แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีคลิปวิดีโออันหนึ่งน่าสนใจ ก็สั้น ๆ คลิปสมัยนี้ไม่ได้ยาวเท่าไหร่ ยายกับหลานสาวก็ไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ต ก็หยิบของตามขั้น ทั้งของกินทั้งขนมก็หยิบมาเรียกว่า เกือบจะเต็มรถเข็น และก็มีของขิ้นหนึ่งที่หลานสาวชอบ อยากได้ เป็นขนมเค้ก ขนมเค้กก้อนเล็ก ๆ
คราวนี้พอไปที่เคาน์เตอร์ จ่ายเงิน ปรากฎว่าของที่เลือกมาหยิบมามันเยอะ เงินไม่พอ ก็ต้องเอาของบางอย่างออกไปและของชิ้นหนึ่งที่ถูกคัดออกก็เป็นขนมเค้ก เนี่ยแหละของหลานสาว หลานสาวก็วิงวอนบอกว่า ขอเถอะ เอาไปได้มั๊ย ซื้อไปได้หรือเปล่า ยายก็บอกว่า ไม่ได้ เรามีเงินไม่พอ หลานสาวก็เสียใจ ตาละห้อย ขณะที่เดินออกจากเคาน์เตอร์ไป โดยที่ขนมเค้กวางไว้ตรงเคาน์เตอร์ ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง ชายหนุ่มเห็นนะ ได้ฟังการสนทนา ระหว่าง ยายและหลานสาวก็สงสาร ก็เลยซื้อ ออกเงินซื้อขนมเค้กให้ ก็เดิมตามไป เดินตามไปให้ ยายและหลานสาว ก็เกือบจะออกจากร้านแล้ว ชายหนุ่ม ก็เอาขนมเค้กมาให้หลานสาว ยายก็ขอบอกขอบใจนะ ซาบซึ้งในน้ำใจนะ บอกว่า คุณนี่ช่างจิตใจประเสริฐเหลือเกิน ชายหนุ่มคนนั้นก็บอกว่า สมัยที่ผมเป็นเด็ก ก็เคยเป็นอย่างนี้แหละ วันนั้น วันเกิดของผม แม่ก็พาไปที่ตลาด ผมก็อยากได้ ขนมเค้กแต่แม่ก็ไม่มีเงิน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเห็นกำลังจ่ายเงิน เค้าก็เลยซื้อขนมเค้กนั่นให้ผม ผมยังจำแววตาใบหน้าของผู้ชายคนนั้นได้ เพราะฉะนั้น เวลาเจอเหตุการณ์เมื่อสักครู ก็เลยคิดว่า อยากทำ ความดีตอบแทนบ้าง ยายก็ซาบซึ่งและบอกว่าขอที่อยู่ได้ไหม จะได้เขียนไปขอบคุณหรือว่าส่งเงินอะไรไปให้ ขอที่อยู่ ยายก็ยื่นกระดาษให้ชายคนนั้น ชายคนนั้น ก็เขียนอะไรบางอย่างลงในกระดาษ
หลานสาวกลับมาถึงบ้าน หลานสาวก็วิ่งไปหาคงจะเป็นปู่นะ นั่งรถเข็น ก็คือไม่สบายแล้วก็ยื่นขนมเค้กให้ปู่หรือตาเนี่ยแหละ แล้วก็บอกว่า แฮปปี้เบิร์ดเดย์ สุขสันต์วันเกิด เราก็เลยรู้ว่า อ่อที่หลานสาวอยากได้ขนมเค้ก ไม่ได้เอาไว้กินเอง ก็เพราะว่า อยากจะให้ตา และยายก็เล่าให้ฟังว่า ขนมเค้กเนี่ยมีผู้ชายใจดีคนหนึ่งนะซื้อมาให้เพราะเงินไม่พอ และเค้าจดที่อยู่มาให้ด้วย แล้วยายก็ยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้ตา ตาก็คลี่ดู พอเห็นข้อความ ตาก็นึกไปถึงเหตุการณ์ เมื่อ ยี่สิบสามสิบปีก่อน ที่มีเด็กชายคนหนึ่งเค้ากอยากได้ขนมเค้ก