ์ เหมือนกับจะดับไฟด้วยน้ำ แต่น้ำกลับมีน้ำมันเจือปน น้ำที่มีน้ำมันเจือปนเอาไปสาดใส่กองไฟมันก็ไม่ดับเพราะว่าน้าไม่ใช่น้าบริสุทธิ์ เวลาเรามีสติรู้ตัวที่เราคิดว่ารู้ตัว หรือว่าเราเห็นความโกรธมันไม่ได้รู้ซื่อๆ มันมีความรู้สึกที่แฝงซ่อนอยู่ หรือซ้อนกันอยู่ คือไม่ชอบความโกรธนั้นอยากจะผลักไส อยากจะจัดการกับความโกรธ พอไม่ใช่สติบริสุทธิ์ มันมีความรู้แบบผลักไสก็เท่ากับเป็นการเพิ่มพลังให้กับความโกรธ มันก็เลยไม่ดับ กลายเป็นการต่ออายุให้มัน
การที่มีจิตที่อยากจะให้ความโกรธดับไป จิตที่ผลักไสความโกรธนี่แหละคือ เชื้อที่ต่ออายุให้กับความโกรธ เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้รู้ มันต้องรู้ซื่อๆจริงๆ อย่าไปรังเกียจความโกรธที่มันเกิดขึ้น คนเรา พอเราปฏิบัติธรรมเยอะมากๆ เราจะมีใจที่รู้สึกลบกับอารมณ์พวกนี้มาก เป็นเพราะติดดีอย่างหนึ่ง ไม่ชอบความโกรธ ไม่ชอบความเกลียด ไม่ชอบความโลภ ไม่ชอบความฟุ้งซ่าน พอรู้ทันมันหรือพอเห็นมัน มันก็จะมีความรู้สึกซ่อนอีกอย่างหนึ่งคือ อยากจะกำจัดมัน ตัวนี้แหละที่จะเป็นตัวไปเพิ่มกำลัง ไปต่ออายุให้กับความคิดและอารมณ์แบบนี้
ต้องเป็นการรู้แบบรู้ซื่อๆ จริงๆ เป็นการรู้โดยที่ไม่ได้ให้ค่าว่า มันดีหรือมันชั่วถ้าไปให้ค่าว่าอารมณ์แบบนี้ดี อารมณ์แบบนี้ไม่ดี พออารมณ์ไม่ดีเกิดขึ้นเราก็จะพยายามไปผลักไสมัน แต่ถ้าเราไม่ได้ไปให้ค่ามัน คือมองมันด้วยใจที่เป็นกลาง ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่าไม่ตัดสินอารมณ์หรือความคิดที่เกิดขึ้น การที่จะรู้ซื่อๆมันก็จะเป็นไปได้ เราทำบ่อยๆทำบ่อยๆ รู้ซื่อๆก็จะมีพลัง เจออารมณ์ที่แรงๆเหมือนพายุ มันก็ไม่สามารถที่จะพัดใจให้กระเจิง หรือไหลไปตามอารมณ์ได้ จิตยังตั้งมั่นอยู่ได้