รบเร้าอยากได้ ขนมเค้กจากแม่ แต่แม่บอกว่าไม่มีเงิน เด็กก็รบเร้าว่า วันนี้เป็นวันเกิดผมนะ ขอขนมเค้กได้มั๊ย แม่ก็บอกว่า ไม่มีเงินจริงๆ ผู้ชายคนนั้น เค้าก็เลย หยิบขนมเค้กให้แล้วก็จ่ายเงินกับเจ้าของร้าน ยื่นขนมเค้กให้เด็กคนนั้น แล้วบอกว่า แฮปปี้เบิร์ดเดย์ น้าซื้อขนมเค้กนี้ให้หนูเองนะ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แม่ของเด็กชายคนนั้น ก็บอกว่า คุณดีเหลือเกิน ขอที่อยู่ได้มั๊ย ยื่นกระดาษให้ เค้าก็เขียนข้อความนั่นลงไป
ครั้งนี้ปรากฎว่า ข้อความที่เค้าเขียนมันไปตรงกับข้อความ ที่เค้าได้รับจากภรรยา ซึ่งตอนนี้เป็นยายล่ะ มันไม่ใช่ที่อยู่นะ มันเป็น ข้อความที่เขียนว่า ความมีน้ำใจ ย่อมแพร่กระจายเหมือน ลูกคลื่น
เรื่องก็เลยเฉลยมาว่าผู้ชายคนที่เป็นตาเนี่ยนะ เค้าก็คือคนเดียวกับผู้ชาย เมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน ที่ซื้อขนมเค้กให้กับเด็กชายคนนั้น เด็กชายคนนั้นพอโตขึ้นมา ก็ซื้อขนมเค้กให้กับหลานสาวของผู้ชายคนนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าความดีก็เวียมาบรรจบครบรอบ ผุ้ชายคนนี้ซื้อขนมเค้กให้เด็กชาย พอเด็กชายโตขึ้น ก็ซื้อขนมเค้กด้วยความเมตตาให้กับหลานสาว ซึ่งสุดท้ายก็กลับคืนมาสู่เขา เพราะหลานสาวอยากซื้อขนมเค้กเพื่อมาเป้นของขวัญให้กับตา อันนี้เป็นเรื่องที่ ก็ดูแล้วประทับใจนะและเกิดแรงบันดาลใจที่ว่า ความดีที่เราทำมันไม่เคยสูญเปล่านะ มันไม่เพียงแต่ เอื้อเฟื้อเกื้อกูล คนที่เราช่วยเท่านั้น แต่สุดท้าย มันก็ย้อนกลับมาที่ตัวเราเอง อาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่ว่ามันก็ย้อนกลับมาได้ เรื่องนี้ก็คล้ายกับเรื่องที่เราได้ดูมาหลายปีก่อน คลิปนี้ก็ดังเหมือนกัน เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวได้ยินเสียงเอ๊ะอะ ก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ปรากฎว่า เจ้าของร้านยาจับเด็กขโมยได้ เด็กอายุ 12 ขโมยยา เจ้าของร้านยาก็จะเอาเด็กจับส่งตำรวจ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวก็เลยถามว่า เรื่องมันเป็นยังไง เด็กก็ตอบว่า แม่ไม่สบายไม่มีเงินเลย ข้าวก็ไม่มีกิน ยาก็ไม่ต้องพูดถึง
ไม่รู้จะทำยังไง ก็ขโมยมา ถูกจับได้ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวก็เลยบอกกับเจ้าของร้านยา อย่าส่งเดินให้ตำรวจเลยนะ เดี๋ยวผมจ่ายค่ายาให้เอง เด็กก็รอดตัวไป เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวทำก๋วยเตี๋ยวให้กับเด็ก บอกว่าไปฝากแม่ด้วย แล้ว เรื่องก็หายเงียบไปสามสิบปี ผู้ชายคนนี้ป่วยหนักเป็นโรคหัวใจ ต้องผ่าตัดหัวใจ แต่ลูกสาวไม่มีเงิน ทำยังไง ไปปรึกษาหมอ ทำยังไงได้บ้าง เพราะค่าผ่าตัดสูงเหลือเกิน หมอได้ดังก็เห็นใจ ก็บอกว่า เดี๋ยวจัดการให้ ก็เป็นอันว่า พอถึงวันที่ คนไข้จะกลับบ้าน ฟื้นตัวเกือบเป็นปกติแล้ว พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ก็เอาใบเสร็จมาให้แล้วบอกว่า ค่ารักษาพยาบาล ค่าผ่าตัดมีคนจ่ายให้แล้ว แล้วก็ในใบเสร็จ มีข้อความจากหมอว่า ค่ารักษาได้จ่ายให้แล้ว เมื่อ 30 ปีก่อนด้วยเงินค่ายา 20 บาทแล้วก็ก๋วยเตี๋ยว 2 ถุง ก็เลยเฉลยว่า เด็กคนนั้นก็ได้มาเป็นศัลยแพทย์โรคหัวใจ ความดีที่เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวทำกับเด็กคนนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน อยู่ในใจเด็ก เด็กนี้ก็ขยัน หมั่นเพียร จนกระทั้งได้จบหมอ ก็ยังสำนึกในบุญคุณของเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว พอมาเห็นชื่อผู้ป่วยว่า ใช่ ก็เลยออกค่ารักษาพยาบาลให้ อันนี้ก็มาจากเรื่องจริงนะ ส่วนคลิปแรกไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ถ้ามันเป็นนิทาน ก็สอดคล้องกับความเป็นจริงและก็สร้างแรงบันดาลใจให้คนมาก ให้เห็นว่าความดีที่ทำให้ ที่สุดแล้วก็ย้อนกลับมาสู่ตัวเอง อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข ความดีที่เราทำเนี่ย บางทีเราก็นึกภาพว่า ถ้าเราทำบุญเยอะๆ แล้วก็จะมีโชค มีลาภ ก็มีบุญนั่นแหละ เป็นอนิสงค์ ประสบความร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่บางทีเราก็เหมือนมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง ที่ทำให้คนที่ทำบุญเนี่ยนะ สุขภาพดี ร่ำรวยหรือว่ามีโชค มีลาภ แต่ว่าจริง ๆ แล้ว มีคำอธิบายที่ดีกว่านั้น เป็นรูปธรรม เป็นเหตุเป็นผลกว่านั้น ก็คือ เมื่อเราทำความดีกับใคร ความดีก็ประทับใจคนคนนั้น ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ที่จะทำความดีต่อไปเรื่อย ๆ เช่น ก ไปทำความดีให้กับ ข , ข ก็ไปทำความดีให้กับ ค, ค ทำความดีให้ ง สุดท้าย ง ก็ทำความดีให้กับ ก คือไม่ใช่อำนาจศักดิ์สิทธิ์อะไร แต่เป็นอำนาจของความดีที่แรงบันดาลใจคน บันดาลใจคนั้นคนนี้ ให้อยากทำความดีกับผู้อื่นต่อไป ได้ทำความดีตอบแทน ก็เห็นอยู่ ก ช่วย ข แต่ก็มีความดีอีกชนิดหนึ่งที่มันกระจายไปกว้าง ก ช่วย ข, ข ช่วย ค, ค ช่วย ง, ง ช่วย จ แต่สุดท้าย มันก็ย้อนกลับมาที่ ก เริ่มต้น ความดีมันเป็นอย่างนั้น จะว่าไปมันก็บูมเมอแรงนะ เราขว้างไปก็ย้อนกลับมา เพียงแต่ว่า บางครั้งอาจจะใช้เวลา อย่างเรื่องขนมเค้กที่ให้เด็กชาย มันจะย้อนกลับมาถึงตัวเองผ่านหลานสาว มันก็ ยี่สิบสามสิบปี แต่ที่จริง ความดีส่งผลเร็วกว่านั้น ความดีก็ติดจรวดได้เหมือนกัน เราพูดว่า กรรมติดจรวด กรรมในที่นี้ ไม่ใช่กรรมชั่ว กรรมดีก็ติดจรวดเหมือนกัน พูดอีกอย่างหนึ่งคือความดี ข้อความในกระดาษย่อมส่งผลแพร่กระจายเหมือนลูกคลื่น คือไม่เพียงแต่ย้อนมาที่ตัวเอง แต่กระจายไปเรื่อย ๆ ลูกคลื่น สมมุติว่าเราโยนก้อนหินลงไปในหนอง ในสระ หรือในทะเลที่นิ่ง ๆ ลูกคลื่นกระจายไปเรื่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ กระจายไปไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับเสียงของเรา พูดตอนนี้ เสียงเราก็เป็นคลื่น กระจายออกไป ตามทฤษฎ๊มันจะกระจายออกไปไม่สิ้นสุด สู่จักรวาล อวกาศก็ว่าได้ แต่มันเบาบางมาก จนอาจจะจับไม่ได้ แต่มันก็ส่งผล ความดีมันก็สืบทอด ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆได้ อันนี้ ก็เช่นเดียวกัน ความชั่วนะ เช่นความโกรธ ความเศร้า มันก็แพร่กระจายในลูกคลื่นเหมือนกัน เวลาอยู่ใกล้คนโกรธ หรือถูกคนโกรธกระทำ ความโกรธก็ติดเชื้อไปที่อีกคนหนึ่ง เช่น ก โกรธ ข, ข ก็โกรธด้วย มีความโกรธเกิดขึ้นที่ ข ข ก็ไปแสดงออก ค, ค ก็ โกรธ ค ไปโกรธ ง, ง ก็โกรธด้วย ความโกรธมันแพร่กระจายเป็นลูกคลื่น เหมือนกันนะ อันนี้รวมถึงความชั่วร้ายด้วยนะ การลักขโมย คนที่พ่อแม่ขโมยลูกเห็น ลูกก็ทำตาม เพื่อนเห็น เพื่อนก็ทำตาม มันก็แพร่กระจายติดเชื้อได้เหมือนกัน ความชั่ว รวมทั้ง อกุศลธรรม ความโกรธ แม้แต่ความเศร้า ความเหงา ก็มีคนทำวิจัย ที่น่าสนใจมาก
เมื่อใครคนใดคนหนึ่งเหงา เพื่อนรอบข้างของเค้ามีโอกาสที่จะเหงา 50% สมมุติ ก เหงา ข มีโอกาสจะเหงา 50% แล้ว ค มีโอกาสติดเชื้อความเหงา คือเหงาตามไปด้วย 25% อันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่อธิบายไม่ได้ มันก็อธิบายได้ พอนาย ก เหงา ก็ไม่ค่อยอยากสุงสิงกับใคร แล้วก็จะพูดจาไม่ดีกับคนที่อยู่รอบข้าง ข พอเจอแบบนี้เข้า ก็อารมณ์ไม่ดีตามไปด้วย ก็ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม อยากพูดคุยด้วย ความเหงาก็เกิดขึ้นกับ ค ส่วน ก ไม่ต้องพูดถึง เหงา อยู่แล้ว ยิ่งเหงา ก็ไม่ค่อยอยากสุงสิง ไปคุยด้วย ก ก็เหงา ไม่ได้สร่างซาลง ส่วน ข พอเจออารมณ์ของ ก มันก็ระบายใส่คนอื่น คนอื่นก็ไม่ค่อยอยากคบหาไม่ค่อยอยากพูดคุย สุงสิง ข ก็เลยเหงา ค ก็เหมือนกัน ค อยู่ใกล้ก็เลยได้รับอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีจาก ข แล้วก็ไประบายใส่คนอื่น คนอื่นก็ไม่ไปสุงสิงกับ ค ก็พบวา ความเหงา ก็ติดเชื้อ แพร่เชื้อกันได้ แต่ว่าในสัดส่วนที่น้อยลงไปเรื่อยๆ เหมือนกันลูกคลื่น คลื่นไปไกลเท่าไหร่ ก็เบาบางลงไป อย่าว่าแต่อารมณ์หรือนิสัยเลยนะ พฤติกรรมบางอย่างที่ดูไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันเลย เช่น สูบบุหรี่ ก็พบว่า ก็ติดกันได้นะ การสูบบุหรี่ ถ้าอยู่ใกล้คนสูบบุหรี่ ก็มีโอกาสติดบุหรี่ได้ง่าย ความอ้วน คนอ้วนก็ติดต่อกันได้เหมือนกัน ไม่เฉพาะคนใกล้ อยู่ห่างกันเป็น 10 เป็น 100 กิโลเมตร ก็เพราะคนอ้วนเครือข่าย มิตรสหายคนรู้จัก มันก็พลอยจะเป็นคนอ้วนเป็นส่วนใหญ่ อาจเป็นเพราะว่าติดพฤติกรรม ติดเชื้อพฤติกรรมของกันและกัน หรืออาจเป็นเพราะว่าพอไปเจอคนอ้วน การกิน การบริโภค เรียกว่า เลียนแบบกัน เค้ากินเยอะ เราก็กินเยอะ มันเลยอ้วนตาม ในทางตรงกันข้าม คนที่มีเครือข่ายมิตรสหาย ที่ไม่อ้วน เรียกว่าพอดีพอดีหรือผอม เจ้าตัวก็พลอยจะเป็นอย่างนั้นไปด้วย ที่จริงแล้วการกระทำทุกอย่างมันล้วนแล้วแต่ส่งผลกระจายออกไปเป็นลูกคลื่น และสุดท้ายก็ย้อนกลับมาที่ตัวเราเองด้วยเพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราอยากจะมีความสุข เราก็ต้องช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่น มอบความสุขให้กับผู้อื่น ทำดีกับผู้อื่นด้วย แต่คราวนี้ เราจะทำอย่างไร เวลาคลื่นแห่งความทุกข์ คลื่นแห่งอกุศลกรรมเข้ามา เช่น คนที่อยู่แวดล้อมเรา เค้าเกิดอารมณ์ไม่ดี มีความเหงา ความโศก ความเศร้า ความโกรธ ไม่รู้เค้าติดมาจากไหน มาถึงเราเนี่ยนะ ทำยังไงจะไม่พลอยติดความโกรธความเศร้าความโศกจากเค้ามาด้วย อันนี้ก็เป็นการบ้านเหมือนกันนะ เพราะว่าคนที่เขามาหาเรา หรืออยู่แวดล้อมเรา บางทีเค้าก็ไปเจอ คนโน่นคนนี้มา แล้วก็พลอยติดอารมณ์ที่ไม่ดีของคนนั้นคนนี้มา พอมาถึงเราเนี่ยนะ ถ้าเราไม่ระมัดระวังก็พลอยติดมาด้วย แต่สิ่งที่เราจะช่วยได้ คือ การมีสติ นะ มีสติ คนที่อยู่รอบข้างเราเค้าโกรธเค้าไม่รู้อาจจะหงุดหงิด มาจากไหน แต่เรามีสติ รู้ตัว พอใจมันกระเพื่อมจากคำพูก การกระทำ หรือสายตาของเขาที่อาจจะก้าวร้าวโดยไม่รู้ตัว เรามีสติ รู้ทัน ใจมันเริ่มกระเพื่อมขึ้นมาแล้ว เพราะว่ามันไปเจอกับอารมณ์ที่มูดดี้ ไม่เป็นสุข สติเรามันจะช่วยให้เรารู้ พอใจเริ่มเป็นลบ จากการติดเชื้อ เราก็มีสติ รู้ รู้ทันอารมณ์นั้น แม้กระทั่งความโกรธก็ดี ความหงุดหงิดก็ดี ความเหงา ความเศร้ามันเลือนหายไปได้ อันนี้ก็เรียกว่า เปลี่ยนความโกรธให้เป็น ความไม่โกรธก็ได้ เหมืนที่หลสงพ่อคำเขียนท่านพูดว่าเปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธ เปลี่ยนความหลงให้เป็น ความไม่หลง คนอื่นหลง แต่เราไม่หลง คนอื่นโกรธ แต่เราไม่โกรธ อันนี้ก็เป็นการตัดวงจรนะ ตัดวงจรอุบาทว์ มันก็ไม่เชิงเป็นวงจรทีเดียว แต่มันตัดเชื้อ ตัดกระแสอุบาทว์ ตัดกระแสอกุศล ที่มันแพร่กระจายจากไหนก็ไม่รู้ แพร่มาเรื่อย ๆ เราตัดมันซะ ด้วยความที่เรามีสติ รู้ทัน รู้ทันอารมณ์ของเราก่อน ว่าอารมณ์ของเราเนี่ยมันกระเพื่อมนะ มันถ่ายทอดกันได้นะ อารมณ์ของคนที่อยู่รอบข้างเราเนี่ย สามารถแพร่ มาถึงเราได้ ตอนนี้มันมีคำอธิบายเยอะนะ แต่ว่าไม่ต้องพูดในที่นี้ก็ได้ เอาง่าย ๆ ว่ามันแพร่มาได้ ถ้าเราไม่มีสติ เราก็รับอารมณ์นั้น เข้ามา แล้วก็ปล่อยให้คนอื่นไปเป็นลูกโซ่ แต่ถ้าเรามีสติ เค้าหงุดหงิดใส่เรา เค้าโวยวายใส่เรา เราก็นิ่งได้ เค้าเศร้าซึมมา แทนที่เราจะเศร้าหรือหดหู่ไปกับเค้าด้วย เราก็ยังเป็นปกติได้ มีสติ ที่จรืงถ้าเามีสติพอ เรารู้สึกตัวพอ พอเราเห็นเค้า เราก็พอจะรู้ล่ะ ตอนนี้เค้ามีอารมณ์ไม่ดีนะ คนเรามันเซนส์กันได้ ถ้าเรามีสติ เราจะเซนส์ดีๆ แต่ถ้าเรามัวทำโน่น ทำนี่ หรือใจลอย บางทีมันไม่สามารถรับรู้อารมณ์เค้าได้ สังเกตุได้ เวลาคนคุยกันเนี่ย บางทีเรารับรู้แต่ว่า เค้าพูดอะไร แต่เราไม่รับรู้ความรู้สึกของเค้า อันนี้ก็เกิดขึ้นบ่อย แต่ถ้าเรามีสติ ความรู้สึกตัว เค้าพูดมาเนี่ย เราไม่เพียงแต่รับรู้ว่าเค้าพูดอะไร แต่ยังรับรู้ว่า เค้ารู้สึกอย่างไรด้วย พอเรารู้ว่า เค้ารู้สึกอย่างไร ทำให้เรากลับมารับรู้ ดูใจของเราเอง และไม่รับเอาความรู้สึกที่เป็นลบของเค้าเข้ามา เชื้อที่มันแพร่มาสู่เรา มันก็แพร่ไม่ได้ ลูกโซ่ หรือว่า กระแสแห่งอกุศล มันจะหยุดที่ตัวเรา ไม่แพร่ต่อ คนเราแต่ละคน มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อแห่งอกุศล แห่งความทุกข์ ได้มากนะ นอกจากการเป็นต้นตอแห่งความทุกข์ เราก็แพร่เชื้อได้ แต่ถ้าเราเปลี่ยน เปลี่ยนให้ เปลี่ยนตัวเองจากการแพร่เชื้อเป็น ตัวแพร่ความดี ขณะเดียวกันก็ตัดวงจรของความชั่วนั้น แต่ว่าไปเพิ่มวงจร หรือไปเพิ่มกระแสของความดี ใครทำความดีกับเรา เราก็ทำความดีตอบหรือ ทำความดีต่อ มันทำได้ 2 อย่างนะ ทำความดีตอบคนที่ดีกับเรา หรือทำความดีต่อต่อไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ดีกับเราเองนะ เพราะว่า พอเรามีเมตตา เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกับใคร จิตใจเราก็เป็นสุข สุขภาพดี ในทางตรงข้าม คนที่เป็นคนขี้โกรธนะ กราดเกรียว สุขภาพก็แย่ โรคหัวใจ โรคความดัน โรคปวดนั้น ปวดนี่ ก็ตามมา มันไม่ได้ไปไหน ในด้านหนึ่ง ถ้าเราเป็นต้นตอของความโกรธ สุขภาพเราก็แย่ แม้แต่เราเป็นฝ่ายติดเชื้อ รับความโกรธ ความเศร้า ของใครมา สุขภาพเราก็พลอยแย่ไปด้วย นี่รวมถึงความวิตกกังวลด้วยนะ อันนี้ก็ติดกันเยอะเหมือนกัน ความวิตกกังวัลเป็นกันเยอะมาก เดี๋ยวนี้คนป่วยเพราะอารมณ์ ไม่ใช่เพราะสุขภาพร่างกายผิดปกติ ก็เยอะ หมายความว่า ป่วยทางกาย แต่หาสาเหตุทางกายไม่พบ มีเยอะทีเดียวนะ ในอังกฤษ คนที่ไปหาหมอ ไม่นับคนที่ป่วยแล้วอยู่ในบ้าน 1 ใน 3 เนี่ยหมอหาความผิดปกติทางกายไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่มีอาการแรง เช่น ชัก ตาบอดหรือมองไม่เห็น ความดัน ปวดท้อง หาสาเหตุทางกายไม่พบ ก็เชื่อไปว่า เป็นเรื่องของอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเป็นต้นตอของอารมณ์ หรือเป็นฝ่ายรับอารมณ์คนอื่นมา เดี๋ยวนี้เจอเยอะนะ ลูกสาวที่ดูแลแม่ แม่เนี่ยป่วย แม่เนี่ยซึมเศร้า ไม่ไปไหนเลย หมอก็ไม่ไปหา จะไปเที่ยวไหนก็ไม่ยอมไป ลูกต้องดูแล ดูแลเกือบ 24 ชั่วโมง ปรากฎว่า ลูกก็พลอยซึมเศร้าไปด้วย ติดเชื้อจากแม่ อันนี้ก็ต้องรู้จัก ออกไปจากสิ่งแวดล้อมที่มันแย่ๆ ออกไปเจอ สัมผัสธรรมชาติ ออกไปพักผ่อน ออกไปเจอที่มันชื่นบานใจ ทำให้บันดาลใจ แล้วค่อยกลับไปใหม่ ไม่งั้นเนี่ย เชื้อมันจะสะสม ซึมเศร้าจากแม่แพร่ไปที่ลูก แล้วลูกก็จะแพร่ไปที่พี่น้องคนอื่นด้วย ต่อไปเรื่อย ๆ อันนี้มันน่ากลัวมาก เพราะสมัยนี้มันติดกันง่ายเหลือเกิน เพราะไม่ค่อยมีสติ คนที่หงุดหงิด วิตกกังวลนี่ มันก็เลยพลอยรับเชื้อพวกนี้ได้ง่าย พอใจเป็นอกุศล เช่น เครียด ก็จะรับเชื้อที่ไม่ดี รับความโกรธ ความเศร้า หดหู่ ความวิตกกังวล จากคนรอบข้างได้ง่าย ต้องมีสติเอาไว้ รักษาใจให้ดี แล้วก็ทำความดีมากๆ ทำความดีมากมากมันทำให้เพิ่มพูนเมตตากรุณา เพิ่มพูนกุศลธรรม คอยป้องกัน ไม่ให้ความโกรธ ความเศร้า ความวิตกกังวล มันเข้ามาในจิตใจเราได้